- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๗๓
ครั้นออกจากถ้ำนั้นแล้วก็ขึ้นทางใหญ่ เดินมาสักครู่หนึ่งแลไปก็เห็นข้างริมทางมีห้องหอตึกรามเปนลำดับเรียงรายเปนทิวแถว พระถังซัมจั๋งจึงยอม้าถามว่าที่ตรงนั้นเปนแห่งใดจงดูทีหรือ เห้งเจียหันหน้าไปดูเห็นรอยที่มีน้ำลำห้วยไหลน้ำใสมีแสงฟุ้งขึ้นดุจสีเพ็ชร์แลเงิน ต้นไม้ดอกไม้หอมระรื่นดูสง่างาม แลร่มรื่นน่าสำราญ ดูดังวิมานสวรรค์ เห้งเจียบอกแก่อาจาริย์ว่าที่ตรงนั้นดูเหมือนกับมีพระอารามเดินไปถึงจึงจะรู้แน่ได้ อาจาริย์กับสิศย์ก็พากันเดินมายังน่าประตูพิเคราะห์ดู ที่บนประตูมีแผ่นศิลาจารึกอักษรไว้สามตัวว่า (อึ้งฮวยก๊วน) โป๊ยก่ายพูดว่าอึ้งฮวยก๊วนนี้ คือสำนักของอิสี เราเข้าไปหาสนทนาเล่น ฝ่ายอิสีนั้นนุ่งห่มผิดแก่ทางพระ แต่ความปฏิบัติก็คล้าย ๆ กัน ซัวเจ๋งพูดว่าพี่โป๊ยก่ายคิดดังนั้นเห็นจะดี เราเข้าไปชมดู ถ้าสมคะเนเราจะได้หาเข้าให้อาจาริย์ฉัน พระถังซัมจั๋งก็เห็นชอบด้วย จึงพากันเดินเข้าไปถึงประตูชั้นสอง เห้งเจียพูดว่าฤๅษีนี้คงประกอบยาแลเล่นอัคคีเปนทางกะสิน อาจาริย์กับสิศย์พากันเดินเรื่อยเข้าประตูชั้นสอง แลไปเห็นสำนักใหญ่ข้างระเบียงทิศตวันออก มีเตาสือคนหนึ่งนั่งปั้นยาอยู่ พระถังซัมจั๋งร้องเรียกว่าท่านใต้เซียนอาตมมาคำนับ เต้าสือคนนั้นตกใจหันหน้ามาดู ก็ทิ้งยาลุกไปหยิบเสื้อแล้ว ลงบันไดมารับเชิญว่า เชิญท่านเข้ามานั่งข้างใน เต้าสือก็เปิดประตูพาพระถังซัมจั๋งเข้าข้างใน พระถังซัมจั๋งก็ตามเต้าสือนั้นเข้ามา แลขึ้นไปบนที่บูชาเห็นมีรูปพรหมซัมเชงบูชาอยู่ พระถังซัมจั๋งเข้าไปจุดธูปบูชาแล้ว จึงนั่งลงที่เก้าอี้ปราไสยสนทนาแก่เต้าสือ เต้าสือจึงให้คนไปจัดหาน้ำชามา เด็กคนใช้ก็ไปจัดหาน้ำร้อนน้ำชา บังเอินมาพบพวกพยาบาทกันเข้า
อันเหตุเดิมที่ถ้ำปั๊วซือต๋องนี้ นางทั้งเจ็ดเปนอาจาริย์เดียวกับเต้าสือคนนี้ ตั้งแต่เรียกลูกมันออกสู้รบแก่เห้งเจียแล้ว ก็พากันหนีมาแอบอยู่ในสำนักนี้ นั่งเย็บปักอยู่ข้างใน เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนเข้ามาจัดหาน้ำร้อนน้ำชา ก็ถามว่าเจ้าหนูแขกที่ไหนมาหรือจึงได้รีบร้อนดังนี้ เด็กนั้นบอกว่ามีพระสงฆ์สี่คนมาหาพระอาจาริย์ จึงให้พวกข้าพเจ้ามาหาน้ำชาไปเลี้ยง นางปิศาจจึงถามว่ามีพระสงฆ์หน้าขาว ๆ หรือเด็กบอกว่ามี ถามว่ามีอ้ายปากยาวหูใหญ่ด้วยหรือ เด็กบอกว่ามี นางทั้งเจ็ดจึงสั่งเด็กว่าเจ้าเอาร้อนน้ำชาไปให้แล้วจงขยิบตาให้อาจาริย์เข้ามานี่ เรามีธุระร้อนจะพูดให้ฟัง เด็กนั้นรับคำแล้วยกน้ำชาออกไปเลี้ยงแขกจึงขยิบตาให้อาจาริย์รู้สึก เต้าสือรู้ทีก็ลุกขึ้นพูดปราไสยแก่พระถังซัมจั๋ง ว่านิมนต์ท่านนั่งฉันให้สบาย ข้าพเจ้ามีธุระจะไปสักประเดี๋ยวจะกลับมา พูดแล้วเต้าสือก็เดินเข้าไปข้างใน เห็นนางทั้งเจ็ดคุกเข่าลงกับพื้นกราบไหว้แล้วพูดว่าท่านพี่ได้ทราบ
