- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๔๔
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม หมายตัดตรงทิศตวันตกฝ่าแดดฝ่าฝนเดินไป ครั้นเดินมาได้หลายเวลา กำลังฤดูเดือนสามเดือนสี่ ต้นไม้กำลังจะออกดอกออกฉ้อหอมระรื่นไปตามแนวทาง ก็พากันเดินชมเล่น ได้ยินเสียงโห่ร้องดังสนั่นคะเนสักพันคน พระถังซัมจั๋งสดุ้งตกใจประหม่า หันหน้ามาถามเห้งเจียว่าเสียงอะไรที่ไหนดังสท้านหวั่นไหวไปดังนั้น โป๊ยก่ายพูดว่า เสียงดุจภูเขาพังหรือแผ่นดินซุด ซัวเจ๋งพูดว่า ฟังดูดุจเสียงฟ้าฟาด พระถังซัมจั๋งว่าฟังดูคล้ายเสียงคนโห่ร้อง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายมีความสงไสยก็ยังไม่ถูก ข้าพเจ้าจะไปดูจึงจะรู้แน่ เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ แลไปทั่วทิศเห็นมีกำแพงเมืองตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นมีศรีสว่างวับ ๆ แวม ๆ ขึ้น แต่ไม่เห็นมีอากาศร้ายอะไร เห้งเจียก็นิ่งตรึกตรองแต่ในใจ พูดว่าที่นั้นก็ปรกติดีอยู่ ไม่เห็นมีเหตุร้ายอะไร ทำไมจึงมีเสียงสนั่นหวั่นไหวไปดังนั้น เมื่อกำลังพิจารณาดูนั้นที่นอกประตูเมือง มีกองดินแลกองทรายอยู่กองหนึ่ง ที่พื้นว่างเปล่านั้น เห็นพวกพระสงฆ์มากหลายรูป พากันลากเกวียน คือพระสงฆ์เหล่านั้น ออกแรงร้องเปนสัญญาว่า มหากำลังโพธิสัตว์เพราะฉนั้นเสียงหวาดหวิว จึงไปถึงพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียก็ลดลงเข้าไปใกล้ พิจารณาดูในเล่มเกวียนบันทุกล้วนแตกระเบื้องอิฐไม้ ที่ต้นเนินนั้นสูงตั้งชัน แลมีทางเล็กแยกตรงทางหนึ่ง มีประตูใหญ่ทางที่ประตูนั้นมีกำแพงสูง อันเกวียนนั้นจะเข็นขึ้นอย่างไรได้ ดูท้องฟ้าศุขุมดี แต่พิเคราะห์ดูพระสงฆ์เหล่านั้นค่อนอยู่ข้างจะคับแค้น เห้งเจียมีความสงไสย พิเคราะห์ดูเห็นจะสร้างวัด ชะรอยตำบลนี้เข้าปลาจะไม่บริบูรณ จะหาจ้างคนกุลีไม่ได้ พระสงฆ์จึงต้องทำเองดังนี้ แต่ยังสงไสยไม่แน่แก่ใจ แลไปก็เห็นในประตูเมืองเดินออกมา เปนเต้าหยินหนุ่มน้อยสองคน ฝ่ายพระสงฆ์เหล่านั้น เมื่อเห็นเต้าหยินเดินมาทุก ๆ คนมีศรีหน้าสดุ้งหวาดออกแรงทนทุกขเวทนาเข็นเกวียนไป
เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็นึกรู้ได้ว่าพระสงฆ์เหล่านั้นมีความกลัวเต้าหยิน เราเคยได้ยินชาวชนพูดกันว่า บางทีจะไปไซทีนั้นมีที่นับถือฤๅษีไม่นับถือพระสงฆ์ แน่แล้วเห็นจะเปนที่นี่เอง จำเราจะลงไปถามดูให้รู้ประจักษ์จริงแก่ใจ คิดแล้วก็ไหวกายแปลงเปนเต้าหยินปากก็ภาวนาคัมภีร์ฤๅษี เดินมาใกล้ประตูเมือง ยืนคอยรับเต้าหยินทั้งสองนั้น
ฝ่ายเต้าหยินตั้งสองเดินออกมา เห้งเจียก็ย่อตัวพูดว่า ท่านผู้มีอายุทั้งสอง ข้าพเจ้าเคารพ เต้าหยินตั้งสองก็เคารพตอบ แล้วถามเห้งเจียว่า ท่านซินแสจะไปข้างไหน เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าเที่ยวมาทุกทิศไม่เว้นว่าทางน้ำทางบก วันนี้มาถึงนี่จะหาบ้านที่มีศรัทธาจิตร ขอถามท่านทั้งสองว่า ในกำแพงเมืองนี้ ทางไหนจะดี ข้าพเจ้าจะได้บิณฑบาตกิน เต้าหยินทั้งสองได้ฟังดังนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านซินแสทำไมจึงพูดคำทดถอย คิดดูว่าท่านมาจากไกลจะไม่เข้าใจการในเมืองนี้ ในเมืองนี้อย่าว่าแต่ขุนนางจัตตุดมมนตรีใหญ่น้อย แล เสรษฐีมหาเสรษฐี ทั้งผู้ดีเข็นใจไพร่บ้านพลเมืองทั้งสิ้น