- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๙๕
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเดินตามเสด็จเข้าไปยังพระตำหนักใน ได้ยินเสียงพิณพาทย์มโหรีขับขารประสานเสียงออกแส้ไป แลมีกลิ่นสุคันธรศหอมระรื่นฟุ้งตระหลบไปทั้งตำหนัก พระถังซัมจั๋งก้มหน้าสำรวมเดินมิได้อาจแลเหลียว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็คลายบันเทิงใจ เกาะไหล่อาจาริย์อยู่ และพิจารณาดูโดยกำลังทิบจักษุญาณทุก ๆ แห่ง เห้งเจียเห็นอาจาริย์จิตใจไม่หวั่นหวาด ก็นึกสรรเสริญว่าเปนสมณะจริง จิตร์ตั้งอยู่ในความสงบระงับไม่มีความกำหนัดยินดีในกามะคุณ บัดเดี๋ยวแลไปก็เห็นพระมเหษี แลนางสนมเอกโทกับสาวใช้นางในพากันแห่ห้อมล้อมนางกงจู๊ออกมารับเสด็จ นางทั้งหลายถวายบังคมพร้อมกันว่าพระเจ้าหมื่นปี ๆ พระถังซัมจั๋งจิตร์ใจให้รัวสั่นสทกสท้านพว้าพวังหาที่ตั้งมิได้ เห้งเจียเหลือบไปเห็นนางกงจู๊ บนศีศะมีไอปิศาจยักษ์พลุ่งขึ้น แต่หาสู้ร้ายแรงนักไม่ จึงกระซิบบอกพระอาจาริย์ว่า นางกงจู๊นั้นปลอมมิใช่จริง พระถังซัมจั๋งว่าถ้าจริงดังว่า ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นจริงเล่า เห้งเจียว่าถ้าอยากจะให้รู้ชัดต้องกลับเปนรูปเดิมจึงจะจับมันได้ พระถังซัมจั๋งห้ามว่าไมได้ พระเจ้าแผ่นดินจะตกพระไทยวุ่นวายกันไปทั้งวัง รอให้เสด็จกลับไปยังที่แล้ว จึงค่อยแผลงฤทธิ์เดชอานุภาพต่อภายหลัง
ฝ่ายเห้งเจียเปนคนใจร้อนรออยู่ไม่ได้ ก็ไหวกายกลายกลับเปนรูปเดิม ร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง กระโดดมาจับยึดเสื้อนางกงจู๊ ด่าว่าอีรากโสศยักษ์ร้าย มึงทำเล่ห์กลแอบแฝงสำราญอยู่ในนี้ยังไม่พอ ทำกลอุบายหลอกลวงอาจาริย์เรา คิดทำลายพรหมจรรย์ สันดานมึงชั่งเต็มไปแต่ด้วยกามรากไม่รู้สึกโทษที่จะต้องไปทนทุกข์ในนะรกเลย
ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้เห็น แลได้ยินดังนั้นก็ตกพระไทย นางฮ่องเฮาแลนางสนมกำนัน ก็พากันตกใจล้มคว่ำล้มหงายไม่เปนสมปะฤดี บางก็วิ่งหนีซ่อนเร้นเอาตัวรอด พระถังซัมจั๋งก็ระรัวสั่นไปทั้งกาย เข้าประคองพระเจ้าแผ่นดินทูลว่าพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย นี่คือศิษย์ของอาตมภาพแผลงฤทธิ์เพื่อจะใคร่รู้เท็จจริง
ฝ่ายนางกงจู๊ปิศาจปลอม เห็นไม่สมคิดแน่แล้ว ก็ถอดเครื่องแต่งตัวทั้งเสื้อผ้าฉีกทิ้งเสีย สลัดหลุดจากมือเห้งเจียวิ่งหนีไปในสวนดอกไม้เข้าศาลพระภูมิ์ ได้ตะบองสั้นอันหนึ่งหวนกลับมาเข้ารบกับเห้งเจีย ๆ ก็ชักตะบองเหล็กออกรบกับปิศาจ ต่างออกกำลังรบกันกึกก้องโกลาหฬที่ในสวนดอกไม้ แล้วแผลงฤทธิ์เหาะขึ้นบนอากาศรบกันสนั่นหวั่นไหว พวกชาวเมืองต่างก็ตกใจไหวหวั่นครั่นคร้าม พระถังซัมจั๋งร้องว่าขอพระองค์อย่าได้ตกพระไทยไปเลย แล้วบอกพวกสาวสันกำนันในว่าอย่ากลัว นางกงจู๊ของท่านนั้นเปนปิศาจปลอมเข้ามาอยู่ ส่วนบุตร์ของท่านนั้นคอยไห้ศิษย์ของอาตมภาพจับปิศาจได้แล้ว จึงไปรับกงจู๊ที่แท้จริงนั้นมาให้จึงจะรู้เหตุผลเอาเปนจริงแน่ได้