เต้าสือก็พยุงนางให้ลุกขึ้นแล้วถามว่า เจ้ามีธุระเหตุการอะไรหรือ เมื่อแรกมาทำไมจึงไม่บอก มาวันนี้ประกอบยาต้องห้ามมิให้เห็นสตรี พี่ไม่ทันบอกให้เจ้ารู้ แลเดี๋ยวนี้ก็มีแขกมาอยู่ข้างนอกเจ้ามีธุระอะไรแล้วจึงค่อยพูด
นางปิศาจเหล่านั้นพูดว่า ท่านพี่ได้ทราบเพราะเหตุที่แขกนี้มาจึงมีเรื่อง หากคอยแขกนั้นไปแล้ว จะบอกให้ท่านพี่ฟังก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่แขกมานั้นคือพระสงฆ์เมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาพระไตรยปิฎก เมื่อเช้ามาที่ถ้ำข้าพเจ้าบิณฑบาตอาหาร ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ฟังเขาเล่าลือกันว่า พระถังซัมจั๋งองค์นี้ ได้บวชปะฏิบัติความบริสุทธิ์มาสิบชาติแล้ว สำเร็จภากบริบูรณ์ หากผู้ใดได้กินเนื้อเธอก้อนหนึ่งอายุจะยืนนาน เพราะฉนั้นข้าพเจ้าช่วยกันจับไว้แล้ว ถูกอ้ายปากยาวหูใหญ่มันกั้นพวกข้าพเจ้าอยู่ที่สระ ต็อกโก๊จั๊ว มันลักเอาผ้าเสื้อไปเสีย แล้วมันก็โดดลงในสระอาบน้ำปนกับข้าพเจ้า แลมันแปลงเปนปลาช่อนเที่ยวว่ายเวียนลอดแข้งลอดขา จะใคร่ทำการข่มขี่ข้าพเจ้าเห็นข้าพเจ้าไม่ยอม มันจึงเอาคราดเหล็กไล่ตีไล่สับพวกข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่รู้ทันก็จะถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงไม่คิดแก่ความอาย จึงวิ่งหนีขึ้นจากน้ำได้รอดชีวิตร์ จึงให้หลานท่านพี่ออกไปสู้รบแก่มัน ยังไม่รู้ว่าตายเปนประการใด ข้าพเจ้าหนีหาหาท่านพี่ทางนี้ก็ยังหาทราบไม่ ขอท่านพี่ได้เห็นแก่พวกข้าพเจ้าที่ได้ร่วมอาจาริย์กัน ขอให้ช่วยแก้แค้นให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
เต้าสือได้ฟังนางทั้งเจ็ดเล่าให้ฟังดังนั้น ก็มีความโกรธสีหน้าผิดปรกติ พูดว่าพวกพระสงฆ์เหล่านี้ มีความหมิ่นประมาทไม่มีธรรมเนียม น้องทั้งหลายอย่ามีความวิตกจงวางใจเถิด ไว้ธุระพี่จะคิดอุบายแก้แค้นแทนให้ นางเหล่านั้นก็ทำความเคารพขอบคุนพูดว่าหากพี่ลงมือแล้วพวกข้าพเจ้าจะระดมเข้าช่วย เต้าสือบอกว่าไม่ต้องตี ๆ ก็สู้ไม่ได้ เจ้าทั้งหลายตามพี่ไปดู นางเหล่านั้นก็ลุกขึ้นเดินตามไป เต้าสือก็เข้าห้องในเอาบันไดพาดขื่อ แล้วปีนขึ้นไปหยิบเอาหีบยาเล็กลงมา ไขกุญแจหีบเอาห่อยาออก ยานี้คือประกอบทำด้วยมูลนกต่าง ๆ กวาดเก็บเอารวมน้ำหนักพันชั่ง ใส่หม้อทองแดงต้มเขี้ยวจนคงเหลือเท่าขันล้างหน้า แล้วประสมเขี้ยวไปอกจนเหลือเท่าผลตะขบใหญ่ก็เปนยาพิศม์อันวิเศษ หากเอาลิ้นลิ้มรศก็ทันถึงที่ตาย เต้าสือจึงหยิบมาให้นางทั้งเจ็ดดู พูดว่ายานี้ประสิทธิ์คุณนัก หากให้มนุษย์ธรรมดากินสกหลีหนึ่งก็จะสิ้นชีวิตร์ทันที หากพวกฤๅษีเซียนกินสองหลีก็สิ้นชีวิตร์ หากพวกสงฆ์เหล่านี้เธอบวชเรียนสำเร็จภาคอันเชึ่ยวขาญสักสามหลีก็ตาย จงไปหยิบตาเต็งมาที่ นางคนหนึ่งจึงลุกไปหยิบตาเต็งมาให้เต้าสือ ๆ เอายาปันเปนสี่ส่วน ๆ ละสามหลีเอาถ้วยชาใส่สามถ้วย ถ้วยหนึ่งเอาพุดซาดำใส่สองถ้วยไม่ใส่ยาใส่ถ้วยไว้ถ้วยหนึ่ง ครั้นปันเสร็จแล้วก็เอาใส่ถาดไว้ห้าถ้วย จึงสั่งนางทั้งเจ็ดนั้นว่า หากพี่ออกไปถามดูไม่ใช่พระถังซัมจั๋งก็ชั่งเถิด หากแน่ว่าพระถังซัมจั๋งมาจากเมืองใต้ถังแล้ว พี่เรียกให้เอาน้ำชามาน้องจงให้เด็กยกออกไป ให้เธอกินแล้วก็ตายทุกคน นั้นแลพี่จะแก้แค้นให้ นางทั้งเจ็ดได้ฟังเต้าสือชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดีเปนที่สุด
