- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๑๕
ครั้นมาได้สองสามวันกำลังเปนฤดูหนาวลมพัดกล้าอากาศเยือกเย็นตามเนินเขาน้ำค้างตกลงมาดาดทั่วไปทั้งนั้น ครั้นจะตัดเดินไปตามบนเขาทางก็เปนคูเปนโขดเปนลำดับแสนที่จะกันดาน พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ามีความวิตกเปนอันมากในกำลังที่เดินไปนั้น ได้ยินเหมือนเสียงคลื่นซัดน้ำออกฉาดฉาน พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นจึงถามเห้งเจียว่าที่ใกล้ ๆ นี้เห็นจะมีแม่น้ำจึงได้ยินเสียงคลื่นซัดดังนี้
เห้งเจียได้ฟังพระอาจาริย์ถามดังนั้นจึงบอกว่า ที่แห่งนี้ข้าพเจ้าจำได้เรียกว่าเขา (จั๋วปั๋วซัว) มีบึงหนึ่งกว้างใหญ่นามเรียกว่า (เองเส้าบึง) ซึ่งได้ยินเสียงเหมือนคลื่นนั้นเห็นจะเปนบึงนี้เอง เมื่อกำลังพูดกันอยู่นั้นเดินใกล้บึงเข้ามา
พระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปริมฝั่งบึง พิจารณาดูในลำบึงสักครู่หนึ๋งได้ยินเสียงใต้น้ำแลเปนละลอกฟูขึ้นเปนฝอย เห็นมังกรร้ายโผล่ขึ้นมาตัวหนึ่งโบกหางเล่นคลื่นอยู่กลางน้ำ บัดเดี๋ยวก็รี่เข้ามาริมฝั่งเลื้อยขึ้นมาใกล้ตรงมาจะทำร้ายพระถังซัมจั๋ง
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ วางหาบวิ่งเข้าอุ้มพระถังซัมจั๋งลงจากาหลังม้าหนี มังกรไล่มาไม่ทันก็หันหน้ากลับคาบเอาม้าขยอกกลืนเข้าไปทั้งตัวแล้วกลับลงน้ำจมลงไปไม่เห็นตัว เห้งเจียอุ้มพระถังซัมจั๋งไปวางไว้ที่โขดสูงแล้ว ก็กลับมาจะเอาหาบแลม้า ครั้นมาถึงก็เห็นแต่หาบแต่ม้าหาเห็นไม่ จึงยกหาบมาวางที่พระอาจาริย์แล้วจึงบอกว่ามังกรนั้นหายไปข้างไหนแล้วหาเห็นตัวไม่ แต่ม้าของเรานั้นจะตกใจวิ่งหนีไปข้างไหนหารู้ไม่ ข้าพเจ้าจะไปตามค้นหาดูก่อน พูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นกลางอากาศเอามือป้องหน้าพิจารณาดูรอบทั้งสี่ทิศโดยละเอียด ก็มิได้เห็นร่องรอยที่ไหนจึงกลับลงมาบอกแก่พระอาจาริย์ว่า ม้าของเรานั้นจะสูญเสียแล้วชะรอยมังกรจะกินเสียแล้ว ข้าพเจ้าเหาะขึ้นไปดูบนกลางอากาศเที่ยวแลรอบก็มิได้เห็นเลย
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดบอกดังนั้นจึงพูดว่า มังกรนั้นปากมันจะกว้างสักเท่าใด จึงอาจกลืนม้าเข้าไปได้ทั้งตัวทีเดียวหรือ เราคิดเห็นว่าม้าของเราจะตกใจ เที่ยวหนีซุกซ่อนตามป่าหรือซอกเขาเปนแน่ ท่านจงกลับไปเที่ยวค้นดูให้ดีเถิดบางทีจะพบบ้างดอกกระมัง
เห้งเจียบอกแก่พระอาจาริย์ว่า ท่านยังไม่ทราบเหตุของข้าพเจ้า ๆ นี้ได้จักษุอันวิเศษ ถ้ากลางวันดังนี้แล้วข้าพเจ้าแลไปเห็นได้ลงพันโยชน์ ถึงจะมีตัวสัตว์อะไรเล็กน้อยเท่าละอองธุลีก็อาจเห็นได้ ทำไมม้าตัวใหญ่ ๆ อย่างนี้ข้าพเจ้าจะไม่เห็นเล่า ขอพระอาจาริย์อย่าได้สงไสยเลย
พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าถ้าดังนั้น เราจะได้ม้าที่ไหนขี่ต่อไปเล่า หนทางก็ไกลแสนกันดารทำอย่างไรจะไปได้ พูดดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลหยดลงผอย ๆ
