๙๓

ฝ่ายพระสงฆในวัดชื่อหุ้นยี่ ครั้นรุ่งแจ้งออกมาที่น่ากุฎีใหญ่ ไม่เห็นพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม จึงพูดว่าไม่เห็นพูดว่ากะไร ทำไมจึงพากันหายไปเงียบ ๆ ดังนี้ เราพากันปล่อยพระโพธิสัตว์ไปเสียแล้ว เมื่อเวลากำลังพูดกันอยู่นั้น แลเห็นพวกชาวบ้านเสียส่วยน้ำมัน มาสองสามคนจะนิมนต์พระถังซัมจั๋งไปฉัน พระสงฆ์ในวัดพูดว่าท่านเหาะไปเสียแต่เมื่อคืนนี้มิได้บอกเล่าให้รู้เลย คนทั้งหลายต่างก็ตั้งนมัศการไปบนอากาศ พูดกันต่อ ๆ ไปก็รูแส้ไปทั้งเมือง พวกขุนนางจึงให้ชาวบ้านที่เสียส่วยน้ำมันทุก ๆ หลังคาเรือน จัดหาดอกไม้แลผลไม้ต่าง ๆ ไปตั้งสักการะบูชาที่ศาลปลูกใหม่นั้น เปนที่เคารพตอบแทนคุณท่านทั้งสี่ต่อมา

