- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๘๓
ฝ่ายปิศาจแบกพระถังซัมจั๋งออกมานอกถ้ำแล้ว ซัวเจ๋งเห็นก็ดีใจ จึงถามว่าพระอาจาริย์ออกมาแต่ผู้เดียว ทำไมไม่เห็นพี่เห้งเจียออกมาเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่า เห้งเจียนั้นอยู่ในท้องนางปิศาจ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อะนิจจังทำไมจึงจะฆ่าคนดังนั้นเล่า จะเข้าไปอยู่ในท้องเขาจะเอามรรคผลอะไรก็ไม่รู้ เชิญพี่ออกมาเถิด เห้งเจียอยู่ในท้องปิศาจจึงร้องบอกให้นางปิศาจอ้าปากขึ้นให้กว้างเราจะออกไป ปิศาจก็อ้าปากออกคอยท่า เห้งเจียเห็นปิศาจอ้าปากแล้วก็ยังไม่วางใจ วิตกเกรงว่าปิศาจจะกระทำร้ายจึงเอาตะบองเสกให้กลายเปนผลพุดซาใหญ่ เอาเข้าขัดที่โคนขากันไกรแล้ว เห้งเจียก็ขยับตัวผลุดลุกออกไปนอกปาก ครั้นออกมานอกปากปิศาจแล้วก็กลายกลับเปนรูปเดิม มือถือตะบองเหล็กตรงเข้ามาจะตีปิศาจ ปิศาจเห็นดังนั้นก็ชักเกี่ยมออกมาถือสองมือ คอยรอรับเข้ารบแก่เห้งเจียอีก
ฝ่ายโป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนั้น แลเห็นปากก็บ่นพึมพำว่าพี่เห้งเจียไม่ควรเลย เมื่ออยู่ในท้องควรจะเอากำหมัดกะทุ้งมันให้ทลุแล้วก็ฉีกออกมาดุจแหวกม่านจะมิดีหรือ พี่กลับปล่อยให้มันทำอิทธิฤทธิ์อีกดังนี้ ซัวเจ๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็พูดขึ้นว่าพี่พูดดังนี้ถูกแล้ว พี่เห้งเจียติดเปล่าเสียแล้ว เราทั้งสองต้องช่วยกันรบปิศาจให้แพ้แล้วจึงค่อยกลับ โป๊ยก่ายยกมือสั่นว่าไม่ได้ ๆ อย่าทำเล่น ซัวเจ๋งว่าพี่พูดอะไรอย่างนั้นเล่า จำพวกเราจะต้องช่วยกันรบให้ชะนะโดยเร็วจึงพร้อมกันเข้าไล่ติดตามไป ทิ้งพระถังซัมจั๋งให้นั่งอยู่แต่ผู้เดียวที่ปากถ้ำ ฝ่ายนางปิศาจรบแก่เห้งเจียสองต่อสองก็ยังสู้ไม่ได้ ซ้ำโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเข้าช่วยอีกสองคนก็เหลือกำลังจะรับรอง จึงผละออกหนีไป ฝ่ายเห้งเจียเห็นปิศาจถอยหนี ก็ร้องเสียงดังขึ้นว่า น้องทั้งสองจงไล่ตีจับปิศาจให้จงได้ ฝ่ายนางปิศาจล่าหนีมาเห็นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งไล่กระชั้นจวนตัว ก็ถอดรองเท้าปักข้างขวาร่ายคาถาคว่างไปกลายเปนรูปปิศาจเข้าสู้รบ ตัวนางปิศาจก็แปลงเปนสายลมหนีกลับมาที่ปากถ้ำ แลเห็นพระถังซัมจั๋งอยู่แต่ผู้เดียว นางปิศาจก็เข้าอุ้มเอาพระถังซัมจั๋งกับถุงยามเข้าของแลม้าพาเหาะกลับเข้าไปในถ้ำ
ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งไล่มาทันปิศาจแปลงเข้า ก็ยกคราดขึ้นสับลงไปทีหนึ่ง ถูกปิศาจกลายเปนรองเท้าตกอยู่กับพื้นข้างหนึ่ง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร้องขึ้นว่า เจ้าทั้งสองชาติชั่วทำไมจึงไม่อยู่เฝ้ารักษาพระอาจาริย์ โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียว่าดังนั้น จึงหันหน้ามาพูดกับซัวเจ๋งว่า เราได้พูดแล้วเห็นหรือไม่ พี่เห้งเจียแกเปนคนกะเบียดกะเสียนอยากจะใครได้ดีกว่าเรา ๆ พากันมาช่วยรบปิศาจแพ้แล้ว เธอกลับใส่ความให้ร้ายดังนี้ควรหรือ เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายพูดจึงถามว่าเจ้ารบใครชะนะที่ไหน