ก็ย่อมนับถือในเพศฤๅษีทั้งสิ้น จนที่สุดพระเจ้าแผ่นดินก็ยังนับถือ เต้าหยินทั้งสองได้ชี้แจงว่า ในเมืองนี้นามเรียกว่า (เซียตี้ก๊ก) พระเจ้าแผ่นดินกับข้าพเจ้าเปนญาติกันสนิท เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ถ้ากระนั้นพระเจ้าแผ่นดินมิเปนเต้าหยินหรือ เต้าหยินทั้งสองตอบว่าไม่ใช่ เหตุว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ราษฎรมีความเดือดร้อนโดยแห้งแล้งฟ้าฝนไม่บริบูรณ ไม่ว่าขุนนางแลราษฎร ต่างก็ทำตัวสอาด ตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบ่วงสรวงขอฝน เวลานั้นราษฎรเข้าที่คับแค้น บนฟ้าให้เทวะดาใหญ่ลงมาสามองค์ ช่วยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากความเดือดร้อนคับแค้น
เห้งเจียถามว่านั้นคือฤๅษีอะไร เต้าหยินอธิบายว่า คืออาจาริย์ข้าพเจ้าทั้งสามนามเรียกว่า (เฮ้าลัดใต้เซียน) ที่สองนามว่า (ลกลัดใต้เซียน) ที่สามนามว่า (เอี๊ยวลัดใต้เซียน) เห้งเจียถามว่า ท่านอาจาริย์ทั้งสามนั้นมีฤทธาอานุภาพสักเพียงใด เต้าหยินบอกว่า เธอเรียกลมเรียกฝนได้ แต้มศิลาให้เปนทองดุจพลิกมือคว่ำหงาย เพราะฉนั้นพระเจ้าแผ่นดินแลขุนนางจึงได้นับถือ แลเขาทั้งหลายนับถือพวกข้าพเจ้าดุจญาติอันสนิท เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นฮ่องเต้นี่มีความดีสิบส่วน อันท่านอาจาริย์มีฝีมืออย่างนั้น ถึงจะผูกเปนญาติก็ไม่ต้องพึ่งผู้ใด ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีนิศไสยจะไปเคารพท่านได้หรือไม่ เต้าหยินหัวเราะแล้วพูดว่า การดังนั้นจะยากอะไร ข้าพเจ้าทั้งสองนี้เปนสานุศิษย์ดุจหัวใจของเธอ ถ้าจะพาท่านไปดุจแรงเป่าเถ้า เห้งเจียก็ยังทำนบ ๆ นอบ ๆ พูดว่าขอพึ่งท่านได้ยกย่องมาก ๆ
เต้าหยินบอกเห้งเจียว่าคอยสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าจะไปตรวจราชการเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป เห้งเจียถามว่าเราบวชเปนเพศฤๅษีแล้วจะมีราชการอะไรที่ไหน เต้าหยินเอามือชี้ที่กองดินแลซายที่สงฆ์ทั้งหลายนั้น คือตายเปนอยู่ในมือข้าพเจ้า วิตกด้วยสงฆ์ทั้งหลายจะเกียจคร้าน ข้าพเจ้าจึงต้องไปตรวจดูสักครั้งหนึ่งแล้วจึงจะมา เห้งเจียพูดว่าอันหมู่สงฆ์นั้น คือคนบวชเรียนทำไมจึงใช้ให้เธอทำการงานให้เราด้วยเล่า แลต้องอยู่ในบังคับเราดังนั้นจะสมควรหรือ เต้าหยินจึงพูดว่า ท่านยังไม่ทราบเหตุ คือเมื่อปีนี้ในเวลาตั้งพิธีฝน พวกพระสงฆ์อยู่ข้างหนึ่ง ฝ่ายฤๅษีอยู่ข้างหนึ่ง ข้างพระสงฆ์ก็สวดมนต์ไหว้พระขอฝน ข้างฤๅษีไหว้ดาวเดือนเชิญดาวขอฝน เวลานั้นก็ประชุมพร้อมราษฎรแลขุนนางทั้งหลาย
ฝ่ายพระสงฆ์สวดมนต์ก็ไม่เปนการ คือฝนไม่ตกไม่มีมา ฝ่ายฤๅษีอาจาริย์ข้าพเจ้าก็เรียกลมขอฝนได้ดังประสงค์ ไพร่บ้านพลเมืองก็ได้ความศุขในราชการตัดสินว่า พระสงฆ์ไม่ต้องการต่อไป ก็กำจัดเสียซึ่งหมู่สงฆ์ แลเรียกหนังสือคุ้มตัวคืนให้อยู่ในบังคับข้าพเจ้า เพราะฉนั้นจึงเข้ารวมกันให้ข้าพเจ้าใช้การต่าง ๆ เพราะห้องหอยังไม่แล้ว จึงบังคับให้พระสงฆ์ไปลากเกวียนกระเบื้องอิฐไปทำ ข้าพเจ้ากลัวว่าพระสงฆ์จะเกียจคร้าน จึงต้องไปทั้งสองคนคอยตรวจตราดู เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็มายึดเต้าหยินทั้งสองน้ำตาไหลลงพร่างพรายแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่มีนิศไสยก็ไม่มีนิศไสยจริง