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความสงสารพระอาจาริย์ยิ่งนัก จึงพูดแก่พระอาจาริย์ว่า ขอพระอาจาริย์อย่าโทมนัศไปเลย จงนั่งคอยข้าพเจ้าอยู่ที่นี้ ข้าพเจ้าจะไปตามม้าของเรามาให้จงได้
พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าอย่าไปเลย ถ้าเห้งเจียทิ้งเราไว้ไปเที่ยวหาม้าแล้ว มังกรมันก็จะแอบเข้ามาข้างนี้กินเราเสียทั้งม้าทั้งคนก็จะไปรวมอยู่ในท้องมังกรหมด เจ้าคิดอย่างนี้จะดีหรือ
เห้งเจียได้ฟังพระอาจาริย์พูดดังนั้น ก็ยิ่งแค้นใจขึ้นมาเปนอันมาก จึงร้องขึ้นด้วยกำลังโทสะดุจเสียงฟ้าผ่า ว่าถ้าอย่างนี้จะทำอย่างไรต่อไปเล่า ม้าก็อยากได้ จะไปก็ไม่ให้ไปตามถ้าอย่างนั้นจะมิต้องนั่งเฝ้าหาบอยู่ที่นี่จนแก่ ไม่ต้องไปไซทีแล้ว เมื่อเห้งเจียกำลังพูดเสียงอยู่ดังนั้นยังหาตกลงว่าจะทำอย่างไรไม่ ก็พอได้ยินเสียงบนอากาศพูดว่าท่านถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย อย่าโทมนัศวุ่นวายไปเลย ข้าพเจ้านี้คือหมู่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลาย ซึ่งพระกวนอิมใช้ให้มาคอยคุ้มครองป้องกันรักษา ผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรยปิฎก
พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก ในทันใดนั้นเห้งเจียจึงร้องถามตอบขึ้นไปว่า ท่านที่พูดอยู่นั้นคือท่านพระองค์ใด โปรดบอกนามมาให้ข้าพเจ้าทราบจะได้จดจำไว้
เทพยดาจึงตอบว่าข้าพเจ้าคือหลักเต็งหลักกะเหงาฮึกเวี๊ยดที้หู้แก่แค่ล้ำได้ผลัดกันมาคอยระวังรักษาท่าน แลคอยฟังเหตุการต่าง ๆ
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นก็เชิญท่านหลักเต็งแลหมู่เทพารักษ์ทั้งหลายมาอยู่รักษาเฝ้าพระอาจาริย์ข้าพเจ้าไว้อย่าให้มีเหตุการขึ้นได้ ข้าพเจ้าจะได้ไปตามมังกรเอาม้าคืนมาให้ได้
หมู่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลาย เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า ท่านอย่ามีความวิตกเลย ซึ่งพระอาจาริย์ของท่านนั้นข้าพเจ้าจะรับรักษามิให้มีเหตุการขึ้นได้
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็วางใจจึงนิมนต์พระอาจาริย์ให้ขึ้นนั่งอยู่บนโขดเขาคอยท่า แล้วเห้งเจียก็ลาพระอาจาริย์เหาะขึ้นบนอากาศรีบมา ครั้นถึงก็คอยอยู่กลางบึง แล้วร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายสัตว์เดระฉานอยู่ใต้น้ำ เองจงเร่งเอาม้ามาให้กูโดยเร็วถ้าช้าไปกูจะทำลายบึงให้ราบเปนธุลี
ฝ่ายมังกรเมื่อกินม้าแล้ว ก็จมกบดานอยู่ใต้น้ำรักษาอารมณ์อยู่ พอได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกอยู่ปากบึง กล่าวถ้อยคำโอหังต่าง ๆ ก็สะกดใจไว้ไม่อยู่ โทสะบันดานเกิดขึ้นไม่สามารถจะอดกลั้นไว้ได้ก็ผุดทะลึ่งโผนขึ้นมาอยู่บนหลังน้ำ ร้องถามมาว่าใครหวาอาจสามารถมาร้องเรียกให้เราหนวกหู เองไม่กลัวชีวิตรจะเปนอันตรายหรือ
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มึงอย่าหนีไปจงรีบเอาม้ามาให้เราเสียโดยเร็ว พูดดังนั้นแล้วก็ควงกระบองตรงมาจะตีมังกร ๆ ก็อ้าปากแยกเขี้ยวขยายเล็บกระโดดเข้าต่อสู้