ฝ่ายนางในได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดบอกดังนั้น ก็ค่อยได้สะติคลายจากความหวาดเสียว นางกำนันจึงไปเก็บเอาเสื้อผ้าที่นางกงจู๊ถอดทิ้งไว้ให้นางฮ่องเฮ้าดู แล้วพูดว่านางถอดทิ้งไว้นี้ บัดนี้ขึ้นไปรบอยู่กับสานุศิษย์ของพระที่บนอากาศ คงจะเปนปิศาจแน่ เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับฮองเฮ้าแลนางในทั้งหลาย ก็ค่อยได้สะติหายกลัวพากันแลดูบนอากาศ
ฝ่ายปิศาจกับเห้งเจียรบกันยังไม่แพ้แลชนะ เห้งเจียจึงร้องขึ้นคำหนึ่งแกว่งตะบองร้องให้แปลง ตะบองก็มีมานับหมื่นอันควงแกว่งดุจงูแลมังกรโลดโผนเข้ารุกไล่ตีนางปิศาจโดยสามารถ นางปิศาจเหลือกำลังที่จะรบรอต่อยุทธิ์ แล้วก็ไหวกายบันดานเปนสายลมเขียวหนีไปทางทิศปราจิณ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เรียกตะบองคืนกลับเข้าตัวแล้วจึงเหาะขึ้นบนอากาศรีบไล่ตามนางปิศาจไป เห้งเจียเหาะตามนางปิศาจกระชั้นมา จวนใกล้ประตูสวรรค์ไซทีหมึง แลไปก็เห็นธงทิวปลิวสลับสลอนยืนขวางน่าอยู่ เห้งเจียจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งหลายที่เฝ้าประตูสวรรค์นั้น จงช่วยสกัดจับอีมารร้ายอย่าให้หนีไปได้
ฝ่ายหมู่เทพยดาคือท้าวจตุราชฮูก๊กทีอ๋อง กับนายทหารทั้งสี่นาย ได้ยินเห้งเจียร้องมาดังนั้น ต่างก็เกรียมอาวุธรายกันออกคอยสกัดกั้นไว้
ฝ่ายนางปิศาจเห็นจวนตัวจะหนีไปก็มิได้ จึงหวนกลับมารบแก่เห้งเจียโดยสามารถมิได้คิดแก่ชีวิตร์ นางปิศาจถือตะบองสั้นเข้าตะลุมบอน เห้งเจียถือตะบองวิเศษเข้ารอรบแก่นางปิศาจโดยแข็งแรง เห้งเจียรบพลางพิจารณาดูตะบองของนางปิศาจ เห็นข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่งใหญ่ ดุจดังว่าไม้สากตำเข้า เห้งเจียจึงตวาดถามด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยนางปิศาจเองถืออาวุธอันใดมาต่อสู้แก่เรา นางปิศาจเมื่อได้ยินเห้งเจียถามมาดังนั้น จึงตอบว่าถ้าท่านอยากจะรู้จงเงี่ยหูลงฟังเราจะบอกให้ อาวุธอันนี้เทพยดาประกอบธาตุอันวิเศษให้ ประกอบด้วยมูลสันดานของเราอยู่บนสวรรค์ มีสีสว่างไสวประกอบไปด้วยฤดูสี่คือ (ชุนเห้ชิวตัง) บัดนี้อยู่กับเราบนวิมารพระจันทร์ คือเปนหินบดวิเศษอันหนึ่ง หากว่าตีมนุษย์ทีหนึ่งก็จะถึงแก่ความตาย เห้งเจียได้ฟังนางปิศาจเล่าให้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่แล้วจึงพูดว่า อ่อดังนั้นดอกหรืออีเดรฉาน หากมึงอยู่ในดวงพระจันทร์จริงดังนั้น ทำไมเองจึงไม่รู้จักฝีมือเรา จึงบังอาจสามารถมาต่อสู้แก่เราเล่า เจ้าจงจีบยอมเสียโดยดีเราจะไว้ชีวิตร์เจ้าให้ยาวยืนต่อไปอีกสิ้นกาลนาน นางปิศาจได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงพูดว่าเราจำได้ว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อน ท่านขึ้นไปทำวุ่นวายจุลาจลบนสวรรค์ มีนามเรียกว่าเป๊กเบ๊อุนคนเฝ้าม้ามิใช่หรือ อันความจริงก็ไม่ควรจะผ่อนผันยอมแพ้ท่าน