- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๑๑
เมื่อขณะพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้สวรรคตนั้น พระวิญญาณเคลือบเคลิ้มดุจเมื่อเวลานอนหลับฝัน วิญญาณนั้นออกจากพระราชวังไป ทอดพระเนตรเห็นไปว่า ทหารรักษาพระองค์มาเชิญเสด็จให้พระองค์เที่ยวประพาศป่า พระองค์ก็เสด็จประทับยังราชรถแล้วเสด็จไปได้สักครู่หนึ่ง ทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นก็หายไป พระองค์เห็นดังนั้นก็ตกพระไทย ลงจากราชรถทรงพระดำเนินไปแต่พระองค์เดียวอยู่ในพงป่ารก พระองค์ยิ่งตกพระไทยสดุ้งหวาดจะหาหนทางที่จะเดินออกไปก็หามีไม่ พอได้ยินเสียงคนร้องมาข้างหลังพระองค์ว่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จมาถึงที่นี่แล้วหรือ พระองค์ได้ยินก็ตกพระไทยจึงเหลียวไปดู ก็เห็นคนผู้นั้นใส่หมวกดำพะนมมือคุกเข่าคำนับอยู่ข้างริมทางเดิน แล้วผู้นั้นจึงทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรดข้าพเจ้ามารับเสด็จช้าไป
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงตรัสถามว่าท่านนี้คือผู้ใด ทุยปังจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าเมื่ออยู่ในมะนุษย์โลกนั้น เปนขุนนางของพระเจ้าเชียงหงวนฮ่องเต้ ข้าพเจ้าแซ่ทุยชื่อปัง บัดนี้ข้าพเจ้าลงมาอยู่ในเมืองนะรกนี้ ได้เปนสมุห์บาญชีใหญ่สำหรับตรวจดูคนเกิดแลตาย เมื่อวันก่อนข้าพเจ้าเห็นพระยาเล่งอ๋องลงมาบอกแก่ข้าพเจ้าว่าจะกล่าวโทษพระองค์ต่อพระยาเงียมฬ่ออ๋อง ข้าพเจ้าจึงคิดว่าพระองค์จะต้องลงมา จึงได้มาคอยรับพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าช้าไปนั้นขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานอะไภยแก่ข้าพเจ้าเถิด
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น มีพระไทยยินดียิ่งนัก จึงจับมือทุยปังแล้วตรัสว่าขอบใจท่าน อุสาหะทนลำบากมาคอยรับเรา ๆ ขอบใจท่านเปนอันมาก แล้วจึงตรัสแก่ทุยปังว่า งุยเต็งซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ของเรานั้น มีหนังสือฉบับหนึ่งฝากมาถึงท่านจีนแสบังเอินมาพบท่านดังนี้ก็ดีแล้ว ๆ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงชักหนังสือออกจากมือเสื้อส่งให้ทุยปัง ๆ คำนับรับหนังสือจากพระหัดถ์แล้ว ทุยปังคลี่ออกอ่านในใจความว่า ข้าพเจ้างุยเต็งผู้น้อง ขอคำนับแจ้งความมายังท่านทุยปังผู้พี่แลที่นับถือของข้าพเจ้าทราบ ด้วยข้าพเจ้าคิดถึงเมื่อเวลาเคยเที่ยวอยู่ด้วยกันกับท่าน เมื่อยังอยู่ในมนุษย์โลกย์ มาบัดนี้ไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของท่าน เพราะต่างคนต่างอยู่ จะได้พบก็แต่เมื่อเวลาฝัน ข้าพเจ้าพึ่งทราบว่าท่านได้เลื่อนที่มีเกียรติยศขึ้น ก็มีความยินดีเปนที่ยิ่ง แต่ขัดด้วยอยู่คนละแห่งไม่รู้ที่จะทำอย่างไรได้ บัดนี้มีเหตุด้วยเจ้าของข้าพเจ้า สวรรคตลงมายังเมืองล่าง คงจะได้โต้ตอบด้วยธุระความอย่างหนึ่ง เพราะฉนั้นขอให้ท่านผู้เปนที่นับถือช่วยธุระในการซึ่งเกิดมีในพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าขอฝากพระเจ้าแผ่นดินของข้าพเจ้าไว้ในท่าน แลขออุบายของท่านให้ช่วยแก้ไขให้พระองค์ได้กลับมายังมะนุษย์โลกย์ด้วยสะติปัญญาแห่งท่าน พระคุณของท่านจะอยู่แก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้
ครั้นทุยปังอ่านข้อความตลอดแล้วทุกประการ ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงทูลแก่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่า งุยเต็งนั้นเมื่อวันก่อนได้ถอดหัวใจไปฆ่าพระยาเล่งอ๋อง การนั้นข้าพเจ้าได้ทราบก่อนแล้ว ขอบคุณเขาได้ไปเยี่ยมบุตรนัดดาของข้าพเจ้าอยู่เสมอ ๆ บัดนี้ได้ฝากหนังสือมาให้ข้าพเจ้า ขอพระองค์จงวางพระไทยไว้เปนธุระข้าพเจ้า จะให้พระองค์ได้กลับไปยังมะนุษย์โลกย์ เสวยราชสมบัตินานไปได้อีก
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังดังนั้นมีพระไทยยินดียิ่งนัก สรรเสริญคุณขอบใจทุยปัง แล้วทอดพระเนตรเห็นที่ข้างริมถนนมีเต็กเชงอีท่งจือคน ถือธงแลสับปะทนมาทูลว่า บัดนี้พระยามัจจุราชคือเงียมฬ่ออ๋อง สั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญพระองค์เสด็จไปยังปราสาทซิมล้อเต้ย
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้น พระองค์ตรัสชวนทุยปังและเชงอีท่งจือทั้งสอง ดำเนินไปบัดเดี๋ยวก็ถึงกำแพงเมืองมีบานประตูใหญ่เปนเหล็กเลื่อนขึ้นไปขันรอกไว้ข้างบน ที่ประตูกำแพงเมืองเห็นป้ายแขวนมีอักษรใหญ่ตัวทองเจ็ดตัว อ่านได้ความว่า (ฮิวเป๊งตี้ฮู้กุ๊ยมึงกวน) แปลว่าประตูเมืองผียมโลกย์
ท่งจือทั้งสองนำพระองค์เข้าในกำแพงเมือง เดินไปตามถนนประมาณสักครู่หนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าถังโกโจพระราชบิดาเดินน่าหลีปั้นป้าพระอนุชาเดินตามหลังสวนทางมา พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ดีพระไทย จะกระทำคำนับ รูปทั้งสองก็หายไป
