- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๒๓
ตรงไปตามแนวป่าต้นผลไม้มีดอกออกช่อดกอุดม เดินพลางชมพลางเวลานั้นก็จวนจะเย็น หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า เวลานี้ก็จวนจะค่ำแล้ว เราจะหาที่พักอาไศรยแห่งใดดีเล่า เห้งเจียว่าพระอาจาริย์จะถามทำไมแก่ที่อาไศรย เราเปนสมณะเพศแล้ว ตามแต่จะเปนไปจะกำหนดว่านอนแห่งนั้นแห่งนี้หามิได้ โป๊ยก่ายพูดว่าพี่เดินตัวเปล่าจะรู้ว่าหนักเบาอย่างไร บางวันความทุกข์ความหนักก็อยู่แก่โป๊ยก่าย ๆ ต้องหาบทุกวันไป ใครเหมือนพี่เดินตามเปนสานุศิษย์จัดให้ข้าพเจ้าเปนหัวแรง ข้าพเจ้าทราบว่าพี่เห้งเจียมีจิตรโอ่โถงไม่ชอบหาบหาม แต่ม้านั้นรูปร่างก็ใหญ่โตมีกำลังรับรองให้พะอาจาริย์ขี่แต่องค์เดียวก็ไม่สู้หนักสักเท่าได ถ้าเอาสิ่งของในหาบนี้แบ่งให้บันทุกสักสองสามสิ่งเห็นจะดี
เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายบ่นว่าดังนั้นจึงพูดว่า นี่เจ้าเห็นว่าม้ามันเปนม้าจริง ๆ หรือ เธอเปนบุตรที่สามของพระยาเหลงอ๋อง เพราะทำผิดมีโทษบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้สั่งให้ประหารชีวิต พระโพธิสัตว์กวนอิมขอไว้จึงได้รอดชีวิตร จึงให้แปลงเปนม้าไว้สำหรับขี่ไปประเทศไซทีเอาคุณลบล้างโทษ โป๊ยก่ายอย่าไปเกี่ยวข้องถึงเธอเลย
ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงถามว่านี่มังกรแปลงเปนม้าจริงหรือ เห้งเจียตอบว่าจริงดังนั้น
โป๊ยก่ายถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาพูดกันว่ามังกรนั้นมี่ฤทธาอานุภาพทำเมฆฝนแลทำอำนาจแผลงฤทธิ์ให้น้ำในท้องมหาสมุทหวั่นไหวไปทุกประการก็มี นี่ทำไมจึงเดินหง่อย ๆ ไม่แขงแรง
เห้งเจียพูดว่า พี่จะบอกให้มังกรออกฤทธิ์ให้ดู ว่าแล้วเห้งเจียก็จับไม้กระบองขึ้นแกว่งกวัดมีรัศมีออกต่าง ๆ ม้ามังกรก็ตกใจคิดว่าเห้งเจียจะตีเอาก็ออกแรงเผ่นห้อไปเร็วดุจสายฟ้าแลบ พระอาจาริย์นั่งอยู่บนหลังจับบังเหียนรั้งยอก็ไม่หยุด วิ่งไปชั่วแล่นข้ามพ้นพื้นเขาตลอดไปทางใหญ่จึงหยุด หลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่บนหลังออกหอบ แลไปข้างหลังเห็นศิษย์ทั้งสามวิ่งตามมาทัน หลวงจีนถังซัมจั๋ง เงยหน้าแลไปข้างน่า เห็นมีหมู่ไม้สนร่มรื่นสง่างามมีบ้านเรือนอยู่หลายหลังจึงบอกแก่ศิษย์ว่า ข้างน่านั้นมีหมู่บ้าน จำเราจะไปขออาไศรยพักสักคืนหนึ่ง
เห้งเจียแลไปก็เห็นเปนเมฆต่าง ๆ สีปกคลุ้มก็รู้ได้ว่าเปนสำนักของผู้สำเร็จบันดาลขึ้น เห้งเจียก็นิ่งอยู่แต่ในใจ จึงพูดแก่พระอาจาริย์ว่าที่ตรงนี้ดีควรจะพักได้ หลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพากันเดินเข้าไปยังประตูนอก พิจารณาดูบนห้องหอล้วนสลักเสลาศิลาเปนรูปต่าง ๆ แลปิดทองประดับซับซ้อนเปนลวดรายระบายสีต่าง ๆ
โป๊ยก่ายพูดว่า ชะรอยว่าจะเปนบ้านของคนที่มั่งมีใหญ่โตจึงได้ทำอย่างนี้ เห้งเจียจะใคร่เข้าไปหลวงจีนถังซัมจั๋งห้ามว่า อย่าเข้าไปเลย พวกเราเปนคนถือศีลกินเพน ต้องมีความเกรงใจเจ้าของบ้านจะติฉินได้ คอยให้มีคนเดินออกมา เราจึงค่อยพูดขออาไศรย์สักคืนหนึ่ง พูดกันดังนั้นแล้วก็นั่งคอยอยู่ที่ข้างแท่นริมประตูสักครู่หนึ่ง เห้งเจียใจร้อนเห็นไม่มีคนเดินออกมาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างในประตูเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นหอตึกหลังหนึ่งสามห้อง จึงเดินเข้าไปใกล้ก้าวขึ้นบนตึก พิจารณาดูเห็นห้องหอกลางมีฉากหนังสือจีนสี่ตัวแต่มีเครื่องโต๊ะตั้งเปนลำดับ แลที่บนเสามีเหรียญสลักเปนตัวหนังสือทองแขวนสองข้างฝาผนัง มีฉากเขียนสี่ฤดูแขวนทั้งสองข้าง ยิ่งพิจารณาดูก็ยิ่งงดงามไนยตา บัดเดี๋ยวได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินข้างในออกมา เปนผู้หญิงอายุกลางคนถามว่า ผู้ใดเข้ามาในบ้านข้าพเจ้าหญิงหม้ายทำไมเล่า
