๖๘

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม เดินมาหลายเวลาก็หลุดออกจากดงผลมะพลับเน่า ต่างก็มีความยินดีรื่นเริงในใจ ก็พากันล้างกลิ่นเน่าเหม็นให้สอาดแล้ว ก็เดินตามทางใหญ่ไปเวลานั้นกำลังฤดูร้อนจัด ต้นสารภีพิกุลบ้างผลิดอกออกช่อตูมบาน หอมกลิ่นระรื่นไปตามแนวทาง ครั้นเดินมาพ้นแล้วแลไปข้างน่า เห็นมีกำแพงเมืองขวางน่าอยู่ พระถังซัมจั๋งถามว่าข้างน่านั้นจะเปนบ้านเมืองอะไร เห้งเจียว่าอาจาริย์ไม่รู้หนังสือหรือ พระถังซัมจั๋งว่าอาตมเล่าเรียนมาตั้งแต่เล็กจนใหญ่ สาระพัดคำภีร์ธรรมก็ปรุโปร่งทั้งสิ้น ทำไมเราจะไม่รู้หนังสือเล่า เห้งเจียพูดว่าพระอาจาริย์ว่ารู้หนังสือ หนังสือบนเสาธงมีอักษรใหญ่สามตัว ทำไมไม่เห็นหรือ พระถังซัมจั๋งว่า แต่ป้อมกำแพงยังไม่เห็นชัดเลย เหตุใดจะเห็นหนังสือซึ่งเปนของเล็กก่อนเล่า เห้งเจียบอกว่าคือจูจี๊ก๊ก อักขระสามตัวนั้นมิใช่หรือ พระถังซัมจั๋งว่า ถ้าหากว่าเปนเมืองจูจี๊ก๊กก็คงเปนเมืองที่มีพระเจ้าแผ่นดินปกครอง ควรเราจะเข้าไปเปลี่ยนหนังสือเดินทางเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป พูดกันแล้วก็เดินมาประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงประตูเมือง พระถังซัมจั๋งก็ลงจากหลังม้าพากันเดินข้ามสะพานเข้าไปในประตูเมือง อาจาริย์กับสานุศิษย์ก็พากันพิจารณาดูไชยภูมิ์เมือง เดินมาตามทางใหญ่เห็นผู้คนเรียบร้อยพูดจาอ่อนหวานไม่หยาบคาย คล้าย ๆ แก่เมืองใต้ถัง สองข้างถนนตั้งร้านค้าขายมีสิ่งของต่าง ๆ เห็นอาจาริย์กับศิษย์เดินมาก็พากันมาดู

พระถังซัมจั๋งก็สั่งสานุศิษย์ ให้สำรวมกิริยาอย่าให้เกิดวุ่นวายได้ โป๊ยก่ายก็ทำตามสั่งเอาปากงอลงแอบไว้กับอก ซัวเจ๋งก็ก้มหน้าเดินไม่แลเหลียว ยังแต่เห้งเจียเดินดูอะไรเล่นตามสะบาย พวกชาวเมืองแลเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะ อาจาริย์กับศิษย์พากันเดินมาบัดเดี๋ยวก็เลี้ยวหัวป้อม แลเข้าไปข้างประตูเห็นมีหนังสือสามตัวคือ ฮ่วยตั๋งก๊วน คือที่ประชุมนาๆ ประเทศ พระถังซัมจั๋งว่าเราเข้าไปในที่แห่งนี้ พักเปลี่ยนหนังสือเดินทางแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายได้ยินก็ชักปากออกมาทำให้พวกชาวเมืองที่ตามดู ตกใจล้มคว่ำคะมำหงายไปเปนสามสี่สิบคน อาจาริย์กับศิษย์ก็พากันเข้าไปในสำนักฮ่วยตั๋งก๊วนนั้น มีขุนนางข้าราชการสองคนรักษาการอยู่ในนี่นั้น พระถังซัมจั๋งเห็นขุนนางทั้งสองกำลังจัดคนใช้ไปทิศเหนือทิศใต้ แลเห็นพระถังซัมจั๋งพากันเดินเข้ามาก็พากันตกใจ จึงถามว่านี่ท่านเปนคนมาจากประเทศใดแลจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งย่อตัวแล้วก็ปราไสยว่า อาตมภาพเปนชาวเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้อาตมภาพข้ามไปอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรมณเมืองไซที บัดนี้มาถึงเมืองนี้ จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง อาตมภาพกับศิษย์ขออาไศรยพักในที่นี้สักวันหนึ่ง พอเปลี่ยนหนังสือได้แล้วก็จะลาไป