ครั้นเดินต่อไปอีกก็เห็นหลีเกียนเสง หลีง่วนกิจ พี่น้องกับอึงท้ายสวยคนใช้เดินสวนทางมา คนทั้งสามเห็นจึงออกขวางน่าร้องว่าหลีซีบิ๋นมาแล้วหรือ ก็เข้ายึดเอามือพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ๆ ตกพระไทยจะหลบหลีกก็หาทันไม่ คนทั้งสามก็เข้ายึดชายเสื้อไว้
ทุยปังเห็นดังนั้น ก็ร้องเรียกยมพระบาล ๆ หน้าเขียวมีเขี้ยวมาตวาดให้คนทั้งสามนั้นถอยไป
กวนเสงถับง่วนกิจอึงท้ายสวย ได้ยินเสียงยมพระบาลตวาดดังนั้นก็ตกใจ จึงได้ปล่อยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้แล้วก็วิ่งหลบหายไป
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จไปสักครู่หนึ่ง ก็แลเห็นตึกเปนแถวเรียงรายดูเรียบร้อยสง่างาม พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้หยุดยืนพิจารณาดูเห็นข้างในจัดแจงประดับประดาดูงดงามยิ่งนัก น่าประตูมีโคมแขวนอยู่คู่หนึ่ง บัดเดี๋ยวแลเห็นพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบลงจากบันไดเดินออกมาคำนับรับพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ๆ ก็ทรงรับคำนับพระยาเงียมฬ่ออ๋องเปนอันดี แล้วพระองค์ตรัสแก่พระยาเงียมฬ่ออ๋องว่า ขอเชิญท่านทั้งสิบเดินไปก่อน
พระยามัจจุราชจึงพูดว่า พระองค์เปนเจ้ามนุษย์ ข้าพเจ้าทั้งหลายเปนเจ้าฝ่ายเมืองผี พระองค์ควรทรงพระดำเนินจึงจะถูกต้องด้วยแบบอย่าง
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสตอบว่า ข้าพเจ้าเปนผู้ต้องคะดีเขาฟ้องร้อง ท่านทั้งหลายเปนตุลาการควรจะเดินน่าข้าพเจ้าจึงจะชอบ
เงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบ ก็จะให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เดินไปข้างน่าก่อน ต่างเถียงกันไปมาหลายหน เงียมฬ่ออ๋องพูดว่าเชิญท่านผู้อยู่เมืองบนเดินขึ้นน่าไปก่อน ข้าพเจ้าทั้งสิบหาความรังเกียจมิได้เลย
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เห็นเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบไม่มีความรังเกียจแล้ว จึงได้ทรงพระดำเนินไปก่อน ครั้นถึงซิมล้อเต้ยแล้วต่างคำนับกันนั่งที่ตามสมควร
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ประทับอยู่สักครู่หนึ่ง พระยามัจจุราชที่หนึ่งคือชีนก๊วง จึงถามพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่า ข้าพเจ้าขออนุญาตพระองค์ จะขอถามความสักข้อหนึ่ง คือพระยาเล่งอ๋องแม่น้ำเกียฮ้อนั้นมาร้องว่า พระองค์ได้รับคำแก่เขาว่า จะช่วยให้พ้นซึ่งโทษนั้น แล้วกลับให้งุยเต็งขุนนางของพระองค์ไปฆ่าเขาถึงแก่ความตายนั้น การเปนจริงอย่างไร ขอพระองค์ได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทั้งสิบทราบโดยละเอียดเถิด
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ฟังพระยามัจจุราชถามดังนั้น จึงตอบว่า การทั้งนี้ข้าพเจ้ารับได้ว่าจริง แต่ไม่ทราบว่างุยเต็งถอดดวงจิตรได้ ซึ่งพระเจ้าเง็กเซียงฮ่องเต้มีรับสั่งให้งุยเต็งเปนเพ็ชฆาฎฆ่าพระยาเล่งอ๋องนั้น ในเวลานั้นข้าพเจ้าก็ได้เรียกงุยเต็งให้เข้ามาอยู่ในพระราชวัง ข้าพเจ้าได้ชวนงุยเต็งเล่นหมากรุกอยู่ ก็หวังใจว่างุยเต็งคงจะมิได้ไปฆ่าพระยาเล่งอ๋องได้ ครั้นประเดี๋ยวหนึ่งเห็นงุยเต็งม่อยหลับไปสักครู่หนึ่ง แล้วก็ตื่นขึ้นเล่นหมากรุกด้วยข้าพเจ้าอีกต่อไป ข้าพเจ้าหาได้ทราบว่างุยเต็งถอดดวงจิตรไปฆ่าพระยาเล่งอ๋องไม่ การที่ข้าพเจ้าได้รับปากไว้ก็ได้ช่วยเต็มกำลังอยู่แล้วหาได้ทอดทิ้งธุระของพระยาเล่งอ๋องไม่ ซึ่งโทษของพระยาเล่งอ๋องถึงแก่กรรมตายด้วยการจำเปนอยู่เองอย่างนี้ จะมาเอาโทษแก่ข้าพเจ้าผู้ไม่มีความผิดเปนแต่จะช่วยก็ช่วยไม่ตลอดเท่านั้นจะถูกหรือ ขอท่านทั้งสิบจงโปรดวินิจฉัยให้เปนยุติธรรมเถิด
ฝ่ายพระยามัจจุราชทั้งสิบ ได้ฟังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้การชี้แจงดังนั้น ก็เห็นจริงพร้อมกัน คำนับแล้วจึงตอบว่าพระยาเล่งอ๋องนี้เมื่อจะปะฏิสนธิมาเกิดเปนใหญ่อยู่ในบาดาร ในสารบบเกิดตายของน่ำเต๊าแชกุนนั้น ก็ได้กำหนดแน่แล้วว่า พระยาเล่งอ๋องนี้จะต้องตายด้วยมืองุยเต็งขุนนางในเมืองมนุษย์ อันเหตุการทั้งหลายเหล่านี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ได้ทราบอยู่ก่อนแล้ว แต่พระยาเล่งอ๋องมาฟ้องร้องให้ชำระ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทราบว่าพระองค์จะลงมา คงจะได้สอบถามให้ทราบซึ่งความจริงแลเท็จว่าเปนประการใด ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ได้ส่งพระยาเล่งอ๋องให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดระฉานแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายขอขะมาโทษเพราะรีบรัดให้พระองค์ลงมา ขอพระองค์ได้โปรดอะไภยแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
พระยามัจจุราชทิ้งสิบพูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกทุยปังสมุห์บาญชีให้เอาสารบบบาญชีเกิดตายมาตรวจดูว่า พระองค์จะรับความศุขนั้นได้สักเท่าใด
