๖๕

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม เวลานั้นก็ออกจากหนามรกแล้ว ฤดูนั้นเปนฤดูร้อนกำลังเดินแลไปข้างหน้า เห็นภูเขาสูงยอดเทียมเมฆ จิตรใจให้สดุ้งหวาดเสียว เห้งเจียแบกตะบองออกน่านำทางขึ้นเขา พอข้ามเขาเดินลงได้ถึงเขามีที่ลาด ก็แลเห็นรัศมีสว่างมีเมฆหมอกปกคลุม เห็นมีห้องหอสูงลิ่ว แลได้ยินเสียงระฆังดังหง่าง ๆ พระถังซัมจั๋งบอกให้พวกสานุศิษย์ดูว่าจะเปนที่แห่งใดแน่ เห้งเจียชะเง้อไปดูโดยละเอียดแล้ว บอกแก่พระอาจาริย์ว่าที่นั้นเปนที่พระอารามใหญ่ แลมีรัศมีงดงามยิ่งนัก แต่เหตุใดมีสีเมฆร้ายเข้าไปปกคลุมอยู่ แต่พิเคราะห์ดูเหมือนจะเปนวัดลุ่ยอิมยี่ แต่หนทางนั้นผิดไป หากพวกเราไปถึงอย่าทำมักง่ายเข้าไป วิตกจะถูกมือร้ายจะทำเอา พระถังซัมจั๋งว่า ที่นี่เปนวัดลุ่ยอิ่มยี่ ก็คือที่เขาเล่งซัว เห้งเจียจะจำผิดไปดอกกระมัง

เห้งเจียพูดว่ามิใช่เขาเล่งซัว เขาเล่งซัวข้าพเจ้าเคยไปสองหนแล้ว มิใช่ที่ตรงนี้ ซัวเจ๋งพูดว่าไม่ใช่เราก็ต้องไปทางนั้น เมื่อถึงเข้าแล้วเราก็คงจะรู้ได้แน่ เห้งเจียว่าน้องพูดถูก พระถังซัมจั๋งก็รีบขับม้ามาถึงน่าวัดแลเข้าไปก็เห็นนามวัดว่าลุ่ยอิมยี่สามตัวอักษร พระถังซัมจั๋งก็ลงจากหลังม้า ปากก็ด่าบ่นว่าเห้งเจียอ้ายชาติลิง ก็นี่วัดลุ่ยอิมยี่แน่แล้ว ยังจะพูดโยนยาวหลอกเราต่อไปอิกเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อาจาริย์อย่าเพ่อวุ่นวายท่านจงดูบนประตูมีหนังสือสี่ตัวท่านมาหลงว่าสามตัว กลับมาโกรธข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งเหลียวไปดูเห็นอักษรสี่ตัวว่าวัดเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ พระถังซัมจั๋งว่าหากเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ก็จริง แต่คงจะมีพระพุทธเจ้าเข้าอยู่ในนั้น ในคำภีร์มีกล่าวว่ามีพระสามพันองค์คงจะอยู่ทิศหนึ่ง พระโพธิสัตว์กวนอิมน่ำไฮ้ พระโพ้เฮี้ยนอยู่เขางอมี่ซัว พระบุญซั่วอยู่เขาท้ายเง้าซั่วนี่ไม่รู้ว่าพระองค์ใดอยู่ในวัดนี้ โบราณท่านย่อมว่ามีพระพุทธก็คงมีพระธรรม ทิศไหนจะไม่มีของวิเศษบ้างเล่า จำเราจะต้องเข้าไปดู เห้งเจียห้ามว่าไม่ควรจะเข้าไป พิเคราะห์อาการจะร้ายมากกว่าดี หากเกิดเหตุขึ้นอย่าโทษข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมาตั้งใจจะนะมัศการพระจะโกรธเห้งเจียทำไม จึงเรียกโป๊ยก่ายเอาผ้ากาสาวภัตรมาครองแล้ว สำรวมกิริยาเดินเข้าไปยังโบถใหญ่ ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกว่าถังซัมจั๋งอุสาห์มาจากเมืองไกล นะมัศการพระพุทธเจ้าของเรา ทำไมยังมีจิตรเกียจคร้านอยู่เล่า

พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็เข้าไปทำเคารพนะมัศการ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็คุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น เห้งเจียเก็บเข้าของแลจูงม้าเข้าไปทิีหลัง วางของกับม้าอยู่ข้างนอก เห้งเจียก็เข้าไปในประตูแลไปก็เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่ท่ามกลาง ข้างรอบนั้นมีพระอะระหันต์แลเทพยดาเทพารักษ อุบาสกอุบาสิกากับทั้งท้าวจัตุโลคบาลแวดล้อมเรียงรายเปนดำดับ เครื่องบูชาธูปเทียนดอกไม้หอมระรื่น พระถังซัมจั๋งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ทำเคารพนบนอบโดยความเรียบร้อย ยังแต่เห้งเจียยืนดูอยู่ยังไม่ลด ก็ได้ยินเสียงพูดว่าเห้งเจียเข้ามาเฝ้าพระองค์ทำไมจึงไม่ทำนะมัศการเล่า เห้งเจียพิจารณาดูโดยละเอียดก็รู้ได้ว่าปิศาจแปลงปลอมบันดานให้เหมือนพระพุทธเจ้า จึงชักตะบองออกชี้ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายพวกปิศาจมารร้าย มึงช่างใจโตอาจสามารถแปลงปลอมเปนพระพุทธเจ้า ให้เปนที่เสื่อมเสียเกียรติยศของพระองค์ สองมีือถือตะบองตรงเข้าไปจะตีปิศาจ ก็พอได้ยินเสียงบนอากาศดังฉิ่งฉ่างตกลงมาเปนฉาบคู่หนึ่ง ตรงเข้ารวบหัวรวบหางจับเห้งเจียติดอยู่ในฉาบนั้นออกมิได้ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นดังนั้นต่างก็จับเครื่องมือ พวกอะระหันต์เทวดาเหล่านั้นช่วยกันเข้าล้อมจับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ๆ เสียถ้าถูกพวกเหล่านั้นจับมัดได้ทั้งสองคน ทั้งพระถังซัมจั๋งมันก็ยึดไว้ เอาเชือกมัดสอดทั้งสามคนผูกติดไว้กับเสา อันความจริงที่แปลงเปนพระพุทธเจ้านั้นก็ปิศาจใต้อ๋อง พวกสาวกบริวารเหล่านั้นคือปิศาจบริวารทั้งสิ้น ครั้นแล้วปิศาจใต้อ๋องก็กลับเปนรูปเดิม สำนักกลายเปนที่อยู่ของปิศาจทั้งสิ้น เห้งเจียติดอยู่ในฉาบ ก็เอาขึ้นไว้บนหอสูง กำหนดสามวันสามคืนก็จะแปรเปนน้ำหนอง ยังอีกสามคนนั้นเราจึงค่อยต้มกินเมื่อภายหลัง พวกปิศาจก็มาเปลื้องเอาผ้ากาษาวะภัตรของพระถังซัมจั๋งออกเก็บยัดใส่หาบแล้ว ก็เอาไปเก็บซ่อนไว้ในห้องลับ ฝ่ายเห้งเจียติดอยู่ในฉาบมืดมัวแลไม่เห็นฟ้าดิน อบร้อนเสโทไหลซึมทราบไปทั้งตัว ดิ้นรนกระทุ้งซ้ายกระแทกขวาก็ไม่ออกได้ เอาตะบองเหล็กตีก็ไม่ออกได้ จึงคิดว่าจำเราจะยืดตัวให้หลุดอออกจากฉาบ จึงร่ายคาถาตัวก็ยืดสูงขึ้นสักพันวา ฉาบก็ยืดตามตัวขึ้นไปเหมือนกัน เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงเอาตะบองเหล็กร่ายคาถาเป่าให้เปนสะหว่านแหลมไชยลงสักพันหนก็ไม่ทะลุได้ เห้งเจียก็สิ้นความคิด จึงร่ายคาถาเรียกเทพยดาเจ้าเอี๊ยดที้ แลหมู่เทพาอารักษ์ลักเต็งลักกะกับหมู่เจ้าที่รักษาธรรมก็มาพร้อมกันที่ฉาบนั้น ถามว่าท่านใต้เซียเรียกพวกข้าพเจ้ามามีธุระอะไรหรือ พวกข้าพเจ้าคอยระวังรักษาอาจาริย์อยู่แล้ว เห้งเจียบอกว่าอาจาริย์ไม่เชื่อฟังเราห้ามถึงจะตายก็โทษใครไม่ได้ แต่พวกท่านต้องคิดอ่านเอาเราออกแล้วจึงค่อยหาอุบายแก้ไข อยู่ในฉาบนี้อบร้อนไม่เห็นแสงสว่างอย่างนี้จะเปนอันตรายแก่ชีวิตรเปนแน่