ฝ่ายขุนนางทั้งสอง เมื่อได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงแต่งตัวลงมารับ แลให้คนกวาดล้างห้องให้อาไศรย เจ้าพนักงานก็จัดแจงเข้าสุกแลเข้าสาร แลกับเข้าต่าง ๆ มาส่งนี่ห้องข้างทิศตวันตก ครั้นจัดแล้วก็บอกแก่ศิษย์ทั้งสามคนให้จัดหาเอาตามชอบใจเถิด พระถังซัมจั๋งถามขุนนางทั้งสองว่า เวลานี้พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกขุนนางหรือยัง ขุนนางทั้งสองตอบว่า เจ้าของข้าพเจ้าไม่เสด็จออกมานานแล้ว วันนี้เปนวันดีออกที่ขุนนางประชุมเสนาบดี คิดจะออกหมายประกาศ แม้ว่าท่านจะเปลี่ยนหนังสือทันเวลานี้เห็นจะดี ถ้ารอจนพรุ่งนี้เห็นจะไม่เปนการ เพราะไม่ทราบว่าเวลาใดจะเฝ้าได้ พระถังซัมจั๋งเรียกเห้งเจียมาสั่งว่า จงอยู่จัดแจงหุงต้มคอยถ้าอาตมภาพจะเข้าไปเปลี่ยนหนังสือแล้ว กลับออกมากินเข้าแล้วจึงค่อยออกเดิน โป๊ยก่ายก็หยิบหนังสือมาส่งให้พระอาจาริย์ ๆ รับหนังสือแล้วก็ลงจากห้อง เดินเข้าไปในพระราชวังมาบัดเดี๋ยวใจก็ถึง พระตำหนัก (เง้าห้องเล้า) พิจารณาดูเห็นประดับประดาด้วยลวดลายวิจิตร์ต่าง ๆ งดงามเปนสง่า เดินมาพ้น (เง้าห้องเล้า) ก็ถึงทวารพระราชวังใน พระถังซัมจั๋งจึงแจ้งความแก่ขุนนางพนักงานให้ทราบเรื่องแล้ว ขอให้ช่วยนำความขึ้นกราบทูลเพื่อทรงทราบ

ฝ่ายขุนนางได้ฟังดังนั้น เข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบก็มีพระไทยยินดี จึงตรัสว่าทรงพระประชวรมาก็นานมิได้เสด็จออก วันนี้คิดจะออกหมายประกาศ ก็บังเอินมีพระสงฆ์วิเศษมาถึงเมือง จึงมีรับสั่งให้เชิญเข้ามาข้างใน พระถังซัมจั๋งก็เดินสำรวมอินทรีย์ย่อตัวคำนับแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็นิมนต์ให้นั่งที่อันสมควร มีรับสั่งให้ขุนนางจัดเครื่องเลี้ยงเพน พระถังซัมจั๋งจึงถวายหนังสือเดินทางขึ้นไป พระเจ้าแผ่นดินทรงรับมาทอดพระเนตรตลอดแล้วมีพระไทยยินดียิ่งนัก จึงตรัสถามว่าท่านอาจาริย์เมืองใต้ถังนั้น ได้มีพระเจ้าแผ่นดินครอบราชสมบัติมากี่พระองค์แล้ว แลมีขุนนางที่ซื่อตรงกะตัญญูสักกี่คน จึงได้มาถึงพระเจ้าถังทรงพระประชวรหนักแลได้ฟื้นขึ้น จึงให้ท่านมาถึงเมืองไกลอาราธนาพระธรรมดังนี้ พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า ที่เปนเจ้ามานั้นตั้งแต่ซัมฮ่องเง้าตี่เปนต้นต่อกันมาหลายพระองค์แล้ว จนมาถึงเจ้าของอาตมภาพแซ่ลี้มีนามเมืองเรียกว่าใต้ถังเปนเอก พระเจ้าถังโคโจ๊ฮ่องเต้ขึ้นเสวยราชสมบัติก็ล่วงไป มาในประจุบันนี้ทรงพระนามว่า พระเจ้าหลีซีบิ๋น พระองค์ทรงครองราชสมบัติบ้านเมืองสมบูรณ์ราษฎรอยู่เย็นเปนศุข เพราะเหตุด้วยในเมืองเชียงอานมีลำแม่น้ำเกียฮ้อ มีพระยานาคกระทำผิดให้น้ำฝนเปลี่ยนแปลง เง็กเซียงฮ่องเต้ปรับโทษถึงประหารชีวิตร เวลากลางคืนมาเข้าฝันขอให้พระองค์ช่วย พระองค์ทรงรับคำพระยานาค จึงรับสั่งให้งุยเต็งเข้ามาเล่นหมากรุกอยู่เสียในพระราชวัง หวังจะมิให้ไปกระทำการตามน่าที่ได้ แต่พอเวลาเที่ยงงุยเต็งเคลิ้มหล้บไปตัดศีศะพระยานาคตกลงมากลางพระนคร

พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสถามว่าอันขุนนางผู้ใหญ่นั้นมาแต่ข้างไหน พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า ขุนนางผู้นั้นคือเปนมหาอุปราชของพระเจ้าใต้ถังแซ่งุยชื่อเต็ง เธอรู้ฤกษบนแลฤกษล่างเวลากาลย่อมรู้ทั้งสิ้น เปนผู้จัดราชการในบ้านเมืองโดยเรียบร้อยในเวลาหลับนั้น ก็ถอดดวงจิตรออกไปตัดศีศะพระยาเล่งอ๋อง ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องลงไปฟ้องยังพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋อง เวลานั้นพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ประชวรหนัก งุยเต็งจึงทำหนังสือฉนับหนึ่ง ฝากให้ไปถึงทุยปังที่รักษาบาญชีณเมืองนรก ให้ช่วยแก้ไขพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้สวรรณคตไปได้สามวันก็กลับฟื้นขึ้นมา เพราะฉนั้น พระองค์จึงได้ทรงพระศรัทธาจะใคร่ทำมะหากุศลกงเต๊กให้เปนการใหญ่ เพื่ออุทิศอานิสงษ์ให้แก่สัตว์นรกทั้งหลาย จึงมีรับสั่งให้อาตมภาพมาอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรมยังประเทศไซที

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊ก เมื่อได้ทรงฟังพระถังซัมจั๋งถวายพระพร ดังนั้น ทรงถอนพระราชหฤไทยใหญ่ ทรงคร่ำครวญว่าเมืองใต้ถังเปนเมืองสวรรค์ พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ขุนนางข้าราชการก็มีกะตัญญูเหมือนข้าพเจ้านี้ประชวรมาก็นานแล้วไม่มีข้าราชการผู้ใดจะช่วยได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น ก็ชายตาชำเลืองดูพระเจ้าแผ่นดินเห็นสีพระภักตร์ซูบซีดพระวรกายก็ซูบผอม พระถังซัมจั๋งจึงจะใคร่ทราบเหตุที่ทรงพระประชวน พอขุนนางมากราบทูลว่า เครื่องฉันจัดเสร็จแล้วนิมนต์พระถังซัมจั๋งไปฉัน พระเจ้าแผ่นดินจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งไปฉันยังตำหนัก (พีเฮียงเต้ย) พระองค์ก็เสด็จไปพร้อมกับพระถังซัมจั๋ง ครั้นถึงก็ทรงนิมนต์ให้พระถังซัมจั๋งนั่งโต๊ะแจ พระองค์ประทับที่โต๊ะโช ฝ่ายเห้งเจียอยู่คอยอาจาริย์ที่สำนักฮ่วยตั๋งก๊วน ให้ซัวเจ๋งจัดแจงหุงเข้าต้มแกง ซัวเจ๋งพูดว่าหุงเข้าต้มน้ำชานั้นง่ายไม่เปนไร จะแกงผักสักกะทะหนึ่งให้อาจาริย์ฉัน ขัดด้วยเต้าเจี้ยวเต้าหู้ไม่มี เห้งเจียว่าพี่ยังมีอีแปะอยู่บ้าง ให้โป๊ยก่ายไปจ่ายที่ตลาด จะได้เอามาต้มแกงอะไรก็ตามเถิด โป๊ยก่ายได้ยินก็พูดเบี่ยงบ่ายว่า ข้าพเจ้าไม่กล้าไปเพราะปากคางหยาบคายรุงรัง วิตกจะไปเกิดความ เห้งเจียว่าเราซื้อหาโดยตรง เหตุใดจะเกิดความ อย่าไปทำให้วุ่นวายก็แล้วกัน โป๊ยก่ายพูดว่า เมื่อมาถึงประตูนั้นพี่ไม่เห็นหรือยกปากขึ้นหน่อยหนึ่ง ก็พากันตกใจล้มสามสี่สิบคน ถ้าเข้าไปที่ตลาดประชุมชน ก็ยังไม่รู้ว่าจะตกใจพากันตื่นไปสักปานใด เห้งเจียถามว่า โป๊ยก่ายรู้หรือว่าที่ประชุมคนวุ่นวาย ได้เคยเห็นหรือว่าได้เคยไปที่ตลาดนั้น เขามีอะไรขายบ้าง โป๊ยก่ายพูดว่าพระอาจาริย์ห้ามมิให้แลเหลียว ให้เดินก้มหน้าจึงมิได้เห็นสิ่งใด