เมื่อวานนี้ปิศาจมันรบแก่เรามันก็แปลงเปนรูปเก๊คือรองเท้าของมัน ความจริงตัวมันหนีไปแล้ว ปล่อยให้รูปเก๊อยู่สู้รบแก่เราดังนี้ บัดนี้ก็ไม่รู้ว่าพระอาจาริย์จะเปนประการใด จงรีบกลับไปโดยเร็วเถิด ถ้าช้าอยู่จะเสียการเปนแน่ เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็พากันกลับมาหาอาจาริย์ที่ปากถ้ำ แลไปก็มิได้เห็นอาจาริย์ แลถุงยามแลม้าหายไปทั้งสิ้น โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจเที่ยวค้นหาจนรอบในที่นั้น ก็มิได้เห็นร่องรอย เห้งเจียจิตร์ใจให้เร่าร้อน กำลังเที่ยวค้นหาก็มาพบสายบังเหียนม้าขาดเหลืออยู่ท่อนหนึ่ง จึงหยับดูจำได้ก็นึกโทมนัศร้องไห้คิดถึงอาจาริย์ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นอดไม่ได้ แหงนหน้าขึ้นแลดูฟ้าแล้วก็หัวเราะก๊ากใหญ่ เห้งเจียตวาดว่านี่เจ้าพอใจจะให้แตกร้าวกันหรือ จึงได้หัวเราะเยาะเราดังนี้ โป๊ยก่ายตอบว่าพี่หาใช่เช่นนั้นไม่ อันธรรมดาโบราณท่านย่อมว่า สาระพัดการต้องสามหนจึงจะสำเร็จได้ อาจาริย์นั้นปิศาจคงจับไปเปนแน่ไม่ต้องสงไสย ก็นับว่าเปนสองครั้งแล้ว พี่อุสาหะเข้าไปช่วยอีกสักครั้งหนึ่งพระอาจาริย์จึงจะพ้นไภยได้ เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายเตือนสะติดังนั้นก็คิดขึ้นมาได้ จึงพูดว่าถ้ากระนั้นน้องทั้งสองจงรอคอยอยู่ที่ปากถ้ำพี่จะเข้าไปดู เห้งเจียสั่งแล้วก็กลับเข้าไปในถ้ำ เข้าไปถึงชั้นในแลไปเก็เห็นประตูน่าต่างปิดแน่นทุก ๆ แห่ง เห้งเจียแกว่งตะบองตีหักพังเข้าไปทั้งสิ้น เดินตรงเข้าไปเหลียวซ้ายแลขวาดูทุก ๆ ห้อง ก็เห็นเงียบสงัดทุกห้องไม่ได้ยินเสียง เห้งเจียเดินค้นดูรอบก็มิได้เห็นคน แลเครื่องตั้งแต่งโต๊ะแลเก้าอี้ แลเครื่องใช้สอยก็หายไปทั้งสิ้นไม่เห็นมีสักสิ่งหนึ่ง เห้งเจียอกใจไม่สบายเร่าร้อนก็กำมือทุบอกมีความโทมนัศร่ำร้องเสียงอึกทึกในเวลานั้น บังเอินมีสายลมพัดฉิวมากระทบเข้าจมูกหอม เห้งเจียนึกขึ้นได้ว่ากลิ่นที่หอมนี้ออกมาจากข้างหลังนี้เห็นจะอยู่ข้างในนั้นเปนแน่ เห้งเจียคิดเห็นดังนั้นแล้ว จึงเดินเข้าไปข้างหลังนั้น แลไปก็เห็นมีปรกหนึ่งสามห้อง ๆ กลางมีตั้งโต๊ะบูชาบนโต๊ะมีเครื่องตั้งหม้อไฟทองเหลืองเผาเครื่องไม้หอมต่าง ๆ มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบ ที่กลางโต๊ะตั้งป้ายทองบูชามีอักษร ข้างบนเขียนชื่อว่าท่านบิดาลี้ทีอ๋องรองลงมาเขียนชื่อโลเฉียไทจื๊อ เห้งเจียยืนพิเคราะห์ดูเห็นดังนั้นแล้ว ก็มีความดีใจเปนที่สุด ตรงเข้าหยิบเอาหม้อไฟกับป้ายทองที่บูชาอยู่นั้นแล้ว ก็หวนกลับออกมายังปากถ้ำ มีความรื่นเริงหัวเราะไม่หยุด
โป๊ยก่ายซัวเจ๋งแลเห็นเห้งเจียออกมาก็พากันมาต้อนรับถามว่า พี่มีความรื่นเริงด้วยอะไร หรือพบปะอาจาริย์แล้วรับมาได้กระมัง เห้งเจียหัวเราะตอบว่า ไม่ต้องถึงเราไปเที่ยวค้นหาอาจาริย์ให้ป่วยการทำไม จะทวงเอาที่ป้ายนี้ก็จะได้อาจาริย์ของเราคืน เห้งเจียจึงวางป้ายกับหม้อไฟลงกับพื้น เรียกโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งว่าน้องจงมาดู ซัวเจ๋งจึงพิเคราะห์ดูแล้วถามว่า คือมีเหตุการประการใดหรือ เห้งเจียบอกว่านี่แลปิศาจมันตั้งบูชาในที่อยู่ของมัน เราเห็นก็นึกขึ้นได้ว่า ปิศาจนี้ชรอยจะเปนบุตรสาวของถักทะลีทีอ๋อง แลเปนน้องสาวของโลเฉียไทจื๊อ จุติลงมาแอบแฝงแปลงเปนปิศาจอยู่ดังนี้ ลักพาเอาอาจาริย์ของเราไปซ่อนไว้ดังนี้ เราจะไปค้นหาทวงถามมันทำไม เพราะเราได้ของกลางไว้ดังนี้แล้ว น้องทั้งสองจงคอยระวังอยู่ที่ปากถ้ำรอคอยพี่จะเอาหม้อไฟกับป้ายนี้ขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้ถักทะลีทีอ๋องเอาอาจาริย์มาส่งแล้วเราจึงค่อยไป โป๊ยก่ายว่าพี่จะขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้นั้นมิใช่การเล่น เห้งเจียบอกแก่โป๊ยก่ายว่า พี่มีความพอใจไม่มีความวิตก พี่จะเอาป้ายทองกับหม้อไฟเปนพยาน แลจะแต่งเรื่องราวให้คล้องจอง โป๊ยก่ายว่าพี่จะแต่งเรื่องราวมีใจความว่ากะไร ขอให้ข้าพเจ้ารู้บ้างอยากจะทราบ
เห้งเจียจึงแต่งเรื่องราวใจความว่า ข้าพเจ้าซึงเห้งเจียมีชื่ออยู่ในหนังสือเดินทาง เปนผู้รักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีเพื่ออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม ขอทำคำฟ้องต่อพระสยมภูวญาณซึ่งเปนประธานในเทวะโลกแห่งภิพบดาวดึงษาสวรรค์ทรงทราบ ด้วยบัดนี้ถักทะลีทีอ๋องกับบุตร์ชายโลเฉียไทจื๊อ ไม่ระวังปล่อยให้บุตร์สาวจุติลงไปแอบแฝงแปลงรูปเปนปิศาจยักษ์ร้าย ฆ่าสัตว์เปนให้จำตายมากไม่คณะนานับได้ บัดนี้จับเอาอาจาริย์ของข้าพเจ้าข่มขืนซ่อนเร้นไว้แห่งใดก็หาทราบไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าบิดากับบุตร์มีความผิดโดยเหตุที่ปล่อยให้บุตร์สาวไปเปนปิศาจเที่ยวกระทำการชั่วร้ายดังนี้ ขอพระองค์โปรดชำระให้ได้ความจริง แล้วพิพากษาตัดสินบังคับให้ถักทะลีทีอ๋องโลเฉียไทจื๊อส่งตัวพระอาจาริย์ให้แก่ข้าพเจ้า โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลายดังนั้นทุกประการแล้ว จึงพูดว่าดีแล้วขอพี่จงรีบไปเถิด เห้งเจียก็เอาป้ายทองแลหม้อไฟสองอย่างนั้นถือไว้กับมือแล้ว ก็เหาะขึ้นไปยังประตูน่ำทีหมึง ครั้นถึงก็เข้าไปยังตำหนักทงเม่งเต้ย พบกับเตียวเทียนซือ ๆ ออกมาต้อนรับถามว่าใต้เซี้ยมีธุระประการใดหรือจึงได้ขึ้นมาถึงนี่ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้านำเรื่องราวมาฟ้องคนทั้งสอง เตียวเทียนซือตกใจวิตกคิดว่าสัตว์ลิงนี้จะมาฟ้องใครที่ไหน คิดแล้วก็นำเห้งเจียเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ ครั้นถึงเห้งเจียก็วางป้ายทองกับหม้อไฟลงแล้วก็ถวายบังคม ถวายเรื่องราวต่อพระหัดถ์เง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ทรงรับมาทอดพระเนตรตลอดจนสิ้นข้อความแล้ว จึงเซ็นลายพระหัดถ์ลงข้างต้นเรื่องราวแล้ว มีรับสั่งให้ไท้เป๊กกิมแช นำตัวเห้งเจียกับเรื่องราวไปหาถักทะลีทีอ๋องให้เข้ามาเฝ้าในเวลานี้