เพราะด้วยทำลายการสามีภิริยาเขาความพยาบาทดุจฆ่าบิดามารดา เพราะฉนั้นจึงต้องคิดต่อสู้กว่าชีวิตร์จะหาไม่ เห้งเจียได้ฟังปิศาจว่าดังนั้น ก็ยิ่งบันดานโทโสคั่งแค้นแกว่งตะบองจ้วงโจมโถมเข้าตีรัน นางปิศาจก็ยกไม้หินบดขึ้นต่อสู้รอรบแก่เห้งเจียโดยสามารถ รบรอต่อสู้กันอยู่ที่น่าประตูสวรรค์น่ำทีหมึงประมาณยี่สิบเพลง นางปิศาจเห็นว่าจะเอาไชยชะนะเห้งเจียมิได้ ก็ยกหินบดฟาดไปทีหนึ่งบันดานเปนแสงสว่างร้อยพันหมื่นสายแล้วก็รีบหนีไปทางทิศอาคเน เห้งเจียก็ไล่ติดตามมา บัดเดี๋ยวมาถึงภูเขาหนึ่ง ปิศาจก็บันดานแสงสว่างสูญหายลงไปในยอดภูเขานั้น เห้งเจียเที่ยวค้นหาก็ไม่พบเห็น มีความสงไสยแลวิตกเกรงว่าปิศาจจะหวนกลับแอบไปในเมือง จะทำร้ายแก่พระอาจาริย์ เห้งเจียดำริห์ดังนั้นแล้ว ก็พิจารณาดูจำภูเขานั้นได้แน่แล้ว ก็รีบเหาะกลับไปยังเมือง เวลานั้นประมาณเวลาบ่ายสี่โมงเสศ
ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับพระมเหษีแลแลพระสนมนางกำนัลใน กำลังสดุ้งตกใจครั่นคร้ามกลัวอยู่ด้วยกันทุกคน แลเห็นเห้งเจียยืนอยู่บนเมฆลอยลงมาเรียกพระอาจาริย์ว่าข้าพเจ้ามาแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าเห้งเจียจงหยุดก่อน อย่าเพ่อเข้ามาทำให้วุ่นวาย พระเจ้าแผ่นดินจะตกพระไทย แล้วพระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียต่อไปว่า ท่านไปตามกงจู๊ปลอมนั้นได้ความประการใด
เห้งเจียยืนพนมมืออยู่ข้างนอกตำหนักตอบว่า อีนางกงจู๊ปลอมนั้น คือปิศาจแปลงตัวข้าพเจ้ารบแก่มัน ๆ สู้มิได้พ่ายแพ้หนีไป ข้าพเจ้าได้ตามไปถึงภูเขาแห่งหนึ่ง ปิศาจนั้นก็สูญหายไป ข้าพเจ้าได้เที่ยวค้นหาก็มิได้พบเห็น ข้าพเจ้าวิตกเกรงว่ามันจะกลับวกมาทำร้ายแก่อาจาริย์จึงได้รีบเหาะกลับมา พระเจ้าแผ่นดินเมื่อพระองค์ได้ทรงฟังเห้งเจียพูดแก่พระถังซัมจั๋งดังนั้น พระองค์จึงยึดพระถังซัมจั๋งไว้แล้วถามว่า ก็นางนั้นเปนปิศาจแล้ว ส่วนบุตรีย์แห่งข้าพเจ้าไปอยู่แห่งใดเล่า เห้งเจียจึงทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า รอให้ข้าพเจ้าจับปิศาจได้ก่อนแล้ว กงจู๊ของพระองค์ก็คงจะได้กลับคืนมา ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย
ฝ่ายพระมเหษีกับสนมนารีทั้งปวง เมื่อได้ฟังเห้งเจียทูลแก่พระเจ้ แผ่นดินดังนั้น ก็ค่อยคลายความหวาดเสียว ทุก ๆ คนพากันมาคำนับเห้งเจียแล้วจึงพูดว่า ขอท่านผู้วิเศษให้นางกงจู๊กลับมาได้ดังว่าแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายจะขอบพระเดชพระคุณท่านเปนที่ยิ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ที่ในราชวังในนี้ ข้าพเจ้าไม่ควรจะคิดการ ขอพระองค์ได้โปรดพาพระอาจาริย์ออกไปข้างนอกที่ข้าราชการเฝ้า ให้นางในกลับเข้าไปเสียข้างใน แลเรียกน้องของข้าพเจ้าทั้งสองคนมารักษาอาจาริย์ ข้าพเจ้าจะได้กลับไปจับนางปิศาจนั้นมาให้จงได้ ทั้งจะได้ปรากฎในความชอบของข้าพเจ้า พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียว่าดังนั้น