๔๕

ฝ่ายเห้งเจียนั่งอยู่ท่ามกลาง มือขวาจับซัวเจ๋งมือซ้ายจับโป๊ยก่ายกระชุ่นให้รู้สึกว่าคนมา โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็รู้สึก จึงนั่งนิ่งไม่พูดจาว่ากระไร คอยแลดูพวกเต้าหยินว่าจะทำประการใด พวกเต้าหยินเอาไฟเที่ยวส่องดูข้างหน้าข้างหลัง เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งนั่งนิ่งดุจรูปอิฐรูปปูน เฮาลัดอาจาริย์พูดว่า ไม่มีคนพาลที่ไหนมา ทำไมผลไม้แลเครื่องบูชาจึงหมดสิ้นไปดังนี้ ลกลัดอาจาริย์พูดว่าดูดุจคนกิน แม้ว่าคนกินก็คงทิ้งเมล็ดทิ้งเปลือก นี่ทำไมจึงหมดไปดังนี้ แล้วก็ไม่เห็นมีคน เอี๋ยวลัดอาจาริย์พูดว่า ท่านพี่ทั้งสองอย่าสงไสยคิดดูว่าพวกเราตั้งจิตรสวดมนต์ จึงร้อนขึ้นไปถึงพรหมทั้งหลายนี่คือท่านซัมเซงลงมารับของบูชาเปนแน่ เวลานี้ท่านกำลังอยู่เราขอน้ำมนต์ต้มยากิน แลจะได้ถวายพระเจ้าแผ่นดินจะไม่ดีหรือ พวกเราจะได้มีความชอบในพระเจ้าแผ่นดิน

เฮาลัดใต้เซียนอาจาริย์ใหญ่พูดว่า คิดดังนั้นเห็นจะถูกต้อง จึงเรียกศิษย์ให้ตีเครื่องสัญญาประโคม แลให้ไปเอาเสื้อผ้าเครื่องจะเข้าพิธี แลคอยรอเราทำการบวงสรวงเชิญแล้ว จึงค่อยพร้อมกันสวดมนต์ เต้าหยินทั้งหลายรับคำสั่งแล้วก็พากันจัดแจงรอคอยอยู่พร้อมกัน สวดคัมภีร์เซียนไสยสาตรได้จบหนึ่ง เฮาลัดใต้เซียนแต่งตัวแล้วก็ยืนอยู่ท่ามกลาง ทำการบวงสรวงเคารพเชิญ แล้วก็คุกเข่าลงคำนับขอน้ำทิพย์จะได้ถวายพระเจ้าแผ่นดิน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นในใจให้กระสับกระส่ายกระซิบบอกแก่เห้งเจียว่า นี่พวกเรากินแล้วยังไม่ไป ถ้าเขาบวงสรวงแล้วจะขออะไรเราจะทำอย่างไร เห้งเจียสะกิจมิให้โป๊ยก่ายพูด แล้วจึงออกปากพูดว่า พวกท่านทั้งหลายอย่าเพ่อขออะไรเลย เรามาจากที่ประชุมเลี้ยงชมภู่แล้วก็เลยมา มิได้ติดน้ำมนต์ทิพย์แลยาก็มิได้เอามา วันอื่นจึงจะเอามาให้ พวกเต้าหยินได้ยินเสียงพูดดังนั้น ต่างตกประหม่าตัวสั่นไปทุกคน พูดว่าท่านเอี๊ย ๆ ลงมาจากสวรรค์แล้ว ขอท่านอย่าทิ้งซึ่งธรรมพิเศษที่ให้อายุยืนนานเลย ลกลัดเต้าหยินเดินเข้ามาอ้อนวอนว่า ขอท่านจงไว้น้ำมนต์ทิพย์ให้พวกข้าพเจ้าอายุยืนนานด้วย ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นจึงสกิดเห้งเจียกระซิบว่า พวกเต้าหยินจะรีบรัดขอเอาอย่างนี้ เห้งเจียว่าจะต้องให้เขา

ฝ่ายพวกเต้าหยินทำการบวงสรวงแล้ว เห้งเจียจึงออกปากพูดว่าไม่ต้องกราบไหว้วุ่นวาย เราไม่อยากได้ไหว้ แต่วิตกว่าจะเสียการพิธี ครั้นจะให้ก็เปนที่ง่ายนัก พวกเต้าหยินได้ฟังดังนั้น จึงพร้อมกันกราบลงกับพื้น อ้อนวอนว่าขอท่านได้เห็นแก่พวกข้าพเจ้าซึ่งได้มีใจเคารพดังนี้ ขอได้โปรดให้พวกข้าพเจ้าได้ตามความประสงค์แล้ว พวกข้าพเจ้าจะกราบทูลเจ้าแผ่นดินให้เคารพนับถือในคัมภีร์ไสยสาตรทั่วไป เห้งเจียพูดว่า ถ้ากระนั้นจงเอาของมาใส่เถิด พวกเต้าหยินได้ฟังดังนั้น ต่างก็เคารพกราบลงพร้อมกัน ใต้เซียนทั้งสามให้เอาอ่างใหญ่มาตั้งไว้ บ้างก็เอากระถางใหญ่แลขวดดอกไม้มาตั้งไว้เสร็จแล้ว เห้งเจียจึงพูดว่า พวกเจ้าจงออกไปคอยนอกหับบานประตูเสีย พวกเต้าหยินได้ฟังสั่งต่างก็พากันถอยออกไปข้างนอก คุกเข่าคอยท่าอยู่ข้างน่าลาน เห้งเจียเห็นพวกเต้าหยินออกไปข้างนอกหมดแล้ว จึงลุกยืนขึ้นถกผ้าหนังเสือขึ้นแล้ว ก็เยี่ยวใส่ในขวดดอกไม้เต็มทั้งสองขวด โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าวันนี้เราจะต้องให้เขาบ้าง จึงยืนขึ้นถกกางเกงเยี่ยวออกซ่า ๆ ดุจเทน้ำลงกระดาน เยี่ยวใส่กระถางใหญ่เต็มกระถาง ซัวเจ๋งก็เยี่ยวใส่อ่างไว้เต็มอ่าง ครั้นเสร็จแล้วก็ลงนั่งเรียบร้อยอย่างเดิม พูดว่าพวกเจ้าจงเข้ามาเอาน้ำมนต์ทิพย์ไปเถิด

ฝ่ายพวกเต้าหยินเปิดประตูเข้าไป ต่างก็พากันเคารพขอบคุณช่วยกันยกน้ำรวมไว้ที่เดียวกัน จึงบอกพวกสานุศิษย์ทั้งหลายให้เอาถ้วยเล็กมาตักกิน เฮาลัดใต้เซียนได้ถ้วยมาตักกิน พอดื่มเข้าไปอุส่าห์จีบปากจีบคอกลืน ลกลัดใต้เซียนถามว่าพี่กินดีหรือ เฮาลัดว่าว่ารสฝาดๆ ขื่นๆ เอี๋ยวลัดใต้เซียนดื่มเข้าไปครึ่งถ้วยว่าคาว ๆ ดุจเยี่ยวหมู เห้งเจียนั่งอยู่ข้างบนได้ยินดังนั้น ก็นึกรู้ว่าจะเกิคความแล้ว เราลองฝีมือให้มันรู้แลไว้ชื่อให้ปรากฎด้วย คิดดังนั้นแล้วก็ออกปากเรียกว่า เฮ้ยอ้ายพวกเต้าหยิน มึงทำการทุจริตมากมายเหลือเกินไม่มีความยุติธรรมเลย มึงคิดว่าท่านพรหมซัมเซงจะลงมาง่าย ๆ ดังนั้นหรือ เราจะบอกพวกเจ้าให้รู้สึกตามความจริง นี่คือพระถังซัมจั๋งรับรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ วันนี้วันดีจึงลงมากินเครื่องบวงสรวงขนมนมเนย จะเปนที่สำราญแก่พวกเจ้าที่เคารพนบนอบ ไม่มีอะไรจะตอบแทนให้สมความดีของพวกเจ้า จึงถ่ายปัสสาวะลงไว้ในขวดในหม้อต่างน้ำมนต์ ให้พวกเจ้ากินเพื่อสิริมงคลแลอายุยืนนาน ฝ่ายพวกเต้าหยินเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็พากันกั้นประตู พร้อมกันถือเครื่องสาตราอาวุธอิฐแลไม้ต่าง ๆ ปาส่งเข้าไป แล้วก็ตรูกันถือไม้บุกรุกเข้าไปจะตี ฝ่ายเห้งเจียคอยต่อสู้รับรองมือหนึ่งหนีบโป๊ยก่าย มือหนึ่งหนีบซัวเจ๋ง ปิดป้องลอดหนีออกมาพ้นประตู ก็เหาะหนีกลับมายังวัดตี้เอียนยี่ ครั้นถึงก็ลงเดินเข้าในกุฎีพากันเข้าที่นอน สักประเดี๋ยวก็สว่างในพระราชวังก็ตีกลองสัญญา พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกขุนนาง ๆ เข้าเฝ้าประชุมพร้อมกันทั้งซ้ายขวา เวลานั้นพระถังซัมจั๋งก็ตื่นนอนลุกจากที่เรียกสานุศิษย์ทั้งสาม จะเข้าไปในวังเปลี่ยนหนังสือเดินทาง

เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ก็ตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วก็จัดแจงตามอาจาริย์ไป อาจาริย์กับศิษย์พากันเดินมา ครั้นถึงหอเหงาฮ่องเล้า พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่ขุนนางที่เฝ้าประตูว่า อาตมภาพพระสงฆ์อยู่เมืองใต้ถังถือรับสั่งจะไปเมืองไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงนี่จะขอเปลี่ยนหนังสือ ขอท่านได้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบด้วย พวกขุนนางก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบแล้ว จึงมีรับสั่งว่าพวกพระสงฆ์เหล่านี้ไม่มีที่ตายจะมาหาที่ตาย พวกขุนนางที่คอยจับทำไมอยู่จึงไม่จับมาส่งเล่า ขะณะนั้นมีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งกราบทูลขึ้นว่า เมืองใต้ถังในชมภูทวีปนี้เปนเมืองใหญ่ มาถึงนี้ทางไกลตั้งหมื่นโยชน์ อันพระสงฆ์ที่มานี้คงจะมีอะพินิหาญฤทธาอานุภาพ จึงสามารถมาประเทศไซทีได้ ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเอาแต่หนังสือดู ถ้าถูกต้องแล้วก็ควรจะปล่อยไป จึงจะชอบด้วยทางทศพิธราชธรรม พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเห็นชอบด้วยตามถ้อยคำที่ขุนนางกราบทูลนั้น จึงรับสั่งให้นำพระถังซัมจั๋งเข้าไปเฝ้า

พระถังซัมจั๋งกับพวกศิษย์ทั้งสามก็พร้อมกันเข้ามาในท้องพระโรง ครั้นถึงน่าพระที่นั่งก็ยืนเรียงกันเปนแถวอยู่ จึงนำหนังสือสำหรับตัวออกถวาย พระเจ้าแผ่นดินทรงรับมาทอดพระเนตรพิจารณาดู ในขะณะนั้นพวกขันธีเข้ามากราบทูลว่า บัดนี้ท่านอาจาริย์เต้าหยินจะขอเข้ามาเฝ้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น ก็ลงจากพระที่นั่งเสด็จออกมาคอยรับ ฝ่ายเต้าหยินทั้งสามก็เสินเข้ามาถึงพระที่นั่ง ก็ขึ้นนั่ง ส่วนพระเจ้าแผ่นดินก็ย่อพระองค์รับเชิญ พระถังซัมจั๋งหันหน้าไปดู เห็นเต้าหยินเดินตรงเข้ามาขึ้นที่นั่งมิได้เคารพต่อผู้ใด พวกขุนนางซ้ายขวาก็ก้มหน้าไม่กล้าแลดู เต้าหยินขึ้นนั่งเสมอพระเจ้าแผ่นดินก็มิได้ทำความเคารพ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า ข้าพเจ้ามิได้ให้หา เหตุใดท่านใต้เซียนจึงเข้ามา ท่านจะมีกิจธุระประการใดหรือ เต้าหยินกราบทูลว่า ข้าพเจ้ามีกิจอันหนึ่งจึงได้มาเฝ้า คือพวกพระสงฆ์ทั้งสี่นี้จะมาแต่เมืองใดข้าพเจ้าไม่ทราบ พระเจ้าแผ่นดินตรัสบอกว่าเธออยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม เต้าหยินได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะพูดว่า ข้าพเจ้าหมายว่ามันหนีพ้นไปแล้ว มิรู้ก็กลับมาอยู่ที่นี่เอง

พระเจ้าแผ่นดินตกพระไทยถามว่า พระสงฆ์เหล่านี้ได้ทำให้ท่านอาจาริย์เดือดร้อนอย่างไรหรือ เธอมาบอกชื่อแซ่แก่ข้าพเจ้า ๆ ก็อยากจะใคร่ส่งไปให้ท่านใช้ แต่ท่านขุนนางผู้ใหญ่ท้ายซือได้ทูลทัดทานเราเห็นว่าถูกต้อง แลทั้งเห็นว่าเธอมาจากเมืองใต้ถัง จึงเรียกเข้ามาพิจารณาดูหนังสือนั้น หากว่าพวกพระสงฆ์เหล่านี้มีโทษก็แล้วแต่ท่านเถิด เต้าหยินหัวเราะแล้วพูดว่า พระองค์ยังไม่ทรงทราบคือเธอมาเมื่อวันวานนี้ ยังที่ประตูเมืองทิศตวันออก ฆ่าสานุศิษย์ของข้าพเจ้าตายเสียสองคนแล้ว แลยังซ้ำปล่อยพระสงฆ์ห้าร้อยรูปเสียด้วยอีก แลทำลายเกวียนกระเบื้องอิฐปูนไม้เสียไปทั้งสิ้น ครั้นเมื่อคืนนี้มาทำลายที่บูชาซัมเซงไปหมดสิ้นอีก แลลักกินผลไม้ขนมนมเนยที่พระราชทานหมดสิ้น พวกข้าพเจ้าสำคัญว่าซัมเซงเสด็จลงมาจึงพากันขอน้ำมนต์น้ำยาทิพย์ เพื่อจะนำมาถวายพระองค์ มิได้รู้ว่าสงฆ์พวกนี้ถ่ายปัสสาวะไว้ในที่ หลอกลวงข้าพเจ้า ๆ จะจับตัวก็พากันหนีไป บัดนี้กลับมาอยู่ที่นี่