เห้งเจียกับมังกรต่อสู้กันไปมาประมาณสองชั่วโมง มังกรทานกำลังเห้งเจียไม่ได้ก็กระโดดกลับลงในน้ำหนีจมลงไปกบดานอยู่ใต้นำไม่ขึ้นมาต่อสู้ เห้งเจียด่าว่าสักเท่าใด ๆ มังกรก็ทำไม่ได้ยินเสียนิ่งกบดานเฉยอยู่เสียแต่ใต้น้ำ เห้งเจียก็สิ้นปัญญาไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใดก็กลับมาหาพระอาจาริย์
พระถังซัมจั๋งจึงว่า เมื่อวันก่อนนั้นเจ้าตีเสือตายได้พูดอวดแก่เราว่า ถึงมังกรแลเสือก็คงจะกำจัดได้ทั้งสิ้น วันนี้ทำไมจึงไม่ปราบมังกรให้ได้เล่า
เห้งเจียได้ฟังพระอาจาริย์พูดนั้น ก็มีมานะนึกโกรธขึ้นมาจึงพูดแก่พระอาจาริย์ว่า ท่านอย่าพูดให้มากไปเลยข้าพเจ้าจะกลับไปลองฝีมือกับมังกรให้ถึงแพ้ชะนะจงได้ เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็รีบเหาะกลับมาที่ริมบึงแล้ว ก็ร่ายพระคาถาบันดานให้น้ำในบึงใสเห็นกระทั่งพื้นดินด้วยอำนาจพระคาถา ใต้บึงก็เกิดเปนคลื่นหามีความศุขไม่ มังกรจึงเผยอศีศะฉะเง้อขึ้นดูเห็นเห้งเจียอยู่ริมบึง ก็มีความโกรธแค้นเปนอันมาก ขยับเขี้ยวคำรามทะลึ่งโลดขึ้นมาร้องถามเห้งเจียว่า อ้ายปิศาจที่ไหนมาพูดจาดูถูกเราอย่างนี้
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า มึงไม่ต้องมาขู่กู ถ้าเอ็งไม่อยากจะตายเอ็งจงเร่งคืนม้ามาให้แก่กู ๆ จะยกชีวิตรให้สักครั้งหนึ่ง ถ้าขัดขืนแล้วเอ็งจงมาลองฝีมือกันกับกูให้ถึงแพ้แลชะนะ
มังกรตอบว่าม้านั้นถูกกลืนเข้าในท้องเสียแล้ว ภูไม่มีม้าจะใช้ให้มึง เมื่อมึงจะทำประการใดก็ให้เร่งมาทำแก่กูเถิด
เห้งเจียจึงว่ามึงไม่คืนม้าให้แก่กูได้ กูก็จะฆ่ามึงแทนม้า ว่าแล้วเห้งเจียก็กระโดดเข้าตีมังกร ๆ ก็ต่อสู้โดยสามารถ ต่างกล้าหาญถ้อยทีผลัดเปลี่ยนกันไปมา
ฝ่ายมังกรกำลังอ่อนลงทุกที เห็นว่าจะสู้เห้งเจียไม่ได้ก็ร่ายมนต์แปลงตัวเปนงูน้ำมุดซ่อนตัวอยู่ในปล้องหญ้าริมขอบบึง
เห้งเจียเห็นมังกรหายไปดังนั้น จับกระบองเหล็กแหวกหญ้าค้นหาก็ไม่เห็นร่องรอย ยืนนิ่งคิดขึ้นได้ จึงภาวนาคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่ แลเจ้าเขาเจ้าป่าให้มาโดยเร็ว
ฝ่ายพระภูมิเจ้าที่แลเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งหลาย เมื่อเห้งเจียอ่านคาถาเรียกดังนั้นก็พากันรีบมาโดยเร็ว
ครั้นถึงก็คุกเข่าคำนับเห้งเจีย แล้วถามว่าท่านจะประสงค์สิ่งใด
เห้งเจียจึงถามว่า ทำไมท่านทั้งหลายจึงไม่มาเยือนเราบ้าง เมื่อเราติดอยู่ในเขาเง้าเห้งซัว ก็ไม่เห็นมาเยี่ยมเยือนเราเลย เจ้าพวกนี้มีความผิดมาก จะต้องตีด้วยกระบองจึงจะสมแก่ความผิด
เทพารักษ์ทั้งหลายกับพระภูมิเจ้าที่ จึงพูดอ้อนว่อนว่า ขอท่านใต้เซียได้โปรดข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด เดิมท่านติดอยู่ในเขาเมื่อไรก็ไม่ทราบ ขอท่านจงกรุณายกโทษข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
เห้งเจียจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นเราไม่ตีจะยกโทษให้ เรามีประสงค์จะถามว่า ในบึงนี้มีมังกรร้ายตัวหนึ่ง บัดนี้มันกินม้าของพระอาจาริย์เราเสียแล้ว เราจะทำประการใดจึงจะรู้ว่ามันหลบหนีซ่อนเร้นอยู่ที่ไหน
