๒๘

เมื่อเวลาเหาะมานั้น เอ้กาแต่ผู้เดียว ในดวงจิตรให้มีความอาไลยสท้อนถอนใจใหญ่บัดเดี๋ยวใจก็มาถึงฝั่งทเลมหาสมุททิศตวันออก เห้งเจียก็ลอยอยู่บนอากาศ คิดถึงพระอาจาริย์มีความโทมนัศยิ่งนักก็ร้องไห้สอึกสอื้นคร่ำครวนไปต่างๆ หยุดสักประเดี๋ยวแล้วก็เหาะเลยไป จึงคิดอยู่แต่ในใจว่าหนทางนี้ ห้าร้อยกว่าปีแล้วเรามิได้มาทางนี้คิดดังนั้นแล้ว ก็เหาะลงมาถึงเขาฮวยก๊วยซัว เห้งเจียก็ลดลงยังเนินเขาเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นเงียบสงัดอยู่ ต้นไม้ดอกไม้แห้งเหี่ยวร่วงโรยราไปหมดสิ้น แลที่ตั้งแต่งด้วยศิลาเคยนั่งเล่นเย็นเช้าก็หักพังเสียหายไปทั้งสิ้น เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความโทมนัศมากขึ้น ในเมื่อเห้งเจียคร่ำครวญอยู่นั้น ได้ยินเสียงในซอกเขาพุ่มรก เห็นลิงน้อย ๆ วิ่งออกมาเจ็ดแปดตัว พากันเข้าล้อมหน้าล้อมหลัง คำนับแล้วพูดว่า วันนี้ท่านไต้เซียกลับมาแล้ว

เห้งเจียถามว่าพวกเจ้าไปข้างไหนหมดจึงได้เงียบสงัดอย่างนี้ ข้ามาถึงนานแล้วก็มิได้เห็นพวกเจ้านี่เปนด้วยเหตุอย่างไร พวกวานรน้อย ๆ ได้ฟังเห้งเจียต่างตนเล่าบอกว่า ตั้งแต่ใต้เซียไปแล้ว อยู่ภายหลังมีพวกพรานมาทำแก่พวกข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์สุดที่จะรำพรรณ มันเอาอาวุธศรแลน่าไม้มายิง แลเอาสุนักข์มาล้อมไล่ตีจับเปนเอาบ้างจับตายเอาบ้าง เพราะฉนั้นพวกข้าพเจ้าจึงหนีซ่อนเร้นอยู่ตามซอกห้วยชานเขาแลพุ่มรกแลในถ้ำจึงได้รอดพ้น นี่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงใต้เซียกลับมาพวกข้าพเจ้าจึงออกมาหา เห้งเจียได้ทราบดังนั้น ก็ยิ่งมีความโทมนัศเสียใจยิ่งนัก จึงถามว่าพวกพรานเหล่านั้น มันจับพวกเจ้าไปทำประการใด

วานรน้อย ๆ เหล่านั้นจึงบอกว่า มันจับตายได้ก็เอาไปต้มแกงกิน มันจับเปนได้ก็เอาไปหัดเล่นงิ้วเล่นลคร แล้วเอาไปกลางตลาดทำเล่นเต้นรำต่าง ๆ มันพากันตีกลองแลม้าฬ่อเฮฮาหัวเราะกันเปนการสนุกสนานของมันอย่างนี้

เห้งเจียได้ฟังพวกวานรเล่าให้ฟังดังนั้น มีความแค้นดุจไฟลุกอยู่ในทรวงอก จึงถามว่าเดี๋ยวนี้ในถ้ำใครเปนหัวน่า ลิงน้อยจึงตอบว่ามีนายเบ๊ลิ้วเจียงกุนแม่ทัพที่สามเปนหัวน่า เห้งเจียว่าพวกเรารีบไปบอกให้ออกมาหาเราโดยเร็ว ลิงน้อยก็พากันวิ่งเข้าไปบอก

เบ๊ลิ้วแม่ทัพที่สามได้ฟังลิงน้อยมาบอกดังนั้น ก็มีความยินดี จึงพาพวกวานรออกมาคำนับรับใต้เซียเข้าไปในถ้ำ เห้งเจียขึ้นนั่งอยู่บนที่ท่ามกลางบริวารวานรใหญ่น้อยแล้ว พวกวานรทั้งหลายก็พากันคำนับแล้วจึงถามว่า พวกข้าพเจ้าได้ยินว่า ท่านรอดชีวิตรออกแล้วตามพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีเพื่ออาราธนาพระธรรม ทำไมใต้เซียจึงกลับมาได้เล่า