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามคน ผ่าแดดแผดลมเดินมาได้ประมาณสักครึ่งเดือน ตามระยะทางก็มีความศุขไม่มีปิศาจยักษ์ร้ายรบกวน วันหนึ่งเดินไปแลเห็นภูเขาสูงขวางน่า พระถังซัมจั๋งมีความครั้นคร้ามในจิตร์ จึงเรียกสานุศิษย์สั่งว่าข้างน่ามีภูเขาสูงคลุ้มมืดมัวจงระวังระไวให้ดีจะมีเหตุการร้ายต่าง ๆ เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า เดินเข้าในเขตร์นี้ไกล้พระพุทธเจ้าแล้ว เปนอันขาดที่จะมีปิศาจร้ายนั้นเห็นจะเปนไปไม่ได้ พระอาจาริย์จงวางใจอย่าวิตกเลย พระถังซัมจั๋งพูดว่าหากจะใกล้เมืองพระพุทธเจ้าก็จริงอยู่ แต่เมื่อวันก่อนพระสงฆ์ในวัดบอกว่า ตั้งแต่วัดนั้นไปประมาณสองพันโยชน์ จึงถึงเมืองโซจ็อกไม่รู้ว่าใกล้ไกลสักเท่าใดจึงจะถึงเขาเล่งซัว เห้งเจียพูดว่าพระอาจาริย์สาระพัดการทุกอย่างก็อยากได้ความปรกติ แต่มาละเว้นพระคาถาของพระอาจาริย์โอเซ้าที่ให้ไว้นั้นแล้วหรือ พระถังซัมจั๋งตอบว่าอันพระคาถาปัญญะซิมเกงนั้นอาตมาก็ภาวนาอยู่เนืองนิตย์ ทำไมจึงถามว่าลืมเสียแล้วหรือ เห้งเจียว่าพระอาจาริย์ภาวนาอยู่เสมอก็จริง แต่หาได้เข้าใจความอธิบายในธรรมนั้นไม่ พระถังซัมจั๋งว่าเจ้าลิงเจ้าดูถูกว่าอาตมไม่รู้อธิบายหรือ เจ้าอธิบายได้หรือ เห้งเจียว่าข้าพเจ้าอธิบายได้ พูดแล้วเห้งเจียก็ไม่ออกเสียงพูดอีก หัวเราะงอไปพักใหญ่ โป๊ยก่ายแลเห็นเห้งเจียมีกิริยาอย่างนั้นก็พูดว่า ดูหน้าตาพิลึกทำหน้าย่นเหมือนยังข้าพเจ้าอย่างเดียวกันกับปิศาจยักษ์แท้ ๆ ไม่ใช่พวกสำมาทิฐิเลย ไม่ได้ยินว่าอธิบายธรรมที่ไหน ทำกิริยาเล่นสนุกดังนั้นจะมิผิดไปหรือ ทำไมจึงว่าเข้าใจอธิบายธรรมไม่ได้ยินเสียงแสดงเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าพี่เห้งเจียแกหลอกพระอาจาริย์ที่เดินทางเท่านั้น แลเธอเข้าใจแต่เล่นเพลงตะบองเท่านั้น ที่ไหนจะเข้าใจอธิบายธรรมเล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่าหงอเหนงหงอเจ๋งอย่าพูดเลอะเทอะไป หงอคงเธอเข้าใจแสดงพระคาถาปัญญะซิมเกงจริงของเธอ ที่ไม่โต้ตอบแสดงวาจานั้นแลคือแสดงธรรมแท้ อาจาริย์กับศิษย์มัวโต้ตอบกันอยู่ เดินพลางพูดพลางก็มาถึงน่าเขาโขดเข้าสองสามเนิน แลไปที่ข้างทางเดินก็เห็นมีพระอารามใหญ่ ที่ประตูวัดมีอักษรใหญ่สี่อักษรเรียกว่าวัดเป๊ากิมเสียนยี่ แปลว่าวัดปูทองสมาธิ พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าแลเห็นชื่อวัดดังนั้นก็นิ่งนึกอยู่ในใจแล้วพูดว่า วัดเป๊ากิมเสียนยี่อารามนี้ คงจะอยู่ในเขตร์เมืองโซจ็อกราชคฤห์เปนแน่ โป๊ยก่ายได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่าวันนี้อรรศจรรจริง ๆ ตั้งแต่มาหลายปียังไม่เคยว่ารู้จักแห่งใด มาวันนี้ทำไมพระอาจาริย์จึงรู้ว่าพระอารามนี้อยู่ในเขตร์เมืองราชคฤห์เล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่าหาใช่เช่นนั้นไม่ เพราะอาตมภาพเคยดูในต้นพระคำภีร์ธรรมใด ๆ ก็เห็นมีว่าพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ในเมืองราชคฤห์ พระอารามของเสรษฐีกิ๊มโกเชียงสร้างถวาย คำกล่าวว่ากิ๊มโกเชียงเสรษฐีคนนี้ไปขอซื้อที่สวนของดิโทไท้จื๊อราชโอรส สร้างพระอารามถวายพระพุทธเจ้าเปนที่แสดงธรรม ดิโทไท้จื๊อราชโอรสตรัสว่าที่ของข้าพเจ้าไม่ขายให้แก่ผู้ใด หากจะขายต้องมีทองคำมาลาดปูเต็มเขตร์สวนของเรานี้เราจึงจะขายได้ เสรษฐีกิ๊มโกได้ฟังดิโทไท้จื๊อตรัสดังนั้น จึงกลับไปบ้านเอาช้างบันทุกอิฐทองคำมาปูเต็มสวน ก็ซื้อได้ที่สวนของดิโทไท้จื๊อ จึงได้สร้างพระอารามใหญ่ถวายสมเด็จพระผู้มีพระภากย์สำหรับเปนที่พระองค์ทรงแสดงธรรม เพราะฉนั้นอาตมภาพจึงนึกว่าพระอารามนี้ เห็นจะเปนวัดของกิ๊มโกเสรษฐีสร้างอยู่ในเขตร์เมืองอ๋องเชียเซี้ยคือเมืองราชคฤห์มหานคร เปนคำโบราณท่านกล่าวมาอย่างนี้ กิ๊มโกเสรษฐีนั้นคือพระอนาถบิณฑิก โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า หากว่าจริงดังคำโบราณกล่าวมาดังนั้น ข้าพเจ้าจะลงมือขุดเอาอิฐทองคำนั้นมาใช้พูดแล้วก็หัวเราะ พระถังซัมจั๋งลงจากม้าเดินเข้าไปถึงประตูชั้นสาม แลไปก็เห็นผู้คนชุลมุนมากมาย บ้างนั่งบ้างยืนบ้างนอนบ้างมีหาบแลย่ามห่อบ้างมีเกวียนบ้างกำลังสนทนากันอยู่ก็มีดุจที่ท้องตลาด คนเหล่านั้นแลเห็นอาจาริย์กับศิษย์ทั้งสามเดินเข้ามา มีรูปร่างหน้าตากิริยาแปลกกันคนเหล่านั้นตกใจหวาดหวั่นพากันหลบเลี่ยงแอบตัวเปิดทางให้เธอเดินเข้าไป พระถังซัมจั๋งเห็นคนทั้งหลายทำอาการกิริยาอย่างนั้น มีความวิตกเกรงจะเกิดความ จึงคอยร้องเตือนสะติว่าระวังระงับให้ดี สานุศิษย์ทั้งสามก็สังวรระวังกายใจค่อย ๆ เดินเข้าในประตูอีกชั้นหนึ่ง แลเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่ง เดินออกมามีกิริยาเรียบร้อย พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวเคารพปราไสยทักถาม พระสงฆ์องค์นั้นก็เคารพตอบแล้วถามว่าท่านอาจาริย์มาจากไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพมาจากเมืองใต้ถังถือรับสั่งของพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ ให้ข้ามไปไซทีนมัศการพระพุทธเจ้าขออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เดินมาถึงตำบลนี้เปนเวลาจวนค่ำจะขออาไศรยพักสักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งก็จะกราบลาไป พระสงฆ์องค์นั้นพูดว่าดีแล้วท่านมาจากเมืองใต้ถัง ย่อมเปนพระสงฆ์อันเชี่ยวชาญจึงได้มาได้จนถึงสฐานที่นี้ ขอนิมนต์ท่านอาจาริย์เข้ามาเถิด อาตมจะรับรองเอง แลจะหาสิ่งของถวายให้คุณฉันบ้างตามมี พระถังซัมจั๋งจึงเรียกสานุศิษย์ทั้งสามให้ตามเข้าไปยังกุฎีใหญ่ ครั้นถึงต่างกระทำกราบเคารพกันแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ พระสงฆ์ในอารามนั้นไม่ว่าเล็กแลใหญ่ ได้ยินว่าพระถังซัมจั๋งอยู่ประเทศทิศบูระพา ต่างก็พากันมาดูแลกระทำเคารพยกน้ำร้อนน้ำเย็นมาถวาย พระถังซัมจั๋งฉันแล้วก็ขอบคุณพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น พระสงฆ์ทั้งหลายจึงใต่ถามถึงเหตุการที่มาจากเมืองใต้ถัง พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมขอถามซึ่งเหตุวัด เป่ากิมเสียนยี่เดิมมาเปนประการใด พระสงฆ์ในวัดนั้นจึงบอกว่า เดิมวัดนี้ของกิ๊มโกเชียงเอียเสรษฐีสร้างถวายเปนที่อยู่ของสมเด็จพระผู้มีพระภากย์องค์อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เปนที่พระองค์ทรงแสดงธรรม เพราะเอาทองคำลาดปูเต็มสวน จึงได้ตั้งนามวัดว่า เป่ากิมเสียนยี่ ตรงนี้ไปคือเมืองอ๋องเฉียเซี้ย