เทพารักษ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียถามว่าดังนั้น จึงตอบว่า แต่เดิมมาข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่เคยเห็นพระอาจาริย์องค์ใดมาทางนี้เลย พระอาจาริย์ของใต้เซียนั้นมาเมื่อเวลาใดเล่า จึงได้เกิดเหตุขึ้นดังนี้
เห้งเจียจึงบอกว่า ท่านทั้งหลายยังไม่ทราบเหตุเดิม เพราะพระกวนอิมสั่งเราให้ติดตามไปเปนสานุศิษย์พระถังซัมจั๋ง เพื่อไปอาราธนาพระคำภีร์ไตรยปิฎกธรรมที่ประเทศเมืองไซที เพราะฉนั้นจึงต้องเดินทางมาทางนี้ เรากับอาจาริย์มาถึงบึงนี้ มังกรร้ายมันจับเอาม้าของพระอาจาริย์เราไปกินเสีย
เทพารักษ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียเล่าให้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าบึงนี้ตั้งแต่เดิมมาก็ไม่มีของร้ายอะไรอยู่ แลลำบึงนี้ก็กว้างยาว น้ำก็ใสแลเห็นตลอดถึงก้นบึง พวกปักษากานกบินข้ามบึงก็แลเห็นเงาอยู่ในน้ำ นกทั้งหลายซึ่งบินข้ามบึง เมื่อแลเห็นเงาอยู่ในน้ำก็นึกว่าพวกเดียวกันอยู่ที่นั่น ก็ราปีกรอดูน้ำ บางตัวก็พลัดตกลงในน้ำ เพราะฉนั้น จึงมีนามเรียกว่าบึง (เสร้ากั๊ง) เมื่อปีที่ล่วงมาแล้วนั้น พระกวนอิมเหาะข้ามมาทางนี้ จะไปหาคนอาราธนาคำภีร์พระไตรยปิฎก จึงได้เอามังกรตัวหนึ่งมาไว้ในบึงนี้ บัดนี้ก็มาทำความชั่วอย่างนี้อีก เห็นว่ามันจะถึงชีวิตรอันตรายเปนแน่แล้วจึงได้ทำการดังนี้
เห้งเจียพูดว่า เมื่อกี้นี้มันแปลงตัวมุดลงไปในกอหญ้าแล้วหายไป เราค้นหาก็ไม่เห็น
พระภูมิเจ้าที่จึงบอกว่า ในลำบึงนี้รูเรี้ยวตั้งหมื่นตั้งพันเห็นจะมุดเข้าแอบตามรูซ่อนตัวอยู่กระมัง ถ้าดังนั้นท่านใต้เซียอย่าวิตก ท่านคอยข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปเชิญพระกวนอิมมาจับตัวมันให้จงได้
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงชวนเทพารักษ์ทั้งหลายมาหาพระอาจาริย์ เล่ามูลเหตุให้ฟังทุกประการ
พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ท่านทั้งหลายจะไปหาพระกวนอิมนั้นสักกี่เวลาจึงจะได้กลับมา อาตมอยู่ที่นี่ถ้าเกิดอันตรายขึ้นประการใดจะเหลียวหาใครเล่า พูดปฤกษากันยังไม่ทันจะขาดคำลง ก็ได้ยินเสียงบนอากาศพูดว่า ท่านเห้งเจียแลเทพารักษ์ทั้งหลายไม่ต้องวุ่นวายไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปนิมนต์พระกวนอิมมาเอ็ง (ที่พูดนั้นคือเทพยดาเอี๊ยดที้)
พระถังซัมจั๋งเห้งเจียเทพารักษ์ทั้งหลาย ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี ต่างคนสนทนานั่งคอยอยู่
ฝ่ายเทพยดาเอี๊ยดที้ร้องบอกดังนั้นแล้ว ก็ขึ้นยืนบนเมฆเหาะตรงไปยังเขาน่ำไฮ้โพ้ท่อซัว ครั้นถึงก็เข้าไปนมัศการแล้วจึงเล่าความตามเหตุผลให้พระกวนอิมฟังทุกประการ พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นจึงพร้อมด้วยเอี๊ยดที้ ปาฏิหารย์รีบเหาะตรงมายังบึง ครั้นถึงพระกวนอิมจึงรออยู่บนอากาศ แลไปเห็นเห้งเจียกำลังยืนอยู่ข้างริมบึง ด่าแช่งเสียงอึกกระทึกอยู่ พระกวนอิมจึงให้เอี๊ยดที่ลงไปเรียกเห้งเจียบอกว่าพระกวนอิมให้ไปหาเดี๋ยวนี้