ก็มีความยินดีพร้อมด้วยพระถังซัมจั๋ง เสด็จออกมายังท้องพระโรงที่ออกขุนนาง ฝ่ายพระมเหษีแลนางสนมก็กลับเข้าพระราชวังใน พระองค์จึงรับสั่งแก่เจ้าพนักงานจัดเครื่องมาเลี้ยงเห้งเจีย แลรับสั่งให้หาตัวโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเข้ามาเฝ้า เห้งเจียสั่งเสียน้องทั้งสองคนให้ดูแลเอาใจใส่รักษาพระอาจาริย์ทุกประการแล้ว เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศหมายทิศอาคะเน บัดเดี๋ยวก็มาถึงยอดเขา เที่ยวสอดส่องค้นหาปิศาจ
ฝ่ายนางปิศาจเมื่อหนีเห้งเจียมาลงที่เขาแล้ว ก็มุดเข้าไปในถ้ำเอาศิลามาปิดปากถ้ำส้อนตัวอยู่ในนั้นมิได้ออกมา เห้งเจียเที่ยวค้นหาพักหนึ่ง ไม่เห็นปิศาจก็มีความร้อนใจ จึงร่ายมนต์เรียกเจ้าเขาเจ้าที่มาในทันใดนั้น เห้งเจียจึงถามว่าภูเขานี้เรียกว่าภูเขาอะไร ในตำบลนี้มีปิศาจมากน้อยเท่าใด จงบอกมาโดยเร็วแต่ตามจริง เจ้าทั้งสองคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า ขอท่านได้ทราบ อันภูเขานี้มีนามเรียกว่า (ม้อเถ้าซัว) ที่เขานี้มีรังกะต่ายอยู่สามแห่ง ดั้งเดิมมาก็ไม่มีปิศาจยักษ์มาร เปนที่ไชยภูมิ์งามดี ไม่มีปิศาจยักษ์ร้ายหามิได้ แม้ท่านจะไปหาปิศาจยักษ์ร้ายก็จงไปหาทางทิศไซทีเถิดจึงจะมี เห้งเจียพูดว่าเราพึ่งขับไล่ปิศาจมาเดี๋ยวนี้ ทำไมจึงว่าไม่เห็นปิศาจเล่า เจ้าเขาเจ้าที่ทั้งสองได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นำเห้งเจียไปที่รังกะต่ายสามแห่งนั้น ค้นหาปิศาจที่เชิงเขาก่อน เห็นมีกะต่ายสองสามตัวเที่ยวกินหญ้าอยู่ เห็นคนมากะต่ายก็ตกใจวิ่งหนีไป แล้วพาไปหาที่บนยอดเขา แลไปก็เห็นปากถ้ำ มีศิลาใหญ่ปกปิดอยู่แน่นหนา เจ้าเขาเจ้าที่ทั้งสองจึงชี้ว่า เห็นปิศาจจะอยู่ในถ้ำนี้เปนแน่แล้ว จงงัดเอาก้อนศิลานั้นออกเข้าไปค้นดูเถิด เห้งเจียจึงเอาตะบองงัดก้อนศิลาที่ปิดปากถ้ำอยู่นั้น ออกแล้วก็จะเข้าไปค้นดู
ฝ่ายนางปิศาจซึ่งเข้าไปซ่อนอยู่ในถ้ำ ครั้นได้ยินเสียงประตูทลายลงดังนั้น ก็ร้องตวาดออกมาด้วยเสียงอันดัง มือก็ถือลูกหินบดกระโดดออกมาตีเอาเห้งเจีย ๆ ก็แกว่งตะบองรับรบกัน เจ้าเขาเจ้าที่เห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันหนีไปเที่ยวซุกซ่อนตัว นางปิศาจก็ด่าว่าเจ้าเขาเจ้าที่ว่า นำเห้งเจียมาค้นหาจึงได้มาพบปะฉนี้ ปากก็บ่นว่ามือก็รบแก่เห้งเจีย แล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ เวลานั้นก็จวนจะพลบค่ำ ได้ยินเสียงบนอากาศร้องลงมาว่า ท่านใต้เซี้ยอย่าเพ่อลงมือก่อน เห้งเจียหันไปดูก็เห็นท้ายอิมแช คือ พระจันทร์ มีนางฟ้าแห่ห้อมล้อมเปนบริวาร เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ย่อตัวคำนับ ถามว่าท่านท้ายอิมจะไปข้างไหนด้วยหรือ ท้ายอิมแชตอบว่าปิศาจที่สู้รบอยู่แก่ท่านนั้น คือนางกะต่ายที่อยู่ในตำหนักพระจันทร์ ในห้องยาทิพมันลักหินบดหนีมา ข้าพเจ้าเห็นว่ามันจะถึงที่ตายเสียวันนี้แล้ว