กิ๊มโกเสรษฐีตั้งบ้านอยู่ในเมืองนั้น ที่ในวัดนี้ซึ่งพวกอาตมภาพอยู่นี้ เดิมเปนที่สวนของกิ้มโกเสรษฐีซื้อถวาย ข้างหลังวัดเขตร์ที่ทำเลสวนยังมีปรากฎอยู่ หากว่าฝนตกห่าใหญ่ เพ็ชร์นิลจินดาแลทองคำก็ยังมีอยู่บ้าง เปนของปลาดเคยเก็บได้เนือง ๆ พระถังซัมจั๋งได้ฟังแล้วพูดว่า คำที่กล่าวมาแต่เดิมเปนความจริงทั้งนั้น แล้วถามว่าอาตมภาพพึ่งเข้ามา เห็นที่น่าวัดนั้นทำไมผู้คนมาจากไหน จึงได้มาประชุมกันทำอะไรมากมายนัก พระสงฆ์บอกว่าที่ตำบลนี้มีภูเขานามเรียกว่าแป๊ะคาซัว ตั้งแต่เดิมมาก็อยู่เปนศุขโดยความปรกติไม่มีไภยร้ายสิ่งใด ครั้นมาเมื่อปีก่อนเกิดมีตะขาบปิศาจหลายตัว มักกัดทำร้ายคนให้ถึงแก่ชีวิตร์อันตรายเจ็บป่วย เหลือที่จะพรรณาได้ ที่ชายเขานั้นมีประตูช่องเรียกว่าประตูเกยเม่งกวน ครั้นเวลาไก่ที่นั้นขันขึ้นแล้วคนจึงจะเดินข้ามได้ เพราะฉนั้นคนเดินทางเข้าไปเมืองค้าขายต้องมาอาไศรยพักที่วัดนี้ รอเวลาจวนแจ้งให้ไก่ขันขึ้นก่อนจึงพากันไปได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังแล้วจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพวกอาตมคอยเวลาไก่ขันแล้วก็จะลาไป เวลาเมื่อกำลังพูดกันอยู่นั้น ก็แลเห็นพระสงฆ์ในวัดยกน้ำร้อนน้ำตาลมาถวาย อาจาริย์กับศิษย์ก็พากันฉัน เวลานั้นเปนข้างขึ้นเดือนสว่างดุจกลางวัน พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียก็พากันเดินออกมาชมเดือนเล่นเย็น ๆ แลเห็นคนใช้ในวัดเดินมาบอกว่า ท่านเจ้าคณะใหญ่ออกมาแล้วจะใคร่มาพบกับท่านอาจาริย์ พระถังซัมจั๋งก็หันหน้าแลไปเห็นพระสงฆ์ผู้เฒ่าองค์หนึ่งถือไม้เท้าเดินตรงมาแล้ว ลดกายลงทำเคารพตรงเข้ามาถามพระถังซัมจั๋งว่า ท่านหรือที่ว่ามาจากเมืองใต้ถัง พระถังซัมจั๋งก็ลดกายลงเคารพตอบปราไสยว่า อาตมภาพนี้แหละเปนผู้ที่มาจากเมืองใต้ถัง ก็ท่านอาจาริย์เล่ามีความศุขสบายอยู่หรือ แลมีพรรษาอายุได้เท่าใดแล้ว พระสงฆ์เจ้าคณะบอกว่าอาตมภาพอายุมากกว่าท่านคะเนราวรอบหนึ่ง เห้งเจียหัวเราะว่าถ้ากระนั้นก็เปนร้อยหนึ่งกับห้าปี แล้วเห้งเจียถามว่าเจ้าคุณดูข้าพเจ้าคะเนว่าอายุสักเท่าใด เจ้าคณะตอบว่ารูปกายของท่านเปนกายสิทธิ์สดไสย จักษุสองข้างมีแสงสว่างไสย อาตมภาพไม่สามารถจะคาดถูกว่าอายุได้สักเท่าใด พูดโต้ตอบกันไปมาพักหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถามว่าที่ว่าทำเลเขตร์สวนของท่านกิ๊มโกเสรษฐีนั้นอยู่ที่ไหน เจ้าคณะบอกว่าอยู่ข้างหลังนี้ไป จึงสั่งให้พระลูกวัดเปิดประตูหลังวัดแล้ว ก็พากันเดินออกไปเที่ยวดูเห็นมีลานดินว่างเปล่าอยู่แห่งหนึ่ง แลมีหินอิฐแตก ๆ ยังกองเปนตีนกำแพงอยู่ พระถังซัมจั๋งแลเห็นดังนั้น ก็ประนมมือคร่ำครวญว่า คิดถึงท่านมรรคนายกสุทัดโตใจบุญเอาเงินทองสิ่งของออกบริจาคให้ทานแก่ผู้กระยาจก ชื่อเสียงปรากฎตั้งหมื่นปีก็ยังอยู่ ไม่ทราบว่าท่านเสรษฐีจะไปเสวยศุขอยู่แห้งใด พูดแล้วก็พากันค่อย ๆ เดินเที่ยวชมเล่น แลได้เห็นที่แห่งหนึ่งมีแท่น ก็พากันขึ้นนั่งพัก ได้ยินเสียงคนคร่ำครวญร้องไห้ พระถังซัมจั๋งนั่งนึกตรึกตรองว่าจะเปนเสียงอะไร ก็ได้ยินเปนเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญถึงบิดามารดา พระถังซัมจั๋งหันไปถามพระสงฆ์ทั้งหลายว่า คือใครที่ไหนเสียงร้องไห้เปนที่โทมนัศอยู่ฉนั้น เจ้าคณะผู้เฒ่าได้ฟังพระถังซัมจั๋งถามดังนั้นก็อุบายให้พระสงฆ์ทั้งหลาย ไปต้มน้ำร้อนเสียประเดี๋ยวเราจะกลับไปฉัน ครั้นพระสงฆ์เหล่านั้นกลับไปหมดแล้ว จึงย่อตัวลงคำนับพระถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย พระถังซัมจั๋งก็ลุกมาประคองท่านผู้เฒ่าให้ลุกขึ้น ถามว่าท่านผู้เฒ่าทำไมจึงกระทำความเคารพดังนี้เล่า เจ้าคณะผู้เฒ่าพูดว่ากระผมอายุก็กว่าร้อยแล้ว ก็เข้าใจในการโลกบ้างเล็กน้อย ทุกเวลาเข้าที่ก็คงรู้แจ้งบ้างเล็กน้อย ถึงท่านอาจาริย์กับสานุศิษย์ทั้งสาม เมื่อพิเคราะห์ดูสักสองสามครั้งก็ทราบได้ว่าผิดแก่ชนทั้งปวง ที่กระผมกล่าวมานี้คือความโทมนัศร้องไห้นั้น นอกจากท่านทั้งสี่ก็จะพิจารณาไม่ออก เห้งเจียว่าท่านผู้เฒ่าโปรดแสดงให้ข้าพเจ้าเข้าใจด้วย คือการนั้นเปนประการใด เจ้าคณะผู้เฒ่าบอกว่า เมื่อปีที่แล้วมาตรงกับวันนี้ เวลานั้นอาตมภาพกำลังเข้าที่ระงับอยู่ ได้ยินเสียงม้วนลมพัดมาอู้ใหญ่แล้วก็หยุด แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ อาตมภาพก็ลงจากเตียงเดินมาที่ตรงนี้ แลไปก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างงดงาม นั่งร้องไห้อยู่บนแท่นนี้ อาตมภาพจึงถามว่าเธอเปนลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดจึงมานั่งที่นี่ทำไม หญิงนั้นบอกว่าเขาเปนพระราชบุตรีย์ของพระเจ้าแผ่นดินโซจ็อก ออกมาชมสวนดอกไม้เวลาเดือนหงายแจ่ม ก็บังเกิดลมพัดใหญ่พัดหอบเอามาตกลงตรงนี้ อาตมภาพจึงเอาตัวไปใส่ห้องขังไว้ ปิดประตูแน่นมิให้ใครรู้เห็น เจาะช่องเฉภาะส่งเข้าน้ำพอประทังชีวิตร์ไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น อาตมภาพแกล้งบอกเล่าแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า อาตมภาพจับปิศาจขังไว้ในนั้น ต้องให้เข้าน้ำกินวันละสองเวลาพอยังชีวิตร์ให้เปนไปเท่านั้น แต่หญิงฉลาดเฉลียวรู้อัทยาไสย อาตมภาพวิตกเกรงจะมีพระสงฆ์ในวัดทราบเหตุ จะเกิดความกำหนัดหักโหมเอาโดยกำลัง นางจึงแกล้งทำรุงรังหมักหมมมัวหมอง กลางวันก็แกล้งพูดเพ้อเจ้อคร่ำครวญคลั่งใคล้ไม่เปนปรกติ เวลากลางคืนก็ร้องไห้คิดถึงพระราชบิดา แลพระชนนีมาได้หนึ่งปีแล้วอาตมภาพเข้าไปในเมืองสืบถามหลายครั้งแล้ว พระราชบุตรีย์ก็ยังมีปรกติอยู่ไม่ได้สูญหายไปข้างไหนเปนการปลาดอยู่ อาตมภาพจึงขังนางคนนี้ไว้มิให้ออก ก็บัดนี้ท่านจะเข้าไปในเมืองก็ดีแล้ว โปรดได้เอาเปนธุระให้รู้แน่จะเปนประการใด เพื่อให้ได้ความจริงด้วยเถิด จะได้ช่วยคนชอบธรรมออกให้พ้นทุกข์ ทั้งประชาชนคนทั้งหลายจะได้ทราบในเดชานุภาพฤทธิ์เดชแห่งท่านด้วย พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ดำริห์รำพึงอยู่ในใจ เมื่อกำลังพูดกันอยู่นั้นก็พอพระสงฆ์นำเอาน้ำชามาให้ฉัน เจ้าคณะก็ลากลับไปยังที่ พระถังซัมจั๋งเห้งเจียก็ต่างคนเข้าพักนอน ในคืนนั้นนอนก็ไม่สู้นานนักได้ยินเสียงไก่ขัน พวกพ่อค้าที่พักอยู่น่าวัดก็พากันตื่น บ้างหุงเข้าต้มแกงเสียงอึกกะทึก พระถังซัมจั๋งตกใจตื่นร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งลุกขึ้นจัดเข้าของแลผูกม้าไว้คอยท่า พระสงฆ์ในวัดก็จัดต้มน้ำร้อนน้ำชามานิมนต์ไปฉัน พระถังซัมจั๋งฉันแล้วก็จะลาออกเดิน