เห้งเจียบอกว่ามีร้านขายสุราโรง แลร้านขายแพรสีต่างๆ พรรณาไม่สิ้น ยังอิกร้านขายขนมแลน้ำชากับขนมหวานๆ ต่างๆ แลร้านขายเข้าแกง แลร้านขายน้ำตาลกรวดน้ำตาลทราย แลร้านขายเตี้ยเลี่ยว แลร้านขายผักกับผลไม้ต่างๆ มีขายสาระพัดของกินต่าง ๆ เราจะออกไปตลาดจัดซื้อมาแล้ว เชิญโป๊ยก่ายมากินด้วยกันเห็นจะดีดอกกระมัง โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียจะระนัยเรื่องกินต่าง ๆ น้ำลายไหลโดยความอยาก จึงผุดลุกขึ้นพูดว่า ข้าพเจ้าจะตามพี่ไปช่วยซื้อจะได้เอามาสู่กันกิน เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็นึกยิ้มอยู่ในใจ จึงสั่งซัวเจ๋งให้อยู่ต้มหุงพี่จะไปซื้อเครื่องแกงมาให้ โป๊ยก่ายก็ถือถ้วยชามเดินตามเห้งเจียไป เห้งเจียเดินออกจากประตูแล้วก็ถามคนเหล่านั้นว่า ร้านเครื่องแกงเขาขายกันที่ไหน คนเหล่านั้นชี้มือบอกว่าเดินตามทางนี้ไปข้างทิศตวันตกริมหอกลอง ชื่อร้าน (แต้แก) มีขายสาระพัดเชิญท่านไปซื้อเถิด

เห้งเจียได้ฟังคนเหล่านั้นบอกให้แล้ว ก็พากันเดินไปกับโป๊ยก่าย เห้งเจียเดินข้ามร้านขายของที่ต้องการซื้อก็ไม่ซื้อ พากันเดินพลางพูดพลางพวกชาวตลาดก็พากันวิ่งตามมาดู เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงหอกลองแลไปข้างริมรอบเหล่านั้น ผู้คนไปมาแออัดเสียงพูดซื้อขายออกแส้หูเหตุด้วยผู้คนมากมาย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงพูดว่าพี่ข้าพเจ้าไม่กล้าเข้าไปเสียงคนออกแส้ไปดังนี้ บางทีเขาจะจับเอาตัวไป เห้งเจียพูดว่าทำไมเจ้าจึงพูดเลอะเทอะไปดังนี้ เรามิได้ทำผิดกฎหมายอะไรเลย เขาจะจับไปทำไมเราเข้าไปซื้อเครื่องแกงแล้วก็กลับจะกลัวเขาทำไม โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าไม่กล้าเข้าไปแล้ว กลัวจะเกิดวุ่นวายขึ้น พี่จะเดินเบียดเข้าไปดังนั้น ถ้าคนเหล่านั้นแตกตื่นตกใจก็จะเกิดความ ข้าจะเอาชีวิตรที่ไหนมาใช้ให้เขา

เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นโป๊ยก่ายจงยืนแอบอยู่ที่นี่ พี่เข้าไปซื้อแล้วจึงค่อยพากันกลับ พี่จะซื้อของหวาน ๆ ฝาก โป๊ยก่ายก็ยืนแอบอยู่ที่นั่นเอาถ้วยชามส่งให้เห้งเจียไป เห้งเจียก็เดินเข้าไปในหอกลองเบียดคนเข้าไป มีป้ายแขวนอยู่ที่น่าหอกลองคนจึงได้เบียดกันเข้าไปดู เห้งเจียเบียดคนแซกเข้าไปจน ๆ ใกล้พิจารณาดูหมายประกาศ ความในหมายนั้นมีว่า เราพระเจ้าแผ่นดินผู้ครองเมืองจูจี๊ก๊ก ขอประกาศให้คนทั้งหลายทราบว่า ด้วยพระองค์ได้ครองราชสมบัติมาช้านาน ในพระราชอาณาเขตรของพระองค์ก็เปนศุขทั่วทุกมณฑล เวลานี้ชะตาเมืองไม่แจ่มแจ้ง จึงให้พระองค์มีโรคเรื้อรังมาช้านานแล้ว หมอหลวงประกอบยาถวายก็หลายขนานแล้ว แต่พระโรคนั้นก็มิได้ทุเลาเบาลงได้เปนแต่ทรงอยู่กับซุดไปทุกวัน เพราะฉนั้นจึงขอประกาศให้ทราบว่าถ้าผู้ใดมียาวิเศษประกอบแก้โรคให้ทุเลาบันเทาหายได้ จะแบ่งราชสมบัติให้กึ่งหนึ่งมิได้เลือกเว้นว่าผู้ใด

เห้งเจียอ่านทราบความแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก จึงพูดว่าคำโบราณท่านย่อมว่าก็จะเห็นลาภเปนผล อยู่ในฮ่วยตั๋งก๊วนก็จะโง่เสียเปล่า เมื่อมีช่องดังนี้แล้วเราก็จะไม่ต้องซื้อเครื่องแกงไปทำไม จำเราจะต้องช้าสักวันเปนหมอรักษาโรคพระเจ้าแผ่นดิน คิดดังนั้นแล้วก็บิดตัวปากก็เป่าไปที่หนึ่งเรียกลม ในทันทีนั้นก็บังเกิดลมพยุห์พัดมาเอาหมู่คนที่ดูอยู่นั้นกระจายไปทั้งสิ้น เห้งเจียก็ใช้คาถาบังกายตรงเข้าไปแกะเอาหมายประกาศนั้นมาได้แล้วก็เดินมาหาโป๊ยก่าย แลเห็นโป๊ยก่ายเอาปากพิงกำแพงหลับอยู่เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ไม่ปลุก จึงเอาหมายประกาศเหน็บที่ฅอเสือโป๊ยก่ายแล้วก็เดินกลับมาที่ฮ่วยตั๋งก๊วน