ทุยปังได้ยินพระยามัจจุราชทั้งสิบสั่งดังนั้น ก็รีบเข้าไปในห้องบาญชี หยิบเอาสารบบมหากระษัตริย์ที่อยู่ในชมภูทวีปมาตรวจดู ตั้งแต่ต้นลงไปดูมาจนถึงพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ใช้ยี่ห้อว่าเจงกวนกำหนดเสวยราชสมบัติได้สิบสามปีแล้ว จึงหยิบเอาภูกันเขียนเติมบนอักษรหนึ่งนั้นอีกสองแต้ม สิบสามกลับเปนสามสิบสามมากขึ้นไปอีกยี่สิบปี ครั้นทุยปังเขียนเติมลงแล้วก็เอาสารบบนั้นมาส่งให้พระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องดู เงียมฬ่ออ๋องจึงตรวจดูมาถึงยี่ห้อจงกวนคือพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะได้เสวยราชสมบัติสามสิบสามปี เงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบตกใจ จึงถามพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่าพระองค์เสวยราชสมบัติมาได้กี่ปีแล้ว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงตอบว่าข้าพเจ้าครองราชสมบัติมาได้สิบสามปีแล้ว
เงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าพระองค์จงวางพระไทยเถิด ด้วยพระองค์ยังจะทรงพระชนม์อยู่ในราชสมบัติอีกยี่สิบปี ซึ่งพระองค์ลงมาครั้งนี้ข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องตลอดแล้ว พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะส่งพระองค์กลับขึ้นไปยังมนุษย์โลกย์
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังดังนั้นก็กระทำคำนับขอบใจพระยามัจจุราชทั้งสิบโดยความยินดี
เงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบจึงสั่งทุยปังจูท้ายอุ้ยขุนนางทั้งสองให้ไปส่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ขึ้นไปยังมนุษย์โลกย์ ขุนนางทั้งสองก็เชิญพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้เสด็จ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็คำนับลาเงียมฬ่ออ๋องโดยเคารพ เงียมฬ่ออ๋องก็คำนับตอบแล้วก็ตามออกมาส่งยังประตูนอก
เมื่อพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จออกมานอกประตูแล้ว จึงถามเงียมฬ่ออ๋องว่า บนเมืองข้าพเจ้าฝ่ายข้าราชการสบายดีอยู่หรือเปนประการใด ท่านทราบโปรดให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง
เงียมฬ่ออ๋อง จึงบอกว่าบนเมืองของท่านนั้นข้าราชการสบายดีอยู่ด้วยกันหมด วิตกแต่น้องสาวของพระองค์เห็นอายุจะไม่ยืนไปนาน
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงตรัสแก่เงียมฬ่ออ๋องว่าข้าพเจ้าจะกลับไปแล้วไม่มีของสิ่งใดที่จะนำมาขอบคุณท่าน มีแต่ผลแตงโมงามดีจะให้คนนำมาฝากท่านโดยความนับถือ
เงียมฬ่ออ๋องได้ฟังดังนั้นก็คำนับลาพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้กลับไป
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงดำเนินไป จูท้ายอุ้ยถือธงนำน่าทุยปังตามหลัง พระองค์เสด็จออกจากกำแพงเมืองนะรกแล้วก็เดินตามขุนนางซึ่งนำน่า เมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินอยู่ได้ทอดพระเนตรไปตามหนทางที่พระองค์เคยมา พระองค์เห็นมิใช่ทางเก่า จึงถามว่าทางนี้มิผิดไปแล้วหรือ
ทุยปังจึงทูลว่าในเมืองนะรกนี้ แม้ได้ออกไปแล้วหนทางนี้ไม่มีกลับมาได้ ข้าพเจ้าจึงจะส่งพระองค์ออกไปทางนี้ อีกประการหนึ่งหวังจะพาพระองค์ให้เที่ยวทอดพระเนตรขุมนรกแล้ว จึงจะส่งพระองค์ไปยังรูปเดิม
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังดังนั้นแล้วก็เดินตามขุนนางทั้งสองไป
ครั้นถึงภูเขาหนึ่งมีเมฆหมอกปกคลุมลงมาถึงพื้นดิน พระองค์จึงตรัสถามว่าที่แห่งนี้เรียกว่าภูเขาอะไร
ทุยปังจึงทูลว่าในนะรกภูเขานี้เรียกว่าป๋วยอิมซัว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้เห็นแล้วก็มีพระไทยหวั่นหวาด จึงตรัสแก่ทุยปังว่าทำไฉนเราจึงจะไปได้ ทุยปังทูลว่าพระองค์จงวางพระไทยเถิดข้าพเจ้าทั้งสองจะนำพระองค์ไปให้จงได้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังขุนนางทั้งสองกราบทูลดังนั้นก็เสด็จตามไป แต่พระไทยให้ระรัวแลไม่เปนสมประดี
ครั้นข้ามพ้นเขานั้นมาแล้ว เดินมาถึงแห่งหนึ่งเข้า เห็นขุมนะรกหลายขุม ได้ยินแต่เสียงร้องไห้คร่ำครวนออกแซ่หู จึงตรัสถามทุยปังว่าแห่งนี้เปนที่อะไร จึงได้ยินเสียงแต่คนร้องคร่ำครวนออกแส้ไป
ทุยปังจึงทูลว่า ที่แห่งนี้เปนหลังเขาปั๋วยอิมซัว มีขุมนะรกสิบแปดขุม