เต้าสือครั้นสั่งเสร็จแล้ว ก็ผลัดเสื้อออกมายกมือทำคำนับพระถังซัมจั๋งพูดว่า ข้าพเจ้าเข้าไปข้างในสั่งให้พวกเด็ก ๆ จัดหาเครื่องแจมาถวายสักเวลาหนึ่ง พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมภาพมาหาโดยความนับถือ มิได้ตั้งใจจะมารบกวน ให้ท่านได้ความลำบากดังนี้ เต้าสือหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจาริย์กับข้าพเจ้าก็เปนคนบวชเรียนเหมือนกัน เห็นสำนักกุฎีแล้วก็คงมีความอิ่มเอิบ จะเกรงใจถ่อมตัวทำไมมี ข้าพเจ้าขอถามท่านอาจาริย์อยู่สำนักวัดไหนมาด้วยกิจธุระอันใด จึงได้มาจนถึงที่นี่
พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพนี้เปนคนชาวเมืองใต้ถัง เพราะมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปยังไซทีเพื่ออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม จึงได้ข้ามมาถึงสำนักแห่งท่าน จะใคร่เข้ามานะมัศการ เต้าสือได้ฟังดังนั้น สีหน้าก็ชื่นบานพูดว่า ท่านอาจาริย์มีความซื่อตรงกะตัญญูมีบุญอะภินิหารอันใหญ่ ข้าพเจ้ามิได้รับรองให้เต็มเคารพ ขอท่านได้อนุญาตให้โอกาศแก่ข้าพเจ้าเถิด จึงร้องเรียกพวกเด็ก ๆ ให้ยกน้ำชามา แลสั่งให้จัดเครื่องแจ เด็กเหล่านั้นก็วิ่งเข้าไปข้างใน พวกหญิงเหล่านั้นก็ชี้ให้เด็กยกน้ำถ้วยที่ถาดนั้นออกไป เต้าสือสองมือยกถ้วยหนึ่ง ถวายพระถังซัมจั๋ง ยังอีกสามถ้วย เธอเห็นโป๊ยก่ายรูปร่างใหญ่โต คิดว่าเปนสานุสิศย์ที่ ๑ จึงยกถ้วยหนึ่ง ซัวเจ๋งว่าที่สองก็ยกให้ถ้วยหนึ่ง เห็นเห้งเจียรูปร่างเล็ก ๆ จึงให้ถ้วยที่สาม เห้งเจียรับถ้วยมาตาชะแง้ดูในถาด เห็นมีอีกถ้วยหนึ่งพุดซาผลสีดำ จึงพูดว่าในถาดนั้น ขอให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนเอาเถิด
เต้าสือหัวเราะพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดท่านดอก ที่แถบนี้ผลไม้ไม่บริบูรณ์ ข้าพเจ้าพึ่งให้ค้นหาข้างหลังสำนักมาได้ผลพุดซาสุกสิบสองผล ปันเปนสี่ส่วนเอามาคำนับท่านพอเปนที่ชื่นใจ ส่วนข้าพเจ้าไม่ควรจะตอบเปนธรรมเนียม จึงเอาสองผลพุดซาอย่างต่ำพอนั่งกินเปนเพื่อนท่านทั้งสี่พอเปนกิริยาที่นับถือเท่านั้น
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ทำไมท่านจึงพูดดังนั้นเล่า โบราณท่านย่อมว่า อยู่กับบ้านไม่ใช่จนทางจน จนก็ต้องฆ่าคน ท่านเต้าสืออยู่กับบ้านทำไมจึงถ่อมตัวว่าจน ขอให้ท่านเปลี่ยนแก่ข้าพเจ้าเถิด พระถังซัมจั๋งว่าท่านใต้เซียนมีจิตรโอบออมรักเราจงกินเถิด เห้งเจียจะเปลี่ยนอะไรที่ไหนเล่า เห้งเจียจึงรับถ้วยมาเอามือซ้ายปิดปากถ้วยไว้แล้วคอยดู โป๊ยก่ายกำลังหิวอยาก