ฝ่ายหมู่คนเหล่านั้นถูกลมพะยุห์ลืมตาไม่ขึ้น ครั้นลมหายแล้วก็ไม่เห็นหมายประกาศพวกพนักงานที่รักษาก็พากันตกใจ ด้วยนำหมายประกาศมาปิดยังไม่ทันถึงสามชั่วโมง ก็ถูกลมพะยุห์หายไปดังนี้ พวกตำรวจแลขันธีก็พากันตกใจเปนอันมาก ก็รีบพากันแยกย้ายเที่ยวค้นหา บังเอินมาเห็นเหน็บอยู่ที่ฅอเสื้อโป๊ยก่าย คนเหล่านั้นจึงร้องว่านี้ทำไมแกแกะเอาหมายประกาศมาหรือ โป๊ยก่ายกำลังหลับตกใจยกปากขึ้น คนเหล่านั้นก็ตกใจล้มทับกันเปนระนาวไป โป๊ยก่ายก็ออกเดินไป คนที่ใจกล้าก็เข้ามายึดไว้แล้วพูดว่า ท่านจะเอาหมายประกาศไปรับอาษาพระเจ้าแผ่นดิน ทำไมจึงไม่เข้าไปในพระราชวังประกอบยารักษาพระเจ้าแผ่นดินเล่าจะคิดไปข้างไหน โป๊ยก่ายตกใจพูดว่าใครเปนหมอยาที่ไหน เราได้ไปแกะหมายประกาศมาเมื่อไร พวกตำรวจชี้ว่าเหน็บอยู่ที่ฅอเสื้อนั่นเปนไรมิใช่หมายประกาศหรือ

โป๊ยก่ายก้มศีศะเหลือบดูเห็นม้วนกระดาดอยู่ที่ฅอเสื้อ ก็ชักออกมาคลี่ดูแล้วกัดฟันด่าว่าอ้ายหัวลิงมันทำแก่กูดังนี้ มีความแค้นจะใคร่ฉีกประกาศนั้นเสีย พวกตำรวจร้องห้ามว่านี่แกจะถึงที่แล้ว หมายประกาศของพระเจ้าแผ่นดินเช่นนี้ใครเล่าเขาจะกล้าฉีกเช่นนี้ แม้ว่าแกเอามาแล้วแกก็คงจะเปนหมอวิเศษจงรีบไปกับข้าพเจ้า โป๊ยก่ายตวาดว่าหมายประกาศนี้ข้าพเจ้ามิได้ฉีกเอามา คือพี่เราชื่อเห้งเจียไปลักฉีกเอามาเหน็บไว้ที่เราแล้วก็ไปเสีย แม้ว่าพวกท่านจะให้เห็นจริงจงไปกับเราถามดูจึงจะรู้เท็จจริงได้

พวกตำรวจพูดว่า ท่านพูดอะไรอย่างนั้นฟังไมได้ เลอะเทอะ ระฆังที่นี่ไม่ตีจะไปตีระฆังที่ไหน แกเปนผู้ไปแกะหมายประกาศแล้วจะให้พวกข้าพเจ้าไปหาใครที่ไหนข้าพเจ้าตามใจท่านไม่ได้ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินก่อน พวกเหล่านั้นก็พากันเข้าฉุดคร่าโป๊ยก่าย ๆ ก็ยืนเฉยไม่ไหวหวาดดุจก้อนศิลาใหญ่ พวกนั้นก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด โป๊ยก่ายพูดว่าพวกเจ้าไม่รู้จักฟ้าต่ำดินสูงจงมาลองดูอีกสักพักหนึ่ง จะเปนอย่างไรบ้าง ยิ่งทำเราก็ยิ่งแน่นเข้าทุกที ในทันใดนั้นพวกชาวตลาดมาล้อมโป๊ยก่ายอยู่ออกแน่นไป ในหมู่นั้นมีขันธีสองคนจึงถามว่า ตัวอยู่ที่ไหนดูรูปร่างแปลกปลาดมากดังนี้ ถ้อยคำน้ำเสียงก็ผิดกว่าคนทั้งหลาย ยังอาจมาทำกล้าแขงในที่ของเขา