เห้งเจียได้ฟังพวกวานรถามดังนั้นจึงดอบว่า พวกเจ้าทั้งหลายยังหารู้เหตุผลต้นปลายไม่ ถังซัมจั๋งนั้นไม่รู้จักคนดีแลคนชั่ว เราเห็นแก่เธอตามไปช่วยรักษา ด้วยตามระยะทางที่ไปนั้นมีแต่ภูตผีปิศาจยักษ์มารร้ายกาจมาก ได้ปราบปรามภูตผีปิศาจร้ายให้ราบคาบไปได้ทั้งสิ้น เพราะความจงรักภักดีได้ความลำบากทรมานกาย ได้ตีปิศาจตายเธอกลับพูดว่าเปนคนดุร้ายเหี้ยมโหด ทำหนังสือสัญญาว่าไม่ใช้เราอีกต่อไปขับไล่ให้เรากลับเสีย เราจึงได้กลับมาดังนี้

พวกวานรทั้งหลายได้ฟังใต้เซียเล่า ก็พากันตบมือหัวร่อว่าดีแล้วใต้เซียกลับมาอยู่ จะได้ปกครองรักษาพวกข้าพเจ้า ๆ จะได้มีความศุข ท่านจะตามไปทำไมให้ป่วยการไม่เปนผลประโยชน์อะไร พวกวานรพูดแล้วบอกกันให้เอาน้ำเหล้ามะพร้าวมาให้ใต้เซียกินแก้ทุกข์ เห้งเจียห้ามว่าอย่าเพ่อกินก่อน ข้าจะถามพวกเจ้าว่า พวกพรานนั้นกี่วันมันจึงจะมาหนหนึ่ง เบ๊ลิ้วบอกว่ามันมาทุกวันเปนนิตย์ วันนี้ท่านคอยดูก็จะได้เห็น

เห้งเจียได้ฟังพวกวานรบอกดังนั้น จึงสั่งลิงน้อยให้ช่วยกันเก็บหินแลกรวดไปกองไว้บนเนินเขาให้มาก แล้วพวกเจ้าจงแอบหนีอยู่ในถ้ำ ไว้ธุระข้าจะทำวิชาแก้มือ ฝ่ายลิงน้อยทั้งหลายรับคำสั่งแล้วก็ไปเที่ยวเก็บหินแลตรวดมากองไว้ตามสั่ง แล้วก็พากันหลบหนีเข้าซ่อนอยู่เสียในถ้ำ เห้งเจียจึงขึ้นบนยอดเขาคอยดู บัดเดี๋ยวก็แลเห็นข้างทิศอาคะเณทั้งคนทั้งม้าประมาณสักพันเศษ ถืออาวุธน่าไม้ธนูแลแหลนหลาวหอกดาบต่าง ๆ แลสุนักข์สำหรับไล่ก็มีมาหลายสุนักข์ พวกคนก็ตีกลองแลม้าฬ่อโห่ร้องกันขึ้นมา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธเปนอันมาก จึงร่ายพระคาถาคาบม้วนลมบังเกิดเปนลมพยุห์ใหญ่ พัดหอบเอาหินตรวดเหล่านั้นสาดลงไปยังพวกพรานเหล่านั้น เจ็บปวยล้มตายไปทั้งสิ้น ซากอาศพล้มกลิ้งอยู่กับที่โลหิตไหลนองไป

เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตบมือหัวเราะพักใหญ่ แล้วพูดว่าเราตามพระอาจาริย์ไป ท่านก็สั่งสอนทุกวัน ๆ ว่าพันวันทำความดี ความดีไม่ใคร่จะพอ วันเดียวทำความชั่วร้าย ๆ มากเหลือนั้น อันคำนี้ก็เปนความจริงได้ ฆ่าปิศาจสองสามหนท่านว่าดุร้าย เรากลับมาบ้านวันนี้ เราทำเวรฆ่าชีวิตรเขาโดยมาก พูดเช่นนี้แล้วจึงสั่งพวกวานรให้ถอดเสื้อกางเกงของคนตายนั้นมาใส่ ถลกหนังม้ามาทำสายธนูน่าไม้ เก็บเอาเครื่องสาตราอาวุธนั้นมาฝึกหัดซ้อมฝีมือกัน เก็บเอาธงศรีต่าง ๆ นั้นมาประจบเย็บติดกันเข้าเปนธงห้าศรี แล้วเขียนอักษรลงสิบสี่ตัวว่า (ต้งซิว ฮวยก้วยซัว หกจิ๊นจุ๊ยเลียมต๋อง ซีเทียนใต้เซีย) แปลว่าซ่อมแปลงเขาฮวยก๊วยซัวปฏิสังขรณ์ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องขึ้น เห้งเจียเปนซีเทียนใต้เซียมายังเดิม แล้วเห้งเจียสั่งให้ชักธงขึ้นตั้งมั่วสุมสะสมสะเบียงอาหารแลเกลี้ยกล่อมพวกยักษ์มารปิศาจที่มีฝีมือ เห้งเจียย่อมเปนผู้มีสันดานพอใจเปนคนโต ตั้งฤทธาอานุภาพเวทมนต์ก็ประสิทธิ์ขลังแขงแรง เห้งเจียไปขอน้ำทิพย์ของพระยานาคมาทั้งสี่มหาสมุทมาล้างบนเขาให้สอาดแล้ว ก็ปลูกต้นไม้พรรณต่าง ๆ ให้เปนที่ร่มรื่นสำราญ

ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งเชื่อฟังโป๊ยก่ายส่อเสียดขับไล่เห้งเจียกลับไปแล้วก็ขึ้นม้าออกเดิน ซัวเจ๋งยกหาบไส่บ่าเดินตามกันไปเดินข้ามเขาแป๊ะเฮ้าซัว แลไปข้างน่าเห็นมีดงไม้ใหญ่ ร้องสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าหนทางดงป่ารกเปลี่ยวจงระวังระไวให้มาก ๆ โป๊ยก่ายถือคราดเหล็กออกเดินนำน่าตัดทางเข้าดง ในเวลากำลังเดินนั้น หลวงจีนถังซัมจั๋งยอหยุดม้าบอกแก่โป๊ยก่ายว่าอาตมภาพมีความหิวอ่อนนักท่านจงไปหาเข้ามาให้กินแก้หิวเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนั้นอาจาริย์ลงหยุดพักที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตรหลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า ซัวเจ๋งวางหาบลงหยิบบาตรส่งให้โป๊ยก่าย ๆรับบาตรเดินลัดออกจากดงตรงไปข้างทิศตวันตกประมาณร้อยเส้นเที่ยวค้นหาบ้านคนก็ไม่เห็นมี พบแต่สัตว์เสือร้าย โป๊ยก่ายเดินลำบากเข้าก็คิดถึงเห้งเจียถ้าอยู่เปนผู้บิณฑบาตร มาวันนี้เขาไม่อยู่ตกเปนน่าที่ของตัวเราก็ตรึกนึกถึงเห้งเจีย ถ้าอยู่ก็เปนผู้หาบิณฑบาตรโป๊ยก่ายเดินลำบากต้องตกเปนน่าที่ของเรา นี่ก็จริงเหมือนคำที่เขาพูดกันว่า (มีบ้านจึงจะรู้ราคาเข้าแลฟืน เลี้ยงลูกจึงจะรู้คุณของบิดามารดา) นี่เราจะไปหาที่ไหนได้ โป๊ยก่ายคร่ำครวนดังนั้น ก็บังเกิดง่วงเหงาหาวนอนโป๊ยก่ายทนหาวนอนไม่ไหว ก็เดินแวะเข้าไปที่พุ่มรกก็มุดเข้าไปนอนหลับเสียพักใหญ่จนไม่รู้สึกตัว

ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งคอยโป๊ยก่ายอยู่ในกลางดงจิตรใจให้หวาดเสียว ไม่มีความผาศุขสบายเลยในตาก็ให้เขม่นไม่หยุด จึงเรียกซัวเจ๋งมาพูดว่า โป๊ยก่ายไปบิณฑ์บาตรตวันก็พ้นเพนแล้วยังไม่เห็นกลับมา ที่เนินดงนี้ไม่ควรเราจะพักเราจงไปหาที่พักจึงจะดี ซัวเจ๋งพูดว่าอย่าเพ่อไปก่อน รอข้าพเจ้าไปตามโป๊ยก่ายก่อน จึงค่อยพร้อมกันไป หลวงจีนถังซัมจั๋งก็เห็นชอบด้วย ซัวเจ๋งก็ถือกระบองเดินออกมาจากดงเที่ยวตามโป๊ยก่ายตามเนินป่า ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่ในดงแต่ผู้เดียวในจิตรใจให้ง่วงเหงา จึงขืนอุสาหะสะกดใจไว้แล้วก็ผุดลุกขึ้น ค่อย ๆ เดินชมพิศดูตามต้นผลไม้พอให้แก้รำคาร อันที่ในดงนั้นมีทางมากแยกไปหลายทาง หลวงจีนถังซัมจั๋งเวลานั้นจิตรใจไม่ปรกติเดินหลงทางไปไม่รู้ที่ว่าจะกลับก็เดินหลงออกดงไปทางทิศอาคะเณ แลไปข้างหน้าเห็นมีรัศมีทองฟุ้งขึ้นมา เวลานั้นแสงตวันส่องมากระทบยอดพระเจดีย์จึงได้มีรัศมีผุดผ่องขึ้น พระถังซัมจั๋งแลไปก็เห็นองค์พระเจดีย์ จึงคิดว่าเมื่อเราจะออกจากเมืองหลวงก็ได้อัทธิฐานว่าแม้ปะพระพุทธรูปจะนมัศการ พบพระสถูปเจดีย์ก็จะกวาดล้างทำไมเมื่อเดินมาจึงไม่เห็น ที่ข้างพระเจดีย์นั้นคงจะมีวัดวาอารามพระเจ้าพระสงฆ์อยู่ จำเราจะแวะเข้าไปดู แต่ที่ของแลม้าอยู่กลางดงนั้นเห็นจะไม่เปนอันตราย เพราะในดงนั้นน้อยนักที่คนจะไปมา แม้คอยโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาพร้อมกันก็ดีแต่ยังช้าจำเราจะเข้าไปในวัดก่อน คิดดังนั้นแล้วก็เดินตัดตรงเข้าไปที่องค์พระเจดีย์ ครั้นถึงประตูไหญ่พระถังซัมจั๋งแลเข้าไปในพระเจดีย์ก็เห็นมู่ลี่แขวนห้อยอยู่ จึงเดินเข้าไปข้างในเปิดมู่ลี่เข้าไปชั้นในเห็นมีแท่นศิลา ข้างบลแท่นนั้นมีคนนอนแต่หน้าเขียวแยกเขี้ยวออกจากปาก กำลังนอนหลับอยู่บนแท่นพระถังซัมจั๋งเห็นก็รู้ว่ายักษ์ปิศาจ ในอกใจก็รัวสั่นไปทั้งกายหันหน้าวิ่งกลับออกมาข้างนอกทันที

ฝ่ายปิศาจยักษ์ตกใจตื่นขึ้น ร้องถามพวกปิศาจน้อย ๆ ว่าข้างนอกนั้นคนอะไรที่ไหนมา ปิศาจน้อยมองตามไปก็เห็นพระสงฆ์ จึงบอกว่าพระสงฆ์ที่ไหนมาก็ไม่ทราบ ปิศาจยักษ์ได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า นี่เหมือนแมลงวันมาจับบนหัวงู มันเอาภักษาหารมาให้เรา พวกเรารีบตามจับตัวมาให้ได้ พวกปิศาจน้อย ๆ วิ่งตามไปจับตัวหลวงจีนมาได้แล้ว ก็พากันฉุดคร่าเอาตัวมา

หลวงจีนถังซัมจั๋งยกมือคำนับ ปิศาจยักษ์จึงถามว่านี่ตัวเปนสงฆ์อยู่ประเทศไหนจะไปข้างไหนจึงมาทางนี้ จงบอกมาให้แจ้งโดยเร็ว พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง รับรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะไปอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรมประเทศไซที บัดนี้อาตมภาพมาถึงนี่จะใคร่นมัศการพระเจดีย์ บังเอินทำให้ท่านตกใจ ขอท่านได้ยกโทษให้แก่อาตมภาพที่ได้ผิดนี้ ถ้าอาตมภาพไปธุระสำเร็จแล้ว กลับไปถึงเมืองอาตมภาพจะจดชื่อท่านไว้เปนที่ระลึก