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงถามว่า เปนอย่างไรจึงเรียกสิบแปดขุม ทุยปังทูลว่าขุมที่หนึ่งเรียกว่าเตี้ยวกึนเง็ก คือทำโทษเอาศิลาก้อนใหญ่แขวนติดกับมือแลท้าวแล้วเอาเชือกผูกกลางตัวแขวนขึ้นไว้ในที่สูง ขุมที่สองเรียกว่าฮิ่วตัวเง็กคือขังอยู่ในที่มืดไม่มีแสงสว่าง ขุมที่สามเรียกว่าฮ้วยกังเง็ก คือจับคนที่มีโทษใส่ในบ่อไฟซึ่งกำลังลุกอยู่มิรู้ดับ สามขุมนี้คือมนุษย์ทำบาปทำกรรมหลายประการ ต้องมารับโทษเหล่านี้ ขุมที่สี่เรียกว่าฮองโตเง็ก คือมีหนอนตัวโตเท่าลำตาลเกาะกินที่ปากนักโทษเปนอาหาร ขุมที่ห้าเรียกว่าปัดจี้เง็กคือเอาเบ็ดเกี่ยวลากเอาลิ้นออก ขุมที่หกเรียกว่าเล็กฝอยเง็ก คือทำโทษถลกหนังออกแล้วเอาน้ำเกลือน้ำแสบราดรด สามขุมนี้คนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ไม่ซื่อตรงไม่มีความกตัญญูแลไม่ถือสาศนา แลพูดว่าตัวเปนคนดีปากหวานหน้าพระใจดุจงู เพราะฉนั้นตายแล้วจึงต้องมาทนทรมานอยู่ในขุมทั้งสามนี้ ขุมที่เจ็ดเรียกว่าบั้วซิเง็ก คือเอานักโทษใส่ในสีหินแล้วหมุนสีจนละเอียด ขุมที่แปดเรียกว่าชัดเต๊าเง๊กคือเอาคนโทษใส่ครกหินแล้วก็ตำจนละเอียด ขุมที่เก้าเรียกว่าเซียปังเง็กคือจับนักโทษนอนลงแล้วเอาเกวียนเหล็กเข็นขึ้นทับบนตัว สามขุมนี้คือคนอยู่บนมนุษย์โลกย์ดวงจิตมืดมัวไม่เสมอแต่งฝีปากพูดให้คนหลงเสียทรัพย์แลความศุขต่าง ๆ ครั้นตายแล้วต้องลงมาสู่กรรมทรมานทุกข์อยู่ในสามขุมนี้ ขุมที่สิบเรียกว่าห่านจุ๊ยเง็กคือเอานักโทษใส่ในน้ำหนาวซึ่งมีกลิ่นเหม็นอย่างที่สุด ขุมที่สิบเอ็ดเรียกว่าทุกขราชเง็กคือเอานักโทษถลกหนังทั้งตัวให้แร้งกาปากเหล็กจิกกิน ขุมที่สิบสองเรียกว่าชูเตี๊ยงเง็ก คือเอาคนโทษลากไส้ออกมา สามขุมนี้คือคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ทำบาปด้วยการค้าขายช่อด้วยปากสัดปากทนาน แลตาชั่งตาเตงแลดูถูกคนโง่คนจน เพราะฉนั้นครั้นเมื่อตายแล้วจึงต้องมาตกนรกอยู่ในสามขุมนี้ ขุมที่สิบสามเรียกว่าอิ้วฮ้อเง็ก คือเอาคนโทษใส่ในหม้อน้ำมันต้มจนละเอียด ขุมที่สิบสี่เรียกว่าเฮกอ่ำเง็ก คือเอานักโทษขึ้นบนม้าไม้แล้วเอาเลื่อยชักกลางตัว ขุมที่สิบห้าเรียกว่าโตซัวเง็ก คือเอานักโทษโยนขึ้นเขาดาบ สามขุมนี้คือคนที่อยู่ในมนุษย์โลกย์ทำบาปด้วยใช้อำนาจเบียดเบียฬคนซื่อตรงซึ่งตั้งอยู่ในทานศีลภาวะนาให้ได้ความเดือดร้อน ทั้งวาจาก็สอพลอแลมีใจอันริศยาให้เขาได้ความขุ่นหมองใจเกิดขึ้น เพราะฉนั้นเมื่อตายแล้วต้องลงมาเกิดในนรกสามขุมนี้ ขุมที่สิบหกเรียกว่าฮ่อยตี้เง็กคือเอานักโทษใส่ลงไปในบ่อโลหิตให้กินน้ำเลือด ขุมที่สิบเจ็ดเรียกว่าออพี่เง็ก คือเอานักโทษทรมานใส่ในบ่อน้ำกรด ให้มีแต่ความเจ็บแสบทุกเวลาไม่มีเวลาหยุด ขุมที่สิบแปดเรียกว่าฉิ่นเซียนเง็กคือเอานักโทษเกี่ยวขึ้นตาเตง สามขุมนี้คนทำบาปในมนุษย์โลกย์นั้นคิดอุบายฬ่อลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเปนของตัว แลคิดฆ่าชีวิตรเขาเอาทรัพย์ แลเลี้ยงสัตว์ฆ่าสัตว์ขาย เพราะทำบาปเหล่านี้ครั้นตายแล้วจึงลงมาตกนะรกอยู่ในสามขุมนี้ยากที่จะพ้นได้ แลไม่มีเวลาที่จะกลับตัวได้เรียกฟ้าเรียกดินก็ไม่ช่วยได้ หน้านิ่วคิ้วย่นอกใจให้ระรัวสั่นหวาดเสียวขุ่นหมอง อยู่ทุกชั่วลมหายใจเข้าออก เพราะเหตุนี้ผู้ซึ่งอยู่ในมนุษย์โลกย์ไม่ควรจะมีความประมาทประพฤติความชั่วกระทำการอะกุศล ควรจะรีบคิดถึงตนที่ได้เกิดมาเปนมนุษย์เปนชาติอันประเสริฐ ควรแสวงหาสะระณะที่พึ่งถึงพระรัตนไตรย คิดให้เห็นความไม่เที่ยงที่จะอยู่ในโลกย์นี้ ไม่ทราบว่าเวลาใดความแตกความดับจะมีมาถึงตน เกิดมาแล้วเปรียบเหมือนปล่อยมือจากยอดตาลอันสูง มีอย่างเดียวแต่ที่จะลิ่วลอยลงมากระแทกกับพื้นพระสุธาดลฉันใด ไม่ต่างแก่ผู้ที่เกิดมามีรูปกายชีวิตรแล้ว ก็มีแต่ความจะแตกความดับคือแก่เจ็บตายวิโยคพลัดพลากเท่านั้น ทำชั่วก็จะไปสู่ที่ชั่วทำดีก็จะไปสู่ที่ดี
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังทุยปังพรรณาขุมนรกทั้งสิบแปดขุมให้ฟังทุก ๆ ขุมแล้ว ในพระไทยให้หวาดเสียวสดุ้งกลัวเปนที่สุด ครั้นแล้วก็เลยมาสักประเดี๋ยว แลเห็นพวกยมพบาลถือธงมานั่งคอยรับอยู่ที่สะพาน ทุยปังแลเห็นแล้วจึงร้องเรียกพวกยมพบาลให้เดินนำหน้าข้ามสพานทองไป
ยมพบาลทั้งหลายได้ฟังดังนั้นต่างก็ถือธงนำเดินข้ามสพานไป
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เมื่อเดินตามยมพบาลไปถึงกลางสพาน จึงทอดพระเนตรแลไปข้างริมนั้นมีอีกสพานหนึ่งเรียกว่าสพานเงิน บนสพานเห็นคนเดินข้ามไปมา เห็นยมพบาลถือธงนำหน้าคนที่เดินตามเหล่านั้นแต่งกายงดงามสามสี่คน เห็นจะเปนคนมีความกตัญญูซื่อตรง เห็นเดินตามพวกถือธงนั้นไป แลอิกข้างหนึ่งก็มีสพานใต้สะพานเห็นมีลมคลื่นเปนฟูฝอยล้วนแต่น้ำเลือด เสียงร้องให้ออกแส้เสียงไปไม่หยุด
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ตรัสถามทุยปังว่าสพานนี้ชื่ออะไร ทุยปังทูลว่าสพานนี้เรียกว่าใน่ห้อเกี้ยว ถ้าพระองค์กลับไปมนุษย์โลกย์แล้วอย่าลืม ขอพระองค์จงแสดงให้ทราบทั่วกันคือสฐานนี้ยาวได้หนึ่งโยชน์กว้างสามเกรียกสูงแลลึกร้อยศอก ราวที่จับอาไสยนั้นไม่มี ใต้สะพานมีสิ่งของที่ร้ายกาจต่างๆ แลข้างริมสพานทั้งสองข้างนั้น มียมพบาลดุร้ายคอยขยับเขี้ยวคำรามจะคอยประหารอยู่ใต้สพานนี้ พวกที่ต้องธรมานโทษทนทุกขเวทนาอยู่หาที่เปรี่ยบมิได้
ผู้ซึ่งมาตกอยู่ใต้สพานนี้ ก็เพราะเดิมทำบาปกรรมด่าว่าคนผู้ใหญ่ที่มีศีลมีธรรม แลจิตรใจก็มัวหมองหมกนุ่นด้วยเมถุนธรรมไม่มีประมาณมาตกอยู่ใต้สพานนี้ ถูกสุนัขปากเหล็กงูทองแดงแย่งกันกัดเคี้ยวกินเปนพักษาหารทนทุกขเวทนาไม่มีวันที่จะพ้นได้
เวลาทุยปังกราบทูลพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้อยู่นั้น ฝ่ายทวกยมพบาลก็คำนับลากลับไป พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีพระไทยหวาดเสียวพระกายสั่นระรัวไปทั้งพระองค์ ทุยปังจูท้ายอุ้ยจึงนำพระองค์ดำเนินต่อไปพอข้ามพ้นเขตรสพานชื่อในห้อเกี๊ยว แลพ้นแม่น้ำเลือดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวก็มาถึงแห่งหนึ่งมีกำแพงล้อมรอบเรียกว่ากำแพงอ่วงเซี้ย แปลว่ากำแพงกันพวกฝีปิศาจที่ตายโหง พระองค์ได้ยินเสียงร้องเรียกว่า หลีซิบิ๋นมาหรือ หลีซิบิ๋นมาแล้ว
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ยินเรียกดังนั้นก็มีความสดุ้งหวาดในพระไทย แล้วทอดพระเนตรไปเห็นพวกหนึ่งศีศะไม่มีเปนอันมาก ปิศาจผีเหล่านั้นก็กรูกันมากั้นหน้าพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ไว้ แล้วก็ร้องทรงชีวิตรว่าจงเอาชีวิตรของเรามาท่านจงเอาชีวิตรของเราคืนมา เมื่อพระองค์ได้ยินปิศาจร้องดังนั้นในพระไทยให้หวาดเสียวสดุ้งกลัว จึงร้องเรียกทุยปังว่าท่านจงช่วยเราด้วยเถิด
ทุยปังจึงทูลว่าแม้พระองค์มีเงินหรืออิแปะ ข้าพเจ้าจึงจะช่วยพระองค์ได้
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสแก่ทุยปังว่า เรามีแต่ตัวเปล่าลงมาจะเอาเงินแลอิแปะที่ไหนมาเล่า
ทุยปังจึงทูลว่าพวกปิศาจตายโหงเหล่านี้ คือพวกที่พระองค์คุมทหารไปเที่ยวรบพุ่งฆ่าฟันตายไนเมื่อคราวรบกันนั้น ครั้นวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่มีที่จะอาไสยด้วยตนมิได้ทำกุศลอันใดไว้ เพราะฉนั้นจึงมิได้ไปเกิดในที่ดี ๆ ต้องมาอยู่ทนทุกข์เวทนาอยู่อย่างนี้ แลมีความอดอยากไม่มีสะเบียงแลโสหุ้ยจะได้เจือจานให้อิ่มได้ ถ้าพระองค์มีเงินหรืออิแปะให้ทานแจกให้แก่สัตว์จำพวกนี้ ข้าพเจ้าจึงจะช่วยได้
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นจึงตอบว่า เราลงมาโดยทางข้อความส่วนหนึ่งหามีเงินแลอิแปะติดตัวเรามาไม่ จะเอาที่ไหนมาให้ทานเล่า ทุยปังจึงว่ามีคนผู้หนึ่งมีเงินหลายคลังได้ฝากไว้ในเมืองนรกนี้ ขอพระองค์ได้ทำหนังสือขอยืมข้าพเจ้าจะรับเปนประกันให้ ถ้าพระองค์กลับไปยังมนุษย์โลกย์แล้ว จึงค่อยคืนเงินให้แก่ท่านผู้นั้น
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสถามทุยปังว่าคนผู้เจ้าของเงินอยู่ที่ไหน
ทุยปังกราบทูลว่าคนเจ้าของเงินนั้นอยู่ในอาณาเขตรของพระองค์ หัวเมืองห้อล้ำคายฮองฮู้แซ่เซียงชื่อเลี้ยงมีเงินสิบสามคลัง พระองค์จงยืมสักคลังหนึ่งแจกให้ทานแล้ว เมื่อพระองค์กลับขึ้นไปจึงใช้ให้เซียงเลี้ยงเสีย
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น แล้วจึงทำหนังสือยืมเงินให้ทุยปังลงชื่อรับประกัน
ทุยปังจึงให้ผู้รักษาคลัง เบิกเงินขนเงินออกมากองไว้นอกคลังแล้ว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงเอาเงินนั้นให้จุท้ายอุ้ย แจกให้แก่พวกผีสัตว์นรกเหล่านั้นพอเปนสะเบียงโสหุ้ยเท่า ๆ กันแล้ว ทุยปังจึงร้องประกาศแก่พวกผีทั้งหลายว่า พวกเจ้าทั้งหลายจงหลีกออกไปให้พ้น ข้าพเจ้าจะบอกแก่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ทำการกุศลแผ่อานิสงษ์ให้พวกเจ้า ๆ จะได้ไปเกิดที่ศุขคะติ
ฝ่ายพวกผีสัตว์นรกทั้งหลายครั้นได้รับทานแจกแล้ว แลได้ฟังทุยปังพูดดังนั้นต่างก็คำนับแล้วก็กลับไปที่อยู่ของตน
ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ครั้นแจกทานแล้ว พระองค์ก็ดำเนินไปกับทุยปังแลท้ายอุ้ยออกมาพ้นที่นั้นแล้ว เดินมาถึงแห่งหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ทอดพระเนตรเห็นมีคนหลายจำพวกแลมีประตูอยู่หกประตู พระองค์จึงตรัสถามทุยปังว่าที่แห่งนี้มีทางอยู่หกทางเรียกว่าทางอะไร
ทุยปังกราบทูลว่า ที่แห่งนี้คือแสดงว่าสัตว์ทั้งหลายซึ่งยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสงสาร เวียรเกิดแลเวียรตายยังหาแน่ลงไม่ ในแห่งนี้ยังมีอีกนามหนึ่งเรียกว่า (จ๊วนล้วนเต๊า) แปลว่าวลเวียรคือหกทางนี้ ผู้ใดตั้งอยู่ในกรรมบทสิบก็ได้ไปเกิดในทางเทวดา ผู้ใดซื่อสัตย์กะตัญญูก็ได้ไปเกิดในเมืองมนุษย์ ผู้ใดจิตรใจมากไปด้วยโทสะก็เกิดในทางยักษ์ ผู้ใดตระหนี่เหนียวแหน่นในจิตรคับแคบก็ไปเกิดในทางเปรจอะสุรกาย ผู้ใดจิตตั้งไปในอันฆ่าสัตว์แลฉ้อโกงแลเปนมิจฉาทิฐิก็ไปเกิดในนรก ผู้ใดจิตรมักพลิกแพลงไม่มั่นคงไม่ซื่อตรงเปนคนอะกะตัญญู ก็ไปเกิดในทางสัตว์เดระฉาน ขอพระองค์จงจำไว้ เมื่อกลับไปยังมนุษย์โลกย์แล้ว จึงประกาศบอกให้รู้ทั่วกัน คนทั้งหลายจะได้ไม่ประพฤติความชั่วร้าย ประกอบแต่การดีกุศลผลบุญจะได้แก่พระองค์เปนอันมาก
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงกำหนดจดจำไว้ในพระไทยโดยละเอียด
ทุยปัง ครั้นกราบทูลให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงทราบทุกประการแล้ว จึงพาพระองค์ไปทางมนุษย์ ครั้นถึงต้นทางแล้ว ทุยปังก็คำนับทูลว่า ขอพระองค์จงตรงไปทางนี้ ข้าพเจ้าขอลากลับไปแล้ว ถ้าพระองค์กลับไปถึงแล้วพระองค์จงจำให้ได้ ซึ่งจะทำการมะหากุศลนั้นอย่าได้ลืมเสียเลย