ไท้เป๊กกิมแชได้ฟังรับสั่งดังนั้นพร้อมด้วยเห้งเจียถวายบังคมลาแล้วไปยังตำหนักหุ้นเล้าเกง ครั้นถึงก็ให้ผู้เฝ้าประตูเข้าไปบอกถักทะลีทีอ๋อง ถักทะลีทีอ๋องก็ออกมาต้อนรับเชิญเข้าไปข้างใน แลเห็นไท้เป๊กกิมแชถือเรื่องราวมาด้วย ถักทะลีทีอ๋องก็ตั้งที่บูชารับ แลไปข้างหลังเห็นเห้งเจียตามมาด้วย ถักทะลีทีอ๋องจึงถามว่าท่านกิมแชถือเรื่องราวอะไรมามีเหตุการประการใดหรือ ไท้เป๊กกิมแชบอกว่าเรื่องราวของเห้งเจียกล่าวโทษท่าน ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังว่ามีเรื่องราวฟ้องก็มีความโกรธ จึงถามว่าเธอมาฟ้องข้าพเจ้าด้วยเหตุประการใด ไท้เป๊กกิมแชก็ส่งเรื่องราวให้ถักทะลีทีอ๋องแล้วพูดว่า ท่านจงดูเอาเองเถิดจะทราบได้ตลอด ถักทะลีทีอ๋องมีความขุ่นหมองในใจ จึงจุดธูปเทียนกระทำความเคารพแล้วก็เปิดหนังสือออกอ่านทราบความทุกประการแล้ว บันดานโทสะเอามือทุบลงกับโต๊ะว่าอ้ายลิงนี้มันมาฟ้องเราหาถูกไม่ ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องโกรธดังนั้นจึงห้ามว่า ขอท่านจงระงับใจก่อน ที่เห้งเจียมาฟ้องหาท่านดังนี้ มีหลักฐานพยานของกลางยังอยู่ที่เง๊กเซียงฮ่องเต้เปนสำคัญว่าบุตรหญิงของท่านเปนผู้ร้าย ถักทะลีทีอ๋องว่าข้าพเจ้ามีบุตรชายสามคนหญิงหนึ่งคน บุตรชายคนโตชื่อกิมเฉียไปตามพระพุทธิเจ้าเปนผู้รักษาธรรม คนที่สองชื่อบั๊กเฉียตามพระโพธิสัตว์กวนอิมไปเปนสานุศิษย์ คนที่สามชื่อโลเฉียไทจื๊อ ก็อยู่นี่เปนเนืองนิตย์ทุกเวลา บุตรหญิงที่สี่อายุได้เจ็ดขวบชื่อนางเจงเองยังหารู้เดียงสาไม่ ทำไมจึงจะเข้าใจว่าเปนยักษ์มารอะไรที่ไหน หากท่านไม่เชื่อข้าพเจ้าจะอุ้มออกมาให้ท่านเห็น อ้ายลิงตัวนี้มันหยาบช้าไม่มีความยำเกรง โดยจะกล่าวอย่างต่ำที่สุดในมนุษย์โลกเมืองใต้ ยังมีกฎหมายสำหรับบ้านเมืองว่า ถ้าผู้ใดฟ้องหาโทษท่านด้วยความเท็จพิจารณาไม่ได้ โทษนั้นย่อมตกอยู่แก่ที่หาเขาไม่จริง แล้วถักทะลีทีอ๋องก็ร้องสั่งบริวารให้จับตัวเห้งเจียมัดไว้กับเสาตำหนัก พวกบริวารก็กรูกันเข้ามาจะจับเห้งเจีย ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องทำวุ่นวายผิดธรรมเนียมดังนั้น จึงร้องห้ามว่าท่านอย่าทำวุ่นวายหาเหตุเกินไปดังนั้น ข้าพเจ้ารับ ๆ สั่งเชิญลายพระหัดถ์เง็กเซียงฮ่องเต้ แลพาตัวเห้งเจียมาหาท่าน ทำไมท่านจะมาทำดังนั้นสมควรแลหรือ ถักทะลีทีอ๋องว่ามันเอาความเท็จมากล่าวโทษข้าพเจ้าดังนี้ ยังจะรอไว้ไม่ทำแก่มันจะให้มันมีใจกำเริบขึ้นอีกหรือ เชิญท่านนั่งพักให้สบายก่อนข้าพเจ้าจะเอาดาบตัดฅออ้ายลิงร้ายเสียก่อนแล้วจึงจะไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้พร้อมแก่ท่าน กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องเอาดาบออกมาก็ตกใจกลัวเห้งเจียจะตาย แต่เห้งเจียนิ่งเฉยเปนปรกติไม่เห็นวิตกทุกข์ร้อนหวาดหวั่นอะไร นั่งหัวเราะอยู่ปากก็พูดว่า ท่านรู้ใจมาทำใจหมายมั่นดังนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ร้อนใจอะไร ภายหลังรู้สึกความผิดก็จะต้องอ่อนน้อม พูดยังไม่ทันขาดคำลง ถักทะลีทีอ๋องก็แกว่งดาบตรงเข้ามาจะฟันเห้งเจีย โลเฉียไทจื๊อยืนอยู่ข้างนั้น เห็นบิดาทำกิริยาดังนั้นก็ชักเกี่ยมออกรับดาบไว้ ร้องห้ามว่าบิดาจงระงับก่อน ถักทะลีทีอ๋องเห็นบุตรเอาเกี่ยมรับดาบไว้ดังนั้นก็ตกใจ ร้องตวาดให้บุตรถอยไป