ปิศาจยักษ์ได้ฟังหลวงจีนถังซัมจั๋งพูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า ตัวอยู่เมืองบนเปนมนุษย์โดยความจริงเราอยากกินเนื้อ บัดนี้เนื้อนั้นจะต้องอยู่ในปากเราจะปล่อยไปไม่ได้ จะหนีไปไหนก็คงหนีไปไม่พ้น พูดดังนั้นแล้ว จึงสั่งบริวารให้เอาตัวพระถังซัมจั๋งไปมัดไว้กับเสาที่ในถ้ำอย่าให้หนีไปได้ ปิศาจยักษ์ก็ถือมีดเดินมาใกล้ถามพระถังซัมจั๋งว่าตัวมากี่คนจึงมาถึงนี่ เพราะว่าคนเดียวคงจะมาไม่ได้เปนแน่

พระถังซัมจั๋งก็บอกตามจริงว่า อาตมภาพมามีสานุศิษย์สองคนนามเรียกว่า โป๊ยก่ายซัวเจ๋งคนทั้งสองพากันไปเที่ยวบิณฑบาตรแลหาบกับม้ายังทิ้งอยู่กลางดง ปิศาจว่าถ้ากระนั้นยิ่งดีมากอาจาริย์สานุศิษย์กับม้ารวมเปนสี่ด้วยกัน ก็พอกินได้สักเวลาหนึ่งพูดดังนั้นแล้วจึงสั่งบริวารว่า พวกเจ้าจงปิดประตูคอยท่า เราจะไปจับตัวพวกศิษย์มาพร้อมกับอาจาริย์จึงค่อยต้มเลี้ยงกันสักเวลาหนึ่ง

ฝ่ายซัวเจ๋งออกจากดงเที่ยวตามหาโป๊ยก่าย เดินมาประมาณทางไกลร้อยเส้นเสศ เที่ยวค้นหาก็ไม่เห็นโป๊ยก่าย ทั้งบ้านช่องผู้คนก็ไม่มี จึงขึ้นยืนบนเนินสูงแลไปดู ก็ได้ยินเสียงในพุ่มไม้รกมีเสียงคนพูด ซัวเจ๋งจึงรีบเดินเข้ามาใกล้ เอาไม้กระบองแหวกหญ้ารกดู ก็เห็นโป๊ยก่ายนอนหลับสนิทไม่รู้สึกตัว ปากก็ละเมอพูดเลอะเทอะไม่ได้ศัพย์ ซัวเจ๋งเข้าไปจับใบหูดึงขึ้น เรียกว่าอ้ายหมูป่าอาจาริย์ใช้ให้ไปบิณฑบาตร ทำไมจึงมานอนซุกซ่อนหลับอยู่อย่างนี้

โป๊ยก่ายตกใจตาลีตาลานลุกขึ้นถามว่าเวลานี้กี่โมงแล้ว ซัวเจ๋งบอกว่าท่านให้ไปบิณฑบาตรเข้า ๆ ก็ไม่ได้แล้วจะไปหาที่ไหน จงกลับไปหาท่านก่อน โป๊ยก่ายก็กะหืดกะหอบมากับซัวเจ๋ง ตัดทางเดินตรงมาในดงที่หยุดนั้น ครั้นถึงที่พักแลไปก็ไม่เห็นพระอาจาริย์ ซัวเจ่งไม่เห็นอาจาริย์ก็โกรธโป๊ยก่าย จึงพูดว่าเพราะอ้ายชาติหมูนี่แลไปซุ่มหลับเสียจึงกระทำให้ช้าการ ปิศาจแลยักษ์ร้ายมันคงจะจับเอาอาจาริย์ไปเสียแล้ว

