๗๘

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามคนออกจากเมืองแล้ว เดินไปได้สองเดือนกว่า เวลานั้นเข้าฤดูหนาวแลไปข้างหน้าก็เห็นป้อมแลกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งถามว่าที่ตรงนั้นคือเมืองอะไร เห้งเจียว่าเดินไปให้ถึงจึงจะรู้แน่ ก็พากันเดินมาประเดี๋ยวจึงถึงประตูเมือง พระถังซัมจั๋งจึงลงจากม้าพากันเข้าไปในเมือง แลไปข้างกำแพงเห็นนายทหารแก่คนหนึ่ง นอนหลับอยู่เห้งเจียเดินเข้าไปไกล้จับตัวสั่นรองเรียกว่าท่านทหาร ทหารตกใจตื่นแลเห็นเห้งเจ้ย ก็ตาลีตาลานลุกขึ้นคุกเข่าเรียกว่าท่านผู้ใหญ่ เห้งเจียถามว่าทำไมจึงเรียกว่าท่านผู้ใหญ่เล่า ทหารแก่คนนั้นพูดว่าท่านเปนท่านเปนรามสูรย์ทำไมจะไม่เรียกท่านว่าเปนผู้ใหญ่เล่า เห้งเจียว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป เราคนอยู่เมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาธรรม ข้ามมาถึงที่นี่ไม่รู้จักชื่อเมืองจะใคร่ถามดูสักคำหนึ่งเท่านั้น ทหารได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงยืนขึ้นบอกว่า เมืองนี้นามเรียกว่า ปี๊เปียก๊ก เดี๋ยวนี้เปลี่ยนนามเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊ก เห้งเจี้ยถามว่าในเมืองนี้มีเจ้าหรือเปล่าเล่า นายทหารบอกว่ามี เห้งเจียก็หันหน้าไปบอกแก่พระอาจาริย์ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความสงไสย จึงพูดว่าทำไมเรียกว่า ปี๊เปียก๊ก แลเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊กดังนั้นเล่า โป๊ยก่ายพูดว่าคิดดูเห็นเจ้าเมืองปี๊เปียก๊กจะสิ้นพระชนม์ ตั้งขึ้นใหม่จึงได้เปลี่ยนนามเรียกว่าเซี้ยวจื๊อก๊ก พระถังซัมจั๋งว่าเห็นจะไม่เปนเช่นนั้น พวกเราเข้าไปในเมืองคงจะได้รู้เหตุแน่ พูดแล้วก็พากันเดินไปถึงถนนใหญ่ ประตูเมืองชั้นสาม พิเคราะห์ดูสองข้างถนนมีตึกขายของล้วนแต่แพรสีต่างๆ แลขายเครื่องนุ่งห่มของใช้ต่างๆ สารพัดจะมีผู้คนแต่งตัวสอาดงามหมดจดเรียบร้อย มีตึกสูงสอาด ผู้คนไปมาซื้อขายแออัด

ฝ่ายอาจาริย์กับศิษย์ทั้งสาม เดินพลางดูพลางมาตามทางครู่หนึ่ง ก็มาถึงอีกถนนหนึ่งแลเห็นทุก ๆ บ้าน ขนกรงท่านมาตั้งคาไว้น่าบ้านแล้วเอาผ้าสีคลุมไว้ พระถังซัมจั๋งถามว่า ที่ตำบลนี้เหตุใดจึงเอากรงห่านตั้งไว้หน้าบ้านทุก ๆ บ้านดังนี้ โป๊ยก่ายได้ยินก็แลดูทั้งสองข้างทางก็เห็นมีจริงดังนั้น โป๊ยก่ายก็หัวเราะแล้วพูดว่า ชะรอยวันนี้เปนวันดีจึงแต่งบ้านทำการวิวาหะดอกกระมัง เห้งเจียพูดว่าเลอะเทอะไปได้ ถ้าจะแต่งขันหมากจริงก็จะทำแต่บ้านเดียว เหตุใดจะทำตลอดไปดังนี้เล่า ในนั้นคงจะมีเหตุเปนแน่ เราควรจะไปดูให้รู้แน่สักหน่อย ว่าแล้วเห้งเจียก็ร่ายพระคาถาแปลงกายาเปนแมลงผึ้งบินไปที่ตรงนั้น มุดเข้าไปพิเคราะห์ดูเห็นเด็กนั่งอยู่ในกรงนั้น เลยไปอีกบ้านหนึ่งก็เห็นมีเด็กนั่งอยู่ในกรงเหมือนกัน เลยไปดูอีกแปดเก้าบ้านก็มีเหมือนกันทุก ๆ บ้าน แต่เปนผู้ชายทั้งนั้นเด็กบางคนอยู่ในกรงร้องไห้ก็มี เห้งเจียเห็นแล้วก็กลับออกมากลายเปนรูปเดิมบอกแก่พระอาจาริย์ว่า