เห็นในถ้วยมีผลพุดซาสามผล หยิบใส่ปากกลืนเข้าไปในท้อง พระถังซัมจั๋งซัวเจ๋งก็กินทั้งสามคน พอตกถึงท้องในทันใดนั้น โป๊ยก่ายสีหน้าก็ผิดปรกติซัวเจ๋งน้ำตาก็ไหลออกมาพรั่งพราย พระถังซัมจั๋งก็อาเจียร ต่างก็เมามึนล้มลงกับที่ เห้งเจียก็รู้ศึกว่าถูกยาพิศม์ทั้งสามคน ก็โกรธจึงเอาถ้วยที่ถืออยู่นั้นคว่างไปตรงหน้าเต้าสือ ๆ ก็เอามือเสื้อรับ ถ้วยก็ตกลงกับพื้นแตกกระจายไป เต้าสือก็โกรธพูดว่าอ้ายคนนี้อยาบช้าทำไมทำถ้วยของเราแตกไปดังนี้ เห้งเจียพูดว่ามึงดูสามคนนั้นว่ากระไร เรามิได้เกี่ยวข้องอะไรแก่เจ้าเลย เหตุใดเจ้าจึงเอายาพิศม์มาให้อาจาริย์เรากินดังนี้ เต้าสือพูดว่าอ้ายสัตว์เดระฉานมึงทำร้ายมาแล้วมึงเข้าใจว่ากูไม่รู้หรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพึ่งมานี่ก็ยังมิได้กล่าวคำอยาบช้าแลทำอะไรแก่เจ้าเลย เต้าสือถามว่าเจ้าเคยแวะที่ถ้ำปั๊วซือต๋องบิณฑบาตหรือเปล่า แลได้ไปอาบน้ำที่สระต๊อกโก๊จั๊วหรือเปล่า เห้งเจียว่าที่สระนั้นคือนางปิศาจทั้งเจ็ด เจ้าพูดคำนี้ออกมาเจ้าก็เปนพวกปิศาจมึงก็เปนปิศาจเหมือนกัน มึงจงกินตะบองสักทีหนึ่งว่าแล้วเห้งเจียก็ชักตะบองกายะสิทธิ์ออกจากหู แกว่งไปทีหนึ่งแล้วตีลงตรงหน้าเต้าสือ ๆ ก็หลบหันกลับเข้าไปเอาเกี่ยมวิเศษออกมาต่อสู้กัน ฝ่ายพวกปิศาจหญิงทั้งเจ็ดคน ก็พากันออกมาร้องว่าไม่ต้องลำบากถึงท่านพี่ ไว้พวกข้าพเจ้าจะจับมันเอง
เห้งเจียแลเห็นนางเหล่านั้นก็บังเกิดโทษะขึ้น ยกตะบองขึ้นตีขนาบเข้าไปมิได้รอรั้ง ปิศาจทั้งเจ็ดก็แก้เอี๊ยมออกจากอก แผลงฤทธิ์ออกมาเปนไยร้อยสอดเปนเพดานครอบเห้งเจียไว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หกขะเมนขึ้นทีหนึ่งทะลุไยนั้นออกไปยืนอยู่บนอากาศ พิเคราะห์ดูเห็นพวกปิศาจช่วยกันร้อยสอดมุงไปมา บัดเที่ยวใจก็ปิดสำนักห้องหอตุกรามแลไม่เห็นทั้งสิ้น เห้งเจียแลเห็นดังนั้นออกปากว่าร้ายแรงจริง เมื่อแรกเรามิได้โดนฝีมือมัน โป๊ยก่ายไปถูกเขาจึงได้ล้มคว่ำล้มหงายอย่างนี้เอง อาจาริย์กับน้องก็ถูกยาพิศม์ของมันแล้ว เราก็มิได้รู้เหตุเดิมมันว่าเปนประการใด จำเราจะต้องถามภูมิ์เจ้าที่ดูหากจะรู้ได้ คิดแล้วเห้งเจียก็ร่ายพระเวทวิทยาเรียกภูมิ์เจ้าที่ ๆ ก็มาในทันใด เห้งเจียจึงถามว่าท่านเข้าใจอย่างไรว่านางปิศาจทั้งเจ็ดนี้มันชักไยออกมานั้นเปนปิศาจชะนิดใดมาจากไหน
พระภูมิ์เจ้าที่จึงแจ้งความว่า มันมาอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงสิบปี แต่เมื่อสามปีก่อนข้าพเจ้าเห็นมันถอดรูปเดิมออก คือเปนตัวแมลงมุมเจ็ดตัวที่คลายไยออกนั้นคือไยแมลงมุม เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่าท่านจงกลับไปยังที่เดิมของท่านเถิด ภูมิ์เจ้าที่ก็คำนับลาเห้งเจียไป เห้งเจียก็มาที่สำนักปิศาจอึ๊งฮวยก๊วนถอนขนหางออกเจ็ดสิบเส้น ก็เป่าให้แปลงเปนรูปเห้งเจียน้อย ๆ เจ็ดสิบตน ทุก ๆ ตัวถือตะบองเหล็กคนละอัน เห้งเจียเองก็ถือตะบองยืนอยู่ข้างน่า