โป๊ยก่ายตอบว่า ข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังข้างทิศบูรพา มีรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม พระอาจาริย์ของข้าพเจ้าเปนน้องยาเธอพึ่งเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ข้าพเจ้ามาซื้อเครื่องแกงกับพี่ข้าพเจ้า เธอบอกให้ข้าพเจ้าคอยอยู่ที่ตรงนี้ ชะรอยเธอจะไปแกะเอาหมายประกาศมาแอบเหน็บไว้ที่ข้าพเจ้าแล้วหนีไป ขันธีผู้เฒ่าพูดว่า ข้าพเจ้าเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งรูปร่างงดงามเข้าไปในพระราชวังนึกดูเห็นจะเปนพระอาจาริย์ของท่านดอกกะมัง โป๊ยก่ายพูดว่านั่นและอาจาริย์ของข้าพเจ้าละ ขันธีถามว่าก็พี่ของท่านไปข้างไหนเล่า โป๊ยก่ายบอกว่า พวกข้าพเจ้ารวมด้วยกันสี่คนพักอยู่ที่ฮ่วยตั๋งก๊วน พี่ข้าพเจ้ามาทำแกล้งเล่นแล้วก็หนีไปฮ่วยตั๋งก๊วนก่อน ขันธีผู้เฒ่าจึงบอกแก่พวกตำรวจว่า พวกเราอย่าวุ่นวายจับกุมเธอไปเลย จงพากันไปฮ่วยตั๋งก๊วนนั้น ก็คงจะรู้เหตุผลได้ตลอดพูดแล้วก็พากันมา

ฝ่ายพวกชาวตลาดที่กลุ้มกันอยู่นั้นก็ตามมาด้วย โป๊ยก่ายจึงบอกแก่ตำรวจแลพวกชาวตลาดว่า พี่ข้าพเจ้าไม่เหมือนข้าพเจ้า ใครจะพูดเล่นเกินเลยไม่ได้ ใจซื่อตรงแต่ร้อนแรง แม้พวกท่านพบเธอจงนพนอบอ่อนน้อมเรียกเธอเปนท่านผู้ใหญ่ ซึงเล่าเอี๊ย เธอก็คงจะรับรอง หากพูดจารุกรนเธอ ๆ ก็จะทะลึ่งตึงตังขึ้น การของท่านก็จะไม่สำเร็จ พวกขันธีกับตำรวจพูดว่า พี่ของท่านหากว่ามียาวิเศษประสิทธิ์แล้วแม้รักษาพระเจ้าแผ่นดินหายแล้ว ก็จะได้รางวัลแบ่งพระนครให้ครึ่งหนึ่ง พวกข้าพเจ้าก็จะลงเคารพทั้งสิ้น พวกที่ตามมามิใช่ธุระก็ยืนอยู่ข้างนอก โป๊ยก่ายก็พาพวกขันธีกับตำรวจเดินเข้าไปข้างในก็ได้ยินเห้งเจียคุยอยู่กับซัวเจ๋ง หัวเราะกันอยู่ในห้องกำลังพูดด้วยเรื่องหมายประกาศ โป๊ยก่ายก็เดินเข้าไปจับมือเห้งเจีย พูดว่าพี่หรือเปนคนดังนี้ได้ ลวงว่าจะซื้อขนมให้ข้าพเจ้ากินก็ไม่มีอะไรสักอย่างหนึ่ง กลับไปแกะเอาหมายประกาศอะไรมายัดให้ข้าพเจ้า ทำให้เราได้ความผิดดังนี้ จะควรคบเปนพี่น้องกันไปได้หรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า มึงอ้ายชาติหมูไปหลงทางอยู่ที่ไหนมา ก็เราไปซื้อเครื่องแกงแล้วก็กลับมา ไม่เห็นเจ้าก็เลยกลับมาที่พัก จะไปแกะเอาหมายประกาศมาทำไม โป๊ยก่ายว่ามีขุนนางเฝ้ารักษาหมายประกาศบัดนี้ก็ตามมาด้วย พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นขันธีกับตำรวจเดินเข้ามา พร้อมกันเคารพพูดว่าท่านผู้ใหญ่ ซึงเล่าเอี๊ย เจ้าของข้าพเจ้ามีนิไสยอันใหญ่ เทพยดาเชิญให้ท่านลงมาเปิดความประสิทธิ์ประกอบโอสถรักษาพระโรคเจ้าของข้าพเจ้า เห้งเจียได้ฟังขันธีแลตำรวจพูดดังนั้น จึงหยิบหมายประกาศมาจากโป๊ยก่ายแล้ว พูดแก่ขันธีแลตำรวจว่า ท่านทั้งหลายเปนผู้รักษาหมายประกาศหรือ ขันธีแลตำรวจตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้เปนผู้คอยรักษาหมายประกาศ