หมู่เทพยดาอารักษ์ ลักเต็งลักกะช่วยกันง้างฉาบก็มิได้ไหวสะเทื้อน หมู่เทพาอารักษ์ทั้งหลายจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ฉาบนี้ไม่ทราบว่าจะเปนของวิเศษอย่างไร พวกข้าพเจ้าช่วยกันคัดก็ไม่ออก สุดกำลังที่จะช่วยท่านได้ เจ้าเอี๊ยดที้จึงให้ลักเต็งคอยรักษาพระถังซัมจั๋ง ให้ลักกะคอยอยู่รักษาฉาบ หมู่เจ้าคอยล้อมลาดตระเวร ตัวเจ้าเอี๊ยดที้เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง ครั้นถึงก็ตรงเข้าไปยังปราสาทเหลงเซียวเต้ย เห็นเง็กเซียงฮ่องเต้ประทับอยู่บนเทวะบัลลังก์ทำคำนับแล้วก็กราบทูลว่า ข้าพเจ้าเอี๊ยดที้ขอกราบทูลพระองค์ได้ทรงทราบ ด้วยบัดนี้ซีเทียนใต้เซียรักษาพระถังซัมจั๋งไปอาราธนาพระธรรมยังประเทศไซที ข้ามมาถึงตำบลเขาเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ถูกมารปิศาจร้ายจับไว้ทั้งศิษย์แลอาจาริย์ ซีเทียนใต้เซียอยู่ในฉาบวิเศษออกมิได้ เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงมากราบทูลให้พระองค์ทรงทราบจะโปรดปรานประการใด

เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้เทพยดาดาวยี่สิบแปดดวงรีบยกลงไปช่วยพระถังซัมจั๋งโดยเร็ว หมู่ดาวยี่สิบแปดดวงได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็พร้อมกันถวายบังคมลา พร้อมกับเจ้าเอี๊ยดที้ออกจากเหลงเซียวเต้ย ตรงประตูน่ำทีหมิึง เหาะลงมายังวัดเซี้ยวลุ่ยอิมยี่เมื่อเวลามาถึงวัดได้สองยามเสศ พวกปิศาจทั้งหลายพากันนอนหลับไปทั้งสิ้น หมู่ดาวทั้งหลายก็มาพร้อมกันที่ฉาบนั้น บอกว่าใต้เซีย บัดนี้เง็กเซียงฮ่องเต้ ให้พวกข้าพเจ้าดาวยี่สิบแปดดวงมาช่วยท่าน

เห้งเจียว่า พวกท่านจงรีบลงมือกระทำการทุบฉาบนี้ให้แตกละเอียดข้าพเจ้าจึงจะออกได้ หมู่ดาวบอกว่า ข้าพเจ้าไม่อาจทุบเพราะฉาบนั้นเปนสิ่งของประกอบหากทุบมันก็จะดังขึ้น ถ้าดังขึ้นแล้วพวกปิศาจมันตกใจตื่นก็จะลำบาก ท่านจงคอยรอพวกข้าพเจ้าจะเจาะไชให้ทะลุ ถ้ามีรูลมเข้าได้ท่านจึงจะออกได้ เห้งเจียว่าดีแล้ว ข้าพเจ้าจะคอย หมู่ดาวทั้งหลายก็ออกแรงช่วยกันเจาะแลไชก็ไม่สามารถจะให้ทะลุได้ เห้งเจียอยู่ในฉาบก็ค่อยหันซ้ายหันขวาดูแสงสว่างก็มิได้เข้าไปได้ จึงดาวกังกิมเล้งพูดว่าใต้เซีย ข้าพเจ้าคิดดูว่าของสิ่งนี้ เปนยู่อี่วิเศษอาจเปลี่ยนแปลงได้ ท่านอยู่ข้างในคอยคลำดูตามรอยปะกับ ข้าพเจ้าจะเอาเขาแยงเข้าไป ถ้าถึงข้างในท่านจึงแปลงตัวตามออกมา เห้งเจียว่าดีแล้ว ๆ ดาวกังกิมเล้งจึงแปลงตัวเปนเขาแหลม แล้วก็ไชตามรอยปะกับเข้าไปทะลุตลอดในจึงร้องให้ใหญ่เท่าปากชามปากไปล่ รอยปะกับก็เคลื่อนตามเขา เห้งเจียอยู่ข้างในคลำไปคลำมาถูกปลายเขาร้องว่าเห็นจะไม่เปนการไม่มีอะไรอาไศรยจะออกอย่างไรได้ เห้งเจียจึงเอาตะบองแปลงเปนหมุดแหลมเจาะยอดเขาพอเปนรูนิดหนึ่ง ตัวเห้งเจียก็แปลงเท่าเมล็ดพรรณผักกาดก็เข้านั่งในรู้นั้นแล้ว ก็ร้องให้ชักเขาออกเถิด กังกิมก็ชักเขาหลุดออกมา เห้งเจียก็กระโดดออกจากรูเขา กลายกลับเปนรูปเดิมชักตะบอกตีฉาบทีหนึ่ง เสียงดังดุจเขาทองแดงทะลาย ฉาบก็ป่นละเอียดตั้งพันชิ้น เจ้าเอี๊ยดที้กับดาวทั้งหลายก็สะดุ้งใจทุกคน