จะมิได้เห็นหน้าท่านอาจาริย์แล้ว เต้าหยินถามว่าอย่างไรจึงจะมิได้เห็นหน้าเล่า เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าอยู่เมืองบนมาเที่ยว ข้อหนึ่งเห็นแก่ชีวิตร ข้อสอง เห็นแก่ญาติจะใคร่มาเยี่ยมเยียนให้รู้ทุกข์ศุข เต้าหยินถามว่าญาติที่ไหน เห้งเจียว่าข้าพเจ้ามีอาคนหนึ่งไปอุปสมบทเปนพระสงฆ์หลายปีมาแล้วมิได้เห็นกลับบ้าน ข้าพเจ้าคิดถึงว่าเปนญาติจึงได้เที่ยวมาค้นหา นึกว่าต้องคับแค้นอยู่ที่นี่ ก็จะไม่ได้พ้นแล้วก็จะยังไม่รู้แน่ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร จึงจะได้ไปค้นหาได้ ได้พบปะสักครั้งหนึ่งแล้ว จึงจะพร้อมกับท่านเข้าไปในเมือง
เต้าหยินว่าถ้ากระนั้นเปนการง่าย ข้าพเจ้าทั้งสองจะนั่งคอยอยู่ที่นี่ ท่านซินแสช่วยแทนไปตรวจดู มีบาญชีคือคนนั้นห้าร้อยด้วยกันแม้ว่าไปตรวจนั้นมีอาญาติของท่านแล้ว ข้าพเจ้าจะปล่อยไป แล้วจึงพร้อมกันกับซินแสเข้าไปในเมืองจะมิดีหรือ เห้งเจียคำนับขอบคุณหาที่เปรียบมิได้ จึงออกจากเต้าหยินมายังที่กองดินนั้น เดินออกจากสองประตูมาที่ทางแยกนั้น พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นแล้วต่างก็คุกเข่าลงคำนับพูดง่า พวกข้าพเจ้าไม่มีเกียจคร้าน อยู่พร้อมกันทั้งห้าร้อยคนคอยเข็นเกวียน เห้งเจียโบกมือว่าอย่าคุกเข่าเลยอย่ากลัวข้าพเจ้า ๆ ไม่ใช่คนตรวจ ข้าพเจ้าจะมาหาญาติ หมู่สงฆ์ได้ยินว่าจะเยี่ยมญาติก็พากันล้อมรอบเห้งเจีย สงฆ์เหล่านั้นก็ออกหน้ามาทุก ๆ คน บ้างก็ทำกระแอมไอ ที่คนไหนไม่อยากให้เซาจำหน้าก็ถอยออกไป พูดว่าไม่รู้ว่าใครเปนญาติของเธอ เห้งเจียตรวจจำไปพักหนึ่งแล้ว ก็หัวเราะก๊าก ๆ พระ สงฆ์ทั้งหลายจึงถามว่า ท่านหัวเราะอะไรที่ไหน
เห้งเจียบอก ท่านทั้งหลายไม่ทราบว่าข้าพเจ้าหัวเราะอะไรหรือ ข้าพเจ้าหัวเราะว่าท่านทั้งหลายไม่มีความเจริญ ด้วยบิดามารดาของท่านเกิดท่านมา เพราะเหตุด้วยต้องเคราะค์ร้าย เว้นพ่อละแม่ทิ้งลูกทิ้งเมียละสมบัติมาบวชเปนสงฆ์ ทำไมจึงไม่อยู่ในไตรยสรณาคมไม่สวดมนต์ไหว้พระ เหตุไรจึงไปรับจ้างแก่พวกเต้าหยินดังนี้เล่า จะไม่เสียกิริยาสะมะณะไปหรือ หมู่สงฆ์พูดว่า ท่านเล่าเอี๊ยมาพูดความอับประยศ พวกข้าพเจ้านึกว่าท่านประเทศไกลมาไม่ทราบความคับแค้นของข้าพเจ้าทั้งหลายพูดแล้วก็ร้องไห้ แล้วพูดว่าที่ในเมืองข้าพเจ้านี้ เจ้าแผ่นดินกลับใจเข้าหาทางเต้าหยิน มีความยินดีไปด้วยพวกเล่าเอี๊ย ทำความคับแค้นแก่หมู่พระสงฆ์ เห้งเจียถามว่า คือเหตุอย่างไร พระสงฆ์ตอบว่า เพราะด้วยขอลมขอฝนมีพวกเต้าหยินอาจาริย์ทั้งสามมานี้ กำจัดพวกข้าพเจ้าทำหลอกหลอนด้วยอุบายต่าง ๆ เจ้าแผ่นดินก็หลงเชื่อ หักล้มทำลายวัดวาอาราม ขับไล่ไปให้พวกเต้าหยินบังคับใช้สรอยให้กระทำการอยาบช้าต่าง ๆ มีความลำบากเหลือที่จะพรรณา แม้ว่าท่านเปนเต้าหยินเดินหน จงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินรับรางวัลเถิด แม้ว่าสงฆ์มาทางไกลก็มิได้เลือกว่าใกล้ไกล คงจับส่งไปให้พวกเต้าหยินบังคับใช้การงานทั้งสิ้น