ฝ่ายพระสงฆ์ผู้เฒ่าเจ้าคณะก็กำชับสั่งเห้งเจีย เรื่องนั้นขอท่านได้ใส่ใจไว้ด้วยเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าจะรับธุระเองพูดจาสั่งเสียกันเสร็จแล้ว ก็ได้ยินเสียงพวกพ่อค้าเกรียวกราวเอะอะพากันออกเดิน พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ก็พร้อมด้วยด้วยพวกพ่อค้าออกเดิน เวลานั้นจวนจะรุ่งแจ้งก็เข้าทางใหญ่เดินไป พอเวลาน้องเพนก็เข้าถึงเมือง พิเคราะห์ดูป้อมกำแพงถนนหนทางเรียบร้อยดุจดังเทพดามานิฤมิต จึงเดินเข้าในประตูเมืองทางทิศตวันออก พ่อค้าทั้งหลายต่างก็แยกกันไปหาที่ค้าขายตามเคย

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์พากันเดินตรงเข้าเมือง เดินมาก็เห็นที่หอรับแขกเมือง จึงพากันเข้าไปที่หอรับแขกเมือง เจ้าพนักงานที่หอเห็นพระถังซัมจั๋งเดินเข้ามา ก็เข้าไปบอกแก่ขุนนางเจ้าพนักงานผู้รับแขกเมืองว่า บัดนี้มีแขกเมืองมาสี่คนรูปร่างแปลกปลาดมีม้ามาด้วยม้าหนึ่ง ขุนนางเจ้าพนักงานได้ฟังก็นึกว่ามีม้ามาคงจะเปนการรับสั่ง ก็รีบออกมารับเชิญเข้าไปข้างใน พระถังซัมจั๋งย่อตัวปราไสยว่า อาตมภาพเปนคนชาวเมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้ไปเมืองไซที ยังพระอารามใหญ่วัดลุ่ยอิมยี่ เพื่ออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม บัดนี้อาตมภาพมาถึงเมืองนี้ มีหนังสือเดินทางติดมาด้วย อยากจะใคร่เข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางต่อไป แลขออาไศรยพักสักคนหนึ่ง เมื่อเสร็จธุระแล้วจะขอลาไป ขุนนางเจ้าพนักงานรับแขกเมืองได้ฟังดังนั้นก็คำนับตอบว่า นิมนต์ผู้เปนเจ้าอาไศรยพักเถิด พระถังซัมจั๋งมีความยินดีจึงให้สานุศิษย์พากันเข้ามาคำนับ พวกขุนนางเห็นคนทั้งสามรูปร่างน่าเกลียดก็ให้นึกครั่นคร้ามในใจ ไม่รู้ว่าคนหรือปิศาจยักษ์ พระถังซัมจั๋งเข้านั่งบนเก้าอี้แล้ว ขุนนางก็ให้คนนำน้ำชามาถวาย พระถังซัมจั๋งรับประเคนแล้ว จึงพูดแก่ขุนนางรับแขกว่า ท่านอย่าได้มีความครั่นคร้ามเลย คนทั้งสามนั้นรูปร่างไม่ดีก็จริง แต่จิตร์ใจนั้นบริสุทธิ์ไสสอาดดี คำบูราญย่อมว่ารูปชั่วใจดีท่านอย่ามีความวิตก พวกขุนนางได้ฟังพระถังซัมจั๋งชี้แจงดังนั้นก็ค่อยคลายวิตก จึงถามว่าพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังนั้นอยู่ที่ไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าเมืองนั้นอยู่ในชมภูทวีปข้างทิศตวันออก ถามว่าท่านอาจาริย์มาจากเมืองเมื่อเวลาใด พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพเมื่อออกจากเมืองพระเจ้าเจงกวนไทยจงฮ่องเต้เสวยราชได้สิบสามปี คิดดูตั้งแต่มาจากเมืองจนบัดนี้ได้สิบสี่ปีแล้ว ทางที่เดินมานั้นข้ามเขาข้ามห้วยทระมาทระกำลำบากไม่คณนานับได้จึงได้มาถึงนี่ พวกขุนนางได้ฟังก็นึกครั่นคร้าม ยกมือขึ้นเคารพสรรเสริญว่า ท่านอาจาริย์เปนสงฆ์อย่างวิเศสประเสริฐแท้ พระถังซัมจั๋งถามว่า เมืองนี้ตั้งขึ้นแต่เมื่อครั้งใด พอขุนนางตอบว่าเมืองนี้คือโซจ็อกเปนเมืองใหญ่ ตั้งแต่แผ่นดินต้นวงษ์มาต่อ ๆ กันลงมาถึงบัดนี้ ได้ห้าร้อยกว่าปีแล้ว พระองค์ในประจุบันบัดนี้ โปรดเล่นต้นผลไม้หญ้าบอนต่าง ๆ ขนานนามเรียกว่าจี้จงฮ่องเต้ เสวยราชสมบัติมาได้ยี่สิบแปดปีแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่า วันนี้อาตมภาพอยากจะเข้าไปเฝ้า ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ไม่ทราบว่าจะได้เฝ้าหรือไม่ พวกขุนนางรับแขกพูดว่าดีแล้ว เจ้าของข้าพเจ้ามิพระราชบุตรีย์พระองค์หนึ่งมีพระชนมมายุได้ยี่สิบปีกำลังรุ่น วันนี้ออกมาที่ต้นถนนใหญ่อยู่บนหอสูงจะเสี่ยงทายคว่างลูกตะกร้อแพรหาคู่ เวลานี้กำลังเอิกกะเริกวุ่นวาย ข้าพเจ้าคะเนดูเห็นจะยังไม่เสด็จเข้าข้างใน แม้ท่านอาจาริย์จะใคร่เปลี่ยนหนังสือเดินทาง ถ้าเข้าไปเฝ้าเวลานี้เห็นจะดี พระถังซัมจั๋งก็คิคจะใคร่เข้าไปเฝ้าในเวลานั้น ก็พอเห็นเจ้าพนักงานยกเข้ามาเลี้ยง พระถังซัมจั๋งก็เข้าฉันแล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็กินอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ก็พอเวลาเที่ยงเห้งเจียจึงพูดว่า ข้าพเจ้าจะต้องเข้าไปกับพระอาจาริย์ พระถังซัมจั๋งจัดแจงจีวรแล้ว เห้งเจียก็สพายถุงย่ามพร้อมกับอาจาริย์เดินออกจากหอรับแขกเมืองไปยังต้นถนนใหญ่ แลเห็นผู้คนเดินออกแออัดเบียดกันมากมาย เสรษฐีพ่อค้าพลเรือนไพร่บ้านพลเมืองหนุ่มแก่เดินพูดกันว่าจะดูเสี่ยงทายทิ้งตะกร้อหาคู่ พระถังซัมจั๋งอยู่ข้างทางพูดกับเห้งเจียว่า คนชาวเมืองนี้แต่งตัวนุ่งห่มเสื้อผ้าทั้งเจรจาแลของใช้ก็ไม่แปลกแก่เมืองใต้ถัง อาตมาคิดถึงเมื่อโยมผู้หญิงของอาตมภาพ ก็คว่างตะกร้อเสี่ยงทายอย่างนี้เหมือนกัน เมืองนี้ก็ทำเหมือนกันกับเมืองใต้ถัง เห้งเจียพูดว่าเราพากันไปดูเขาจะทำกันอย่างไร พระถังซัมจั๋งว่าเราเปนผู้แปลกเพศมาเข้าไปดูคนทั้งหลายจะติเตียนได้ เห้งเจียว่าอาจาริย์ลืมเสียแล้วหรือ ท่านเจ้าคณะวัดโป๊กิมยี่สั่งไว้นั้น ข้อหนึ่งเราจะไปดูเครื่องประดับที่ตัวนั้น ข้อสองเราจะพิเคราะห์ดูพระราชบุตรีย์กงจู๊นั้นว่าจะเท็จหรือจริง พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงก็ยอมไป