พวกปิศาจกำลังนอนหลับก็พากันตกใจตื่นทุกตน ใต้อ๋องปิศาจผุดลุกขึ้นเอาเสื้อสรวมตัวแล้ว วิ่งไปที่กองประชุมพล ต่างก็ถือเครื่องสาตราอาวุธเวลานั้นก็พอสว่างแจ้ง พากันตรูเข้าล้อมหอ เห็นเห้งเจียกับหมู่เทพยดาเทพารักษ์ กำลังห้อมล้อมอยู่ข้างฉาบนั้น ปิศาจเห็นดังนั้น ก็ตกใจยิ่งนักจึงให้พวกปิศาจบริวารปิดประตูชั้นนอกชั้นในแน่นมิให้เข้าออกได้ เห้งเจียก็พาพวกเทวดาเหาะขึ้นอยู่บนอากาศ พวกปิศาจเก็บรวบรวมฉาบแตกนั้นแล้ว ก็เรียงรายยังประตู ปิศาจใต้อ๋องแต่งตัวเสร็จแล้ว มือถือแผ่นเหล็กเดินออกมาจากที่ ตะโกนร้องเรียกว่า เฮ้ยอ้ายเห้งเจีย ถ้ามึงเปนลูกผู้ชายจริงจะหนีไปห่างไกลทำไม จงลงมาลองฝีมือกันสักพักหนึ่งจะได้เห็นว่าใครดีแลชั่ว

เห้งเจียก็พาหมู่เทพยดาลงมายังพื้น ถือตะบองตรงมาชี้น่าว่า มึงเปนชาติปิศาจมารร้ายอะไรที่ไหน อาจสามารถแปลงปลอมเปนพระพุทธเจ้า แลจัดทำเปนวัดวาอารามดังนี้ ด้วยมีประสงค์อย่างไร ปิศาจใต้อ๋องตอบว่า อ้ายลูกลิงยังไม่รู้นามของเรา เพราะฉนั้นจึงอาจสามารถมาทำโอหังดังนี้ ตำบลนี้เรียกเซี้ยวไซที เรารักษาปฏิบัติจนสำเร็จ ฟ้าจึงบันดานมีห้องหออันวิเศษให้เรา นามของเราคืออึ้งไบ๋เล่าฮุด ชนทั้งหลายไม่รู้จึงเรียกว่า อึ้งไบ๋ใต้อ๋อง เราได้ทราบข่าวมานานแล้วว่า เจ้าจะมาทางนี้เพื่อจะไปไซที มีฝีมือปรากฎเชี่ยวชาญ เพราะฉนั้นจึงบันดานให้เปนวัดวาอารามลวงให้อาจาริย์เจ้าเข้ามา เพื่อจะใคร่ลองฝีมือแก่เจ้า หากว่าเจ้าชะนะเรา เราจะป้องกันรักษาไปให้ตลอดสำเร็จซึ่งมรรคผล หากไม่ชะนะเรา เราจะจับพวกเจ้าตีเสียให้ตายเราจะไปหาพระพุทธเจ้า อาราธนาธรรมกลับไปเมืองใต้ถังเพื่อสำเร็จมรรคผล