ที่ในกรงนั้นมีเด็กผู้ชายนั่งอยู่ในกรงทุก ๆ กรง ใหญ่เสมอเจ็ดขวบที่เล็กก็คะเนสักห้าขวบไม่ทราบว่าเหตุอะไรดังนั้น พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งมีความสงไสยเดินเลยเลี้ยวไปอีกถนนหนึ่ง ก็แลเห็นมีหอเปนที่สำหรับรับแขกเมืองต่างประเทศ พระถังซัมจั๋งพูดแก่ศิษย์ว่า เราพากันเข้าไปที่หอนั้นเถิดจะได้ใต่ถามให้รู้เรื่อง ทั้งเปนเวลาค่ำเราจะได้อาไศรยพักนอนสักคืนหนึ่ง จึงพร้อมกันเข้าไป

ฝ่ายคนเฝ้าประตูก็เข้าไปบอกแก่ขุนนางรับแขก ๆ ก็ออกมาเชิญให้เข้าไปนั่งที่สมควร แล้วจึงถามว่าท่านทั้งสี่คนอยู่เมืองไหนจะไปข้างไหนจึงได้มาถึงที่นี่ พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพเปนชาวเมืองใต้ถัง คือมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะไปไซทีอาราธนาพระไตรยปิฎก พึ่งมาถึงเมืองอันประเสริฐนี้จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง แลจะขอพักในที่นี้สักคืนหนึ่งด้วย ขุนนางพนักงานได้ฟังดังนั้น จึงให้คนใช้จัดหาน้ำร้อนน้ำชามาถวาย แลจัดห้องให้อาจาริย์กับศิษย์พัก พระถังซัมจั๋งถามว่าวันนี้จะควรเข้าไปเฝ้าได้หรือไม่ ขุนนางรับแขกเมืองบอกว่าเวลานี้เย็นแล้ว รอเวลาเช้าจึงค่อยเข้าไปเฝ้าพักเสียให้สบายสักคืนหนึ่งก่อน พระถังซัมจั๋งว่าขอบใจเปนที่สุดจึงถามต่อไปว่า อาตมภาพยังมีความสงไสยไม่แน่แก่ใจอยู่อย่างหนึ่งขอท่านได้โปรดชี้แจงให้ทราบ คือที่เมืองนี้เหตุใดชาวบ้านเหล่านั้นเลี้ยงเด็กทารกให้อยู่ในกรงนั้น จะต้องประสงค์อะไรกัน ขุนนางนั้นตอบว่าไม่มีตวันสองดวงก็อย่างเดียวกัน เลี้ยงเด็กทารกด้วยกำลังของบิดาโลหิตของมารดา มีครรภ์สิบเดือนถึงกำหนดก็คลอดออกมาแล้วให้นมกิน สามปีเปนกำหนดรูปกายนั้นก็ค่อยเติบใหญ่ขึ้นจะไม่รู้การทีเดียวหรือ พระถังซัมจั๋งว่าท่านพูดนั้นกับเมืองข้าพเจ้าก็ไม่ผิดกัน เพราะอาตมภาพเดินมาตามถนนสองข้างทางชาวบ้านทุก ๆ บ้านเอากรงห่านไปใส่เด็กไว้ที่บ้านทุกๆ บ้านดังนี้ เพราะฉนั้นอาตมภาพมิได้แจ้งซึ่งเหตุผลจึงขอถามว่าความจริงนั้นเปนประการใด ขุนนางนั้นก็กระซิบพูดเบา ๆ ว่า ท่านเปนพระเปนสงฆ์จะไปธุระถึงเขาทำไมชั่งเขาเถิด นิมนต์พักให้สบายพรุ่งนี้จะได้ไป พระถังซัมจั๋งยึดขุนนางนั้นไว้จึงอ้อนวอนถามว่า เหตุการเปนประการใดได้โปรดบอกให้อาตมภาพทราบสักหน่อยเถิด ขุนนางนั้นยกมือขึ้นห้ามแล้วสั่นหน้าพูดว่าท่านจงระงับปากไว้อย่าพูดไป พระถังซัมจั๋งก็ไม่ปล่อยขุนนางคนนั้นอ้อนวอนจะให้บอกความจริงให้จงได้ ขุนนางผู้นั้นก็ไม่รู้แห่งที่จะขัดได้จึงเดินเข้าไปข้างฝากระซิบบอกว่า ที่ท่านถามว่าเด็กอยู่ในกรงห่านนั้น คือพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มิได้ตั้งอยู่ในทศพิตราชธรรม พระอาจาริย์จะถามเอาไปทำไม พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมมิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบสักหน่อย อาตมภาพจึงจะได้วางใจได้ ขุนนางพวกนั้นจึงบอกว่า เมืองเดิมนามเรียกว่าปี๊เปียก๊ก มาบัดนี้มีเหตุขึ้นราษฎรจึงเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊ก คือเมื่อสามปีก่อนมีตาเฒ่าผู้หนึ่งแต่งตัวเปนเพศฤๅษี พาผู้หญิงสาวมาคนหนึ่งรูปร่างสะสรวยดุจนางฟ้า หาผู้หญิงใดในเมืองนี้เสมอมิได้อายุประมาณสิบหกปี พาเข้าไปถวายพระเจ้าแผ่นดินมีพระไทยโปรดปราณจึงให้นามว่า มุ้ยเหาคือพระสนมเอก พระเจ้าแผ่นดินทรงรักใคร่ลุ่มหลงในการสังวาศ จึงบังเกิดโรคอ่อนเบลี้ยซูบผอมเสวยพระกระยาหารทดถอยน้อยลงไปทุกที จะไม่ทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ พวกขุนนางฝ่ายแพทย์หลวงตรวจดู ก็เห็นว่าไม่มียาที่จะแก้พระโรคของพระเจ้าแผ่นดินได้ ส่วนตาเฒ่าที่นำนารีมาถวายนั้น ได้รับที่ตั้งตำแหน่งพ่อตา เธอมียาวิเศษอยู่ตามเกาะกลางทะเล เที่ยวไปเก็บเครื่องยามาพร้อมแล้ว ยังขาดแต่ตับทารก จะต้องเอาตับทารกพันร้อยสิบเอ็ดตับ ต้มทำน้ำกระสายกินแล้วอายุจะยืนถึงพันปีไม่แก่ ที่ทารกเลี้ยงไว้ในกรงห่านนั้น เพราะไปเลือกคัดเอามาขังเลี้ยงไว้ที่น่าบ้านทุก ๆ บ้าน พ่อแม่ของเด็กกลัวอำนาจพระเจ้าแผ่นดินจึงไม่อาจร้องไห้ ก็พากันเล่าลือว่าเมืองเซี้ยวจื๊อก๊กดังนี้ จะไม่เรียกว่าไม่ตั้งอยู่ในทศพิตราชธรรมหรือ พรุ่งนี้เช้าท่านเข้าไปเปลี่ยนหนังสืออย่าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นเปนอันขาด พูดดังนั้นแล้วก็เดินหลีกไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นแล้วก็ให้เสียวในใจมือแลเท้าก็ให้อ่อนไปทั้งสิ้น คิดแล้วก็กลั้นน้ำตาไว้มิได้ไหลซึมทราบอาบหน้าร้องว่าเจ้ามืด ๆ ไม่มียุติธรรม เสพย์สังวาศจนโรคบังเกิดแลให้ฆ่าทารกถึงแก่ชีวิตรมากมายดังนี้เล่า โป๊ยก่ายเดินเข้ามาใกล้ถามว่า พระอาจาริย์มีเหตุอะไรไปเอาโลงใส่ผีของผู้อื่นมาร้องไห้ร่ำไป ธุระอะไรของเราบ้านเมืองของเขา ๆ จะทำกันประการใดมิใช่การของเราเลย จงถอดเสื้อนอนเสียให้สะบาย อย่าไปเอาแบบคนโบราณเที่ยวทุกข์เที่ยวร้อนมิใช่เหตุผลของเรา พระถังซัมจั๋งเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า อาตมภาพอุปสมบทบวชเปนภิกษุสงฆ์ ที่หนึ่งความผ่อนผันเปนต้น ทำไมเจ้าแผ่นดินนี้ จึงได้มืดมัวดังนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ากินตับคนอายุยืนนานเลย การอันนี้เปนอะยุติธรรมแท้ จะมิให้เราเจ็บร้อนอย่างไรได้ ซัวเจ๋งว่าอาจาริย์อย่าทุกข์ร้อนไปนักเลย พรุ่งนี้เข้าไปเปลี่ยนหนังสือเดินทางแล้ว ดูพระเจ้าแผ่นดินนั้นจะเปนประการใด แลดูตาเฒ่านั้นจะมีกิริยาอย่างไร บางทีจะเปนปิศาจยักษ์มันจะอยากกินตับมนุษย์ จึงได้คิดการดังนี้ก็ยังรู้ไม่ได้ เห้งเจียว่าซัวเจ๋งคิดดังนั้นถูกต้อง พรุ่งนี้พี่จะตามพระอาจาริย์เข้าไปเฝ้าพิเคราะห์ดูพ่อตาพระเจ้าแผ่นดินจะมีกิริยาอย่างไร หากเปนมนุษย์แล้วก็จะถือไสยสาตรไม่รู้จักสัมมาทิฐิ เอายานั้นเปนอารมณ์ ข้าพเจ้าจะชี้แจงชักนำให้เห็นทางชอบสัมมาปะฏิปะทา แม้ว่าเปนปิศาจยักษ์ร้ายข้าพเจ้าจะจับตัวไว้ ให้พระเจ้าแผ่นดินเห็นประจักษ์แก่จักษุ จะได้ตัดเหตุที่จะฆ่าทารกนั้น พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ย่อตัวหันพน้ามาหาเห้งเจียพูดว่า