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสตอบว่าขอบใจท่านอุส่าห์มาตามส่งโดยทางไกล แลชี้แจงให้ข้าพเจ้าได้ทราบการดีแลชั่วทุกประการ ถ้าข้าพเจ้ากลับไปถึงแล้วคงจะไม่ลืมถ้อยคำของท่านที่พร่ำสอนแนะนำให้แก่ข้าพเจ้า ขอเชิญท่านจงกลับไปเถิด ทุยปังคำนับลาแล้วก็กลับไป
ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ครั้นทุยปังกลับไปแล้ว ก็ทรงพระดำเนินไปกับท้ายอุ้ยตามทางมนุษย์นั้น เวลาที่เดินมาตามทางนั้นท้ายอุ้ยแลไปเห็นม้าตัวหนึ่งยืนอยู่ริมทางที่จะไป มีบังเหียนเครื่องเบาะอานพร้อม ท้ายอุ้ยจึงจับม้าตัวนั้นยึดไว้ แล้วเชิญพระเจ้าแผ่นดินถังให้ขึ้นทรงม้า
ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นดังนั้น จึงขึ้นทรงม้าแล้วก็ขับไปโดยเร็วดุจดูกเกาทัณฑ์ ท้ายอุ้ยตามรักษาอยู่ข้างม้าพระที่นั่งติดไปด้วยกัน
ครั้นมาถึงแห่งหนึ่งเห็นแม่น้ำใหญ่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรดูกระแสน้ำ เห็นปลากิมหลีฮื้อคู่หนึ่งผุดโผล่ว่ายเวียรเล่นกันอยู่ พระองค์รอม้าพระที่นั่งทอดพระเนตรปลาจนเพลินเผลอพระไทยไป ท้ายอุ้ยแลเห็นดังนั้น จึงร้องว่าพระองค์ทำไมจึงหยุดไม่รีบขับม้า ถ้ารออยู่ช้าจะเสียเวลาเปล่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้หลงดูปลาเพลินพระองค์ไม่ใคร่จะขับม้าพระที่นั่งไปได้ ท้ายอุ้ยจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ทำไมจึงยังไม่ไปเล่า ว่าแล้วก็เข้าตบหลังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ แล้วก็ผลักพระองค์ลงไปในแม่น้ำ วิญญาณของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ออกพ้นจากเมืองนรก กลับมายังเมืองมนุษย์ วิญญาณก็กลับปะฏิสนธิต่อติดกับรูปเดิม
ฝ่ายไท้ฮ่องเฮ้ากับฮ่องเฮ้า นางพระสนมทั้งหลายกับพวกข้าราชการขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ซึ่งพร้อมกันไว้ทุกข์ตามประเพณีทุก ๆ คน มาประชุมพร้อมกันที่แปะเฮ้าเต้ยที่ตั้งพระศพไว้นั้น ไท้ฮ่องเฮ้ากับฮ่องเฮ้าแลขุนนางทั้งหลายปฤกษากันคิดจะตั้งฮ่องไทจือ พระราชโอรสขึ้นเสวยราชสมบัติ แต่งุยเต็งขุนนางผู้ใหญ่พูดขัดไว้ว่า ท่านทั้งหลายจงคอยรออีกสักเวลาหนึ่งเถิด พระองค์จะกลับคืนมา
ฝ่ายเค้าเก๊งจง ซึ่งเปนพระราชวงษ์เจ้าผู้ใหญ่ จึงพูดว่าท่านงุยเต็งพูดดังนี้จะมิผิดไปหรือ ซึ่งท่านพูดดังนี้ข้าพเจ้าสงไสยอยู่
งุยเต็งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้เคยเรียนทางโหราสาตรมีทิพจักษุจึงได้เห็นแลรู้ได้ว่า พระองค์คงจะไม่สวรรณคตเปนแน่ กำลังเค้าเก๊งจงพูดอยู่กับงุยเต็งดังนั้น ก็พอได้ยินเสียงร้องว่า ทำไมจึงบังคับให้เราตายดังนี้เล่า
เวลาที่กำลังประชุมพร้อมกันทุก ๆ คน ได้ยินเสียงในหีบพระศพร้องเสียงดังออกมาดังนั้น ก็ตกใจทุก ๆ คนต่างคนต่างไม่อาจเข้าใกล้หีบพระศพ ขุนนางทั้งหลายก็กรูมาอยู่ที่ชีมงกงกับงุยเต็งทั้งสิ้น ที่ใจกล้าคือซินซกโป๊กับอวยชีจง ก็พากันขึ้นบนพระแท่นที่ตั้งหีบใส่พระศพแล้ว ถวายบังคมคุกเข่าลงข้างหีบพระศพ แล้วจึงร้องกราบทูลว่าขอพระองค์ได้โปรด พระองค์ล่วงไปไม่วางพระไทยด้วยข้าราชการสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว พวกข้าพระองค์อยู่ที่นี้พร้อมกันแล้ว จงรับสั่งเถิดตามที่พระองค์ทรงพระวิตก พวกข้าพระพุทธิเจ้าจะรับฉลองพระเดชพระคุณตามรับสั่ง อย่าได้ทรงหลอนหลอกดังนี้เลยพวกข้าราชการทั้งหลายจะพากันตกใจกลัว
ในทันใดนั้น งุยเต็งพูดว่าไม่ใช่หลอนหลอกอะไรดอก คือพระองค์จะฟื้นคืนมาเปนแน่แล้ว พวกพนักงานจงเร่งเอาเครื่องมือมาเปิดฝาหีบโดยเร็ว
ครั้นเปิดฝาหีบขึ้นแล้ว ก็เห็นพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นนั่งอยู่ในหีบ ตรัสว่า เมื่อตะกี้ใครทำให้เราตาย นี่ใครมาช่วยแก้ให้เรารอดชีวิตรมาเล่า
ชีมงกงจึงเข้าประคองพระองค์แล้วทูลว่า ขอพระองค์จงเสด็จออกจากหีบเถิด พวกข้าพเจ้าทั้งหลายมาเฝ้าอยู่พร้อมกันในที่นี้แล้ว
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงลืมพระเนตรทรงตรัสว่า เมื่อตะกี้เรารีบหนีพวกปิศาจร้ายมาปะแม่น้ำจะจมน้ำตายเสียแล้ว
ขุนนางทั้งหลายจึงทูลถามว่า พระองค์พบแม่น้ำอะไรที่ไหน
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสว่า เราขี่ม้ารีบมาถึงแห่งหนึ่งมีแม่น้ำใหญ่ เราเห็นปลากิมหลีฮื้อสองตัวเล่นน้ำอยู่ริมฝั่งเราดูเพลินไป ท้ายอุ้ยมีความดูถูกผลักเราลงไปในน้ำจมน้ำแทบจะสิ้นชีวิตร
งุยเต็งได้ฟังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ตรัสดังนั้นจึงทูลว่า วิญญาณของพระองค์ยังไม่ปรกติ ขอเชิญพระองค์เสด็จออกจากหีบเถิด ว่าแล้วก็เข้าพะยุงพระเจ้าแผ่นดินออกจากหีบ ให้ขึ้นประทับบนพระแท่นแล้ว ให้ขันธีเรียกไทอุยหมอหลวงเข้ามาโดยเร็ว ครั้นหมอเข้ามาถึงแล้วก็ประกอบพระโอสถถวาย
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวยพระโอสถแล้ว พระไทยก็เปนปรกติ คิดตั้งแต่วันสวรรณคตมาจนถึงวันที่ฟื้นคืนมารวมเปนสามวัน ครั้นพระองค์ฟื้นแล้วพระไทยก็เปนปรกติไม่มีความกระวลกระวาย ในเวลานั้นจวนจะค่ำอยู่แล้ว ขุนนางทั้งหลายเห็นพระองค์เปนปรกติดีอยู่ จึงพร้อมกันถวายบังคมลาออกจากพระราชวังใน
ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ก็เสด็จเข้าที่พระบันทมตลอดราตรี พระไทยก็เปนปรกติ มีความสำราญในพระไทยมิได้มีวี่แววหวาดเสียวสิ่งใด พอ เวลาจวนรุ่งพระองค์ก็ตื่นจากพระบันทมทรงแต่งพระองค์ ครั้นเสร็จแล้ว พอสว่างดีพระองค์ก็เสด็จออกขุนนางประทับยังพระที่นั่งบันลังก์แก้วมังกร ขุนนางทั้งซ้ายขวาก็ถวายบังคมพร้อมกันแล้ว ต่างก็นั่งที่ตามลำดับยศ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่าท่านทั้หลายจะมีกิจสิ่งใดก็จงบอกเรามาเถิด ถ้าไม่มีกิจธุระสิ่งใดก็จงพากันกลับบ้านของท่านเถิด
เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้น ขุนนางฝ่ายขวาคือชีมงกงกับงุยเต็งฝ่ายซ้ายคือซินซกโป๊ ฮืนคาช้ออวยชีจงห้านายนี้ลุกมาพร้อมกันจากที่คุกเข่าลงน่าที่นั่งถวายบังคมแล้ว จึงทูลว่า พระองค์ทรงพระสุบิณนิมิตรในเหตุซึ่งประชวร เหตุใดจึงได้ช้านัก ขอพระองค์จงโปรดเล่าเรื่องที่พระองค์ทรงพระสุบิณนิมิตรให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสเล่าความในเมืองนรกให้ขุนนางทั้งปวงฟังโดยละเอียดทุกประการแล้วพระองค์รับสั่งต่อไปว่า เราได้รับคำสั่งของพระยามัจจุราชทั้งสิบว่า ถ้าเรากลับมาถึงแล้วจะฝากแตงโมไปตอบคุณพระยามัจจุราช แลเมื่อเราออกจากซิมล้อเต้ยแล้วเดินกลับมาตามทางได้เห็นคนที่ทำบาป แลคนไม่ซื่อไม่ตรงอะกะตัญญู กระทำซึ่งปาณาฏิบาตฆ่าสัตว์ฉ้อลักคดโกงกระทำตาชั่งตาเต็งแลกามะมิจฉาจารพลิกแพลงกลับกลอกคิดอุบายให้เขาผู้อื่นได้ความเดือดร้อนแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉนั้นจึงต้องตกลงไปอยู่ในนรกได้รับโทษใส่ครกตำศีศะเผาไฟถลกหนังต้มน้ำมันบ้างลอกหนังเกี่ยวเบ็ดทำทรมานให้ได้ความลำบากต่าง ๆ เราเห็นแล้วก็หวาดเสียว ครั้นพ้นแห่งนั้นมาแล้ว ถึงอีกแห่งหนึ่งเรียกว่ากำแพงเมืองผีตายโหง ในกำแพงนั้นผีตายโหงมากนับไม่ถ้วน เมื่อเราเดินมาถึงพวกผีเหล่านั้นกรูกันมาล้อมขวางน่าเราไว้เดินไปหาได้ไม่ ได้พึ่งทุยปังเปนประกันยืมเงินของเซียงเลี้ยงอยู่ตำบลเมืองห้อล้ำเอาเงินนั้น ออกบริจากแจกเปนทานให้แก่พวกผีเหล่านั้นแล้วจึงได้เดินมาได้ ทุยปังได้สั่งเราว่าถ้ากลับมายังมนุษย์โลกย์แล้ว จงทำมหากุศลอุทิศส่งไปให้พวกผีเหล่านั้น ๆ จะได้พ้นจากเวรกรรมได้ไปเกิดในที่ชอบ การเปนดังนี้ท่านทั้งหลายจงทราบเถิด
ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยได้ฟังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ตรัสเล่าดังนั้น ก็พร้อมกันสรรเสริญพระบารมีของพระองค์หาที่เปรียบมิได้ แล้วขุนนางผู้ใหญ่ จึงสั่งให้ทำหมายประกาศบอกกันให้รู้ทั่วทั้งไพร่บ้านพลเมืองว่า จะทำบุญเปนการฉลองพระเจ้าแผ่นดินถังเปนการกุศลใหญ่
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานกรมเมืองปล่อยนักโทษในกองมหันตะโทษประมาณสี่ร้อยคนกว่า โปรดปล่อยให้กลับไปบ้านเรือนทุก ๆ คน
ฝ่ายนักโทษทั้งหลายมีความชื่นชมยินดี ถวายพรแก่พระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็พากันกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเรือนตน
ครั้นเสร็จการปล่อยนักโทษแล้ว พวกขุนนางจึงทำหนังสือปิดตามประตูเมืองให้ทราบทั่วกันว่า ด้วยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้กำหนดจะบริจากทานให้แก่คนกำพร้าอะนาถากะยาจก แลสนมข้างในพระองค์ก็โปรดปล่อยให้ออกไปตามอัทยาไสยของตัวทุกคนประมาณสามพันหกร้อยคน ครั้นเสร็จการกุศลแล้ว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ขุนนางฝ่ายอาลักษณ์แต่งหนังสือเปนคำสั่งสอนปิดไว้ทุก ๆ ประตู ในแลนอกพระนคร ไพร่บ้านพลเมืองให้รู้ทั่วกัน ในหนังสือนั้นมีความว่า
ฟ้าดินกว้างใหญ่ พระอาทิตยพระจันทร์ส่องแสงสว่างอาณาเขตร์กว้างยาว เทวดาเทพารักษ์มิได้เข้าแก่คนผิดชั่วร้ายอันมีอุบายคดโกงต่าง ๆ ผลกรรมที่ตนกระทำลงไว้แล้ว จะให้ผลแก่ตนจงได้
ผู้ที่ซื่อตรงสุจริตกตัญญูมีเมตาปรานีแลอดทนไม่ไหลไปตามความปราถนา ได้สร้างสมกุศลผลกรรมส่วนชอบ คงจะติดตามมอบความศุขในโลกย์นี้แลโลกย์น่า คนพาลสันดารชั่วร้ายร้อยพันคนจะสู้คนสุจริตอันตั้งอยู่ในยุติธรรมแต่คนหนึ่งก็มิได้ คนมีพาหนะแลฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญอย่างไร ก็สู้บุญกุศลไม่ได้ ผู้ซึ่งมีมารยากระทำให้ผู้อื่นเห็น ว่าตนเปนคนดีมีเมตตาจิตรอุส่าห์ดูคำภีร์แลตำรา หวังให้คนทั้งหลายนิยม แต่ดวงจิตรกอบไปด้วยทุจริตลามก คนผู้นั้นแม้จะเปนผู้รู้พระคำภีร์ของพระอะริยะเจ้าก็ป่วยการเล่าเรียนเสียเปล่า ๆ เพราะตนมิได้รับรศพระสัทธรรม
สิ้นคำสั่งสอนของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้แต่เท่านี้ ครั้นชาวเมืองทั้งหลายได้ดูได้อ่านได้ฟัง ก็พากันมีความพอใจ ที่คนมีความศรัทธาจิตรก็ตั้งอยู่ในทางกุศลด้วยกันทุกคน ๆ ในเวลานั้นรับสั่งให้อาลักษณ์แต่งหนังสือประกาศ หาผู้ที่จะรับอาสานำแตงโมไปให้พระยาเงียมฬ่ออ๋องยังเมืองนรก ขุนนางเจ้าพนักงานก็ทำประกาศไปติดไว้ตามรับสั่งทุกประตูเมือง แล้วพระองค์รับสั่งแก่อวยชีจงให้เบิกเงินพระคลังข้างที่ นำไปยังเมืองห้อล้ำใช้ให้เซียงเลี้ยง อวยชีจงได้รับสั่งแล้ว ก็เบิกเงินนำไปยังเมืองห้อล้ำตามรับสั่ง