จึงสั่งให้พร้อมกันเขข้าระดมเอาตะบองตีกวาดม้วนเข้าประมาณหนักสักสิบชั่ง นางทั้งเจ็ดก็ติดอยู่ในไยนั้น เห็นเปนตัวแมลงมุมเจ็ดตัวโตสักเท่ากระถางปากแดง ร้องขอชีวิตร์แก่เห้งเจียน้อย ๆ ก็เอาตะบองกดไว้ เห้งเจียว่าอย่าทำมันให้มันเอาอาจาริย์กับน้องมาคืนให้จึงจะยกชีวิตรให้แก่มัน นางปิศาจเหล่านั้นก็ร้องบอกแก่เต้าสือว่าท่านจงปล่อยอาจาริย์กับน้องของเธอออกมาให้เธอเสียเถิด ชีวิตร์ข้าพเจ้าทั้งเจ็ดนี้จะได้รอดจากความตาย
เต้าสือกระโดดออกมาร้องว่า เราจะกินเนื้อถังซัมจั๋งช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่ามึงไม่เอาอาจาริย์มาคืนให้กู มึงจงดูน้องสาวของมึงให้เห็นแก่ตา เห้งเจียก็เอาตะบองฟาดแมลงมุมตายหมดทั้งเจ็ดตัว ศพแมลงมุมดุจถุงใส่แป้งโลหิตไหลนอง เห้งเจียก็เรียกขนกลับเข้าตัวตามเดิม แล้วก็ตรงเข้าตีเต้าสือ ๆ ก็เอาเกี่ยมรับไว้ รบสู้กันโดยกำลังความสามารถบุกบั่นฟันฟาดกันไปมาได้ห้าหกสิบเพลง ฝ่ายปิศาจเต้าสือกำลังก็อ่อนลงจึงถอดเสื้อในตัวออกแล้วก็ยกมือขึ้น ด้วยไต้รักแร้ มีตาตั้งพันทุก ๆ ตาฟุ้งออกมากเปนแสงทองคลุมครอบเห้งเจียไว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็กลับไปกลับมาออกไม่ได้ดุจอยู่ในถังครอบ ธุรนธุรายจึงกระโดดขึ้นไปทีหนึ่งก็ตกลงมารู้สึกเจ็บศีศะ จึงเอามือลูบดูก็เห็นบวมช้ำคิดเสียใจว่า หัวของเราวันนี้ไม่ดีเสียแล้ว แต่ก่อนนั้นทั้งมีดทั้งขวานแลอาวุธต่าง ๆ ก็ไม่ทำอะไรได้ วันนี้ไปโดนแสงปิศาจเข้าก็บวมไปแลเจ็บดังนี้ จึงคิดว่าข้างไหนก็ไปไม่ได้ จำจะต้องหนีลงข้างดินจึงจะไปได้ คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระเวทคาถาไหวกายาแซกพระธรณีหนีลงไปใต้ดิน ก็ออกพ้นไปยี่สิบโยชน์ ที่แสงรอบนั้นประมาณสิบโยชน์ เห้งเจียออกมาพ้นแล้ว กำลังก็อ่อนเปลี้ยระบมไปทั้งกาย นึกถึงอาจาริย์น้ำตาก็ไหลลงอาบหน้า ในขณะเมื่อเห้งเจียนั่งร้องไห้อยู่นั้น ได้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างหลังเขาจึงหันไปดู ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งนุ่งขาวห่มขาวมือขวาถือถาดเข้า มือซ้ายถือกระดาดเงินกระดาดทองเดินพลางร้องไห้พลาง เห้งเจียสั่นศีศะแล้วออกปากพูดว่า เราร้องไห้มาปะร้องไห้เข้าอีก โทมนัศก็มาปะโทมนัศเข้าอีกฉนี้ หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าร้องไห้ด้วยเหตุอะไร จำเราจะต้องถามดูให้รู้เรื่อง พอหญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เห้งเจียจึงย่อตัวถามว่าท่านแม่จะไปข้างไหน ร้องไห้ถึงใครที่ไหนหรือ นางนั้นยิ่งสะอึกสะอื้น แลพูดว่าสามีของข้าพเจ้าไปซื้อไม้ไผ่ที่สำนักอึ้งฮวยก๊วน เจ้าของอึ้งฮวยก๊วนโต้ตอบพูดจากัน มันเอายาพิศม์ไส่ให้ผัวข้าพเจ้ากินตาย ข้าพเจ้าจึงเอาเข้าน้ำกระดาดมาเส้นไหว้เปนผัวเมียรักกัน เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็คิดถึงอาจาริย์ขึ้นมาหน้าหนิ้วคิ้วย่นก็ร้องไห้ หญิงชะราก็โกรธจึงพูดว่าข้าพเจ้าคิดถึงผัวจึงร้องไห้ ตัวเกี่ยวข้องอะไรด้วย จึงมาร้องไห้ล้อเราดังนี้ เห้งเจียบอกว่าท่านแม่อย่าโกรธข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าคือคนชาวเมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้อาจาริย์ข้าพเจ้าไปไซที ข้าพเจ้านามเรียกว่าซึงหงอคง เหตุข้ามมาถึงที่หยุดพักที่ในสำนักนั้น ไม่รู้ว่าปิศาจอะไรเอายาพิศม์ใส่ในผลพุดซาให้อาจาริย์แลน้องกิน รวมทั้งม้าก็ติดอยู่ในสำนักนั้น รอดแต่ข้าพเจ้าเพราะไม่กินของมัน ได้สู้รบแก่มันครึ่งวันมาแล้ว มันแก้เสื้อออกที่ใต้ร้กแร้มันทั้งสองข้างมีตามากนับพัน ฟุ้งออกไปเปนแสงทองคลุมครอบข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าหนีมุดดินมาได้เดี๋ยวนี้กำลังคิดถึงอาจาริย์ก็นั่งร้องไห้ ครั้นเห็นท่านแม่มาจึงได้ถามถึงเหตุผล ท่านแม่ยังมีเข้าน้ำมาเส้นตอบแทนสามี อาจาริย์ข้าพเจ้าตายก็ไม่มีอะไรสักสิ่งหนึ่งซึ่งจะได้ตอบแทน เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงแค้นขึ้นมาก็ร้องไห้ ความจริงมิได้คิดที่จะล้อเลียนอะไรเลย หญิงชราผู้นั้น คำนับตอบแล้วพูดว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านถูกไภยร้ายอย่างนั้น ได้ทราบเพราะท่านพูดออกมา ท่านไม่ทราบหรือเต้าสือนั้น นามเรียกว่าแปะงั้นหม้อกุน คือท้าวพันตา แลเรียกโตมักกวั่ย คือปิศาจตามาก หากท่านเปลี่ยนแปลงหนีรอดสายทองนั้นมาได้ข้าพเจ้าจะบอกให้ไปเชิญท่านผู้วิเสศนั้นจึงจะปราบทำลายแสงทองนั้นได้ เห้งเจียได้ฟังก็ดีใจ ถามว่าท่านแม่ได้โปรดชี้แห่งให้ข้าพเจ้าด้วยท่านผู้วิเศษอยู่แห่งใด หญิงชะราพูดว่า ข้าพเจ้าจะชี้ให้ไปเชิญมาแก้แค้นให้ได้โดยแท้ แต่ที่อาจาริย์นั้นแก้ไมได้ เห้งเจียถามว่าทำไมจึงจะแก้ไมได้ ขอท่านแม่ได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย แม่หญิงพูดว่า ยาพิศม์นั้นร้ายนักแม้ว่ากินเข้าไปสามวันแล้ว กระดูกเล็กใหญ่ก็จะป่นเลอียดไปทั้งสิ้น หนทางที่จะไปกลัวจะช้ามาไม่ทันแก้ เห้งเจียพูดว่า บางทีจะไปมาใกล้ไกลเท่าใดก็อยู่ในครึ้งวันเพราะข้าพเจ้าชำนาญเหาะได้ แม่หญิงบอกว่าหากท่านเหาะได้แล้วเราจะบอกให้ คือทางนั้นประมาณพันโยชน์ ที่แห่งนั้นมีภูเขาใหญ่นามเรียกว่า (จี๋หุ้นซัว) ในเขานั้นมีถ้ำเรียกว่า (เชยฮวยต๋อง) มีผู้วิเศสนนามเรียกว่า (ไผ้นาฝอ) เธอปราบกำจัดปิศาจนี้ได้ เห้งเจียถามว่าภูเขานั้นอยู่ข้างทิศไหน นางเอามือชี้บอกว่าตรงทิศอาคะเณไปนั้นและ เห้งเจียหันหน้าไปดูทิศแล้วหันกลับมาก็ไม่เห็นแม่หญิงนั้น จึงแหงนหน้าขึ้นไปดูเห็นเปนเจ้าแม่ (ลี่ซัวเล่าโป๊) เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปตามยกมือขอบคุณ แล้วถามว่าเจ้าแม่เล่าโป๊ไปข้างไหนมาหรือ จึงได้มาชี้แจงให้ข้าพเจ้า เล่าโป๊บอกว่าข้าพเจ้าไปที่ประชุม (เล่งฮวยหวย) กลับมา เห็นอาจาริย์ของใต้เซียถูกภัยร้ายจึงได้มาช่วย ท่านจงรีบไปเชิญผู้วิเศษมาเถิด