เห้งเจียจึงถามว่า อันอาจาริย์เต้าหยินนั้นจะมีวิชาคุณวุฒิอย่างไร จึงชักนำให้เจ้าแผ่นดินหลงเชื่อได้ แม้ว่าเธอมีความรู้เรียกลมเรียกฝนได้ คือคัมภีร์ไสยสาตรที่ไหนจะทำให้พระเจ้าแผ่นดินหลงได้ หมู่พระสงฆ์พูดว่า เธอแต้มศิลาให้เปนทองคำก็ได้ แลประกอบยาวิเศษก็ได้ แลบัดนี้จะสร้างทำเปนตำหนักหอสูงบูชาซัมเซง ขอฟ้าดินสวดมนต์ตามไสยเวท ขอให้เจ้าแผ่นดินอายุยืนยาว อาไศรยเหตุนี้ จึงกระทำให้พระเจ้าแผ่นดิน ทรงเห็นเปนชอบธรรมไปตามเหตุเดิมทีมีดังนั้น เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นท่านทั้งหลายจะพากันหลบหนีไปเสียจะไม่ดีหรือ หมู่พระสงฆ์ทั้งหลายตอบว่า หนีไม่รอดเพราะอาจาริย์เต้าหยิน ทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินให้วาดรูปพวกข้าพเจ้าไว้ทั้งสิ้น แล้วให้เที่ยวแขวนไว้ทุก ๆ ประตูเมือง ในอาณาเขตร (เซียตี้ก๊ก) นี้ มีรูปแขวนไว้ทั้งสิ้น ที่ตำบลใดแห่งใดก็มีรูปแขวนทุกตำบล แลมีลายพระราชหัถเซ็นว่า ถ้าผู้มียศจับพระสงฆ์ที่หลบหนีได้องค์หนึ่ง ก็จะมีรางวัลเลื่อนยศให้ ถ้าเปนพลเรือนมิใช่ขุนนาง ก็จะรางวัลให้เงินห้าสิบตำลึง เพราะเหตุนี้จึงหนีไปไม่พ้น จึงไม่รู้ที่จะทำประการใดได้ จำเปนต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ เห้งเจียจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นท่านทั้งหลายตายเสียดีกว่าที่จะอยู่ต่อไปอย่างนี้ หมู่พระสงฆ์พูดว่า ตายเสียก็มากแล้วพวกข้าพเจ้า แลสงฆ์ที่จับมาจากอื่นรวมกันถึงพ้นเศษ มาถูกความลำบากคับแค้น ตายไปหกร้อยกว่าแล้ว ยังเหลือพวกข้าพเจ้าห้าร้อยเศษไม่ตาย
เห้งเจียถามว่าเหตุใดจึงไม่ตาย หมู่พระสงฆ์พูดว่า ไปผูกฅอเชือกก็ไม่ขาด เอามีดเชือดเชือดก็ไม่เข้า กระโดดลงน้ำก็ลอยขึ้นมาไม่จม กินยาพิศม์ยาก็ไม่มีพิศม์ เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นก็เปนบุญของท่านทั้งหลายเทวะดาจะให้อายุยืนยาวอยู่ต่อไป หมู่พระสงฆ์พูดว่ายังขาดอีกอักษรหนึ่งคือให้ยืนยาวความทุกข์เท่านั้น พวกข้าพเจ้ากินเข้าวันละสามเวลา ก็ล้วนแต่ข้าวแดงแลปลายเข้า เวลาค่ำก็อาไศรยนอนที่กองศิลากองดินทรายนั้น จวนจะหลับก็มีเทวะดามาคอยรักษา เห้งเจียว่ามีความลำบากก็เคลิบเคลิ้มเห็นปิศาจผีว่าเปนเทพยดาอารักษ์ไปดอกกระมัง หมู่พระสงฆ์พูดว่ามิใช่ผีปิศาจ คือลักเตงลักกะเจ้าแลท้าวมหาชมภูแลเทพารักษ์เจ้าทั้งหลาย ถึงเวลากลางคืนก็มารักษา เธอเข้าฝันพวกข้าพเจ้าทุกคน แลได้ชักนำสั่งสอนให้พวกข้าพเจ้าว่า อย่าให้คิดฆ่าตัวตายเสียก่อนเลย จึงอุสาหะทนทุกข์คอยพระถังซัมจั๋งก่อน ด้วยพระถังซัมจั๋งจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม เธอคือจะเปนพระอรหันต์ มีสานุศิษย์ที่มีฤทธาอานุภาพเข้มแขง นามชื่อว่า (ซีเทียนใต้เซีย) น้ำจิตรเธอซื่อตรงมักจะแก้แค้นให้แก่คนที่มีทุกข์ร้อน คอยเมื่อเธอมาถึงแล้วจะได้แผ่อำนาจฤทธิ์เดช ล้างผลานอ้ายพวกเต้าหยินเสียให้สิ้นได้ ก็จะกลับนับถือทางชอบธรรมตามพระพุทธสาศนา พวกท่านก็จะได้ความศุข เห้งเจียได้ฟังพระสงฆ์พูดดังนั้น ก็นึกหัวเราะอยู่ในใจว่าพวกเรามีฝิมือ พวกเทพารักษ์แลเจ้า แอบเอาชื่อเรามาบอกก่อนแล้ว เห้งเจียก็ออกจากหมู่สงฆ์นั้นไป กลับมายังประตูเมืองเข้าหาเต้าหยินทั้งสองนั้น เต้าหยินทั้งสองถามว่า พบญาติของท่านหรือไม่
เห้งเจียบอกแก่เต้าหยินว่าพระสงฆ์ทั้งห้าร้อยรูปนั้น ล้วนแต่ญาติของข้าพเจ้าทั้งนั้น เต้าหยินทั้งสองได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ทำไมวงษ์ญาติของท่านจึงได้มากดังนั้น เห้งเจียตอบว่า ร้อยหนึ่งคือเพื่อนข้างขวา ร้อยหนึ่งคือเพื่อนข้างซ้าย ร้อยหนึ่งเกี่ยวข้างบิดา ร้อยหนึ่งเกี่ยวข้างมารดา ร้อยหนึ่งมิตรสหายของข้าพเจ้า แม้ว่าท่านทั้งสองเอาพระห้าร้อยนี้ปล่อยออก ข้าพเจ้าจะเข้าไปกับท่าน แม้ไม่ปล่อยข้าพเจ้าก็ไม่ไป