เห้งเจียได้ทราบดังนั้น ก็รีบเหาะขึ้นไปหาเห็นพระกวนอิมลอยอยู่ในอากาศจึงตรงเข้าไปพูดว่า ทำไมท่านจึงคิดมาแกล้งข้าพเจ้าอย่างนี้ เดิมพระพุทธเจ้าทั้งเจ็ดพระองค์ ก็เปนครูบาอาจาริย์สั่งสอนสืบมา อันความเมตากรุณาจิตรนั้นเปนที่หนึ่ง เหตุใดท่านจึงสอนคาถาให้ท่านอาจาริย์ถังซัมจั๋งดังนี้ ท่านเห็นควรแลหรือ
พระกวนอิมได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงตอบว่าเราเที่ยวหาคนจะให้ไปอาราธนาพระคำภีร์ไตรยปิฎกจึงได้มาพบเจ้า เราได้ช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากที่คับแค้นแล้ว เจ้าหามีความเคารพต่อคุณของเราซึ่งมีแก่เจ้าไม่ เจ้ายังมีหน้ากลับมาพูดต่อว่าอย่างนี้อีกเล่า
เห้งเจียจึงพูดว่า ท่านปล่อยข้าพเจ้าออกแล้วสั่งให้ข้าพเจ้ารักษาคุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปไซทีก็ดีแล้ว เหตุไฉนท่านจึงเอาหมวกมงคลมาให้พระถังซัมจั๋งหลอกให้ข้าพเจ้าใส่ แลสอนคาถาภาวนาให้ข้าพเจ้าปวดศีศะแทบจะพังอย่างนี้ ไม่ใช่คิดฆ่าข้าพเจ้าดอกหรือ
พระกวนอิมหัวเราะแล้วจึงพูดว่า ตัวเปนวานรไม่อยู่ในคำสั่งสอนแลไม่มีความอดทน มีแต่ความมุทะลุดุดันดื้อดึง ถ้าไม่มีเครื่องบังคับกดขี่ไว้เช่นนั้น ตัวก็จะทำบ้าหลังไม่รู้จักฟ้าต่ำดินสูงว่าผิดชอบหนักเบาประการใด เหมือนเมื่อครั้งก่อนนั้น ก็ได้เกิดความวุ่นวายใหญ่เพราะไม่มีใครบังคับเจ้าได้ เพราะฉนั้นจึงต้องมีหมวกหัวผีอย่างนี้จึงจะบังคับเจ้าได้ เจ้าจะได้ตั้งอยู่ในทางสัมมาปะฏิปทาตลอดไปได้
เห้งเจียจึงตอบว่า หมวกอย่างนี้เรียกว่าหัวผีคุ้มตัวข้าพเจ้าได้ก็ตามทีเถิด ก็เหตุใดจึงเอามังกรร้ายมาทิ้งไว้ที่ในบึงนี้ จนเกิดเปนปิศาจขึ้น มากินม้าของพระอาจาริย์ข้าพเจ้าเสีย ถ้าพิเคราะห์ดูก็เหมือนท่านคบค้าแก่คนร้ายเหมือนกัน
พระกวนอิมว่ามังกรตัวนี้ เราได้ไปขอเง็กเซียงฮ่องเต้ให้อยู่ที่นี่ เพื่อคอยท่าผู้ที่จะไปไซทีอาราธนาคำภีร์พระไตรยปิฎกมาทางนี้ จะได้รับเปนพาหะนะอันประเสริฐ เจ้ามาคิดเสียดายม้าในมนุษย์นั้นหาชอบไม่ ด้วยระยะทางที่จะไปนั้น แสนกันดานทำไมจึงจะไปถึงได้ ถ้าได้ม้ามังกรขี่ไปจึงจะถึงได้โดยเร็ว
เห้งเจียได้ฟังพระกวนอิมพูดชี้แจงดังนั้น ก็ดีใจจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นก็เปนบุญของข้าพเจ้าจริง แต่มังกรนั้นมันดำน้ำหายไปเสียแล้วจะทำประการใดดี จึงจะได้ตัวมันมาเล่า
พระกวนอิมได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงสั่งให้เอี๊ยดที้เปที่ริมบึงร้องเรียกเง็กเล้งซัมไทจื๊อให้ขึ้นมาหา บอกว่าเราคอยท่าอยู่ที่นี่
เอี๊ยดที้ได้ฟังพระกวนอิมสั่งดังนั้น ก็ลงไปข้างริมบึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ซัมไทจื๊อเร่งขึ้นมาโดยเร็ว