จึงได้ตามมาเพื่อจะช่วยชีวิตร์มันให้รอดอยู่ก่อน ขอท่านใต้เซี้ยได้อนุญาติยกโทษมันให้แก่ข้าพเจ้าเถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่าท่านท้ายอิมได้ออกปากขอแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ แต่มันทำผิดได้ลักนางกงจู๊พระราชบุตรีย์ของพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊กไปซ่อนไว้ แล้วแปลงรูปปลอมเปนนางกงจู๊คิดจะทำลายพรหมจรรย์พระอาจาริย์ของข้าพเจ้า อันโทษนั้นก็ยากที่จะผ่อนผันให้มันได้ ท้ายอิมแชได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่าท่านใต้เซี้ยยังไม่ทราบถึงเหตุเดิม อันกงจู๊นั้นมิใช่คนในมนุษย์โลกย์ เดิมทีเปนนางฟ้าอยู่ในองค์พระจันทร์ จุติลงมาเกิดเปนพระราชบุตรีย์ของพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก นางกะต่ายนั้นมีความพยาบาท ด้วยเมื่อยี่สิบปีก่อนนางกงจู๊ตบเอานางกระต่าย ๆ จึงได้หนีตามลงมาแก้แค้น ลักนางกงจู๊ไปทิ้งไว้นอกเมือง ข้อที่นางกระต่ายจะคิดทำลายพรหมจรรย์ของพระถังซัมจั๋งนั้น ท่านใต้เซี้ยก็ได้ช่วยแก้ไขตัดรอนได้แล้ว ก็ไม่เปนอันตรายถึงแก่ความเสียหาย เพราะฉนั้นขอท่านใต้เซี้ยได้เห็นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด โปรดยกโทษให้แก่มันข้าพเจ้าจะได้พากลับไปสวรรค์ตามเดิม เห้งเจียได้ฟังท้ายอิมแชว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า หากมีมรรคผลอบรมดังนั้นข้าพเจ้าก็ไม่อาจขัดได้ แต่วิตกว่าท่านพานางกะต่ายไปแล้ว เกรงเจ้าเมืองเทียนเต๊กก๊กจะไม่เชื่อข้าพเจ้า ขอท่านท้ายอิมแชได้พานางฟ้าพร้อมด้วยนางกะต่ายไปยังเมืองเต๊กก๊ก ให้เจ้าแผ่นดินแลขุนนางราษฎรเห็นเปนพยาน จะให้แจ่มแจ้งซึ่งฝีมือแลกำลังอำนาจแห่งข้าพเจ้า แลจะได้ปรากฎว่าเดิมนางกงจู๊อยู่บนสวรรค์ได้จุติลงมาเอากำเนิดในมนุษย์โลกจะได้ทราบ ซึ่งเหตุผลเวรกรรมของนางกงจู๊ว่าเปนประการใด ท้ายอิมแชได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงเอามือชี้นางปิศาจร้องตวาดว่า ยังไม่คิดกลับตัวอีกหรือ ปิศาจก็กลับกลายไปเปนกะต่ายตามเดิม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดีเหาะนำน่าตรงมายังเมือง ท้ายอิมแชกุนก็นำฝูงนางฟ้าแลนางกะต่ายเหาะตามเห้งเจียมายังเมืองเทียนเต๊กก๊ก เวลานั้นก็พลบค่ำแสงจันทร์กระจ่างในท้องฟ้าเจ้าเมืองเทียนเต๊กก๊กกับพระถังซัมจั๋ง แลเห็นข้างทิศอาคเนมีแสงสว่างดุจกลางวัน แลได้ยินเสียงเห้งเจียเรียกแลบอกว่า ให้เชิญพระมเหษีกับสนมนางในออกมาดู ที่ในกลดนั้นคือท่านท้ายอิมแชกุน (พระจันทร์) สองข้างที่ห้อมล้อมมานั้น คือ นางเทพทิดา นางกะต่ายนั้นคือปิศาจที่แปลงเปนนางกงจู๊ บัดนี้กลับเปนรูปเดิม พระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงรับสั่งให้พระมเหษีแลสนมนางในออกมากระทำนมัศการ ทั้งขุนนางข้าราชการก็พากันคุกเข่าลงคำนับทุกๆ คน ราษฎรพลเมืองก็พากันตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบูชาทุกบ้านเรือน