ชอบแล้ว แต่วิตกว่าพระเจ้าแผ่นดินยังหลงไหลมืดมัวอยู่ จะถามเหตุนี้ไม่ได้ง่ายเธอจะไม่ไตร่ตรองให้เห็นจริงแลเท็จ ก็จะมาลงโทษเอาพวกเรา จะทำประการใดจึงจะแก้ได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามีธรรมวิเศษสามารถจะแก้ได้ คือจะยักย้ายเด็กในกรงนั้นออกไปเสียนอกเมือง พรุ่งนี้ก็จะไม่มีเด็กจะเอาตับเด็กมิได้ เวลานั้นเราทูลแก้ไขพระเจ้าแผ่นดินคงจะคิดแก่ตาเฒ่าหาการอื่นทดแทน เรามีโอกาศจะได้ทูลขึ้นไปก็จะไม่มีความผิดถึงเราได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดียิ่งนัก ถามว่าท่านจะทำอย่างไรจึงจะเอาเด็กนั้นไปได้ หากเด็กนั้นรอดได้เห้งเจียมีกุศลเปนอันมากจงรีบคิดจัดแจงทำเถิด อย่ารอช้าไปจะเสียการ เห้งเจียสำรวมภากแล้วก็สั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าจงอยู่นี่เฝ้ารักษาพระอาจาริย์พี่จะออกฝีมือเจ้าจงคอยดู แม้ว่ามีลมเย็นไหวมา เด็กทารกในกรงนั้นจะออกจากกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามนั่งบริกรรมภาวนาช่วยเปนกำลัง พูดสั่งแล้วเห้งเจียก็ออกจากประตูเหาะขึ้นกลางอากาศ ร่ายพระคาถาอักขระโอมเรียกพระภูมิ์เจ้าที่เจ้าทางพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองเทพารักษ์ทั้งหลาย เจ้าเหล่านั้นก็มาในทันทีเดี๋ยวนั้นคำานับเห้งเจียแล้ว ถามว่าท่านใต้เซียมีกิจธุระร้อนอะไรหรือจึงได้เรียกพวกข้าพเจ้า เห้งเจียพูดว่าบัดนี้เดินมาถึงเมืองปี๊เปียก๊กรู้ว่าเจ้าแผ่นดินเมามืดหลงเปนมิจฉาทิฐิ เชื่อฟังปิศาจยักษ์จะใคร่เอาตับเด็กเปนกระสายยาอายุวัฒนะปราถนาจะให้อายุยืนนาน อาจาริย์ข้าพเจ้ามีจิตร์เมตตาไม่อยากจะให้ฆ่าเด็ก คิดจะช่วยให้รอดพ้นจากความตาย เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงเชิญท่านทั้งหลายมาแผลงฤทธิ์อานุภาพ ยกเอากรงท่านที่ใส่เด็กออกไปเสียนอกเมือง เอาไปส้อนไว้ตามป่าแลเขาสักวันหนึ่งสองวัน เอาผลไม้เลี้ยงอย่าให้อดอยากหิวโหยเปนอันขาดแลอย่าให้เด็กนั้นตกเนื้อตกใจได้ รอข้าพเจ้าทำการกำจัดมิจฉาทิฐิได้เรียบร้อยแล้ว แลชักนำเจ้าแผ่นดินให้มีสะติปราศจากความหลงแล้ว เวลาข้าพเจ้าจะไป จึงเอากลับมาคืนให้ข้าพเจ้า

ผ่ายเจ้าทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ต่างก็สำแดงฤทธิ์เดชลดเมฆลงบันดานให้เกิดลมหมอกกลุ้มทั่วทั้งในกำแพงเมือง พอเวลาสามยามหมู่เจ้าทั้งหลายก็ยกกรงเด็กนั้นไปทั้งสิ้น แยกย้ายกันไปเก็บส้อนไว้ แล้วเห้งเจียก็ลดลงยังพื้นเดินเข้าประตูยังได้ยินอาจาริย์กับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งภาวนาอยู่ เห้งเจียก็เดินเข้าไปเรียกว่าอาจาริย์ข้าพเจ้ามาแล้ว ๆ บอกว่าเมื่อลมพัดนั้นข้าพเจ้าเก็บเด็กไปหมดแล้ว เมื่อเวลาเราจะไปจึงค่อยเอาเด็กคืนกลับมาส่งยังเดิม พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงพากันไปพักนอน ครั้นรุ่งแจ้งพระถังซัมจั๋งตื่นจัดแจงเสร็จแล้ว ก็เรียกเห้งเจียว่าเราพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินแต่เช้าจะได้ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เห้งเจียก็พร้อมด้วยพระอาจาริย์เข้าไปในพระราชวัง