ฝ่ายมังกร เมื่อได้ยินออกชื่อพระกวนอิมดังนั้น ก็แหวกน้ำขึ้นมาแปลงกายเปนรูปมนุษย์ แล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ มาคำนับพระกวนอิมแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าได้พึ่งบารมีของท่านจึงรอดชีวิตร ข้าพเจ้าตั้งใจคอยท่าอยู่ที่นี้นานแล้ว ยังไม่เห็นผู้ที่จะไปอาราธนาพระคำภีร์ไตรยปิฎกมาทางนี้เลย แลไม่ได้ข่าวคราวนานนักหนาแล้ว
พระกวนอิมจึงชี้ให้ดูเห้งเจียว่า นั่นมิใช่สานุศิษย์ใหญ่ของผู้จะไปอาราธนาพระไตรยปิฎกหรือ
มังกรได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า วานนี้ข้าพเจ้าอดอยากมีความหิวเปนกำลัง จึงได้ขึ้นมาจับม้าของท่านผู้นี้กินเสีย ท่านผู้นี้มีกำลังแลฝีมือเปนอันมาก ข้าพเจ้าสู้ไม่ได้จึงหนีซ่อนอยู่ในปล้องหญ้า ข้าพเจ้าไม่เห็นผู้อาราธนาสักคนหนึ่งเลย
เห้งเจียจึงพูดว่าทำไมตัวจึงไม่ถามเราเล่า มังกรว่าเราได้ถามแล้วว่าอยู่ที่ไหน มาที่นี่ด้วยเหตุอะไรท่านก็ไม่ตอบให้เรารู้ ตั้งใจทวงแต่จะเอาม้าให้จงได้ ไม่ได้บอกอะไรแต่สักคำหนึ่งเลย
พระกวนอิมพูดว่า เห้งเจียนั้นเปนคนมักจะอวดดีแลเจ้าโทโส ถ้าออกชื่อคนอาราธนาพระคำภีร์แล้ว ก็จะไม่ต้องลำบากเลยตั้งแต่นี้ต่อไปแม้ผู้ใดจะยอมสาพิภักดิ์ไปด้วย ก็ให้ออกนามผู้จะไปอาราธนาพระคำภีร์ อย่าทำเอาโดยอำนาจของตัว การข้างน่าจึงจะไม่ลำบากต่อไป
เห้งเจียได้ฟังคำสั่งของพระกวนอิมดังนั้น ก็คำนับมีความยินดี พระกวนอิมจึงเอาไม้เขียนฮุดปักบนศีศะมังกร ร่ายพระคาถาเรียกให้มังกรแปลงเปนม้า มังกรก็แปรกายเปนม้าขาวยืนนิ่งอยู่ พระกวนอิมจึงสั่งม้ามังกรว่า ตัวเจ้าจงตั้งใจไปให้ดี เมื่อสำเร็จการแล้วจะพ้นซึ่งเวรกรรม คงจะได้แจ้งมรรคผลในภายน่า
มังกรก็รับคำสั่งพระกวนอิม ๆ จึงเรียกเห้งเจียมาสั่งให้พาม้ามังกรไปให้พระถังซัมจั๋ง อาตมาจะลากลับไปน่ำไฮ้
เห้งเจียได้ฟังพระกวนอิมพูดดังนั้น จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า หนทางเมืองไซทีที่จะไปนั้น ระยะทางแสนจะกันดารแลมีสัตว์ร้ายปิศาจยักษ์ก็ชุกชุม จะรักษาคุ้มครองพระถังซัมจั๋งซึ่งเปนปุถุชลอย่างนี้สักเมื่อไรจึงจะถึงได้ ชีวิตรข้าพเจ้าจะไม่ตลอด จะสำเร็จมรรคผลอะไรได้ ข้าพเจ้าจะไม่ไปละ
พระกวนอิมจึงพูดแนะนำสั่งสอนเห้งเจียว่า เกิดมาเปนรูปกายชีวิตรอินทรีย์อย่างนี้แล้ว ต้องจำเปนอุตสาหะรักษาความดีให้ตลอด ตั้งความเพียรมีมานะอย่าทำใจหดหู่ท้อถอย ทำไมเจ้าจึงคิดท้อถอยเช่นนี้เล่า วิไสยธรรมดาของผู้ปฏิบัติจะต้องมีความอดทนเอาความระงับแลความสัตย์เชื่อในคุณแห่งพระรัตนไตรยเปนที่ตั้ง มาทว่าเห้งเจียจะถึงแก่ความตายหรือคับแค้น อาตมภาพก็จะร้องให้ฟ้าแลดินช่วย คงจะประสิทธิ์ให้ดังประสงค์ แล้วเรียกเห้งเจียให้กระเถิบเข้ามาให้ใกล้ พระกวนอิมจึงเอากิ่งสนมาเด็ดออกสามใบวางลงที่ท้ายทอยเห้งเจีย แล้วก็ร่ายพระคาถาเป่าลงที่ใบสน ๆ ก็กลับเปนขนคุ้มชีวิตรสามเส้น ครั้นเสร็จแล้วจึงสั่งว่า แม้ถึงที่อับจนไม่มีที่อาไศรยแล้ว จงผันแปรไปตามการก็จะช่วยให้พ้นความทุกข์ยากได้
ฝ่ายเห้งเจีย ครั้นพระกวนอิมให้สิ่งของอันวิเศษแลสั่งสอนทุกประการ ก็มีความยินดีเปนอันมาก คำนับลาแล้วก็จูงม้ามังกรกลับมาหาพระถังซัมจั๋ง
ฝ่ายพระกวนอิมก็เหาะกลับไปยังน่ำไฮ้ที่อยู่ตามเดิม