ฝ่ายโป๊ยก่ายนิไสยตนหนักอยู่ในการกำหนัดยินดี ในรูปเสียงกลิ่นรศสำผัศ เมื่อได้เห็นนางฟ้ามาดังนั้น ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศตรงเข้าจับต้องนางฟ้า แลพูดจาเล้าโลมด้วยจิตร์กำหนัด เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงจับมือโป๊ยก่ายไว้แล้วก็ด่าว่าอ้ายหมูกินรำ เหตุไฉนจึงมาทำการอยาบช้าลามกดังนี้ เห็นสมควรแก่เราที่เปนบรรพชิตผู้ถือบวชแลหรือไฉน โป๊ยก่ายได้สติรู้สึกจึงตอบแก้ตัวว่าเปล่า หยอกเอินเล่นนิดหน่อยเท่านั้นพอแก้รำคาร ด้วยนานแล้วมิได้พบปะกัน เห้งเจียจับโป๊ยก่ายลากแล้วผลักให้ลงมายังพระธรนี
ฝ่ายท่านท้ายอิมแชกุน ครั้นเสร็จธุระแล้ว ก็เคลื่อนที่พานางฟ้ากับนางกะต่ายกลับไปยังสถานวิมานสวรรค์ เห้งเจียก็ลงมายังพื้น พระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊กก็มาคำนับขอบคุณเห้งเจีย ตรัสว่าข้าพเจ้าให้พึ่งท่านผู้วิเศษ อันมีฤทธาอานุภาพจึงได้ปราบปิศาจได้ อันบุตรีย์สาวของข้าพเจ้านั้นบัดนี้อยู่แห่งหนตำบลใดเล่า เห้งเจียตอบว่าอันนางกงจู๊ราชบุตร์แห่งท่านนั้น หาใช่คนในมนุษย์โลกนี้ไม่ คือนางฟ้าอยู่ในตำหนักพระจันทร์ เดิมเมื่อยี่สิบปีก่อนนางได้ตบนางกะต่ายทีหนึ่ง นางจึงได้จุติลงมาเอากำเนิดในมนุษย์โลกนี้ นางกะต่ายมีความพยาบาทจึงหนีลงมาจากสวรรค์ จึงได้แปลงตัวมาจับนางกงจู๊ทิ้งไปนอกเมือง นางกะต่ายได้แปลงตัวเข้ามาอยู่หลอกลวงพระองค์ ตามเหตุผลที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ ตามท่านท้ายอิมแชกุนบอกเล่ามาวันนี้จับนางปิศาจได้แล้ว พรุ่งนี้จึงจะไปรับพระราชบุตรีย์ของพระองค์มา พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็ทรงพระกันแสงโดยทรงพระอาไลยถึงพระราชทิดา บิดาไม่รู้ที่ว่าลูกจะไปอยู่แห่งหนตำบลใด เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะแล้วจึงทูลว่า พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกไปเลย อันราชทิดาของพระองค์นั้น บัดนี้อยู่ที่วัดเป๊ากิมยี่ เวลานี้ก็ค่ำมืดแล้ว ต่อเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปนำนางกงจู๊มาถวายพระองค์ ๆ อย่าได้ทรงพระวิตกเลย
ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการทั้งหลายพร้อมกันคุกเข่าลงกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ด้วยท่านผู้วิเศษทั้งหลายนี้รู้เหตุผลต้นปลายทั้งอะดิตอะนาคตแลประจุบันกาล ทั้งเหาะเหินเดินอากาศได้ คงจะสามารถนำพระราชบุตรีย์ของพระองค์มาถวายได้เปนแท้ พระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้ทรงฟังพวกขุนนางทูลดังนั้น ก็ค่อยบันเทาความโศก จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ เข้าพักในตำหนักเล่าชุนเต๊งในคืนวันนั้น ครั้นรุ่งเช้าก็เสด็จออกขุนนางรับสั่งให้ขันธีพาพระถังซัมจั๋งมาเฝ้า พร้อมกันกับศิษย์ทั้งสาม จึงตรัสถามว่าท่านจะโปรดประการใดจึงจะได้นางกงจู๊บุตรีย์ของข้าพเจ้าคืนมา