จะกล่าวเหตุถึงพระเจ้าแผ่นดินโซจ็อก เพราะพระไทยบันเทิงปราโมชไปด้วยความเล่นดอกไม้ต่าง ๆ ครั้นเมื่อก่อนพาพระราชบุตรีย์กับสนมนางในไปชมดอกไม้ที่สวนเปนเวลาเดือนหงายสว่าง จึงได้ถูกปิศาจร้ายลักเอาพระราชบุตรีย์ไปทิ้งเสียแล้ว มันกลับมาแปลงตัวเปนพระราชบุตรีย์เข้ามาอยู่ในพระราชวัง ปิศาจมันสามารถล่วงรู้ได้ว่าปีนี้เดือนนี้วันนี้พระถังซัมจั๋งจะมาถึงเมืองนี้ จึงได้เสแส้งแกล้งเอาการเสี่ยงทายตะกร้อจะหาคู่ เพราะมันจะคิดจับเอาตัวพระถังซัมจั๋ง เพื่อประสงค์ส่วนสัมภะวะชองพระถังซัมจั๋งทำยากำลังให้สำเร็จภาค จึงบังเอินเวลานั้นบ่ายหนึ่งโมง พระถังซัมจั๋งเห้งเจียพากันแซกปนผู้คนเข้าไปใกล้หอพิจารณาดู