แล้วเห้งเจียจึงพูดแก่พระอาจาริย์ว่าไว้ข้าพเจ้าเข้าไปดูพ่อตาพระเจ้าแผ่นดินก่อนจะซื่อตรงหรือคดโกงประการใด พระถังซัมจั๋งพูดว่าวิตกกลัวเห้งเจียจะไม่อ่อนน้อมคำนับพระเจ้าแผ่นดิน ๆ จะจับผิดเอา เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่ไปดังนั้นจะแปลงตัวตามรักษาพระอาจาริย์เข้าไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก้มีความยินดีจึงเดินเข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียก็แปลงเปนแมลงหวี่บินไปตามพระอาจาริย์ ขุนนางพนักงานรับแขกเมือง ก็เดินมากะซิบสั่งว่าท่านอาจาริย์เข้าไปเฝ้า แล้วอย่ายกเรื่องพวกนั้นพูดขึ้นเลยเปนอันขาด พระถังซัมจั๋งพยักหน้ารับคำแล้วจึงเดินเข้าไป ครั้นถึงประตูพระราชวัง ก็เดินมาหาขุนนางขันทีปราไสว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้ไปไซที เพื่ออาราธนาพระไตรยปิฎก บัดนี้มาถึงเมืองจะขอเข้าเฝ้าเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ขอท่านได้โปรดทูลให้ทรงทราบ ขุนนางขันทีได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ได้ทรงทราบดังนั้นก็มีพระไทยไสยโสมนัศยินดี ตรัสว่าพระสงฆ์มาจากเมืองไกล คงจะมีวิชาความรู้เชี่ยวชาญ จึงรับสั่งให้ขันทีนำเข้าไปเฝ้า พระถังซัมจั๋งสัมรวมกิริยายืนอยู่ชั้นล่าง พระเจ้าแผ่นดินนิมนต์ให้ขึ้นข้างบน ทรงพระอนุญาตให้นั่งในที่อันสมควรแล้ว พระถังซัมจั๋งพิจารณาดูพระเจ้าแผ่นดิน เห็นพระรูปและพระฉวีซีดเสร้าหมองโรยราซูบผอม กำลังอ่อนเปลี้ยไม่แข็งแรงพระสุระสำเนียงก็แผ้วเบา ตรัสออกมาก็ไม่เปนปรกติพระถังซัมจั๋งพิจารณาทั่งแล้ว จึงถวายหนังสือขึ้นไป พระเจ้าแผ่นดินรับหนังสือมาคลี่ออกทอดพระเนตร์ จึงหยิบตราประทับแล้ว ส่งคืนมาให้พระถังซัมจั๋ง ๆ รับมาเก็บไว้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินจะใคร่ทรงทราบเหตุที่จะไปรับพระธรรมนั้น มีขุนนางเข้ามาทูลว่า ท่านเชียงก๊กพ่อตาจะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินทรงพระอุสาหลงจากพระแท่น เกาะบ่าขันทีคอยรับท่านเชียงก๊กพ่อตา พระถังซัมจั๋งประหม่ายืนแอบอยู่ข้างหนึ่ง เห็นตาเฒ่าเดินฉุยฉายแต่งกายเปนเพศฤๅษีไม่คำนับพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ทรงย่อพระองค์แล้ว ตรัสถามว่าวันนี้สบายอยู่หรือเชิญขึ้นนั่งข้างบน พระถังซัมจั๋งเดินมาก้าวหนึ่งลดตัวลดตัวปราไสยคำนับถามทัก ตาเฒ่าก๊กเชียงนั่งอยู่ข้างบนทำเมินหน้าเฉยไม่ตอบไม่ทักว่ากระไร หันหน้าไปหาพระเจ้าแผ่นดินถามว่า พระสงฆ์นี้มาแต่ไหน พระเจ้าแผ่นดินตรัสบอกว่ามาแต่ประเทศจีนเมืองใต้ถัง พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม เธอมาขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ก๊กเชียงหัวเราะแล้วพูดว่า ไซทีนั้นหนทางมืดมัวจะมีดีอะไร พระถังซัมจั๋งพูดว่าแต่เดิมมาจนท้าวบัดนี้ไซทีนั้นเปนที่ไชยภูมิ์ศุขสำราญหาที่เปรียบมิได้เหตุใดจะไม่ดีเล่า

พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าพระสงฆ์เปนสานุศิษย์ของพระพุทธเจ้า ไม่ทราบว่าพระสงฆ์นั้นจะมีที่ไม่ตายหรือเปล่า ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านั้นอายุจะได้ยืนยาวหรือเปล่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็พะนมมือทูลตอบว่า แม้ว่าเปนสมณะละธุระปัจจัยเสียให้สิ้นมูล สันดานผ่องไสไม่มีกิเลศตัณหามานะทิฐิแล้ว ก็ไม่เกิดไม่ตาย (อันที่จริงนั้นระงับศุขสำราญที่ไม่ระงับนั้น แลแจ่มแจ้งรู้จักมูลจิตร์ด้วยตนเอง จิตร์ก็บริสุทธแน่แน่น ความจริงนั้นก็มิได้ขาดแลเหลือจะเห็นซึ่งรูปนามที่เกิดมีมาแล้วนั้น ว่าไม่เที่ยงเปนกองทุกข์ใช่ตัวตน ย่อมมีธรรมดาแตกดับไปทั้งสิ้น) การที่ไปอาไสยยาประกอบทำให้อายุยืนเปนอารมณ์นั้น เปนความเท็จไม่จริง หากว่าสะภาวะธรรมย่อมละทิ้งเสียสิ้นแล้ว ทุก ๆ สิ่งรูปสีก็ว่างเปล่า สำรวมจิตร์กระทำให้น้อยซึ่งความกำหนัดในกามารมณ์ อายุก็อาจยืนยาวอยู่เอง

ตาเฒ่าก๊กเชียงได้ฟังพระถังซัมฟังพูดดังนั้น ก็หัวเราะเอามือชี้พระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า พระสงฆ์ผู้นี้กล่าวคำสับปลับ พูดว่าในความระงับศุขนั้น ต้องอาไสยสันดานนั้นกับที่แห่งใด จะนั่งสะมาธิให้แห้งเปล่า สรรพธรรมจะต้องประกอบเลี้ยงเขาย่อมกล่าวว่า นั่งนักไฟจะแตกเผาเอาก็จะกลับเปนไฟร้าย ยังไม่รู้ความปฏิบัติของเรา ด้วยปฏิบัติฝ่ายเซียนนั้น กระดูกแข็งมั่นคง บันลุมรรคนั้นจิตรภาคก็ศักสิทธิ์ ประกอบยาช่วยมนุษย์แผ่มรรคธรรม ยกความสั่งสอนของท้ายเสียงเล่ากุนน้ำมนต์แลยันต์ไว้สำหรับกำจัดซึ่งปิศาจร้ายในมนุษย์ แปรฟ้าดินแลอากาศ เก็บเอากำลังตวันเดือนสำรวมธาตุละเอียดอยาบเปนยาประสิทธิคุณได้สำเร็จแล้ว ขึ้นขี่นกการะเวกแล้วให้บินร่อนเล่นสำราญใจเปนศุขอันใหญ่ ไม่เหมือนของท่านพุทธสาสนา ให้ระงับดับอารมณ์ เข้านิพพานทิ้งร่างกายเน่านั้นก็ยังไม่ปลาดสอาดได้ ในไตรยสาสนา คือไสยสาตร์ พุทธสาตร์ อิสีสาตร์ ตั้งแต่เริ่มมีสาสนา ๆ ฤๅษีเปนดีที่สุด สูงยิ่งกว่าสาสนาอื่น ๆ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังก๊กเชียงชี้แจงแสดงให้ฟังดังนั้น ก็มีความเชื่อเลื่อมไสยที่สุด บรรดาขุนนางใหญ่น้อยก็พากันสรรเสริญพร้อมกันว่า ควรยกฤๅษีสาตร์ว่าเปนสูงสุดไม่มีสาสนาใดเสมอ พระถังซัมจั๋งเห็นขุนนางพากันสรรเสริญก๊กเชียงทุก ๆ คนดังนั้น ก็มีความอดสูที่สุด พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางพนักงานจัดเครื่องแจถวาย ด้วยพระสงฆ์เธอมาแต่เมืองไกล พวกขุนนางจัดเครื่องแจมาถวายตามรับสั่ง พระถังซัมจั๋งก็ขอบพระคุณลาออกไป พอลงจากบันไดปราสาทจะเดินออกไป เห้งเจียบินมาจับที่หูร้องเรียกว่าอาจาริย์คำหนึ่ง แล้วบอกว่าอ้ายเฒ่าก๊กเชียงมันเปนพวกปิศาจจริงแล้ว พระอาจาริย์ออกไปฉันจังหัน ข้าพเจ้าจะอยู่ในนี้เพื่อจะได้ฟังความร้ายดีประการใด พูดแล้วเห้งเจียก็บินกลับขึ้นไปยังปราสาทกิมล่วนเต้ย จับอยู่ที่บานลับแล แลไปเห็นขุนนางนางทหารล้อมวัง