(ตามในหนังสือจีนมีความอธิบายถึงเรื่องโลเฉียผู้นี้ว่า เมื่อเดิมเกิดโลเฉียไท้จื๊อ คลอดเวลาเที่ยงคือ ข้างมือขวามีอักษรว่า (โล) ข้างมิอซ้ายมีอักษรว่า (เฉีย) เพราะฉนั้นจึงเรียกซี่อว่า (โลเฉีย) โลเฉียออกมาได้สามวัน ก็ลงไปอาบน้ำที่ชายทะเลว่ายเล่นในมหาสมุท เหยียบปราสาทพระยาเล่งอ๋องพัง จับบุตรพระยานาคชักเอาเอ็นออกจะใคร่ทำสายรัดเอว ถักทะลีทีอ๋องรู้เหตุเรื่องนี้วิตกเกรงจะเกิดไภยร้ายต่อภายหลัง จะเอาตัวโลเฉียมาฆ่าเสียโลเฉียมีความแค้นจึงเอามีดเถือเนื้อของตัวใช้ให้แก่มารดา ตัดเอากระดูกคืนให้แก่บิดา ครั้นใช้เลือดเนื้อให้แก่บิดามารดาแล้ว ยังแต่ดวงวิญญาณลอยไปหาพระพุทธเจ้ายังประเทศไซที เวลานั้นพระพุทธเจ้ากำลังตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดสัตว์อยู่ด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ก็ได้ยินที่ชายธงท่งฮวนที่แขวนไว้ในวิหารนั้น มีเสียงคนร้องเรียกให้ช่วยชีวิตร์พระองค์จึงเล็งทิพจักษุญาณก็ทรงทราบได้ว่าโลเฉีย พระองค์จึงเอาโกษบัวเปนกระดูกใบละหุ่งเปนหนังเนื้อ วิญญาณโลเฉียจึงเข้าอาไสยรูปนั้นเปนตัว เมื่อพระองค์ประชุมรูปกายบริบูรณ์แล้ว จึงร่ายพระคาถารวมรูปกายชีวิตร์จิตร์ใจขึ้นอย่างเดิม โลเฉียเมื่อได้ชีวิตร์จิตร์ใจกลับคืนเปนมาแล้ว ก็แผลงฤทธิ์กำจัดเก้าสิบหกถ้ำยักษ์ให้อยู่ในอำนาจทั้งสิ้น คิดจะใคร่กลับมาแก้แค้นถักทะลีทีอ๋องผู้บิดา ถักทะลีทีอ๋องจึงไปเฝ้านมัศการพระยูไลยขอให้ช่วย พระยูไลยเจ้าจึงประทานพระเจดีย์วิเศษองค์หนึ่ง เจดีย์ทุก ๆ ชั้นมีพระสุระเสียงพระพุทธเจ้าเรียกชื่อโลเฉียทุกชั้น ตั้งแต่ได้พระเจดีย์วิเศษของพระยูไลยประทานมาแล้ว ความอาฆาฏจองเวรกับโลเฉียก็เสื่อมคลายจากกัน เพราะฉนั้นจึงมีนามว่า ถักทะลีทีอ๋องจนเท่าทุกวันนี้ เพราะฉนั้นเมื่อถักทะลีทีอ๋องเห็นโลเฉียเอาเกี่ยมออกขวางปะทะน่าก็สดุ้งกลัว จึงได้เชิญพระเจดีย์มาวางบนฝ่ามือแล้ว จึงร้องถามโลเฉียว่าลูกรักของบิดาลูกจะว่ากะไรหรือ จึงได้เอาเกี่ยมเข้ามาทัดทานดังนี้ โลเฉียทำคำนับแล้วตอบว่า บุตรหญิงของบิดามีอยู่จริง บัดนี้อยู่เมืองใต้ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่ามีที่ไหน ลูกของบิดารวมทั้งน้องสาวเจ้าสี่คนเท่านั้นจะมีที่ไหนอีกเล่า โลเฉียบอกว่าบิดาลืมเสียแล้วหรือ คือบุตรหญิงคนนั้นเปนปิศาจ เมื่อสามร้อยปีก่อนอยู่ที่เขาเล่งซัว ลักกัดกินดอกไม้ธูปเทียนน้ำมันของพระยูไลย ๆ จึงจับขังไว้ โทษของมันควรตีเสียให้ตาย พระยูไลยเจ้าจึงทรงเทศนาชี้แจงว่าหากขังน้ำไว้เลี้ยงปลาอยู่ เบ็ดตกเข้าในป่าเลี้ยงกวางอยากให้อายุมันยืน พระยูไลยแสดงคำอย่างนั้นแล้ว จึงยกชีวิตร์ให้สัตว์ปิศาจนั้น สัตว์ปิศาจนั้นจึงได้รู้ซึ่งคุณของพระยูไลยที่ได้รอดชีวิตร์ จึงไหว้บิดาว่าเปนบิดาของมัน ไหว้ข้าพเจ้าว่าเปนพี่ของมัน มันจึงทำป้ายจารึกชื่อบิดากับข้าพเจ้าบูชาอยู่เนือง ๆ แต่หาได้รู้ว่ามันเปนปิศาจยักษ์ร้ายฆ่าคนดังนี้ไม่ ท่านเห้งเจียเที่ยวค้นหาถึงที่อยู่แห่งมันจึงได้ป้ายแลหม้อไฟนั้นมาเปนของกลางดังนี้ แต่ปิศาจนั้นมันเปนบุตรเลี้ยงหาได้ร่วมครรภ์แก่ข้าพเจ้าไม่ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียเล่าเหตุผลต้นปลายดังนั้น จิตรใจให้สดุ้งหวาดเสียวจึงพูดว่า ความจริงบิดาลืมนึกไม่ได้ว่ามันชื่อใด