ฝ่ายนางปิศาจที่แปลงเปนพระราชธิดาอยู่บนกำแพงสูง กำลังตั้งพิธีจุดธูปเทียนบ่วงสวงเทพยดา สนมนางสาวใช้แวดล้อมเฝ้ารักษาอยู่สองข้างหกเจ็ดสิบคน มีนางสาวใช้ที่สนิดก็ถือตะกร้ออยู่ใกล้ ๆ ประตูน่าต่างล้วนบังด้วยกระจก นางปิศาจครั้นบ่วงสวงแล้ว ก็เหลือบแลดูทั้งสี่ด้านประตูหอ ก็พอแลเห็นพระถังซัมจั๋งมาถังเข้า นางปิศาจก็หยิบถูกตะกร้อมาจากนางสาวใช้ หมายตรงพระถังซัมจั๋งแล้วก็คว่างไป บังเอินถูกศีศะพระถังซัมจั๋ง ๆ ก็สดุ้งตกใจเอามือขึ้นรับลูกตะกร้อ ๆ ก็ไถลกลิ้งเข้าในมือเสื้อของพระถังซัมจั๋ง ฝ่ายพวกขันธีกับสาวใช้อยู่บนหอสูงแลเห็นดังนั้น ก็พากันร้องขึ้นพร้อมกันด้วยเสียงอันดังว่า ถูกพระสงฆ์เข้าแล้ว ๆ ร้องดังนั้นแล้ว ก็พากันเดินมาหาพระถังซัมจั๋งคุกเข่าลงพร้อมกันคำนับแล้วจึงพูดว่า ขอเชิญท่านเขยเข้าไปในพระราชวังหลวงจะได้ทำการอภิเศกชื่นชมยินดี ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อได้เห็นสาวใช้มาทำคำนับแลเชิญดังนั้น ก็ย่อตัวลงคำนับตอบแล้วพยุงขันธีเหล่านั้นให้ลุกขึ้น ให้คิดแค้นเห้งเจียเปนที่สุด จึงหันหน้ามาด่าเห้งเจียว่าอ้ายชาตลิง เจ้าหลอกให้เรามาทำเล่นดังนี้ดอกหรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจาริย์ทำไมจึงมาปรับโทษข้าพเจ้าเล่า ตะกร้อก็ถูกศีศะของอาจาริย์แลเข้าในมือเสื้อของท่าน จะเอาผิดชอบแก่ข้าพเจ้าอย่างไร พระถังซัมจั๋งจึงว่า ก็เมื่อเกิดเหตุการขึ้นดังนี้ แล้วเจ้าจะคิดอ่านประการใด เห้งเจียจึงตอบว่า ขอท่านอาจาริย์จงวางใจเสียเถิดอย่าได้มีความวิตกเลย พระอาจาริย์จงตามพวกขันธีเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะกลับไปบอกข่าวแก่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งให้ทราบความก่อน ถ้าหากอาจาริย์เข้าไปเฝ้านางกงจู๊ไม่เอาอาจาริย์เปนสามีก็ดีแล้ว เราจะได้ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางไป แม้ว่านางกงจู๊จะใคร่ได้อาจาริย์เปนสามี อาจาริย์ก็จงทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินว่า ได้โปรดให้สานุศิษย์เข้ามาหาจะได้สั่งเสียสักสองสามคำก่อน เมื่อข้าพเจ้าพี่น้องเข้าไปถึงแล้วจะได้พิเคราะห์ดูเท็จแลจริงสถานใด แล้วจะได้คิดอุบายอาไศรยเหตุการวิวาฬ่อลวงให้ตายใจจึงจะแยบคาย พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย เห้งเจียจึงคำนับลาพระอาจาริย์กลับไปยังที่หอรับแขก