ฝ่ายเห้งเจียจูงม้ามาถึงพระอาจาริย์แล้วก็คำนับ พระถังสัมจั๋งเห็นม้าก็ดีใจจึงถามเห้งเจียว่า ม้านี้ทำไมดูกลับแข็งแรงยิ่งกว่าเก่า ท่านไปค้นหาได้มาแต่ที่ไหนดูอ้วนพีมีกำลังมาก
เห้งเจียบอกว่าเมื่อกี้นี้กิมเท้าเอี๊ยดที้เทพยดา ไปเชิญพระกวนอิม ท่านจึงได้มาจับม้ามังกรที่ในบึงนั้น ท่านให้มังกรแปลงกายเปนม้าให้ข้าพเจ้าพามาให้พระอาจาริย์ แล้วเห้งเจียก็เล่าความตั้งแต่หลังให้พระถังซัมจั๋งฟังทุกประการ
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียบอกเล่าดังนั้น จึงจุดธูปเทียนขึ้นนมัศการผินหน้าไปทางทิศน่ำไฮ้ ครั้นแล้วเห้งเจียจึงบอกให้เทพยดาทั้งหลายกลับไปที่อยู่ แล้วก็นิมนต์พระอาจาริย์ให้ขึ้นม้า เห้งเจียเอาหาบใส่บ่าพากันออกเดินตรงไปยังมัชฌิมประเทศ ครั้นมาถึงฝั่งบึงจะข้ามฟาก แลไปเห็นเฒ่าชะราคนหนึ่งค้ำแพลอยมาก็ดีใจ เห้งเจียจึงกวักมือร้องเรียกว่า ท่านตาโปรดอะนุเคราะห์ช่วยส่งข้าพเจ้าข้ามฟากด้วยเถิด
ผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นก็ค้ำแพเทียบเข้ามาริมฝั่ง เห้งเจียจึงจูงม้าเอาหาบลงแล้วพระถังซัมจั๋งก็ลงแพ ผู้เฒ่าก็ค้ำแพข้ามไปครั้นถึงฝั่งแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงขึ้นบนฝั่ง เห้งเจียก็จูงม้ายกหาบขึ้นวางบนบก แล้วจะเอาเงินให้ผู้เฒ่าเปนค่าเหนื่อย แต่ผู้เฒ่าก็หารับเงินไม่ ค้ำแพออกจากตลิ่งลอยตามน้ำไป พระถังซัมจั๋งจึงร้องว่าขอบใจท่านตาขอให้ท่านเจริญศุข ๆ เถิด
เห้งเจียจึงบอกแก่พระอาจาริย์ว่า ท่านจำไมได้หรือคือเจ้าในลำบึงนี้เอ็ง พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นก็นิ่งอยู่ เห้งเจียเอาหาบขึ้นบ่า พระถังซัมจั๋งขึ้นม้าแล้ว อาจาริย์กับศิษย์ก็ออกเดินตามระยะทางมา ครั้นเวลาจวนค่ำพระถังซัมจั๋งแลไปข้างน่าเห็นข้างทางนั้นมีศาลเจ้าศาลหนึ่ง จึงหยุดม้าแล้วลงจากม้าเดินเข้าไปที่น่าศาล เห็นหนังสือแขวนไว้ตัวใหญ่ ๆ สามตัวคือ (ลี้เสียสื้อ) พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าในศาล มืผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมารับคำนับแล้ว เชิญพระถังซัมจั๋งให้นั่งอาศน์อันควรแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงถามผู้เฒ่าว่าที่แห่งนี้ทำไมจึงเรียกว่า ลี้เสียสื้อ
ผู้เฒ่าตอบว่าที่ตำบลนี้เรียกว่า กั๊ปปี๊ดก๊ก เปนเขตนแดนเมืองไซฮวน ที่ศาลนี้คนทั้งหลายเขาบูชาเจ้าแม่ประสปเปนที่นับถือกันทั้งเมือง แล้วผู้เฒ่าจึงถามพระถังซัมจั๋งว่า นี่ท่านอาจาริย์อยู่ที่เมืองไหนจึงได้มาถึงตำบลนี้
พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่า อาตมอยู่เมืองใต้ถังทิศบูรพาพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ไปยังประเทศไซที นมัศการพระขออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม บัดนี้เดินทางมาก็จวนค่ำขอท่านจงได้กรุณาให้อาตมภาพอาไศรยนอนสักคืนหนึ่ง พอได้อรุณก็จะลาไป
ผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นก็จัดหาน้ำชาออกมาเลี้ยง แล้วผู้เฒ่าก็เดินออกไปที่ประตูศาลเจ้า แลเห็นม้าผูกข้างริมนั้นดูงามดี แต่ทำไมจึงไม่มีเบาะแลบังเหียนจึงกลับเข้ามาในศาลเจ้า ถามว่าเหตุใดเครื่องสำหรับม้าจึงหามีไม่
เห้งเจียได้ฟังผู้เฒ่าถามดังนั้น ก็เล่าความตั้งแต่หลังมาให้ผู้เฒ่าฟังทุกประการ ผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าดีแล้ว ข้าพเจ้ามีเครื่องม้าสำรับหนึ่งเก็บไว้เปล่า ๆ ข้าพเจ้าจะให้ท่านเอาไปใช้ไม่คิดเอาราคาเลย
พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าขอบคุณท่านตาได้เอ็นดูแก่ข้าพเจ้า ต่างสนทนากันได้เวลาแล้วต่างก็ลากันไปพักกาย ครั้นรุ่งสว่างผู้เฒ่าก็จัดแจงเอาเครื่องแจมาถวาย พระถังซัมจั๋งฉันแล้วก็ยะถาสัพพีให้พรไปตามเพศแลลัทธิ์หลวงจีน
ผู้เฒ่าเอาเครื่องม้ามาให้เห้งเจีย ๆ ก็มีความยินดีจึงเอาเครื่องม้าออกไปจัดแจงแต่งม้าเสร็จแล้วก็มานิมนต์พระถังซัมจั๋ง ๆ ก็ลาผู้เฒ่าออกจากศาลเจ้าขึ้นม้า เห้งเจียก็คำนับลาผู้เฒ่าเอาหาบขึ้นใส่บ่า ผู้เฒ่าเดินตามออกมาส่งยังทาง แล้วผู้เฒ่าเอาธูปหอมอย่างดีอันหนึ่งแลไม้เรียวถักด้วยเอ็นเสืออันหนึ่ง ถวายให้พระถังซัมจั๋ง ๆ มีความยินดีรับสิ่งของผู้เฒ่าแล้วจึงพูดว่า ขอบคุณท่านตาได้เอ็นดูให้ของแก่อาตมภาพ ๆ ขอลาท่านไปก่อนแล้ว ผู้เฒ่ารับคำนับแล้วก็กลับไป
พระถังซัมจั๋งออกเดินได้สามสี่ก้าว จึงหันหน้ากลับมาดูผู้เฒ่าก็ไม่เห็นผู้เฒ่า ทั้งศาลเจ้าก็หายไปแลเตียนโล่งเปนป่าหมด ขณะนั้นได้ยินเสียงบนอากาศร้องลงมาว่า ท่านถังซัมจั๋งข้าพเจ้าขออะไภยเถิด ข้าพเจ้าคือเจ้าสิงอยู่ที่เขาน่ำไฮ้ รับคำสั่งของพระกวนอิมใช้เอาเครื่องม้ามาให้ท่าน ขอท่านจงตั้งใจไปอย่าท้อถอยเลย
พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็ลงจากม้าคำนับพูดว่า ข้าพเจ้าเปนมนุษย์บุทชลหารู้หาทราบความไม่ ขอท่านจงได้ให้อะไภยแก่ข้าพเจ้าเถิด
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะเสียงดังกั่ก ๆ พระถังซัมจั๋งถามว่าท่านหัวเราะด้วยเหตุอะไรจึงได้ออกงอไปดังนั้น จงคำนับขอบคุณท่านเสียเถิด
เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าหาคำนับไม่ ควรจะเอากระบองตีสักทีจึงจะดีเพราะมาหลอกกันเล่นอย่างนี้ ข้าพเจ้าเกรงใจพระกวนอิมจึงนิ่งให้กลับไปโดยปรกติ ถ้าข้าพเจ้าคำนับจะกล้ากลับมารับคำนับข้าพเจ้าหรือ
พระถังซัมจั๋งห้ามว่าอย่าพูดให้มากไปเลยจงจัดแจงไปเถิด
เห้งเจียได้ฟังพระอาจาริย์ว่าดังนั้นก็ยกหาบขึ้นบ่าออกเดินไปตามทาง มาประมาณได้สักสองเดือนโดยความสวัสดีปราศจากไภยอันตรายทั้งปวง แต่ตามระยะทางนั้นมีสัตว์ร้ายต่าง ๆ ชุกชุมแต่หาได้ทำอันตรายสิ่งใดไม่ ขณะนั้นเปนฤดูเดือนสามพฤกษากำลังผลัดเปลี่ยนใบใหม่อาจาริย์กับศิษย์เดินชมมาเปนที่เจริญตา วันหนึ่งเดินมาจวนค่ำพระถังซัมจั๋งรอม้าแลไปในหุบเขาเห็นมีตึกหอสูงเปนลำดับดูงดงามยิ่งนัก จึงถามเห้งเจียว่านั่นจะเปนปราสาทราชวังกระมัง เห้งเจียแลไปเห็นดูแล้วก็พูดว่ามิใช่ปราสาทราชวังอะไรดอก ข้าพเจ้าสังเกตดูเห็นจะเปนวัดเวลานี้ก็จวนเย็นจะค่ำอยู่แล้ว เราควรจะพักอาไศรยนอนสักคืนหนึ่ง