เมื่อปิดประกาศที่ประตูเมืองได้สักสามวัน มีชายผู้หนึ่งแซ่เล่าชื่อช้วน เปนคนอยู่ตำบลเมืองกุนจิ๋ว เล่าช้วนเปนคนมีทรัพย์บริบูรณ์ มีบุตรด้วยสองคน เมื่อวันจะมีเหตุ นางลี้จุ๋ยเน้ยภรรยาเล่าช้วนเห็นหลวงจีนมาเรี่ยรายการบุญ นางมีใจศรัทธา ถอดกำไลออกจากข้อมือถวายให้หลวงจีนไป เล่าช่วนเห็นดังนั้นก็มีความโกรธจึงพูดคำเสียดสีต่าง ๆ ว่าภรรยาไม่อยู่ในอำนาจสามีอย่างนี้ทำเอาตามใจของตนเอง นับว่าเปนหญิงอย่างอยาบเลวที่สุด
นางลี้จุ๋ยเน้ยได้ยินผัวพูดเสียดสีอยาบคายดังนั้น นางให้มีความอัปยศแก่คนทั้งหลายยิ่งนัก นางมีความโทมนัศเปนกำลัง ครั้นเล่าช้วนมีกิจธุระมิได้อยู่บ้าน นางจึงให้บุตรทั้งสองนอนหลับแล้ว นางก็เอาผ้ามาผูกฅอของนางเองแขวนที่ริมฝาเรือนขาดใจตาย
ฝ่ายเล่าช้วนครั้นเสร็จธุระแล้วกลับมาบ้าน เห็นนางลี้จุ้ยเน้ยภรรยาผูกฅอตายเสียแล้วก็ร้องไห้เศร้าโศกไปต่าง ๆ ครั้นค่อยคลายความโศกลงแล้วจึงเอาศพภรรยาไปฝัง เซ่นไหว้แล้วก็กลับมาบ้าน เห็นบุตรร้องไห้ด้วยว่าบุตรยังกินนมอยู่ ผู้เลี้ยงเด็กไม่มีนมจะให้เด็กกิน เด็กก็ร้องทั้งกลางวันแลกลางคืน
เล่าช้วนเห็นดังนั้นก็เสียใจเปนอันมาก ไม่อยากจะเห็นบุตร เพราะความรำคาญใจ ครั้นหมายประกาศปิดประตูเมืองได้สองสามวัน เล่าช้วนก็ตรึกตรองว่า เราตายเสียดีกว่า เพื่อจะได้ลงไปเมืองนรกพบแก่ภรรยาของเรา ตกลงในใจดังนั้นก็ละบุตรแลทิ้งเรือนเสีย ออกจากบ้านตรงไปยังประตูเมืองฉีกเอาหมายประกาศแล้ว ก็เข้ามายังพระราชวัง ให้เจ้าพนักงานนำเข้าเฝ้าพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะขออาสานำแตงโมไปถวายพระยามัจจุราชณเมืองนรก
ขณะนั้น กำลังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ยังประทับตรัสอยู่กับขุนนาง เห็นเล่าช่วนเข้ามาอาสา จะนำแตงโมไปถวายพระยามัจจุราชดังนั้น พระองค์มีความยินดีพระไทยยิ่งนัก จึงรับสั่งให้เล่าช้วนไปยังหอกิมเต็ง เล่าช้วนก็ถวายบังคมลาไปตามรับสั่ง พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งแก่ขุนนางทั้งหลาย ให้จัดเลือกแตงโมผลใหญ่สองผลใส่ถาดทองเอาไปยังหอกิมเต็งจัดแจงให้เล่าช้วนเอาไป
ฝ่ายขุนนางทั้งหลายได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็พากันถวายบังคมลาออกมาจัดเสร็จแล้ว จึงพากันมายังหอกิมเต็ง จึงให้เล่าช้วนคุกเข่าลงแล้วเอาถาดแตงโมวางบนศีศะเล่าช้วน ข้อมือก็ให้ผูกอิแปะทองคำของหลวง ปากให้อมยาพิศม์ ครั้นยาพิศม์แล่นไปทั่วสารภางกายเล่าช้วนก็นิ่งแน่ไป วิญญาณก็ออกจากรูปศีศะก็ทูลถาดแตงโมนั้นไป ครั้นวิญญาณของเล่าช้วนมายังประตูชื่อกุ๊ยหมึงกวน เล่าช้วนจึงบอกแก่นายประตูว่า ได้เอาแตงโมลงมาถวายเงียมฬ่ออ๋อง
ฝ่ายทหารผีที่เฝ้าประตู เมื่อได้ฟังเล่าช้วนบอกดังนั้นแล้ว ก็นำเล่าช้วนมายังปราสาทซิมล้อเต้ย ครั้นถึงเล่าช้วนก็เอาแตงโมเข้าไปตั้งข้างใน คุกเข่าลงคำนับแล้วก็ทูลว่า ข้าพเจ้าผู้ได้ถือรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้นำแตงโมมาถวายฉลองพระเดชพระคุณ ขอพระองค์ได้ทราบ
พระยาเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบจึงพูดว่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีบุญบารมีมาก ทั้งมีความสัตย์ไม่เสื่อมคลายพูดดังนั้นแล้ว จึงให้พนักงานรับเอาผลแตงโมไปเก็บไว้ แล้วจึงถามเล่าช้วนว่าเจ้าอยู่ที่ไหน
เล่าช้วนว่า ข้าพเจ้าอยู่ตำบลบ้านกุนจิ๋ว แซ่เล่าชื่อช้วน เพราะด้วยนางลี้จุ๋ยเน้ยภรรยาข้าพเจ้าผูกฅอตาย ทิ้งลูกเล็กไว้สองคน ข้าพเจ้ามีความเสียใจจึงได้ทิ้งบ้านเรือนแลบุตรสองคนเสีย เข้ารับอาสาฉลองพระเดชพระคุณเจ้าแผ่นดินถัง เอาแตงโมมาถวายพระองค์ดังนี้
พระยามัจจุราชได้ฟังเล่าช้วนบอกดังนั้น จึงสั่งให้ยมพบาลไปตรวจดูวิญญาณของนางลี้จุ๋ยเน้ย ถ้าอยู่จงรีบพาเอามาโดยเร็ว
ยมพบาลได้ฟังรับสั่งเงียมฬ่ออ๋องดังนั้น ก็รีบไปเที่ยวหาวิญญาณนางลี้จุ๋ยเน้ย ครั้นพบแล้วก็นำวิญญาณนั้นมา ครั้นดวงจิตรของนางลี้จุ๋ยเน้ยเข้ามาเห็นเล่าช้วนผู้สามีแล้ว ผัวเมียก็ร้องไห้รักกัน ครั้นคลายความโศกลงบ้างแล้ว ฝ่ายเมียจึงคำนับตอบขอบคุณพระยายม ซึ่งได้โปรดให้ผัวเมียพบกัน
ฝ่ายพระยาเงียมฬ่ออ๋องจึงเอาสารบบเกิดตายมาตรวจตู จนถึงชื่อเล่าช้วน กับนางลี้จุ๋ยเน้ย เห็นอายุยังไม่ถึงกำหนดตาย พระยาเงียมฬ่ออ๋อง จึงให้ยมพบาลคุมวิญญาณคนทั้งสองส่งกลับขึ้นไปยังมนุษย์โลกย์ตามเดิม ยมพบาลจึงทูลแก่พระยามัจจุราชว่า ร่างกายนางลี้จุ๋ยเน้ยซุดโซมเสียแล้ว พระยามัจจุราชจึงสั่งว่าให้เอารูปของนางลี้เง็กเอ็ง ซึ่งเปนน้องสาวของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้นั้นแทนเถิด
เมื่อยมพบาลได้ฟังพระยามัจจุราชสั่งดังนั้น ก็คำนับลาพระยามัจจุราช นำวิญญาณเล่าช้วนกับนางลี้จุ๋ยเน้ย ทั้งสองรีบมาจะเอาไปส่งยังมนุษย์โลกย์โดยเร็ว