เต้าหยินพูดว่าท่านเห็นจะเปนโรคลมดอกกระมัง ประเดี๋ยวเดียวก็พูดเลอะเทอะไปเช่นนี้ อันพระสงฆ์เหล่านั้นเปนของพระเจ้าแผ่นดินทรงประทานให้เอง แม้ว่าจะปล่อยองค์หนึ่งหรือสององค์ก็ต้องให้พระอาจาริย์ลงเนื้อเห็นด้วยว่าควรปล่อย แลต้องทำรายงานกราบทูลก่อนจึงจะได้ ท่านจะมาบอกให้ปล่อยไปทั้งหมดอย่างนั้น จะเปนไปที่ไหนได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ตลอดได้เปนแน่
เห้งเจียถามว่าไม่ได้แน่ละหรือ เต้าหยินตอบว่าปล่อยอย่างใดทั้งหมด เห้งเจียถามดังนั้นสามครั้ง เต้าหยินก็ตอบยืนคำอยู่ว่าปล่อยอย่างไรได้ เห้งเจียชักกระบองออกจากหูยกขึ้นแกว่งไปทีหนึ่งหมายตรงศีศะเต้าหยิน ตีซ้ายตีขวาก็ล้มลงตายทั้งสองคน หมู่สงฆ์อยู่ที่กองดินทรายวงมาร้องว่าไม่ดีแล้ว ๆ ตีฆ่าญาติของพระเจ้าแผ่นดินตายแล้ว เห้งเจียถามว่าใครเปนญาติของพระเจ้าแผ่นดิน หมู่พระสงฆ์เหล่านั้นบอกว่าที่ตายนั่นซิ บอกแล้วก็เปลื้องเอาผ้าผ่อนออกคลุมศพไว้ แล้วพูดว่าท่านอาจาริย์ของเธอที่ตายนั้นเปนใหญ่ ไม่ไหว้เจ้าแลขุนนาง เจ้าแลขุนนางเรียกเธอว่า (ก๊กซือ) นี่ซินแสมาติศิษย์ของท่านตายดังนี้ อาจาริย์ของเธอก็จะคาดโทษว่าพวกข้าพเจ้าฆ่าศิษย์ของท่านตายจะทำอย่างไร คงจะต้องเข้าไปในเมืองกับท่านให้รู้เหตุดีร้ายนี้แล้วกลับออกมา
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าท่านทั้งหลายอย่าวิตก ข้าพเจ้าจะช่วยท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิใช่พวกเต้าหยินดอก คือเปนสานุศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋งจะมาช่วยท่านทั้งหลายให้พ้นซึ่งความคับแค้นทุกข์ยาก
พระสงฆ์ทั้งหลายพูดว่าไม่ใช่ ๆ ข้าพเจ้ารู้จักจำได้ ศิษย์พระถังซัมจั๋งไม่ใช่รูปอย่างนี้ เห้งเจียว่าท่านทั้งหลายยังไม่เคยพบปะทำไมจึงว่าจำได้ สงฆ์ทั้งหลายบอกว่าข้าพเจ้าเคยฝันเห็นเนือง ๆ แลทั้งมีผู้เฒ่าคนหนึ่งเธอชื่อ (ท้ายเป๊กกิมแช) บอกแก่พวกข้าพเจ้าว่าซึงเห้งเจียนั้นรูปร่างไม่เหมือนใคร
เห้งเจียถามว่าเฒ่านั้นบอกแก่ท่านว่ากะไร สงฆ์ทั้งหลายพูดว่าผู้เฒ่านั้นบอกว่า เห้งเจียนั้นในแก้วตาเปนสีทองคำ ศีศะกลมหน้ามีขนแก้มตอบฟันแหลมจิตรใจห้าวหาญ คล้าย ๆ รามสูรมือถืออาวุธกระบองวิเศษ มีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญไม่ยำเกรงผู้ใด น้ำใจซื่อตรงพอใจจะช่วยผู้ที่ได้ความคับแค้น เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็พูดเสียงดังว่า ท่านทั้งหลายจริงใจว่ามิใช่เห้งเจีย ข้าพเจ้าเปนบวิวารของเห้งเจียจะมาหาเหตุเล่น แล้วเห้งเจียเอามือชี้ไปว่าโน่นไม่ใช่เห้งเจียหรือพระสงฆ์ทั้งหลาย ก็พากันหันหน้าแลไปดูตามมือเห้งเจียที่ชี้ให้ดู เห้งเจียก็แปลงกายกลับเปนรูปเดิม พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นดังนั้น ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับ พูดว่าท่านใต้เอี๊ย พวกข้าพเจ้าในตาต่ำ มิได้ทราบว่าท่านมีฤทธาอานุภาพเปลี่ยนแปลงกว้างอย่างนี้ไม่ ขอท่านได้ช่วยแก้แค้นให้พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด แลขอท่านเข้าไปในเมืองกำจัดพวกมิจฉาทิฏฐิให้ราบคาบ เห้งเจียว่าท่านทั้งหลายจงตามข้าพเจ้าไป