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับพวกขันธี ก็พากันห้อมล้อมพาเอาตัวไปยังน่าหอ นางกงจู๊ก็ลงมาจากหอตรงเข้ายึดมือพระถังซัมจั๋งพาขึ้นนั่งบนรถ พวกขันธีแลสาวใช้ก็เรียงรายเปนกระบวนแห่กลับเข้าพระราชวังใน

ฝ่ายขุนนางกรมวังก็เข้าไปทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินว่า บัดนี้นางกงจู๊พระราชบุตรีย์ออกไปทำการเสี่ยงทายหาคู่ครอง เฉภาะถูกพระสงฆ์องค์หนึ่ง บัดนี้ยังคอยรับสั่งอยู่ที่พระทวาร

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินครั้นได้ทรงทราบดังนั้นพระไทยให้ขุ่นหมอง แต่ยังไม่ทรงทราบว่าพระราชบุตรีย์จะคิดประการใด จึงรับสั่งให้นำเข้ามาเฝ้า

ฝ่ายนางกงจู๊กับพระถังซัมจั๋ง ก็พากันเข้ามายังน่าพระที่นั่งกระทำคำนับ พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขึ้นมาข้างบนให้ใกล้พระองค์ ๆ จึงมีรับสั่งถามว่า ท่านพระสงฆ์องค์นี้ท่านมาจากประเทศใด จึงได้ประสบพบกับนางกงจู๊ดังนี้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสถามดังนั้น จึงย่อตัวถวายพระพรว่า อาตมภาพอยู่ประเทศทิศบูรพาณะเมืองใต้ถัง พระเจ้าแผ่นดินใต้ถังมีรับสั่งให้อาตมภาพไปยังไซที เพื่ออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม เพราะทางผ่านมายังเมืองของมหาบพิต อาตภาพจะขอเข้ามาเปลี่ยนหนังสือเดินทาง บังเอินนางกงจู๊เสี่ยงทายคว่างตะกร้อมาถูกอาตมภาพ ๆ ก็เปนผู้ต่างประเทศ รักษาพรตพรหมจรรเปนประสงฆ์ หาควรคู่เคียงแก่พระราชบุตรีย์ของพระองค์ไม่ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดซึ่งโทษผิดของอาตมภาพ ขอเปลี่ยนหนังสือทรงพระอนุญาตปล่อยให้อาตมภาพไปยังไซที เพื่ออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม กลับไปยังบ้านเมืองของอาตมภาพ ๆ จะทำการเคารพคุณของมหาบพิตหาที่เปรียบมิได้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านเปนพระสงฆ์มาจากประเทศไกลตั้งพันโยชน์ได้มาถึงนี่ก็เปนนิไสยอันใหญ่ยิ่ง บุตรีย์ของข้าพเจ้าอายุได้ยี่สิบปียังหามีสามีไม่ เพราะฉนั้นจึงได้หาฤกษ์งามยามดีออกไปยังหอ กระทำการบวงสรวงเทพยดาฟ้าแลดินเสี่ยงทายหาคู่ครองคว่างตะกร้อไปถูกตัวท่าน แต่ยังไม่ทราบว่านางจะคิดประการใดแน่

ฝ่ายนางกงจู๊ยืนอยู่ในที่นั้น ได้ฟังพระราชบิดาตรัสดังนั้นจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด แรกลูกก็ได้เสี่ยงทายตะกร้อแพรเปนสัญญา บัดนี้มาถูกพระสงฆ์ก็ต้องเปนไปตามการตามสัญญาที่เสี่ยงทาย ตามดีแลชั่วลูกไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็มีพระไทยยินดีโสมนัศสา จึงรับสั่งให้ขุนนางฝ่ายโหรหาวันดีเพื่อจะได้กระทำการอภิเศก แลรับสั่งฝ่ายในให้จัดเครื่องขันหมากแลออกหมายประกาศให้ทราบทั่วกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มิได้คำนับคุณ ทูลขอแต่ให้ปล่อยไปเท่านั้น พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งว่าพระสงฆ์ผู้นี้ชั่งไม่รู้จักอะไรเลย เราจะให้ราชสมบัติแก่ท่านแลให้ท่านเปนลูกเขย เหตุใดจึงได้ขัดขืนดังีนี้ แม้ขัดขืนต่อไปจะให้พวกเพ็ชฆาฎเอาตัวไปประหารชีวิตร์เสีย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกประหม่ามีใจสดุ้งหวาดหวั่นครั่นคร้ามจึงทูลว่า แล้วแต่พระองค์จะเห็นควรเถิด อาตมภาพไม่อาจขัดขืนแล้ว แต่ขอพระองค์ได้โปรดให้สานุศิษย์ทั้งสามเข้ามานี่ อาตมภาพจะได้สั่งเสียสักสองสามคำ แล้วขอเปลี่ยนหนังสือให้เธอทั้งสามรีบไปเสียจะได้ไม่เปนกังวลแลกระทำให้เสียเวลาได้ พระเจ้าแผ่นดินจึงถามว่า สานุศิษย์ของท่านทั้งสามคนนั้นบัดนี้อยู่ที่ไหน พระถังซัมจั๋งทูลว่าอยู่ที่หอรับแขกเมือง พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางออกไปนำเข้ามารับหนังสือเดินทางไปก่อน ให้ท่านเขยอยู่นี่จะได้จัดการอภิเศก พระถังซัมจั๋งต้องยืนเฝ้าอยู่ที่นั่น