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบดังนั้นก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก จะใคร่ลงโทษพระสงฆ์ทั้งสี่นั้น ในทันใดนั้นเห้งเจียจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ขอพระองค์จงยับยั้งพระไทยก่อน ข้าพเจ้าจะทูลให้ทรงทราบบ้าง ซึ่งอาจาริย์เต้าหยินมาทูลกล่าวโทษว่าข้าพเจ้าฆ่าศิษย์เสียสองคนนั้นผู้ใดเปนพยานได้รู้เห็น แม้ว่าจริงดังนั้นพวกข้าพเจ้าจะยอมถ่ายใช้ชีวิตรให้เธอทั้งสอง ข้อที่กล่าวว่าข้าพเจ้าทำลายเกวียนแลสิ่งของที่ปลูกสร้างเหล่านั้น แลปล่อยพระสงฆ์ที่มีโทษ การที่กล่าวนี้ไม่มีพยานยืนยัน แลกล่าวว่าข้าพเจ้าทำลายรูปซัมเซงแลสิ่งของเครื่องบูชาเสียนั้น ทั้งลักกินผลไม้แลขนมนมเนย ก็พวกข้าพเจ้าจรมาแต่เมืองใต้ถังหนทางไกลไม่รู้เบาะแส เหตุใดจะรู้ว่าโรงพิธีอยู่ที่แห่งใด แลข้อที่กล่าวว่าข้าพเจ้าถ่ายปัสสาวะไว้ ก็ควรจะจับคุมเอาตัวไว้จึงจะชอบ ซึ่งเอาความเท็จไม่จริงมากล่าวโทษข้าพเจ้าว่ากลางวันฆ่าผู้ฟันคนตายดังนี้ แลมนุษย์ทั้งหลายที่ปลอมชื่อปลอมแซ่กันก็มีอยู่เปนเช่นอย่างถมไปจะนับจะประมาณมิได้ ด้วยเหตุอย่างไรจึงพูดว่าข้าพเจ้ากระทำการชั่วร้ายดังนี้ เปนข้อความเลื่อนลอยหามีหลักฐานอันใดไม่ ขอพระองค์ได้ทรงพระราชดำริห์ก่อนโดยทางยุติธรรม

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินทรงฟังเห้งเจียชี้แจงก็ลังเลพระไทยอยู่ แต่หากมีความเชื่อแลความนับถือเต้าหยินก็ยังทรงตรึกตรองอยู่ พอเห็นขุนนางเข้ามากราบทูลว่า พวกกำนันผู้ใหญ่บ้านทั้งหลายมาคอยรับรับสั่งอยู่นอกประตู พระองค์ทรงทราบแล้วจึงโปรดให้นำเข้าไปเฝ้าพวกขุนนางก็ออกไปนำกำนันผู้ใหญ่บ้านสี่สิบคนกว่าเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วก็กราบทูลว่า ชอพระองค์ได้ทรงทราบ ในปีนี้ตั้งแต่เดือนห้าเดือนหกเดือนเจ็ดมาแล้วนี้ไม่มีฝน วิตกว่าเดือนแปดเดือนเก้าฝนจะแล้ง เพราะฉนั้นพวกข้าพเจ้ามากราบทูล ขอเชิญท่านอาจาริย์เต้าหยินตั้งพิธีขอฝน ขอพระบารมีเปนที่พึ่งได้โปรดเกล้าทรงพระอะนุกูลแก่อาณาประชาชนทั้งหลาย ให้ได้รับความร่มเย็นเปนศุข

สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่าการที่ท่านทั้งหลายมากราบทูลนี้ก็ทรงทราบอยู่แล้ว พระองค์จึงตรัสแก่พระถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้านับถือสาศนาเต้าหยิน มิได้นับถือพระสงฆ์เพราะเหตุใด เพราะเหตุที่พระสงฆ์ตั้งพิธีขอฝน ๆ ก็ไม่ตก ส่วนท่านเต้าหยินลงมาจากฟ้าทำพิธีขอฝน ๆ ก็ตกลงมาชุ่มชื่น ราษฎรทั้งหลายมีความอิ่มเอิบบริบูรณ์ทั่วทุกตำบล ก็ท่านมาแต่ทางไกลได้ผิดพลั้งต่อท่านใต้เซียน ก็ย่อมมีโทษมาก แต่ข้าพเจ้าจะยกให้ ท่านยังสามารถจะตั้งพิธีขอฝนให้ฝนตกได้หรือไม่ แม้ว่าท่านขอฝนได้ข้าพเจ้าจะยกโทษนั้นให้มิให้มีโทษ แลเปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ แม้ว่าฝนไม่ตกก็จะต้องโทษตามกฎหมาย ประจานให้ชาวเมืองรู้ทั่วกัน เห้งเจียได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่าข้าพเจ้าสามารถจะขอฝนให้ตกได้ตามต้องการ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียรับดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางพนักงานจัดเครื่องพิธี แลสั่งให้จัดราชรถ พระองค์จะเสด็จไปทอดพระเนตรยังหอเหงาฮ่องเล้า