สงฆ์เหล่านั้นก็เดินตามเห้งเจียมายังกองดินทรายนั้น จับเกวียนลากออกประตู แล้วฟาดลงกับพื้นแตกหักไปสิ้น ทั้งอิฐปูนทรายไม้กระเบื้อง สิ่งของที่ปลูกสร้างเหล่านั้น ก็เก็บโยนลงจากที่เนินสูงนั้นทั้งสิ้น แล้วก็บอกแก่พระสงฆ์เหล่านั้น ให้แยกย้ายกันไปเถิด พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปหาพระเจ้าแผ่นดิน จะกำจัดพวกเต้าหยินนี้ให้ราบคาบ พระสงฆ์ทั้งหลายบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่กล้าจะไปไกลกลัวขุนนางจะจับได้ ก็จะส่งคืนเข้ามาอีก ก็จะเกิดไภยมากขึ้นกว่าเก่า
เห้งเจียพูดว่าถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะให้ของคุ้มตัวทุก ๆ คน เห้งเจียจึงถอนขนในตัวออกกำมือหนึ่ง แล้วส่งให้พระสงฆ์ทั้งหลายคนละขนเหน็บไว้ในเล็บนิ้วนางข้างขวาแลให้กำมือไว้ แม้ไปปะเขาจะมาจับตัว ก็ปล่อยมือออกร้องเรียกว่า ซีเทียนใต้เซียคำหนึ่ง ข้าพเจ้าจะไปช่วยท่านทั้งหลาย แม้ว่าทางจะไกลสักกี่ร้อยโยชน์ก็คุ้มได้ทั้งสิ้น ในหมู่พระสงฆ์นั้น ยังมีพระสงฆ์องค์หนึ่งใจกล้า กำมือแล้วร้องเรียกซีเทียนใต้เซีย ในทันทีนั้นมีรามสูรมาต่อหน้า รูปร่างดุร้ายมือถือกระบองเหล็กกระทำสีหะนาจน่ากลัว ถึงจะมีทหารสักหมื่นก็ไม่อาจสามารถจะทำอันตรายได้ พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นดังนั้น ก็พากันทดลองร้องเรียกทุก ๆ คน ก็ให้เห็นแลได้เปนจริงปรากฎทุกคน จึงพากันคำนับเห้งเจียแล้วพูดว่า ท่านมีอะภินิหารเดชาอานุภาพใหญ่หลวงเห็นปรากฎจริง ๆ ประจักษ์แก่ตาข้าพเจ้าทั้งหลาย เห้งเจียบอกว่าแม้เรียกดังนั้นแล้ว ต้องภาวนาเรียกกลับคืน แล้วก็บอกคาถาว่า (ติ) ตัวเดียว ก็เรียกเปนขนคืนกลับมาเข้าเล็บไปตามเดิม พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ต่างก็จำทรงไว้ทุก ๆ องค์ เห้งเจียสั่งพระสงฆ์ทั้งหลายว่า แม้ท่านจะไปก็อย่าไปให้ไกลนัก จงคอยฟังข่าวในเมือง เพื่อจะมีประกาศให้หาพระสงฆ์ ถ้าดังนั้นท่านทั้งหลายจงเอาขนมาคืนให้ข้าพเจ้า หมู่พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้นก็พากันแยกย้ายไปในที่ต่าง ๆ
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งรอคอยเห้งเจียไม่เห็นมา จึงเรียกโป๊ยก่ายให้จูงม้าเดินไปทางทิศตวันตก จวนจะถึงกำแพงเมืองก็พบหมู่พระสงฆ์เดินสวนทางมาสิบรูปกว่า แลไปเห็นเห้งเจียอยู่ริมกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งก็ขับม้าเดินเข้าไปใกล้ เห้งเจียเห็นก็รีบมาคำนับอาจาริย์ พระถังซัมจั๋งถามว่าทำอะไรอยู่จึงไม่เห็นกลับไป เห้งเจียจึงเล่าเรื่องของพระสงฆ์เหล่านั้นให้อาจาริย์ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจแล้วจึงถามว่า อันการเกิดขึ้นดังนี้จะทำประการใดดี
พระสงฆ์เหล่านั้นคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ท่านอาจาริย์อย่าวิตกมีท่านใต้เอี๊ยรักษาแล้วสารพัดการก็จะไม่เปนอะไรหมด ที่ในกำแพงเมืองมีวัดใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดินก่อนมีศรัทธาได้สร้างไว้ เพราะในวัดนั้นมีพระพุทธรูปอยู่จึงมิได้ทำลาย นามวัดนั้นเรียกว่า (ตี้เอียนยี่) ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้บวชอยู่ในวัดนั้น ขอเชิญท่านอาจาริย์ไปพักที่ในวัดนั้นก่อน รอพอรุ่งพรุ่งนี้ท่านเห้งเจียเข้าไปในเมือง จัดแจงก็จะสำเร็จทุกประการได้
เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นเห็นจะดี พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงลงจากหลังม้าพากันเข้าไปในเมืองมายังวัดตี้เอียนยี่ พระถังซัมจั๋งมาถึงวัดแล้ว แลขึ้นไปบนประตูใหญ่มีกระดานป้ายใหญ่ จารึกอักษรว่าวัดตี้เอียนยี่ พวกพระสงฆ์เหล่านั้นก็ผลักประตูเข้าไป พระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปยังโบถครองผ้าแล้วก็เดินเข้าไปนมัศการพระพุทธรูป แล้วก็เดินเข้าไปยังกุฎีใหญ่ ในกุฎีนั้นมีพระสงฆ์ผู้เฒ่าอยู่องค์หนึ่งเดินออกมารับแลเห็นเห้งเจียก็คำนับพูดว่าท่านเล่าเอี๊ยมาแล้ว เห้งเจียถามว่าท่านรู้จักข้าพเจ้าว่าเปนผู้ใด
พระสงฆ์เฒ่าผู้นั้นตอบว่าข้าพเจ้าจำได้ท่านคือซีเทียนใต้เซีย ซึงเห้งเจีย พวกข้าพเจ้าฝันเห็นรูปท่านอยู่เนือง ๆ แลทั้งท่านท้ายเป๊กกิมแชเคยมาให้ฝันอยู่เสมอ ๆ ว่า ถ้าท่านมาถึงแล้วก็จะได้รอดชีวิตร วันนี้จึงได้เห็นท่านมา เห้งเจียพูดว่าท่านรอพรุ่งนี้จึงจะได้รู้การตลอด พระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง แล้วก็จัดที่ให้พระถังซัมจั๋งพักต่างก็พากันไปหลับนอน ในเวลานั้นสองยามเศษ
ฝ่ายเห้งเจียมีธุระในใจนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ จึงผุดลุกขึ้นเดินออกมาจากห้อง เหาะขึ้นบนอากาศพิเคราะห์ดู เห็นข้างทิศตวันออกเฉียงใต้ไฟตะเกียงออกสว่างไสว เห้งเจียก็ลงไปใกล้ ๆ พิเคราะห์ดูโดยละเอียด เห็นมีที่บูชาพรหมซัมเซง แลเต้าหยินอาจาริย์ทั้งสามกำลังทำพิธีเชิญดาว ข้างน่าประตูมีหนังสือเหรียญคำพรแขวนไว้สองข้างประตูคู่หนึ่ง คำพรนั้นว่าขอลมฝนให้ตกต้องตามฦดูขอฟ้าอะภินิหารธรรมได้ประเสริฐมหาสมุทให้ระงับสุกไส เจ้าแผ่นดินอายุเจริญนาน ฝ่ายอาจาริย์เต้าหยินทั้งสาม แต่งตัวยืนอยู่ท่ามกลางพวกสานุศิษย์เต้าหยินล้อมรอบทั้งเล็กใหญ่ ประมาณสักเจ็ดแปดร้อยคน บางคนตีกลองบางคนตีระฆัง ต่างมีธุระในการพิธีนั้นทุกคนๆ เห้งเจียจึงคิดว่า เราจะลงไปทำให้ป่นเกรงว่าเรามาคนเดียวจะลำบาก จำจะกลับไปชวนโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งมาเปนเพื่อนด้วย จึงจะทำการได้ถนัดดี คิดเห็นดังนั้นแล้วก็เหาะกลับมายังที่อาไศรยเดินเข้าไปในกุฎี เรียกซัวเจ๋ง ๆ ตกใจผุดลุกขึ้นถามว่าพี่ป่านนี้ยังไม่นอนอิกหรือ
เห้งเจียบอกว่าเจ้าจงลุกขึ้นไปกับพี่ไปหาของที่ต้องการ ซัวเจ๋งถามว่า ครึ่งค่อนคืนป่านนี้แล้ว จะไปหาของต้องการอะไรที่ไหน เห้งเจียพูดว่าในกำแพงเมืองมีหอใหญ่ตั้งที่บูชาพรหมซัมเซง เวลานี้พวกอาจาริย์เต้าหยินกำลังตั้งพิธีเชิญดาว มีเครื่องสารพัดขนมนมเนยโอชารศต่าง ๆ ทั้งผลไม้ก็มีเปนอันมาก น้องไปกับพี่กินให้อิ่มแล้วจึงกลับมา โป๊ยก่ายกำลังนอนได้ยินพูดถึงเรื่องกินอะไรที่ไหน อดไม่ได้ก็ผุดลุกขึ้นถามว่า พี่ไม่เอาข้าพเจ้าไปด้วยดอกหรือ เห้งเจียห้ามว่าอย่าพูดอึกกะทึกไปอาจาริย์จะรู้เรื่องเข้า เจ้าจงมาตามเราไปเถิด โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งสวมเสื้อแต่งตัวเสร็จแล้วก็ค่อย ๆ ออกจากประตูเหาะตามเห้งเจียไป