เข้ามากราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เมื่อคืนนี้เวลาสามยามเสศเกิดมีลมหนาวพัดมาโดยแรงหอบเอากรงที่ขังเด็กนั้นไปทั้งหมดสิ้นสูญหายไปไม่ได้เค้าเงื่อนว่าไปข้างไหน พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น ตกพระไทยมีพระอาการธุรนธุรายแล้วตรัสว่า หากเปนเช่นนี้ฟ้ามิทับข้าพเจ้าแล้วหรือ ก๊กเชียงเห็นพระเจ้าแผ่นดินเสียพระไทยดังนั้นจึงทูลว่า ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตก พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามว่า ข้าพเจ้าเจ็บป่วยอยู่อย่างนี้ หมอหลวงก็สิ้นสะติปัญญาความรู้แล้ว ท่านก๊กเชียงประกอบยาทิพโอสถเวลาพรุ่งนี้เที่ยง จะลงมือฆ่าทารกเอาตับเปนกระสายยา ก็มาเกิดเหตุขึ้นดังนี้ จะไม่ใช่ฟ้าฆ่าเราก็จะเปนอะไรอีกเล่า ก๊กเชียงทูลว่าลมหอบเอาทารกไปนั้น จะกระทำให้พระชนมายุของพระองค์ยืนยาวยิ่งกว่านั้นไปอีก พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า ลมหอบเอาเด็กไปหมดสิ้นดังนี้ ทำไมท่านว่าจะกลับส่งให้อายุยืนต่อขึ้นไปได้อีกเล่า เฒ่าก๊กเชียงทูลว่า ข้าพเจ้าพึ่งเข้ามาเฝ้าแลเห็นกระสายยาอันพิเศษสิ่งหนึ่ง ที่ตับเด็กเปนกระสายยานั้น พระชนม์ของพระองค์จะยืนได้พันปี ถ้าเอาสิ่งนั้นมาทำกระสายยาเสวยแล้ว พระชนม์มายุของพระองค์จะยืนอยู่ถึงหมื่นปี พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังก๊กเชียงทูลดังนั้นก็ยังไม่เข้าพระไทยแน่ว่าอะไร จึงตรัสถามก๊กเชียงว่าสิ่งอะไรถึงจะอายุยืนหมื่นปี ก๊กเชียงจึงทูลว่าที่เจ้าเมืองใต้ถังมีรับสั่งให้พระถังซัมจั๋งไปไซทีนั้น พระสงฆ์องค์นั้นรักษาพรหมจรรมาสิบชาติแล้ว แลทั้งบวชเรียนมาแต่เล็ก มิได้เสพย์อะสัทธัมร่างกายบริสุทธิ์ประเสริฐยิ่ง ถ้าได้หัวใจเธอมา ประสมยาของข้าพเจ้าแล้ว อายุของพระองค์จะยืนตั้งหมื่นปี พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังก๊กเชียงกราบทูลดังนั้น มีพระไทยเชื่อลุ่มหลง จึงตรัสถามว่าเหตุใดท่านจึงไม่บอกแต่แรกก่อนเล่า แม้ว่าจริงดังนั้นเราจะได้ยึดไว้ไม่ปล่อยให้ไป เฒ่าก๊กเชียงทูลว่า แม้ถึงดังนั้นก็ไม่ยาก เมื่อพระองค์รับสั่งให้หาข้าวแจเลี้ยงกินแล้วจึงจะไปได้ เวลานี้มีรับสั่งให้ปิดประตูเมืองทุก ๆ ประตู จัดทหารออกไปล้อมรอบที่หอรับแขกนั้น จับเอาตัวพระสงฆ์นั้นเข้ามา จึงขอร้องโดยความเย็นก่อน แม้ว่ายอมโดยดีแล้ว ก็ผ่าห้องควักเอาหัวใจออกมา เอาซากอาศพนั้นไปฝังเสียให้ดี แล้วปลูกศาลไว้เส้นไหว้เธอ หากว่าเธอไม่ยอมให้โดยดีก็จับมัดแล้วเอามีดแหวะควักหัวใจก็ไม่ยากอะไร พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น ก็เชื่อถือกระทำตามจึงรับสั่งให้ปิดประตูเมืองทุก ๆ ประตุ แล้วสั่งให้พวกตำรวจไปล้อมหอกิมเต๊ง