• • • • • • • • •

จบเล่ม ๓ ไซอิ๋ว

เล่ม ๔ ยังพิมพ์ต่อไป

น่าต้น ไซอิ๋ว เล่ม ๔

ฝ่ายเห้งเจียเมื่อมาจากพระอาจาริย์ เดินพลางหัวเราะพลางมีกิริยาชื่ลบานเข้ามายังหอรับแขก ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นเห้งเจียกลับมาก็พากันออกมาต้อนรับ จึงถามว่าพี่เห้งเจียกลับมาทำไมไม่เห็นอาจาริย์มาด้วยเล่า พี่ชอบใจอะไรหรือจึงได้หัวเราะร่าเริงมาดังนี้ เห้งเจียตอบว่าอาจาริย์ท่านมีความสำราญของท่านแล้ว โป๊ยก่ายถามว่าท่านสำราญอย่างไร เห้งเจียว่าพี่กับอาจาริย์เดินเข้าไปในพระราชวัง พอถึงที่หอสูงบังเอินนางกงจู๊ออกมาอยู่บนหอนั้น ทิ้งตะกร้อแพรเสี่ยงทายหาคู่บังเอินถูกอาจาริย์เข้า พระอาจาริย์ก็ถูกพวกขันธีกับสาวใช้แห่เอาไปไว้ในพระราชวัง จะอภิเศกให้เปนราชบุตร์เขย อย่างนั้นจะไม่สำราญอย่างไรเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็กระทืบเท้าทุบอกพูดว่า น่าเสียดายจริง ๆ หากว่าเราไปด้วย นางกงจู๊คว่างตะกร้อมาทางนั้นถูกเรา นางก็จะเอาเราไว้เปนสามีจะมิงามหน้าหรือ แลจะมีความศุขสำราญไม่น้อย อย่างนี้จะหาที่ไหนได้ ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็ตรงเข้าหยิกเอาแก้มโป๊ยก่ายแล้วพูดว่า ชั่งไม่อายแก้ใจเลยพูดออกมาได้ฉนี้ มีน่าอวดอ้างพูดจาว่าอยากจะได้ผู้หญิงที่รูปงาม หาความพูดโยกโย้ให้เนิ่นช้าไม่เข้าการ โป๊ยก่ายจึงด่าซัวเจ๋งว่าอ้ายหน้าสีหมอกไม่รู้จักของดี เห้งเจียจึงด่าโป๊ยก่ายว่าอ้ายหมูมึงอย่าพูดมาก จงรีบเก็บเข้าของรวบรวมไว้ถ้าอาจาริย์จะเรียกให้เข้าไปในวัง จะได้ป้องกันรักษาอาจาริย์ โป๊ยก่ายว่าพี่พูดดังนั้นจะมิผิดไปหรือ พระอาจาริย์นั้นเธอได้เปนพระราชบุตร์เขยของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เปนที่ศุขสำราญมิใช่หรือ มิใช่ทางป่าทางเขามีภูตผีปิศาจยักษ์ร้ายอะไรที่ไหน จึงจะต้องพิทักษ์รักษาเธอทำไม กำลังโป๊ยก่ายพูดอยู่นั้น ขุนนางรับแขกน่าหอเข้ามาบอกว่า มีรับสั่งให้ขุนนางมาเชิญท่านทังสามเข้าไปในพระราชวัง โป๊ยก่ายจึงถามว่าท่านทราบหรือไม่ว่ามีรับสั่งให้พวกข้าพเจ้าเข้าไปทำไม ขุนนางรับแขกแจ้งความว่า บัดนี้นางกงจู๊ออกไปเสี่ยงทายหาคู่ บังเอินทิ้งตะกร้อไปถูกท่านอาจาริย์ เพราะนางจะใคร่ได้พระอาจาริย์เปนสามี เพราะฉนั้นเจ้าแผ่นดินจึงมีรับสั่งให้หาตัวท่านทั้งสามเข้าไปเฝ้า เห้งเจียบอกว่าให้เธอเข้ามาเถิด ขุนนางผู้ถือรับสั่งจึงเข้ามาข้างใน แลเห็นเห้งเจียก็ลดตัวลงคำนับไม่กล้าแลดูหน้าเห้งเจีย ก้มหน้าบ่นพึมพำว่านี่มิปิศาจยักษ์มารอะไรก็ไม่รู้ เห้งเจียร้องถามว่าท่านผู้นั้นมีกิจธุระประการใดทำไมจึงไม่พูดเล่า มานั่งบ่นพึมพำว่ากระไร ขุนนางผู้นั้นอกใจให้ตึกตักเต้นระรัว สองมือถือลายพระหัดถ์ปากพูดวุ่นวายเลอะเธอะว่า นางกงจู๊ขอเชิญท่านไปประชุม โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าไม่มีหลักคา แลไม่มีอำนาจอาญาจะเฆี่ยนตีท่าน ๆ ไม่ต้องกลัวจงค่อย ๆ พูดเถิด เห้งเจียพูดว่าเขาจะกลัวเฆี่ยนตีอะไร เขากลัวหน้าตาเจ้าดุร้ายต่างหาก เจ้าอย่าชักช้าจงรีบรวบรวมเข้าของจูงม้าเข้าไปหาอาจาริย์ จะได้คิดอ่านกันต่อไป เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ่งทั้งสามคนพร้อมกัน มากับขุนนางที่มาตามเข้าไปยังพระราชวังใน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