อย่าบอกว่าข้าพเจ้าชี้ให้ ด้วยผู้วิเศษมักจะโกรธคนง่าย ๆ เห้งเจียก็คำนับลาเหาะละลิ่วมาบัดเดี๋ยว ก็ถึงเขาจี๋หุ้นซัว จึงหยุดแลดูเห็นถ้ำเชยฮวยต๋อง ก็ลดลงยังพื้นเดินเข้าไปเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นคนดูเงียบสงัด ไก่แลสุนักข์ก็มิได้ยินเสียง นึกในใจว่าเห็นท่านผู้วิเศษจะไม่อยู่ดอกกระมัง ก็เดินเข้าไปอีกพักหนึ่ง แลไปก็เห็นนางหญิงคนหนึ่งมีกิริยาเปนผู้ถือบวชนั่งอยู่บนเตียง เห้งเจียก็เข้าไปยกมือพูดว่าท่านไผ้นาฝอข้าพเจ้าคำนับ นางนั้นก็ลงจากเตียงคำนับตอบ พูดว่าข้าพเจ้าไม่ทันออกไปรับท่านใต้เซีย ท่านไปข้างไหนมาหรือ เห้งเจียถามว่าท่านทำไมรู้จักข้าพเจ้า ไผ้นาฝอจึงพูดว่า เมื่อเวลาท่านทำวุ่นวายบนสวรรค์ในรอบท้องฟ้าใครจะไม่รู้จักท่าน เห้งเจียบอกว่าบัดนี้ ข้าพเจ้าถือศีลเข้าเพศสัมมาทิฐิแล้ว ท่านไม่ทราบหรือ ไผ้นาฝอว่าท่านกลับใจได้ดีแล้ว ข้าพเจ้าพลอยโมทะนาด้วย เห้งเจียบอกว่า บัดนี้ข้าพเจ้าตามพระถังซัมจั๋งจะไปอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรมยังประเทศไซที ข้ามมาถึงสำนักอึ้งฮวยก๊วน ปิศาจเต้าสือเอายาพิศม์ใส่ให้อาจาริย์ข้าพเจ้ากินล้มลง ข้าพเจ้าจะต่อสู้แก่มัน ๆ แผลงฤทธิ์อานุภาพเปนแสงทองมาคลุมครอบข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าแผลงฤทธิ์ดำดินหนีออกมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่าท่านแม่มีฝีมืออาจจับปิศาจนี้ได้ จึงมาเชิญให้ไปช่วยสักครั้งหนึ่ง ไผ้นาฝอถามว่านี่ใครบอกจึงได้รู้ ข้าพเจ้าตั้งแต่ครั้งไปประชุมฮื้อนาหวยมาจนบัดนี้สามร้อยปีกว่าแล้ว ไม่เคยออกจากที่ไปข้างไหนแอบหาที่สงัดรักษาอารมณ์อยู่ ก็ไม่มีใครรู้เหตุ ท่านใต้เซียทำไมจึงรู้จักทางเข้ามาถึงที่นี่ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าคือผีแผ่นดินที่ไหนๆ ก็เที่ยวซอกซอนสืบถามก็รู้ได้ ไผ้นาฝอว่าดังนั้นก็ช่างเถิด ข้าพเจ้าจะไม่ไปก็ขัดใต้เซี้ยไม่ได้ท่านได้มาถึงนี่แล้วไม่ควรจะตัดรอน ซึ่งการกุศลที่ใต้เซียจะไปอาราธนาพระธรรม จะต้องไปช่วยใต้เซียสักครั้งหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ขอบคุณแลดีใจที่สุด แต่ไม่ทราบว่าท่านจะเอาเครื่องมืออะไรไป ไผ้นาฝอบอกว่า ข้าพเจ้ามีเข็มปักอันหนึ่งอาจทำาลายของร้ายแห่งปิศาจได้ เห้งเจียถามว่าอันเข็มปักนั้น เดิมข้าพเจ้าก็มีเหมือนกัน ไผ้นาฝอว่าของใต้เซียนั้นเปนของเหล็กแลทองเหลืองทองคำใช้ไม่ได้ อันของวิเศษของข้าพเจ้านี้ไม่เหมือนของท่านเปนของบุตรข้าพเจ้าประกอบแก้วตาให้เปนขึ้น เห้งเจียถามว่าบุตรของท่านคือใครที่ไหน ไผ้นาฝอตอบว่าคือดาวยิดเบ๊าแซนั้นและ เห้งเจียได้ฟังก็ใจหาย ต่างก็พากันเหาะมา แลไปข้างน่าเห็นแสงระยับระย้า เห้งเจียเอามือชี้ว่าที่แสงนั้นและเปนสำนักอึ้งฮวยก๊วน นางไผ้นาฝอจึงชักเข็มวิเศษออกจากฅอเสื้อ สักเท่าขนคิ้ว ยาวสักองคุลีครึ่ง นางไผ้นาฝอหมายที่แสงทองนั้นแล้วก็คว่างไป สักประเดี๋ยวเสียงด้งเปรี้ยง