พระถังซัมจั๋งจึงยกกรนีเหตุ ซึ่งนางกงจู๊ตกอยู่ที่วัดเป๊ากิมยี่ให้พระเจ้าแผ่นดินฟังทุกประการ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระกันแสงทั้งพระมเหษีแลสนมนารีก็พากันร้องไห้มิอาจอดกลั้นความโศกได้ พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามพระถังซัมจั๋งว่า วัดเป๊ากิมยี่มีระยะทางใกล้ไกลสักเท่าไร พระถังซัมจั๋งทูลว่าประมาณหกร้อยเส้น พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่รักษาพระนคร ส่วนพระองค์กับพระมเหษีแลนางสนมกรมในข้าราชการ แลพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามเสด็จออกจากพระราชวัง
ฝ่ายเห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศไปถึงวัดก่อน หมู่พระสงฆ์ในวัดเห็นเห้งเจียมาต่างองค์ก็มาคำนับ ถามว่าเมื่อท่านไปก็เห็นเดินดินไปกับท่านทั้งสาม วันนี้ทำไมจึงลงมาจากอากาศแต่ผู้เดียวเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วถามว่าท่านเจ้าวัดอยู่หรือไม่ นิมนต์ออกมาจัดตั้งที่บูชารับเสด็จพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก ด้วยพระมเหษีแลขุนนางข้าราชการ แลพระอาจาริย์ของข้าพเจ้าก็ตามเสด็จมาด้วยพร้อมกัน พระสงฆ์ทั้งหลายก็หาทราบเหตุการไม่ จึงเข้าไปนิมนต์เจ้าวัดออกมา เจ้าอธิการเห็นเห้งเจียก็ย่อตัวปราไสยถามว่า เรื่องนางกงจู๊นั้นเปนประการใดหรือ เห้งเจียก็เล่าให้เจ้าอธิการฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ เจ้าวัดยกมือขึ้นขอบใจเห้งเจีย ๆ บอกว่าท่านอย่าช้า ท่านรีบตั้งเครื่องบูชารับพระเจ้าแผ่นดินเถิด พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังจึงเข้าใจว่า ที่ลั่นกุญแจไว้ในห้องนั้น คือกงจู๊ พระสงฆ์ทุก ๆ รูปก็พากันตกใจ ต่างก็พากันไปวัดจัดแจงตั้งเครื่องสักการะบูชา แลครองจีวรทุก ๆ องค์มาคอยรับพระเจ้าแผ่นดิน ในทันใดนั้นพระเจ้าแผ่นดินก็พอเสด็จมาถึงยังประตูวัด ทอดพระเนตรเห็นพระสงฆ์มาคอยรับอยู่พรักพร้อม แลเห็นเห้งเจียยืนอยู่ท่ำกลาง พระเจ้าแผ่นดินจึงถามเห้งเจียว่า ทำไมท่านจึงมาถึงก่อนเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไหวกายทีหนึ่งก็ไปได้ตั้งพันโยชน์ ครั้นพวกขุนนางแลพระถังซัมจั๋งมาถึงพร้อมกัน จึงนำพระเจ้าแผ่นดินเข้าไปที่หลังวัด ที่ห้องขังนางกงจู๊อยู่นั้น ฝ่ายนางกงจู๊อยู่ในห้องมืด ก็ยังทำเปนคลั่งเคลิ้มพูดจาไม่เปนปรกติ เจ้าอธิการจึงชี้ให้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตร์ว่า ที่ห้องนี้เปนห้องที่นางกงจู๊อยู่ในนั้น พระถังซัมจั๋งสั่งให้ถอดกุญแจเปิดประตูออกแล้ว พระเจ้าแผ่นดินกับพระมเหษีแลเข้าไปก็เห็นนางกงจู๊ผู้บุตร์ก็จำได้แน่ใจ ตรงเข้าสรวมกอดเอาพระราชธิดาแล้ว ก็ทรงพระกันแสงแล้วจึงตรัสว่า บิดามารดามีความทุกข์ร้อน โอ้ลูกเอ๋ยกรรมเวรของเจ้าทำไว้แต่ปางใด จึงได้มาทรมารทุกข์อยู่ดังนี้เล่า ต่างคร่ำครวญโศกาอาดูรรำพรรณ์ไปต่าง