เห้งเจียได้ฟังจึงหัวเราะ แล้วพูดว่าอ้ายปิศาจมึงอย่าพูดอวดตัว แม้มึงอยากจะลองฝีมือก็จงมารบกันเถิด ว่าแล้วต่างคนก็เข้ารบกันได้ประมาณห้าสิบเพลงยังไม่แพ้ชะนะกัน พวกปิศาจก็พากันโห่ร้องตีม้าฬ่อตีกลองออกอึกกะทึกกึกก้องโกลาหน พวกเจ้าเอี๊ยดที้กับเทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายก็ยกอาวุธขึ้นโห่ร้อง เข้าล้อมปิศาจใต้อ๋องตกอยู่ในท่ามกลาง แต่ปิศาจก็มิได้สะดุ้งหวาดหวั่น มือหนึ่งถือป้ายคอยรอรบ มือหนึ่งก็ล้วงเอาถุงผ้าขาวออกมาถุงหนึ่ง คว่างขึ้นบนอากาศ ถุงนั้นก็ช้อนตักเอาพวกเทพยดาแลเห้งเจียเข้าอยู่ในถุงทั้งสิ้น ปิศาจก็เรียกถุงกลับคืนไปยังที่ ให้พวกปิศาจเอาเชือกปอมาแล้ว จับลากออกมามัดคนละคน หิ้วเอาไปทิ้งไว้ที่ดินเสร็จแล้วปิศาจใต้อ๋องก็จัดโต๊ะมาเลี้ยงกันเปนที่สำราญรื่นเริงจนเวลาพลบค่ำก็พากันไปหลับนอน

ฝ่ายเห้งเจียต้องมัดนอนกลิ้งอยู่กับดินพอเวลาดึกครึ่งคืนก็ใช้วิชาซ่อนตัว ให้ตัวเล็กลงแล้วก็ลอดออกจากเชือกมัด เดินเข้าไปใกล้พระถังซัมจั๋ง เรียกพระอาจาริย์คำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งจำเสียงได้ว่าเห้งเจีย จึงร้องเรียกสานุศิษย์ว่าให้ช่วยเราด้วย ต่อไปเราไม่กล้าขัดขวางแล้ว เห้งเจียจึงแก้พระอาจาริย์ออกก่อนแล้วแก้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งออก แล้วจึงแก้หมู่เทพยดาแลดาวเอี๊ยดที้กับลักเตงลักกะออกทั้งสิ้น ก็จูงม้ามาให้พระอาจาริย์ขี่ให้รีบไปโดยเร็ว พอออกจากประตูก็พอนึกขึ้นได้ว่า หาบใส่เข้าของนั้นไม่รู้ว่ามันเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน ก็กลับเข้าไปค้นหา กังกิมเล้งพูดว่า ช่วยอาจาริย์ออกได้แล้วก็ควรจะรีบไป จะห่วงเข้าของทำไม เห้งเจียบอกว่าของสำคัญไม่เอาไปไม่ได้ คือบาตแลของวิเศษม้ากาษาวะภัตรแลหนังสือเดินทางอยู่ในห่อ เปนของสำหรับตัวในทางพระสงฆ์จะทิ้งไปมิได้ โป๊ยก่ายพูดว่า พี่กลับไปหาข้าพเจ้าจะออกไปคอยที่ต้นทาง

ฝ่ายพวกเทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายก็คอยป้องกันรักษาพระถังซัมจั๋ง บันดานฤทธานุภาพเปนลมพะยุห์หอบส่งข้ามพ้นที่นั้น เดินลงไปเนินชายเขา ก็พากันพักหยุดรอคอยเห้งเจียอยู่ เวลานั้นก็เข้ายามสามเห้งเจียย่องกลับเข้าไปข้างใน เห็นประตูปิดทุกประตู เห้งเจียก็แปลงเปนค้างคาวลูกหนูบินลอดเข้าไปตามช่องกระเบื้องแลขึ้นไปก็เห็นที่ชั้นสูงมีแสงสว่าง เห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้พิจารณา ก็เห็นห่อของมีแสงเปนรัศมีออก เห้งเจียเห็นแล้วก็ดีใจแปลงกลับเปนรูปเดิมเอาของใส่บ่ารีบเดินออกมา บังเอินหลุดตกลงข้างหนึ่งกระทบพื้นเสียงดัง ปิศาจใต้อ๋องนอนอยู่ชั้นสูง ก็ตกใจลุกขึ้นเรียกพวกบริวารให้จุดไฟมาส่องดูว่าจะเปนเสียงอะไรที่ไหน พวกปิศาจเหล่านั้นก็จุดไฟเที่ยวค้นหา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็วิตกจะเอาห่อของไปมิได้ จึงลอดออกทางน่าต่างหนีไป