โลเฉียบอกว่ามันมีสามชื่อๆ เดิมนั้นเรียกว่ากิมที้แป๊ะมัวเล่าชิ้วเจีย อีกชื่อหนึ่งเพราะลักกินธูปเทียนดอกไม้เปลี่ยนชื่อเรียกว่า ปั๊วเจี๊ยดกวนอิม บัดนี้อยู่เบื้องใต้เปลี่ยนชื่อว่าตี้ย้งฮูหยิน ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียชี้แจงก็นึกขึ้นได้ จึงวางพระเจดีย์ลงแล้วก็เดินมาแก้มัดให้เห้งเจีย เห้งเจียร้องว่าใครจะอาจมาแก้มัดเราได้ เราจะไปเฝ้าเง๊กเซียงฮ่องเต้ทั้งมัดอย่างนี้ พระองค์ทรงทราบเพื่อได้ชำระให้เราจงได้ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ มือแลเท้าก็อ่อนเปลี้ยลงทันที โลเฉียก็ยืนนิ่งไม่รู้ที่ว่าจะพูดประการใดได้ เห้งเจียเห็นได้ทีก็รุกร้นให้ถักทะลีทีอ๋องเข้าไปเฝ้า ถักทะลีทีอ๋องสิ้นปัญญาไม่รู้ที่ว่าจะแก้ตัวประการใด จึงอ้อนวอนไท้เป๊กกิมแชให้ช่วยแก้ไขอ้อนวอนเห้งเจีย ไท้เป๊กกิมแชได้ฟังถักทะลีทีอ๋องพูดอ้อนวอนจึงพูดว่า สารพัดการค่อย ๆ อย่ารุกร้นรีบร้อนจะเสียการ ก็นี่ท่านให้จับมัดแลเอาดาบมาจะฆ่าเธอ ข้าพเจ้าจะช่วยท่านอย่างไรได้ ถ้าจะคิดไปดูยังบุตรท่านเช่นโลเฉีย ที่พูดว่าบุตรเลี้ยงไม่ใช่บุตรเกิดในอุธร หากนับบุตร์เลี้ยงก็ต้องเกี่ยวข้องในวงษ์ญาติ จะปัตติเสดว่ามิใช่ญาติอย่างไรได้ ไท้เป๊กกิมแชพูดพลันก็เดินมาเอามือลูบเห้งเจียพูดว่า ใต้เซี้ยจงเห็นแก่หน้าข้าพเจ้าเถิด แก้มัดเสียก่อนจึงเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้จึงจะดี เห้งเจียพูดว่าท่านไม่ต้องแก้ ข้าพเจ้าเข้าไปทั้งมัดอย่างนี้ก็ได้ ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าทำไมเห้งเจียจึงทำใจจืดดังนี้เล่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าก็ได้ทำคุณแก่ท่าน ทีธุระของข้าพเจ้าท่านก็มิได้คิดถึงข้าพเจ้าบ้างเลยจะขอร้องบ้างท่านก็ไม่เชื่อฟังดังนี้ เห้งเจียว่าท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้าอะไรที่ไหน ไท้เป๊กกิมแชพูดว่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้ากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้ท่านได้ยศถึงซีเทียนใต้เซี้ยมิใช่หรือ ท่านไม่รักษาตัวจึงได้มีความผิด ข้าพเจ้าจะไม่มีความดีต่อท่านบ้างหรือ เห้งเจียว่าแม้ข้าพเจ้าจะไมทำการวุ่นวายดังนั้น ก็จะมิเสียการใหญ่หรือ เอาเถอะข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าท่าน จงบอกถักทะลีทีอ๋องให้แก้มัดเอง ถักทะลีทีอ๋องจึงเดินมาแก้มัดให้เห้งเจีย แล้วก็เชิญให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้กระทำคำนับขอโทษ เห้งเจียจึงพูดแก่ไท้เป๊กกิมแชว่าเหมือนดังข้าพเจ้าพูดหรือไม่ เมื่อแรกก็ทำแข็งแรง ครั้นแล้วก็ต้องอ่อนน้อม ไท้เป๊กกิมแชขอให้ถักทะลีทีอ๋องไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้โดยเร็ว แม้ช้าไปก็จะเสียการของอาจาริย์ข้าพเจ้า ไท้เป๊กกิมแชจึงบอกแก่ถักทะลีทีอ๋องให้รีบไปเฝ้า ถักทะลีทีอ๋องวิตกเกรงว่าเห้งเจียจะกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขึ้นก็ไม่มีทางแก้ตัวให้พ้นผิดได้ จนใจไม่รู้ที่จะคิดประการใด จึงอ้อนวอนขอให้ไท้เป๊กกิมแชช่วยแก้ไข