ๆ พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้พนักงานเอาน้ำมาชำระขัดสีล้างพระราชบุตรีย์แล้ว ใหผลัดเสื้อผ้านุ่งห่มเสียใหม่เสร็จแล้ว ก็เสด็จขึ้นประทับบนราชรถจะกลับยังพระราชวัง เห้งเจียพนมมือกราบทูลว่า ข้าพเจ้ายังมีกิจธุระอยู่ข้อหนึ่งขอพระองค์ได้ทราบ พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า ท่านมีธุระจะสั่งเสียอะไรหรือ เห้งเจียทูลว่าตำบลนี้มีภูเขาหนึ่งนามว่าแป๊ะเคียดซัว ได้ทราบว่าในเขานี้มีตะขาบปิศาจตนหนึ่ง ถ้าเวลาพลบค่ำแล้วมักกระทำร้ายแก่พวกพ่อค้าไปมาค้าขายอยู่เสมอ ๆ ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าตะขาบนั้นแพ้ไก่ จงให้หาไก่สักพันตัวมาปล่อยในที่นี้ เพื่อจะได้แก้ซึ่งสัตว์ร้าย แลเปลี่ยนนามเขาเสียใหม่ พระราชทานอักษรป้ายจารึก แลพระราชทานตั้งเจ้าคณะให้มีเกียรติยศตอบแทน ด้วยพระสงฆ์ได้รักษาเลี้ยงดูนางกงจู๊นั้น พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงโมทนาแลอำนวยตามที่เห้งเจียทูลชี้แจงนั้นทุกประการ แลให้เปลี่ยนนามเขานั้นเรียกว่า (โป๊อาซัว) ให้เปลี่ยนนามวัดกิ๊มโกว่ากิ๊มยี่ แลพระราชทานนามเจ้าวัดว่า (เป๊าก๊กเจง) พระราชทานนิตยภัตทุก ๆ เดือน แลถวายเครื่องสมณะบริขารต่าง ๆ ทั้งพระสงฆ์ลูกวัดก็พระราชทานนิตยภัตทุก ๆ องค์ ทุก ๆ เดือน เจ้าคณะแลลูกวัดทั้งหลายก็ถวายพระพรขอบคุณพระเจ้าแผ่นดิน พร้อมกันส่งเสด็จกลับเข้าพระนคร ครั้นถึงพระราชวังก็พานางกงจู๊เข้าพระราชวังใน ส่วนสนมนางในก็มาเยี่ยมเยือนกงจู๊ แลจัดโต๊ะมาเลี้ยงเปนการสมโภชหรือทำขวัญ เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับข้าราชการใหญ่น้อยฝ่ายน่าฝ่ายใน ต่างเข้านั่งโต๊ะประชุมกันเปนการรื่นเริง ครั้นสิ้นเวลาเลี้ยงแล้ว จึงสั่งให้ช่างเขียนวาดรูปพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามไว้ สำหรับสักการะบูชาอยู่บนหอ ติ๊นฮวยก๊ก แลให้นางกงจู๊แต่งตัวออกมากราบคำนับขอบคุณ ท่านอาจาริย์ถังซัมจั๋งกับเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ที่ได้ช่วยให้รอดพ้นจากความตาย
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรลาจะใคร่รีบไป พระเจ้าแผ่นดินทรงอาราธนาไว้เลี้ยงโต๊ะอีกห้าหกวัน แล้วจัดทองคำถวายสองร้อยแท่ง แลแก้วแหวนอัญญะมะณีต่าง ๆ ถวายตอบแทนแก่ศิษย์ทั้งสาม อาจาริย์กับศิษย์ก็มิได้รับกลับถวายคืนเข้าท้องพระคลังหลวง พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้ขุนนางจัดราชรถส่งพระอาจาริย์กับศิษย์ทั้งสาม เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางแลราษฎรก็ตามออกมาส่งจนนอกเมือง แลข้างน่านั้นพระสงฆ์ทั้งหลายก็คอยคำนับส่ง แลไม่คิดจะกลับแต่สักองค์เดียว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร่ายพระคาถาบันดานเปนลมพัดมืดมัวเปนหมอกควัน บังตาคนทั้งหลายเหล่านั้นจนแลไม่เห็น อาจาริย์กับศิษย์จึงได้หนีพ้นไปได้