ฝ่ายปิศาจใต้อ๋องให้ค้นหาก็มิได้เห็นสิ่งใด จึงรู้ว่าพระถังซัมจั๋งหนีไป เวลานั้นก็จวนสว่างปิศาจเรียกบริวารให้ริีบไปตามพระถังซัมจั๋ง ครั้นมาทันเข้าก็เห็นหมู่เทพยดาเทพารักษ์อยู่เปนกลุ่มหยุดพักที่ชายเขา ปิศาจร้องตวาดว่าจะหนีไปข้างไหน ดาวกั๊กบอกเการ้องสั่งว่าพวกเราจงเตรียมอาวุธให้พร้อมมือ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็จับเครื่องมือคอยท่าอยู่ พร้อมกันตรงเข้าประจันบานแก่ปิศาจ ฝ่ายปิศาจอึ้งไบ๋ใต้อ๋อง แลเห็นดังนั้นก็ทำเปนหัวเราะ เรียกพวกบริวารให้เข้ารบรุกบุกบั่น รบกันเปนตลุมบอนยังหาแพ้ชะนะกันไม่ ได้ยินเสียงเห้งเจียร้องว่าข้าพเจ้ามาแล้ว เวลานั้นหมู่ดาวแลเทพบุตรเจ้าเอี๊ยดที้ เจ้าแก่ลั้มลักเตงลักกะชุลมุนอยู่ในที่รบ อึ้งไบ๋ถือป้ายเหล็กตีเข้ามา

ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามคน กระโจมเข้าตีสกัดอึ้งไบ๋ ๆ เอาป้ายเข้ารับ ต่างมีฝีมือเข้มแข็งด้วยกันทั้งสองฝ่าย รบกันจนมืดฟ้ามัวฝนตั้งแต่เวลาเช้าจนค่ำ ปิศาจอึ้งไบ๋เห็นเวลาค่ำแล้ว ก็ถอดถุงออกจากเอว เห้งเจียแลเห็นร้องว่าไม่ได้การ ก็กระทำปาฏิหารเหาะขึ้นแอบอยู่บนกลีบเมฆ แต่หมู่เทพบุตรทั้งหลายเหล่านั้นก็มิได้รู้เหตุการ ปิศาจก็เอาถุงคว่างขึ้นไป ก็รวบช้อนเอาพวกของเห้งเจียเข้าไว้ทั้งสิ้น อึ้งไบ๋ได้ทีแล้วก็พาบริวารกลับวัด ครั้นถึงแล้วก็ให้เอาเชือกมามัดไว้ตามเดิม เอาพระถังซัมจั๋งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งขึ้นแขวนไว้ หมู่เทพยดาให้เอาเข้าห้องมืดลั่นกุญแจขังไว้ ฝ่ายเห้งเจียเมื่อหนีพ้นไปแล้ว เห็นปิศาจยกกลับไปก็นึกรู้ว่าพวกเราเห็นจะต้องปิศาจจับไปแล้ว จึงลงมายังข้างเขาทิศตวันออก นั่งคิดแค้นพวกปิศาจแลร้องไห้ คิดถึงอาจาริย์ว่าท่านสร้างกรรมเวรมาอย่างไร จึงได้เปนเหตุการได้รับแต่ความยากมิได้หยุดเลย สุดที่จะพรรณา เห้งเจียนั่งคร่ำครวญอยู่แต่ผู้เดียวประมาณครู่หนึ่ง จิตรระงับนึกขึ้นได้เอาใจถามใจตัวเองว่า อ้ายปิศาจนี้มันมีถุงนั้น รู้ว่าเปนของวิเศษอะไรจึงใส่ของได้มากดังนั้น ครั้นเราจะไปขอพลบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้ก็จะกริ้วเอา นึกขึ้นได้ว่าท่านจินบู๊ตึงซัว ตั๊นมอเทียนจุน เราไปเชิญท่านมาช่วยอาจาริย์สักครั้งหนึ่งเห็นจะดี

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