ฝ่ายขุนนางพนักงานก็จัดการตามรับสั่งเสร็จ พระองค์ก็เสด็จพร้อมด้วยขุนนางข้าราชการ มาประทับยังหอเหงาฮ่องเล้าแล้ว พระถังซัมจั๋งกับพวกศิษย์ก็พากันตามเสด็จมาอยู่ข้างล่าง ฝ่ายอาจาริย์เต้าหยินทั้งสามขึ้นนั่งอยู่บนหอกับด้วยพระเจ้าแผ่นดิน บัดเดี๋ยวมีขุนนางขี่ม้าวิ่งมาบอกว่า การพิธีสารพัดจัดเสร็จแล้ว ขอเชิญท่านใต้เซียนไปบวงสรวง

เฮ้าลัดอาจาริย์ใหญ่ได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ย่อตัวคำนับแก่พระ เจ้าแผ่นดินแล้ว เดินลงมาจากหอ เห้งเจียวิ่งมากั้นหน้าไว้ ถามว่าจินแสจะไปข้างไหน เต้าหยินตอบว่าจะขึ้นทำพิธีขอฝน เห้งเจียว่าเห็นจะผิดที่ท่านยกย่องกันเอง ทำไมไม่ให้ข้าพเจ้าผู้มาทางไกลขอก่อนเล่า นี่คือดุจกำลังมังกรจะเบียฬที่ของงูหรือ แม้ว่าท่านจะขึ้นไปก่อน จะต้องต่อน่าพระที่นั่ง พระเจ้าแผ่นดินแสดงความทรงพระอนุญาตจึงขึ้น เต้าหยินถามว่าแสดงความอะไร  เห้งเจียว่าท่านกับข้าพเจ้าพร้อมกันขึ้นทำพิธีขอฝน จะรู้ได้หรือว่าฝนของท่านหรือฝนของข้าพเจ้า ก็จะไม่รู้ว่าความชอบของผู้ใด เต้าหยินพูดว่า จึงดูป้ายจะร้องเรียกเปนลำดับ คือที่หนึ่งร้องให้มีลม ที่สองร้องไห้มีเมฆ ที่สามร้องให้มีฟ้าร้อง ที่สี่ให้มีฝนตก ที่ห้าให้ฝนหยุด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่ แล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพวกสงฆ์ยังไม่เคยเห็น เชิญท่านเถิด ๆ

เต้าหยินใต้เซียนจึงเดินไปก่อน พระถังซัมจั๋งกับศิษย์เดินตามหลังไป ครั้นมาถึงน่าประตูพิธี แลเข้าไปเห็นมีแท่นสูงสักสามวาในรอบนั้นปักธงยี่สิบแปดคัน เปนอย่างดาวยี่สิบแปดดวง บนแท่นนั้นมีโต๊ะตั้งไว้โต๊ะหนึ่ง มีเครื่องบูชากระถางปักธูปเชิงเทียนหม้อไฟ กลางโต๊ะมีป้ายทองจารึกชื่อเจ้ารามสูร ข้างนั้นมีกะถางตั้งห้ากะถาง ใส่น้ำใสเต็มทุกกะถาง บนน้ำนั้นทิ้งยอดใบสนลอยอยู่ทุก ๆ กะถาง มีป้ายเหล็กวางซ้อนบนกระถางแผ่นหนึ่ง เขียนยันต์ชื่อรามสูร ข้างนั้นมีไม้หลักห้าอันเขียนชื่อพระพายทุกๆ หลัก ๆ หนึ่งมีเต้าหยินยืนอยู่สองคน มือถือลูกตุ้มเหล็กคอยเคาะหลักนั้น ข้างหลังแท่นมีพวกเต้าหยินหลายคนคอยเขียนหนังสือยันต์ ที่หว่างปักกระดาดราวไฟไว้ราวหนึ่ง แลมีรูปหุ่นคนสองสามรูป เปนกิริยาราชทูตของพระภูมิเจ้าที่ใช้สอย

ฝ่ายเต้าหยินมาถึงก็ตรงขึ้นไปบนแท่นยืนอยู่ข้างหนึ่ง ข้างนั้นมีเต้าหยินน้อย มือถือกระดาษยันต์เหลือง แลเกี่ยมอันหนึ่ง เอามาส่งให้อาจาริย์เต้าหยิน ๆ รับเอาเกี่ยมแลยันต์มาถือมือก็จับเกี่ยมยกขึ้นเสกร่ายเวท เอายันต์แผ่นหนึ่งวางเผาบนหม้อไฟแล้ว ข้างล่างนั้นพวกเต้าหยินน้อยสองสามคนก็เอายันต์เผา แลกระดาดยันต์ที่ราวนั้นก็จุดไฟเผา ข้างบนแท่นนั้นเสียงอู้ทีหนึ่งแลป้ายพระพายก็มีเสียงลั่นดังบนเวหามีลมพัดฉิว ๆ มา

โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น ปากก็บ่นว่าเห็นจะไม่เปนการ เต้าหยินนี้เธอมีความรู้วิเศษจริง อาจทำป้ายให้มีเสียงขึ้นได้ ก็มีลมพัดมาดังนี้ เห้งเจียว่าพวกเราจงเงียบ ๆ อย่าพูดจาแก่เรา ๆ จะมีธุระการไป พูดดังนั้นแล้วก็ถอนขนเพ็ชร์ออกหนึ่งขน ร่ายพระคาถาเป่าแปลงเปนเห้งเจียปลอมยืนอยู่ที่นั่น ตัวเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนเวหา ถามว่าผู้ใดเปนพนักงานลม ฝ่ายพระพายตกใจก็รีบรัดปากถุงลมให้หยุดแล้ว ก็ลงคำนับเห้งเจีย ๆ พูดว่าข้าพเจ้ารักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระธรรม จะทดลองขอฝนแก่เต้าหยินทำไมพระพายจึงไม่ช่วยเรา กลับไปช่วยเต้าหยินเล่า เราจะยกโทษให้ จงเก็บลมเสียให้สิ้น แม้ว่ามีสักหนิดหน่อย พัดให้สิ่งของ ๆ เต้าหยินไหวเราจะตีด้วยกระบองเหล็กกายสิทธิ์นี้ยี่สิบที พระพายตอบว่า ข้าพเจ้าไม่กล้าแล้ว ในทันใดนั้นลมก็สงัดเงียบหยุดไปสิ้น

ฝ่ายเต้าหยินก็เอายันต์ออกเผาอีกแผ่นหนึ่งก็ตบกับโต๊ะทีหนึ่ง ก็เห็นบนอากาศมีสายเมฆออกมัวท้องฟ้า เห้งเจียร้องถามว่าที่ทำเมฆนั้นผู้ใด เทพบุตทำเมฆก็ตกใจมาคำนับบอกว่า ข้าพเจ้าคือหนึงกุน เห้งเจียจึงเอาความนั้นมาเล่าให้ฟังทุกประการแล้ว หนึงกุนก็เก็บเมฆเสียหมดสิ้น ท้องฟ้าทั่วโลกไม่มีเมฆฝนเลย

ฝ่ายเต้าหยินจิตรใจให้ร้อนรณ ก็คลายมวยผมปล่อยลงร่ายเวทเสกเผายันต์อีกแผ่นหนึ่ง เอาป้ายตบลงกับโต๊ะ ก็แลเห็นข้างทิศอาคะเณ เทพยดาเตงทีกุน ขับพวกรามสุรมายังอากาศ พบเห้งเจียก็คำนับ เห้งเจียก็ชี้แจงเล่าเหตุผลให้ทราบทุกประการ แล้วต่อว่า ๆ ทำไมพวกท่านมาโดยใจดังนี้มีรับสั่งอย่างไรหรือ

ทีกุนบอกว่า เต้าหยินเผายันต์รามสูรแลหนังสือขอร้องขึ้นไปร้อนถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้พวกข้าพเจ้ามาพวกข้าพเจ้าจึงได้มาทำการตามรับสั่ง เห้งเจียว่า ถ้ากระนั้นจงหยุดก่อน ไว้รอข้าพเจ้ากระทำการ จึงลงมือช่วยกันเถิด ฝ่ายเต้าหยินเห็นไม่มีเสียงรามสูรจิตรใจให้หวาดหวั่น ก็รีบจุดธูปจุดเทียนเพิ่มเติมเอายันต์เผาอีกแผ่นหนึ่งเอาป้ายตบลงกับโต๊ะ ทันใดนั้นเห็นเล่งอ๋องพระยานาคทั้งสี่สมุทขับบริวารรีบมา เห้งเจียมาสกัดร้องตวาดถามว่า เง่ากวั๊งเล่งอ๋องจะไปข้างไหน เง่ากวั๊งเล่งอ๋องเห็นเห้งเจียก็เข้ามาคำนับ เห้งเจียจึงเล่าเหตุการนั้น ๆ ให้ฟังทุกประการ แล้วพูดว่าเมื่อวันก่อน มีความลำบากแก่ท่านไม่สำเร็จ คราวนี้ขอช่วยเปนกำลัง