แสงทองก็อันตระธานสูญหายไปทันที เห้งเจียว่าวิเศษแท้ ๆ นางไผ้นาฝอก็แบมือยื่นบอกว่านี่มิใช่เข็มหรือ เห้งเจียก็พร้อมกับนางไผ้นาฝอลงยังพื้น เดินเข้าไปยังสำนักที่รับแขกแลเห็นเต้าสือยืนหลับตาอยู่น่าสำนัก เห้งเจียด่าว่าอ้ายสัตว์ร้ายมึงมีใจคิดฆ่าได้ ชักตะบองออกจะตี นางไผ้นาฝอร้องห้ามไว้ ให้เข้าไปดูอาจาริย์ก่อน เห้งเจียก็เดินเข้าไปเห็นอาจาริย์โป๊ยก่ายซัวเจ๋งฟุบอยู่กับพื้น รากเขียวรากเหลืองออกมาทุก ๆ คน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ นางไผ้นาฝอพูดว่าท่านใต้เซียอย่าโทมนัศไปเลย ข้าพเจ้ามาวันนี้ก็ปราถนาจะทำการกุศลด้วย ข้าพเจ้าได้เอายาติดมาด้วยสามเม็ดอาจแก้ยาพิศม์นั้นได้ ว่าแล้วก็ล้วงเอายาออกจากมือเสื้อฉีกออกจากห่อกระดาด เอายาสามเม็ดนั้นส่งให้เห้งเจีย ให้เอาใส่ในปากประเดี๋ยวก็จะฟื้น เห้งเจียรับยามาแล้ว ก็งัดปากให้อ้าออกเอายาใส่ปากให้คนละเม็ด พอฤทธิ์ยาเข้าไปในท้องสักประเดี๋ยว ก็อาเจียนยาพิศม์ร้ายออกมาหมดก็พากันฟื้น โป๊ยก่ายกระโดดขึ้นว่ายาพิศม์หายแล้ว พระถังซัมจั๋งซัวเจ๋งก็ผุดลุกขึ้นนั่งพูดว่ามึนเมาจริง ๆ เห้งเจียบอกว่าถูกยาพิศม์ของปิศาจ หากได้พึ่งท่านไผ้นาฝอมาช่วยแก้จึงฟื้นได้ จงมาเคารพขอบคุณท่านเถิด พระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ได้ยินดังนั้น ต่างก็มาเคารพขอบคุณทุกคน โป๊ยก่ายถามว่าอ้ายเต้าสือมันอยู่ที่ไหน จะใคร่ถามมันดูว่าเหตุใดมันจึงได้คิดฆ่าเราดังนี้ เห้งเจียก็เล่าเรื่องนางแมลงมุมนั้นให้ฟัง โป๊ยก่ายก็ยิ่งโกรธว่ามันกับอีแมลงมุมนั้นเปนพี่น้องกัน มันก็เปนปิศาจเหมือนกัน เห้งเจียชี้มือว่ามันยืนหลับตาอยู่น่าสำนักจงไปล้างเสีย โป๊ยก่ายก็จับคราดจะลงมาสับ นางไผ้นาฝอร้องห้ามว่าอย่าเพ่อก่อน ท่านพ่องง่วนส่วยระงับโทษะก่อน ข้าพเจ้าไม่มีคนเฝ้าประตู ขอให้ข้าพเจ้าไปไว้เฝ้าประตู เห้งเจียคำนับว่าขอเชิญท่านเถิด ท่านต้องการแล้วข้าพเจ้าไม่อาจขัดท่าน ขอให้ท่านให้มันแปลงกลับรูปเดิม เพื่อพวกข้าพเจ้าจะได้ทราบว่าปิศาจอันใด นางไผ้นาฝอพูดว่าจะยากอะไร จึงเอามือชี้เต้าสือทีหนึ่งก็ล้มตึงลงกับพื้น กลายเปนตะขาบตัวหนึ่งยาวเจ็ดศอก นางไผ้นาฝอก็เอานิ้วก้อยช้อนขึ้นแล้วก็เหาะขึ้นกลางอากาศกลับไปยังถ้ำเชยฮวยต๋อง โป๊ยก่ายแหงนหน้าดูแล้วพูดว่า แม่คนนี้ชั่งอาจหาญแท้สามารถกำจัดจับปิศาจร้ายได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่ถามเธอว่าเหตุเดิมประการใด เธอบอกวาดาวยิดเบ๊าแชกุนนั้นเปนบุตรของเธอ เราคิดดูยิดเบ๊าแขกุนนั้นเปนไก่ เธอว่าลูกของเธอ ถ้าดังนั้นก็เปนแม่ไก่เปนแน่ ความจริงตะขาบย่อมแพ้ไก่เพราะฉนั้นเธอจึงกำจัดได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความขอบคุณไม่รู้สิ้น จึงให้จัดหาเครื่องแจกระยาหารอาจาริย์กับศิษย์กินอิ่มแล้ว จัดเข้าของออกเดิน เห้งเจียเก็บฟืนยัดในโรงครัวแล้วเอาไฟเผาสำนักห้องหอเหล่านั้นไหม้ไฟเปนคี่เถ้าไปสิ้น