ฝ่ายเห้งเจียคอยแอบฟัง ครั้นให้ยินดังนั้นก็โผบินออกมายังที่กิมเตง ครั้นถึงก็แปลงกายกลับเปนรูปเดิมเข้าไปหาพระอาจาริย์บอกว่าไภยจะมีมาถึงแล้ว เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังนั่งฉันเข้าอยู่ได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ทั้งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พากันตกใจเหงื่อโซมไปทั้งกาย โป๊ยก่ายถามว่าไภยอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่า เมื่ออาจาริย์กลับออกมาจากเฝ้าแล้ว มีขุนนางนายทหารล้อมวังเข้าไปกราบทูลว่าเกิดเหตุลมพัดหอบเอาเด็กที่ในกรงไปหมด เจ้าแผ่นดินมีความเดือดร้อนเสียพระไทย เฒ่าก๊กเชียงกราบทูลว่า ฟ้าส่งให้อายุพระเจ้าแผ่นดินยืนนาน จะเอาหัวใจของอาจาริย์เปนกระสายยาว่าดีกว่าตับเด็กนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเชื่อ จึงให้ทหารมาล้อมที่หอนี้ จะเอาตัวเข้าไปขอเอาหัวใจ โป๊ยก่ายได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า สมคิดจริงดีแล้วสมแก่ที่อาจาริย์มีใจเมตาแก่เด็ก ให้คิดอ่านช่วยเด็กทารกนั้นให้รอด บัดนี้เหตุนั้นเปนมูลให้ไภยร้ายนี้ถึงตัว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นมีกายอันสั่นดุจลูกนก แล้วจับมือเห้งเจียถามว่าการเปนเช่นนี้แล้วจะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่า แม้อยากจะให้ดีแล้ว ใหญ่ต้องเปนเล็ก ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงถามเห้งเจียว่า ใหญ่เปนเล็กนั้นอย่างไร ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เห้งเจียบอกว่าแม้จะให้รอดชีวิตร์แล้วอาจาริย์ต้องเปนศิษย์ ศิษย์ต้องเปนอาจาริย์ จึงปราศจากไภยร้ายนั้นได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าแม้ช่วยชีวิตร์ได้อาตมภาพก็ยอม เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นอย่าได้ช้าโป๊ยก่ายรีบไปเอาดินเหนียวมาสักก้อนหนึ่ง โป๊ยก่ายก็เอาคราดไปขุดดินมาก้อนหนึ่ง จึงเอาน้ำปัศสาวะขยำปนมาส่งให้เห้งเจีย ๆ รับมามีกลิ่นปัศสาวะก็ไม่รู้ที่จะว่าประการใด จึงอุส่าห์ปั้นเปนแผ่นแบนแล้ว เอาเข้ากดกับหน้าของตัวเองแล้ว เอามาใส่ที่หน้าพระถังซัมจั๋ง สั่งว่าอย่าไหวอย่าพูดจาจงนิ่งอยู่ดังนั้น สั่งแล้วเห้งเจียก็ร่ายคาถามหาประสิทธิ์เป่าไปทีหนึ่ง พระถังซัมจั๋งก็แปลงเปนเห้งเจีย แล้วถอดเสื้อหมวกผ้าให้เห้งเจียนุ่งห่ม เอาเสื้อผ้าของเห้งเจียมานุ่งห่ม เห้งเจียครั้นเอาเสื้อผ้าของอาจาริย์มานุ่งห่มแล้ว ก็ร่ายคาถาแปลงเหมือนอาจาริย์เสร็จแล้ว ก็ได้ยินเสียงกลองแลม้าฬ่อออกสนั่น พวกทหารแลตำรวจต่างถืออาวุธทุก ๆ คน พากันเข้ามาล้อมหอกิมเต๊ง ประมาณสามพันคน ขุนนางมหาดเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในหอ ถามว่าคนไหนพระถังซัมจั๋งซึ่งมาแต่เมืองใต้ถัง ขุนนางเจ้าพนักงานรับแขก คุกเข่าลงชี้ว่าที่นั่งอยู่ข้างในนั้น ขุนนางมหาดเล็กก็เดินเข้าไปพูดว่า บัดนี้มีรับสั่งให้มานิมนต์เข้าไปเฝ้า พระถังซัมจั๋งแปลงก็เดินออกมาจากประตูห้องปราไสยถามว่าพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งประการใด ขุนนางมหาดเล็กก็ตรงมาจับมือเห้งเจียที่แปลงเปนพระถังซัมจั๋งจูงเอาไป แล้วพูดว่าท่านจงไปกับข้าพเจ้าเข้าเฝ้า จะโปรดปราณมีธุระประสงค์อะไรดอกกระมัง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