เล่งอ๋องพูดว่าท่านอย่ามีความวิตก ข้าพเจ้าจะทำตามท่านสั่งทุกประการ เห้งเจียว่าขอบใจท่าน เมื่อวันก่อนบุตรของท่านได้มาช่วยจับปิศาจ ช่วยอาจาริย์ของข้าพเจ้าให้ข้ามฟากมาได้ เล่งอ๋องบอกว่า ปิศาจนั้นบัดนี้ยังมัดอยู่ในทะเลยังไม่กล้าชำระเองจะใคร่เชิญใต้เซียไปตัดสิน เห้งเจียพูดว่า โทษานุโทษนั้นแล้วแต่ท่านจะเห็นสมควรเถิด เวลานี้ขอท่านได้ช่วยเปนกำลังแก่ข้าพเจ้าเถิด ด้วยเต้าหยินร้องเรียกสี่หนแล้ว ก็ถึงเวนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะไม่เข้าในยันต์เขียนแลตบตีซึ่งป้ายนั้น เตงทีกุนพูดว่า ท่านสั่งแล้วก็ต้องทำตามท่านสั่ง แต่วิตกว่าไม่มีสัญญาจะไม่เข้าใจกันได้ เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าจะเอากระบองนี้เปนสัญญา แม้ว่าข้าพเจ้าชี้ขึ้นจงให้มีลม พระพายก็รับสัญญาว่าจะให้เกิดลม ถ้าชี้ที่สองจงให้เกิดเมฆขึ้น หนึงกุนก็รับสัญญาว่า จะทำให้เกิดเมฆขึ้น ถ้าชี้ที่สามจงให้ฟ้าร้อง รามสูรก็รับสัญญาจะทำให้ฟ้าร้อง ถ้าชี้ที่สี่จงให้ฝนตก เล่งอ๋องทั้งสี่ก็รับสัญญาจะทำให้ฝนตก ถ้าชี้ที่ห้าให้ฟ้าสว่างปรกฏิ แล้วกำชับว่า ตามสัญญานี้ขออย่าให้เคลื่อนคลาด กำชับแล้วเห้งเจียก็ลงมายังที่เดิม เรียกขนกลับเข้าตัวแล้วก็ยืนแอบพระถังซัมจั๋งอยู่ แล้วร้องเรียกด้วยเสียงอันตังว่า ท่านจินแสเชิญสี่หนแล้ว ก็ไม่มีลมแลเมฆแลฟ้าร้องแลฝนเล่า จะต้องให้ข้าพเจ้าทำบ้างจึงจะควร

ฝ่ายเต้าหยินจนใจไม่รู้ที่จะทำประการใด ก็เดินกลับลงมาไปขึ้นหอ (เหงาฮ่องเล้า) เข้าเฝ้าทูลพระเจ้าแผ่นดิน เห้งเจียก็เดินตามไป พระเจ้าแผ่นดินก็ตรัสถามว่า ข้าพเจ้าคอยฟังคอยดูท่านอาจาริย์ทำการพิธีบวงสรวงสี่หนแล้ว ก็ไม่เห็นมีลมแลฝนการจะเปนอย่างไรหรือ เต้าหยินทูลว่า วันนี้เทพยดาพนักงานที่ทำลมแลฝนไม่อยู่ เห้งเจียพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า วันนี้เทพยดาอยู่พร้อมกัน ที่ฝนไม่ตกนั้นเพราะวิทยาของจินแสไม่ศักดิ์สิทธิ์ เชิญเธอจึงไม่มา เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงทรงอะนุญาตว่า ถ้ากระนั้นเห้งเจียจงกระทำให้เกิดลมแลฝนเถิดเราจะคอยดู เห้งเจียได้อนุญาตแล้ว ก็คำนับเดินกลับมายังพิธี บอกพระถังซัมจั๋งให้ขึ้นบนโรงพิธี พระถังซัมจั๋งว่า อาตมภาพไม่เคยขอฝน เห้งเจียพูดว่าท่านไม่ต้องบวงสรวงจงทำเปนนั่งสวดมนต์เท่านั้น ข้าพเจ้าจะทำเองท่านอย่าได้วิตกเลย พระถังซัมจั๋งขึ้นบนแล้วนั่งสำรวมจิตรสวดพระคำภีร์ (ซิมเกง) เวลานั้นมีขุนนางขี่ม้าวิ่งมาถามว่า ท่านสงฆ์หมู่นี้ทำไมไม่ได้ยินเสียงป้ายสัญญาเล่า แลทำไมไม่เผากระดาษยันต์เล้า เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการ พวกข้าพเจ้าไม่ต้องบวงสรวงขอเอาโดยทางความระงับ ขุนนางผู้นั้นก็กลับไปกราบทูล เห้งเจียได้ฟังพระถังซัมจั๋งสวดมนต์จบแล้ว จึงชักกระบองออกจากหู แกว่งกวัดไปมาทีหนึ่งแล้ว เอากระบองชี้ขึ้นบนเวหา ในทันใดนั้นก็บังเกิดลมพัดเปนพยุห์ใหญ่ พัดจนกระเบื้องแลดินทรายปลิวว่อนมืดมนต์ไปทั้งอากาศ แล้วเห้งเจียเอากระบองชี้ขึ้นบนอากาศอีกทีหนึ่ง ในทันใดนั้นเมฆฝนก็ตั้งขึ้นเต็มไปทุกทิศเขียวชะอุ่ม เห้งเจียเอากระบองชี้ขึ้นไปบนเวหาอิกทีหนึ่ง ในทันใดนั้นฟ้าก็ร้องครื้นครั่นลั่นสะท้านไปทั่วโลกย์ เห้งเจียก็ชี้กระบองขึ้นไปบนเวหาอิกทีหนึ่ง ฝนก็ตกลงมาทันทีตั้งแต่สามโมงเช้าจนเวลาเที่ยง ในกำแพงเมืองน้ำท่วมถนนหนทางไปทั้งสิ้น เจ้าแผ่นดินรับสั่งว่าน้ำก็มากแล้ว เข้าปลาจะเสียไปหมด จะกลับเปนไม่ดี

เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงเอากระบองชี้ขึ้นบนเวหาทีหนึ่ง ฝนก็หยุดลมก็หายรามสูรย์ก็ไม่มีเสียง เมฆก็ม้วนหอบหายไปหมด ท้องฟ้าก็ขาวสว่างไสวผ่องไสเหมือนปรกติแต่เดิม พระเจ้าแผ่นดินมีพระไทยโสมนัศยินดียิ่งนัก พวกขุนนางทั้งหลาย ก็พร้อมกันสรรเสริญทุกๆ คน ว่าพระสงฆ์องค์นี้ดีจริง พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จกลับเข้าพระราชวัง ทรงเปลี่ยนหนังสือสัญญาประทับตราแผ่นดินให้

เต้าหยินทั้งสามกราบทูลขัดขวางว่า ขอพระองค์ได้ทราบฝนตกในครั้งนี้ ไม่ใช่พาหนะของพระสงฆ์พวกนี้ คือพาหนะอำนาจของข้าพเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งว่าท่านอาจาริย์พูดว่าเล่งอ๋องไม่อยู่ขอฝนไม่ได้ ครั้นเธอขึ้นไปขอก็ตกลงมาห่าใหญ่ฉนี้ ทำไมจึงมาพูดลบล้างความชอบของเธอเสียเล่า เฮ้าลัดทูลว่าข้าพเจ้าขึ้นทำพิธีบวงสรวงแลเผาซึ่งยันต์ แลหนังสือกราบทูลไปยังสวรรค์แลเฆาะไม้สัญญา เล่งอ๋องจะไม่มานั้นได้อยู่หรือ ครั้นข้าพเจ้าลงจากพิธีฝ่ายพระสงฆ์ขึ้นพอมาประจวบเข้าจึงได้บังเกิดฝน เมื่อจะพิเคราะห์ให้ดีแล้วก็เปนด้วยข้าพเจ้าบวงสรวงทั้งสิ้น ทำไมจึงกลับเปนความชอบของพระสงฆ์ไปฝ่ายเดียวเล่า

พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเต้าหยินก็เกิดความสงไสย ไม่แน่นอนในใจลงไปได้ว่าอย่างไร เห้งเจียจึงกราบทูลว่าขอพระองค์ได้ทราบ คือเธอทำด้วยเวทมนต์กละเล่ห์ทางไสยสาตร์ไม่เปนความจริงได้ แม้จะเห็นว่าไม่แน่ว่าเปนความจริงฝนตกด้วยอำนาจของผู้ใด บัดนี้เล่งอ๋องนาคทั้งสี่อยู่บนเวหา ข้าพเจ้ายังไม่บอกให้ไป ถ้าเต้าหยินเปนผู้วิเศษจริงจงเรียกเล่งอ๋องออกมาให้เห็นตัวได้ จึงจะเห็นจริงว่าซึ่งลมแลฝนตกนั้นเปนเพราะฤทธิ์เดชแลความสำเร็จมาจากเธอจริง

พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียกราบทูลดังนั้น ก็มีพระไทยยินดียิ่งนัก จึงตรัสว่าข้าพเจ้าได้ราชสมบัติยี่สิบสามปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นรูปพระยาเล่งอ๋องว่าจะเปนประการใด ขอท่านทั้งสองจงสำแดงวิทยาความรู้อันประเสริฐให้ข้าพเจ้าเห็นเปนขวัญตาสักครั้งหนึ่งเถิด ความชอบจะอยู่แก่ท่านผู้เดียว ถ้าหากว่าเรียกมาไม่ได้จะเอาโทษให้สาหัศ

เต้าหยินทูลว่าพวกข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ขอให้พวกสงฆ์เรียกมาเถิด เห้งเจียแหงนหน้าขึ้นบนอากาศร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านเง่ากวั๊งอยู่ที่ไหนจงพาพวกพี่น้องบริวารออกทั้งรูป ให้เห็นปรากฎแก่ตามมนุษย์โลกย์ เล่งอ๋องได้ยินดังนั้นก็ออกจากกลีบเมฆลอยอยู่บนเวหาทั้งสี่พี่น้อง พลิกแพลงเลี้ยวลดเร่ร่อนไปมาตรงปราสาทกิมหลวนเต้ย

พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็จุดธูปเทียนบูชาขุนนางทั้งหลายก็คุกเข่าลงคำนับทุกคน แล้วพระองค์จึงตรัสว่ามีความลำบากแก่ท่านเล่งอ๋องได้อุสาหะลงมาขอเชิญท่านกลับเถิด วันอื่นข้าพเจ้าจึงจะตอบแทนพระคุณ เห้งเจียพูดว่าท่านเล่งอ๋องแลเทพบุตรทั้งหลายจงกลับไปยังที่เถิด วันอื่นข้าพเจ้าจะขอบพระคุณท่าน ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องแลเทพยดาทั้งหลายได้ฟังดังนั้น ก็อันตระทานสูญหายกลับไปยังสำนักแห่งตน ๆ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