ไท้เป๊กกิมแชจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าจะขอพูดสักคำหนึ่ง ท่านต้องเชื่อฟังข้าพเจ้า เห้งเจียพูดว่าเชือกก็มัดดาบก็จะลงฅอก็ได้เห็นแล้ว เอาเถอะข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าท่าน ท่านจะทูลว่ากะไรขอให้ท่านชี้แจงให้ข้าพเจ้าฟังจะว่าประการใด ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าซึ่งการฟ้องร้องวันหนึ่งกว่าจะแล้วก็ถึงสิบวัน ข้อที่ท่านกล่าวโทษว่าปิศาจเปนบุตรถักทะลีทีอ๋อง ๆ ก็มีทางแก้ตัวว่ามิใช่บุตร์ตัวของถักทะลีทีอ๋องคงจะไม่เสร็จได้ในวันหนึ่ง บนสวรรควันหนึ่งในมะนุษย์โลกก็เปนหนึ่งปีแล้ว แม้ว่าปีหนึ่งปิศาจจับถังซัมจั๋งข่มขืนอยู่ในถ้ำ อย่าว่าเปนผัวเมียกันเลยบางทีจะเกิดบุตร์เสียอีก เมื่อเปนดังนี้จะไม่เสียการใหญ่ไปหรือ เห้งเจียได้ฟังไท้เป๊กกิมแชพูดดังนั้นก็นิ่งนึกอยู่เปนนาน แล้วจึงพูดว่าท่านไท้เป๊กกิมแชข้าพเจ้าขอฟังคำท่านว่า จะเข้าเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ขอถอนฟ้องดีหรือ ๆ จะทำประการใดจึงจะดี ขอท่านได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบ ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าให้ถักทะลีอ๋องเตรียมพลทหารพร้อมด้วยเห้งเจียลงไปปราบจับปิศาจ ข้าพเจ้าจะนำลายพระหัตถ์กลับไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ทรงทราบ เห้งเจียถามว่าท่านจะกลับไปกราบทูลว่ากระไร ไท้เป๊กกิมแชว่าข้าพเจ้าจะกราบทูลว่าโจทย์หนีไปแล้ว ไม่ต้องชำระจำเลย เห้งเจียว่าท่านคิดดีแท้ ๆ กลับจะทูลว่าข้าพเจ้าหนี ถ้าท่านกับข้าพเจ้าจะกลับไปเฝ้าพร้อมกัน ให้ถักทะลีทีอ๋องยกทัพไปคอยอยู่ที่ประตูน่ำทีหมึงจะมิดีหรือ ถักทะลีทีอ๋องได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น มีความสดุ้งจิตร์หวาดเสียว จึงพูดแก่ไท้เป๊กกิมแชว่า หากเธอเข้าไปเฝ้ากราบทูบเง็กเซียงฮ่องเต้ ด้วยข้อละเมิดจะมิเปนการลุอำนาจมีความผิดหรือ เห้งเจียพูดว่าท่านถักทะลีทีอ๋องเห็นว่าเราเปนอย่างไรหรือ ข้าพเจ้าเปนผู้ใหญ่เมื่อได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว จะมากลับกลายคืนคำเสียนั้นจะหาเปนไปได้ไม่ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็มีความยินดีขอบใจเห้งเจีย จึงจัดเกรียมพลทหารพรักพร้อมแล้ว ก็ยกออกไปคอยอยู่นอกประตูน่ำทีหมึง ไท้เป๊กกิมแชกับเห้งเจียก็กลับไปเฝ้ากราบทูลว่า ปิศาจที่จับพระถังซัมจั๋งไปนั้นคือปิศาจ (กิมพี้แป๊ะม้อเล่าชื้อ) แปลว่าหนูเผือกแอบเอาชื่อถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียไปทำการบูชา ถักทะลีทีอ๋องทราบเรื่องมีความโกรธบัดนี้ยกทัพไปปราบแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษนั้นเถิด ฮ่องเต้ก็ทรงพระอนุญาตให้ เห้งเจียถวายบังคมลาออกจากเล่งเซียวเต้ย ไปยังน่ำทีหมึงเข้าสมทบกับถักทะลีทีอ๋องแลโลเฉีย ก็ยกพลโยธาลงมายังเขาฮั้มคังซัว
ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งนั่งคอยอยู่ที่ปากถ้ำ แลไปเห็นเห้งเจียกับถักทะลีทีอ๋องแลโลเฉียพลทหารเทพบุตรก็ดีใจ เดินมาต้อนรันเชิญมายังปากถ้ำ ถักทะลีทีอ๋องว่าไม่เข้าให้ถึงเสือที่ไหนจะจับลูกเสือได้ ผู้ใดจะเข้าไปก่อน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะเข้าไปก่อน โลเฉียไทจื๊อว่าข้าพเจ้าเปนผู้ได้รับอาญาสิทธิ์ปราบปิศาจ ควรจะต้องให้ข้าพเจ้าเข้าไปก่อน โป๊ยก่ายร้องขึ้นว่าการหัวน่านั้นข้าพเจ้าจะรับธุระเอง ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดว่าท่านทั้งหลายอย่าวุ่นวายกันข้าพเจ้าจะจัดให้ คือให้เห้งเจียกับโลเฉียยกพลลงไป ข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่คอยระวังที่ปากถ้ำ คอยระวังทั้งสองทางอย่าให้มันหนีได้ เห้งเจียแลคนทั้งหลายได้ฟังถักทะลีทีอ๋องชี้แจงดังนั้น ก็พร้อมกันตามคำบัญชาของแม่ทัพ เห้งเจียกับโลเฉียก็ยกพลลงไปในถ้ำ เดินเข้าไปยังที่อยู่ของปิศาจ แลแยกย้ายกันเที่ยวค้นหาในถ้ำทุก ๆ แห่ง ก็มิได้เห็นปิศาจยักษ์มารอยู่ที่ไหน เห้งเจียออกปากด่าว่าอีมารร้ายเห็นจะหนีออกไปแล้วดอกกระมัง อันถ้ำนี้กว้างขวางนักจะรู้ว่ามันจะไปแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ที่ไหน ก็พากันเที่ยวค้นหาไปจนทั่ว แลไปที่มุมศิลาเห็นมีเปนฉวากเข้าไป แลไปดูในนั้นมืดอยู่ข้างทิศอาคะเน เข้าไปใกล้เห็นมีประตูน้อยเรือนกะท่อมน้อยหลังหนึ่ง ในบริเวณนั้นก็ปลูกแต่ต้นไม้ที่มีดอกหอม ข้างนั้นมีราวไม้ทอดขวางสองสามอันมีควันขึ้นฉิว ๆ ออกกลิ่นหอม คือนางปิศาจพาพระถังซัมจั๋งเข้ามาแอบอยู่จะใคร่ข่มขืนให้ร่วมประเวนี นางปิศาจจึงพูดถึงเห้งเจียว่าถึงจะลงมาตามก็จะไม่พบ ถ้าลงมาแล้วก็นึกว่าเอาชีวิตร์มาทิ้งเสียเถิด ข้างฝ่ายพวกปริวารของนางปิศาจ ก็ต่างคนระริกระรี้รื่นเริง ขะณะนั้นปิศาจน้อยตนหนึ่งออกมามองที่ประตูถ้ำ ก็บังเอินพบพวกพลทหาร ๆ จึงร้องบอกกันว่า พวกปิศาจมันซ่อนอยู่ในนี้ เห้งเจียได้ยินก็ถือตะบองเหล็กตรงเข้าไปในนั้นอันเปนที่ช่องแคบ พวกปิศาจอยู่ในนั้นทั้งสิ้น พวกทหารก็กรูกันเข้าไปกั้นไว้ เห้งเจียก็เข้ารับพระอาจาริย์แลถุงย่ามกับม้าออกไป
ฝ่ายนางปิศาจเห็นดังนั้น คิดจะหนีก็ไม่มีทางที่จะไปได้ แลเห็นโลเฉียไทจื๊อก็คุกเข่าลงคำนับอ้อนวอนร้องขอชีวิตร์ โลเฉียจึงพูดว่าเราถืออาญาสิทธิ์มาจับเจ้ามิใช่การเล็กน้อย เพราะเราพ่อลูกได้รับสักการะบูชาของเจ้า จึงได้เกิดเหตุใหญ่ พูดแล้วโลเฉียจึงสั่งให้พลทหารเข้าจับนางปิศาจมัด พาตัวขึ้นมายังปากถ้ำ เห้งเจียก็พาพระอาจาริย์กับม้าแลถุงย่ามขึ้นมายังปากถ้ำ
ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแลเห็นโลเฉียแลเห้งเจียกลับออกมาก็มีความยินดี เห้งเจียจึงพาอาจาริย์มาคำนับถักทะลีทีอ๋อง โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งจะใคร่ผ่าอกอีปิศาจ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า ซึ่งจะทำดังนั้นหาควรไม่ ด้วยโปรดให้ข้าพเจ้าลงมาจับปิศาจ จำจะต้องนำตัวขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ กราบทูลให้ทราบก่อน ถักทะลีทีอ๋องโลเฉียก็คำนับลาพระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแล้ว ก็ขับพลรีบเหาะกลับไปยังสวรรค์ พระถังซัมจั๋งก็ขึ้นม้าเก็บเข้าของออกเดินพร้อมกันกับพวกสานุศิษย์ทั้งสาม