เห้งเจียพูดว่า หมายประกาศนี้ข้าพเจ้าเอามาเอง แต่ให้น้องข้าพเจ้านำมาหา หากเจ้าของท่านประชวรพระโรคหนัก คำบูราณท่านว่า ยาไม่ตามซื้อโรคไม่หารักษา ท่านไปทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ ให้พระองค์มาเชิญข้าพเจ้า ๆ คงจะมีฝีมือที่จะแก้พระโรคนั้นได้ พวกขันธีได้ฟังดังนั้นต่างก็ตกตลึง แต่ตำรวจพูดว่าถ้าออกความรุนแรงอย่างนี้ ก็คงมีความรู้ใหญ่กว้าง พวกเราอยู่คอยรับเชิญครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งเข้าไปกราบทูล พร้อมกันเห็นชอบจึงแบ่งกันอยู่กันไป ขันธีกับตำรวจสิบสองคนก็พากันเข้าไปในพระราชวัง ไม่ทันคอยรับสั่งก็ตรงเข้าไปที่ตำหนัก (พีเฮียงเต้ย) ครั้นถึงกระทำคำนับแล้วก็กราบทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรดมีพระไทยอันรื่นเริง เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินเสวยแล้ว กำลังตรัสสั่งสนทนาอยู่กับพระถังซัมจั๋ง ได้ทรงฟังขันธีแลตำรวจเข้ามากราบทูลดังนั้น จึงตรัสถามว่ารื่นเริงอยู่ที่ไหนหรือ ขันธีทูลว่าเมื่อเวลาเช้ามีรับสั่งให้พวกข้าพระพุทธเจ้า นำหมายประกาศไปปิดเพื่อจะหาหมอรักษาพระโรค ข้าพระพุทธเจ้านำหมายประกาศไปปิดยังตำบลหอกลองตลาดใหญ่ มีสานุศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋ง เปนคนชาวเมืองใต้ถัง นามเรียกว่าซึงเล่าเอี๊ย บัดนี้พักอยู่ที่ฮ่วยตั๋งก๊วน เธอขอให้พระองค์เสด็จไปรับเธอ ๆ จึงจะมีฝีมืออันปรากฎรักษาพระโรคของพระองค์ให้พลันหาย เพราะฉนั้นพวกข้าพระพุทธเจ้า จึงได้เข้ามากราบทูลเพื่อทรงทราบ

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กให้ทรงฟังดังนั้น ก็มีพระไทยยินดีรื่นเริงยิ่งนัก จึงตรัสถามพระถังซัมจั๋งว่า สานุศิษย์ของท่านมีกี่คน พระถังซัมจั๋งทูลว่ามีสามคน พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่าคนไหนเปนหมอ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่าอาตมภาพไม่อาจปิดบัง สานุศิษย์ของอาตมภาพเปนชาวป่าชาวดง เข้าใจแต่การเข้าป่าขึ้นเขาลงห้วย ถ้าพบปิศาจยักษ์ร้าย ก็มีฝีมือปราบได้ ที่จะมีฝีมือเปนหมอประกอบยารักษาโรคนั้น ก็ไม่เห็นคนไหนจะเปนได้ พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าพระอาจาริย์ทำไมจึงถ่อมตัวดังนั้นเล่า วันนี้ข้าพเจ้าพึ่งออกขุนนาง บังเอินมีนิไสยอันใหญ่ แม้ว่าสานุศิษย์นั้นไม่เปนหมอที่ไหนจะอาจมาแกะเอาหมายประกาศนั้นไปได้ แลยังจะให้ข้าพเจ้าเสด็จไปรับเองเล่า ซี่งการเปนดังนี้ คงจะมียาประสิทธิ์ขลังเปนแน่ พระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้ขุนนางออกไปแทนว่า บัดนี้พระองค์มีพระอาการให้อ่อนเปลี้ยจะเสด็จมิได้ โดยเหตุทรงพระประชวรมานานแล้ว ไม่อาจทรงรถได้ เพราะฉนั้นขอเชิญท่านซึงเล่าเอี๊ยเข้ามาดูพระโรคในพระราชวังเถิด

ฝ่ายขุนนางได้รับสั่งดังนั้น ก็ถวายบังคมลาออกไป ครั้นถึงฮ่วยตั๋งก๊วนก็เข้าไปหาเห้งเจียกระทำคำนับ ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแอบอยู่ข้างใน ยังแต่เห้งเจียนั่งอยู่ท่ามกลาง จิตรใจไม่หวั่นไหวกลัวเกรงผู้ใด ฝ่ายขุนนางเหล่านั้นครั้นคำนับแล้ว ก็ยืนอยู่สองข้างพูดว่า ขอท่านเล่าเอี๊ยได้ทราบ พวกข้าพเจ้าคือเปนขุนนางของพระเจ้าจูจี๊ก๊ก บัดนี้มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญเล่าเอี๊ยเข้าไปในพระราชวังดูไข้ของพระองค์ เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็ผุดลุกขึ้นทันทีแล้วถามว่าเปนเหตุอย่างไร พระองค์จึงมิได้เสด็จมาเองเล่า พวกขุนนางพูดชี้แจงว่า พระองค์ทรงพระประชวรพระโรคมานานแล้ว หมดพระกำลังไม่สามารถจะเสด็จมาได้ เพราะเหตุนี้จึงจำเปนให้พวกข้าพเจ้ามาเชิญท่านแทนพระองค์ ขอเชิญท่านซึงเล่าเอี๊ยเข้าไปในพระราชวังตามรับสั่งเถิด เห้งเจียได้ฟังขุนนางชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นเชิญท่านทั้งหลายกลับไปก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะตามไปต่อภายหลัง