โป๊ยก่ายหัวเราะว่าในดงนี้เปนที่ไชยภูมิดี ปิศาจผียักษ์ที่ไหนจะมี นี่เห็นพระอาจาริย์จะเที่ยวเดินชมป่าเล่นเพื่อแก้รำคาญดอกกระมัง เราทั้งสองเดินตามไปดูก่อนเถิด พูดกันแล้วโป๊ยก่ายจ฿งม้าซัวเจ๋งเอาหาบใส่บ่าก็พากันเดินออกจากดง ตรงมายังทิศอาคะเณเดินไปมองหาไปก็ไม่เห็น บัดเดี๋ยวแลไปก็เห็นมีรัศมีออกสว่างไสว โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นจึงพูดว่า ที่ตรงนั้นมีพระเจดีย์คงจะมีวัดวาอารามเปนแน่ พระอาจาริย์เห็นจะไปฉันเข้าในวัดนั้นดอกกระมัง เราพากันเข้าไปดูเพื่อจะพบท่าน ซัวเจ๋งว่าเรายังไม่แนใจว่าจะร้ายหรือดี เราจงดูข้างนอกก่อน คนทั้งสองก็พากันเดินเข้ามายังประตูใหญ่ ครั้นถึงเห็นบนประตูใหญ่มีอักษรจารึกไว้หกตัวว่า ถ้ำ (อั๊วจื๊อปอง้วยต๋อง) ซัวเจ๋งจึงพูดว่า ที่นี่ไม่ใช่วัดวาอารามเปนที่ปิศาจยักษ์ร้ายอยู่ อาจาริย์ของเราเห็นจะอยู่ในนี้เปนแน่ โป๊ยก่ายว่าพี่จะไปถามดู มือถือคราดเหล็กเดินมายังประตูแล้วตะโกนเรียกว่าใครอยู่ในนั้นช่วยเปิดประตูรับด้วย

พวกปิศาจน้อยได้ยินเสียงคนเรียก จึงวิ่งมาเปิดประตู แลไปก็เห็นสองคนรูปร่างปลาดก็รีบกลับเข้าไปบอกใต้อ๋องว่า อ้ายสองคนมาแล้ว ปิศาจยักษ์ถามว่าสองคนไหน ปิศาจน้อยบอกว่าอยู่นอกคนหนึ่งปากยาวหูใหญ่คนหนึ่งหน้าสีหมอกหัวผมรุงรัง มันร้องเรียกให้เปิดประตูรับ ปิศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีพูดว่า อ้ายสองคนนี้คือโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งมันมาตามอาจาริย์ของมัน หน้าตามันดุร้ายอยู่ เราจะทำหละหลวมแก่มันนั้นเห็นจะไม่ได้ คิดเห็นดังนั้นแล้วจึงเรียกเอาเครื่องแต่งตัวมาแต่ง มือถืออาวุธมีดง้าวเดินออกมายังประตู

โป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นปิศาจหน้าตาดุร้าย แลท่าทางเหี้ยมฮ่าวหาญแขงแรง ศรีหน้าเขียวมีเขี้ยวหนวดสีชมภูผมแดงดังชาด สวมเกราะทองแดงมือถือมีดดาบ ชื่อนั้นเรียกว่า (อึ่งเพ้าใต้อ๋อง) เมื่ออึ่งเพ้าใต้อ๋องออกมาถึงประตูแล้วจึงมีคำถามว่า พวกเจ้ามาแต่ไหนจึงบังอาจมาทำฮึกฮักดังนี้ จงเร่งบอกมาโดยเร็ว

โป๊ยก่ายได้ยินถามดังนั้น จึงตอบว่าอ้ายทารกมึงจำไม่ได้หรือ เราคือพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้พระอาจาริย์เราไปอาราธนาพระธรรมยังมัชฌิมประเทศ อาจาริย์เราเปนน้องพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ถ้าอยู่ในถ้ำนี้ขอให้ส่งมาโดยเร็ว มิฉนั้นเราจะเอาคราดเหล็กตีกระหนาบเข้าไป อึ่งเพ้าใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าจริงมีสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ในถ้ำเรา เราไม่มีความรังเกียดทุกเวลาก็จงรักภักดี เราทำโต๊ะเนื้อคนเลี้ยงทุกเช้าเย็น พวกเจ้าอยากกินก็เข้ามาจะให้กินสักก้อนหนึ่ง จะได้รู้รศชาดว่ามันอร่อยอย่างไร

โป๊ยก่ายคิดว่าจริงจะใคร่เข้าไป ซัวเจ๋งวิ่งมายึดไว้ถามว่าพี่กินเนื้อคนเมื่อไร โป๊ยก่ายจึงนึกขึ้นได้มีความโกรธยิ่งนัก จับคราดตรงเข้าสับลงที่ศีศะปิศาจอึ่งเพ้า ๆ หลบทันก็เข้าต่อสู้กันเปนสามารถ คนทั้งสองต่างแผลงอิทธิฤทธิ์เหาะขึ้นรบกันบนอากาศ ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็วางหาบปล่อยม้า ชักไม้พลองเหล็กเหาะขึ้นไปตามช่วยโป๊ยก่ายรบระดมต่อสู้กันเปนสามารถยังหาแพ้ชะนะกันไม่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