ฝ่ายโป๊ยก่ายเหาะมาใกล้ เห็นแสงไฟสว่างไสวจะใคร่ลงมือ เห้งเจียยึดไว้ห้ามว่าอย่าเพ่อก่อน รอพวกเต้าหยินไปแล้วเราจึงลงไป ในทันใดนั้น เห้งเจียร่ายพระคาถาเอาธาตุลมเป่าไปบันดานเปนลมพยุห์ใหญ่พัดโกรกเข้าไปในที่บูชานั้น สาระพัดเครื่องบูชาทั้งหลายก็หักล้มลงทั้งสิ้น ประทีบโคมไฟก็ดับมืดไปทั้งหมด พวกเต้าหยินพากันตกใจไปทุกคน เฮ้าลัดใต้เซียนอาจาริย์ใหญ่พูดว่า สานุศิษย์ทั้งหลายจงไปก่อนเถิด อันม้วนลมพยุห์ดังนี้พัดมาดับตะเกียงไฟไปดังนั้น ควรจะกลับไปหลับนอน พรุ่งนี้จึงค่อยมาพร้อมกัน สวดมนต์สองสามจบเพิ่มเติม พวกสานุศิษย์เต้าหยินเหล่านั้นก็พากันกลับไปทั้งสิ้น
เห้งเจียเห็นพวกเต้าหยินกลับไปแล้ว ก็พาโป๊ยก่ายซัวเจ๋งลงไปยังโรงพิธีนั้น โป๊ยก่ายพอมาถึงเห็นขนมลูกไม้ตั้งอยู่บนโต๊ะไม่เลือกว่าสุกหรือดิบคว้าได้ก็อ้าปากรีบกิน เห้งเจียจึงว่าเจ้าทำกิริยาอาการอย่างนี้เหมือนแก่ทารก จะนั่งลงให้เรียบร้อยจึงค่อยกินจะไม่ได้หรือโป๊ยก่ายว่าไม่ต้องอายใคร ขะโมยกินให้หมดแล้วจึงค่อยนั่ง ซัวเจ๋งว่าบางทีเขาเชิญมาจะทำอย่างไร เห้งเจียถามว่าฉากที่แขวนอยู่นั้นคือรูปโพธิสัตว์อะไร โป๊ยก่ายบอกว่ารูปซัมเซงจะไม่รู้ทีเดียวหรือ เห้งเจียถามว่าซัมเซงอะไร โป๊ยก่ายบอกว่าที่รูปอยู่กลางนั้นคือพรหมง่วนซุ้ยทีกุน ข้างซ้ายนั้นคือเล่งโป๊เต้ากุน ข้างขวานั้นคือท้ายเสียงเล่ากุน เห้งเจียว่าเราทั้งสามจงแปลงเปนซัมเซงทั้งสาม นั่งกินให้สบายใจ โป๊ยก่ายได้กลิ่นหอมโดนจะหมูกก็นึกอยากกิน จึงกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะสองมือกระชากฉากซัมเซงลงมา แล้วพูดว่าท่านทั้งสามนั่งนานแล้ว ขอให้ข้าพเจ้านั่งบ้าง โป๊ยก่ายก็แปลงกายเปนท้ายเสียงเล่ากุน เห้งเจียก็แปลงเปนง่วนซุ้ยทีกุน ซัวเจ๋งก็แปลงเปนเล่งโป๊เต้ากุน
เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายเอารูปฉากทิ้งเกะกะดังนี้ บางทีพวกเต้าหยินมาเห็นเข้า ความจะไม่แตกออกหรือ จงเอาไปส้อนเสียให้พ้น โป๊ยก่ายว่าในที่นี้ก็ไม่มีที่จะส้อนที่ไหน เห้งเจียว่าที่ข้างนี้เห็นจะมีสระอยู่เอาไปทิ้งเสียก็แล้วกัน โป๊ยก่ายจึงกระโดดลงฉวยเอารูปฉากนั้นไปทิ้งในสระน้ำแล้วก็กลับมา ทั้งสามคนก็ขึ้นนั่งกินตามสบายใจ เห้งเจียกินผลไม้ได้สามสี่ผล โป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสองกินดุจลมหอบเมฆพักเดียวก็หมดเกลี้ยง
ฝ่ายพวกเต้าหยินน้อย ๆ พึ่งจะล้มตัวลงนอนก็ตรึกตรองคิดขึ้นได้ว่า ลืมทิ้งระฆังไว้ในที่นั้น จึงผุดลุกขึ้นเดินไปในที่พิธีจะใคร่ไปหาระฆัง ก็เที่ยวคลำหา ครั้นได้ระฆังแล้วเดินจะกลับมาได้ยินเสียงหายใจ เต้าหยินตกใจรีบก้าวเดินออกมา ไปเหยียบถูกเมล็ดเงาะเข้าก็พลาดล้มลงระฆังก็แตกออกไป โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ จึงหัวเราะด้วยเสียงอันดัง เต้าหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ่งมีความตกใจตาลีตาลานรีบลงมาจากหอใหญ่ ตบประตูร้องเรียกว่าท่านตาท่านตาไม่เปนการแล้ว
ฝ่ายอาจาริย์เต้าหยินทั้งสามยังไม่หลับ จึงเปิดประตูออกมาถามว่ามีเหตุการอย่างไรหรือ เต้าหยินน้อยตัวสั่นอุทัจพูดไม่ใคร่จะออกจึงบอกว่าข้าพเจ้าขึ้นไปหาระฆังที่ในโรงพิธี ได้ยินเสียงคนหัวเราะจนข้าพเจ้าตกใจกลัวโดยไม่รู้ว่าใครมาอยู่มืด ๆ อย่างนั้น อาจาริย์เต้าหยินทั้งสามได้ฟังดังนั้น จึงให้เอาตะเกียงไฟมา จะออกไปดูว่าจะมีเหตุการร้ายดีประการใด จึงเรียกสานุศิษย์ให้ตื่นขึ้นพร้อมกันทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ จุดไฟขึ้นพร้อมกันเดินขึ้นไปยังที่พิธี เพื่อจะดูให้รู้แน่แก่ใจ