ฝ่ายพวกขุนนางเหล่านั้น เมื่อได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น ก็พากันกลับเข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียจัดแจงกายเรียบร้อยแล้วก็เดินตามไป บัดเดี๋ยวก็มาถึงพระทะวารวัง พวกขุนนางเห็นเห้งเจียมาถึงแล้วก็เข้าไปกราบทูล ครั้นทรงทราบก็เสด็จออกมาทอดพระเนตรตรัสถามว่าท่านผู้ใดคือซึงเล่าเอี๊ย เห้งเจียก็เข้าไปพูดเสียงดังว่า ข้าพเจ้านี้แลซึงเล่าเอี๊ย พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊ก ได้ยินเสียงดังแลทั้งแลดูรูปร่างก็น่ากลัวดังนั้น ก็ตกพระไทยพระองค์สั่นไม่เปนสมประดี ก็ล้มลงทันทีรับสั่งให้นางใน มาพยุงพระองค์เข้าพระตำหนักในขุนนางทั้งหลายก็พากันโกรธเห้งเจียว่า ไม่รู้จักอะไรมีกิริยาหยาบคายเซอะซะ ยังมีหน้าอวดดีมาแกะเอาหมายประกาศออกได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าท่านทั้งหลายนี้ด่วนดูถูกข้าพเจ้าดังนี้ โรคเจ้าของท่านสักพันปีก็จะไม่หายเลย

พวกขุนนางเหล่านั้นจึงถามว่า คนเราเกิดมาอายุสักเท่าใดท่านจึงว่าพันปีก็ไม่หาย เห้งเจียตอบว่าประจุบันบัดนี้ โรคของเจ้าแห่งท่านเรียกตายแล้ว คือโรคผีกลับชาติมาต่อภายหลังเรียกว่าโรคคนดังนี้จะไม่เรียกพันปีหรือ ขุนนางทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดปลาดดังนั้น ก็พากันโกรธเคืองพูดว่าคนอะไรอย่างนี้พูดจาบ้าหลังไปได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าเรามิใช่บ้าหลังเราจะแสดงให้ฟัง ยาประกอบประสิทธิคุณนั้นยิ่งล้ำ มีครูเทวดาท่านชักนำหากไม่ฟังคำเราชี้แจงทั้งชาติก็ไม่หายอย่าสงไสยเลย ในพวกขุนนางนั้นมีขุนนางฝ่ายแพทย์ผู้หนึ่งเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดกับขุนนางทั้งหลายว่า ท่านผู้นี้แสดงความชอบกนควรจะฟังก่อน คือยาเทวดาจะคอยฟังซึ่งโรคนั้นก่อนจึงจะประกอบยาให้ พวกขุนนางทั้งหลายก็เห็นชอบด้วยจึงให้เข้าไปกราบทูลว่า บัดนี้ท่านซึงเล่าเอี๊ยจะขอฟังพระโรคก่อนจึงจะประกอบโอสถได้ พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กบันทมประทับอยู่บนแท่นได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้ขันธีออกไปบอกว่า ซึ่งท่านซึงเล่าเอี๊ยนั้นขอยกเลิกเถิด ด้วยพระองค์เห็นหน้าไม่ได้

ขันธีก็กลับออกมาบอกดามรับสั่งทุกประการ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าถ้าเห็นหน้าไม่ได้ เราเข้าใจทางตรวจจับแต่สายด้ายก็ได้ ให้เอาแต่ด้ายผูกข้อพระกรฟังก็ได้ พวกขุนนางให้ฟังดังนั้นก็ดีใจพูดว่าเคยได้ฟังอยู่ แต่ยังไม่เคยเห็นด้วยตาควรจะกลับเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบใหม่ ขุนนางจึงเข้าไปกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ บัดนี้ท่านซึงเล่าเอี๊ยพูดว่าไม่ต้องเห็นพระองค์ก็ได้ ให้เอาด้วยผูกพระกรแล้ว จับแต่ด้ายก็อาจทราบได้ในพระอาการ พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าเราป่วยมาสามปีแล้วยังไม่เคยได้ยินการทดลองอย่างนี้ ถ้ากระนั้นก็เชิญตัวเข้ามาข้างใน ขุนนางก็ออกมาเชิญเห้งเจียเข้าไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