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงตอบว่าข้าพเจ้าคือคนอยู่ณประเทศตวันออก คือเมืองจีนพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้หลวงจีนถังซัมจั้งไปยังประเทศไซทีอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม บัดนี้ข้าพเจ้าศิษย์กับอาจาริย์สี่คนมาถึงที่นี้ ก็จวนเวลาค่ำจะขออาไศรยพักสักคืนหนึ่ง ขอท่านได้กรุณา พรุ่งนี้เช้าก็จะลาท่านไป
หญิงหม้ายได้ยินเห้งเจียเล่าบอกชี้แจงให้ฟังดังนั้น ก็มีความศรัทธา จึงถามว่า บัดนี้ท่านทั้งสามนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ขอเชิญท่านเข้ามาข้างในนี้เถิด เห้งเจียจึงได้ร้องนิมนต์ด้วยเสียงอันดังว่า เชิญพระอาจาริย์เข้ามาในนี้เถิด
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียรองนิมนต์ดังนั้น ก็พร้อมด้วยโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งยกหาบจูงม้าเข้าไปข้างใน ครั้นถึงหลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงเดินขึ้นไปบนหอนั่ง หญิงหม้ายก็ออกมาเชิญเข้าไปข้างใน
โป๊ยก่ายตามหลังอาจาริย์ขึ้นไป ตาเขม้นดูหญิงหม้ายคนนั้นเห็นสวยงามดุจหญิงพึ่งแรกรุ่น หลวงจีนถังซัมจั๋ง ครั้นขึ้นมาบนหอนั่งหญิงหม้ายก็เชิญให้นั่งที่อันสมควร สักประเดี๋ยวมีเด็กสาวน้อยยกถาดน้ำชาออกมาวางบนโต๊ะ หญิงเจ้าของบ้านจึงนิมนต์ให้หลวงจีนถังซัมจั๋งฉันน้ำชาแลสานุศิษย์ทั้งสามก็นั่งเก้าอี้รับประทานน้ำชา
หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า ท่านสีกาโยมนั้นแซ่อะไรชื่อใดตำบลนี้มีนามอย่างไร
หญิงเจ้าของบ้านบอกว่าตำบลนี้คือทิศปราจิณ ประเทศนี้เปนประเทศทิศตวันออกนามเรียกว่าตั๋งอิ้น ข้าพเจ้าแซ่โก๊สามีข้าพเจ้าแซ่ป๊อดบิดามารดาล่วงไปแล้ว ข้าพเจ้าสามีภิริยาปกครองรักษาทรัพย์สมบัติไร่นาก็มีมาก ข้าพเจ้าไม่มีบุตรผู้ชายมีแต่บุตรผู้หญิงสามคน สามีข้าพเจ้าถึงแก่กรรมตัวข้าพเจ้าเปนหม้าย เลี้ยงบุตรอยู่จนทุกวันนี้ ทรัพย์สินก็บริบูรณ์มั่งคั่ง วงศาคณาญาติหามีไม่ ข้าพเจ้าต้องเปนธุระรักษาไป บุตรสาวทั้งสามคนคิดจะใคร่ให้ออกเรือนไปมีสามีดูก็ยากนัก บัดนี้ท่านมาถึงนี่ก็ดีแล้ว รวมทั้งถูกศิษย์อาจาริย์ก็เปนสี่คน ข้าพเจ้าแม่ลูกรวมสี่คน ใจข้าพเจ้าอยากจะใคร่ขอให้ท่านเปนสามีเห็นจะดีหรือไม่ ใจท่านจะเห็นเปนประการใด ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบในใจท่าน
หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ฟังนางพูดดังนั้นก็มิได้พูดโต้ตอบว่ากระไร ดุจคนใบ้หูหนวกหลับตาระงับจิตร์นั่งนิ่งอยู่
หญิงนั้นเห็นหลวงจีนทำกิริยาอย่างนั้น จึงพูดต่อไปอิกว่าอันมรดกที่มีนั้น คือนาฟางกว่าสามร้อยไร่ นาป่าก็กว่าสามร้อยไร่ เรือกสวนก็กว่าสามร้อยขนัด ผลไม้มีสาระพัดโคกระบือตั้งฝูงใหญ่ หมู่แพะแกะเป็ดไก่นับไม่ถ้วน เครื่องภาชนะใช้สอยแพรผ้าสีต่าง ๆ เข้าปลาตั้งยุ้งฉาง เครื่องเพ็ชร์นิลนิจดาแก้วแหวนเงินทองมีมากหลาย หากว่าจะใช้สอยกินอยู่นุ่งห่มสักสามชั่วคนก็ไม่หมด ส่วนท่านอาจาริย์กับศิษย์สามคน แม้ว่าจะเห็นแก่ข้าพเจ้าแม่ลูกปลงใจอยู่ด้วยข้าพเจ้า ก็จะมีความเจริญสุขสถาวร หากจะดีกว่าที่จะไปไซทีให้ลำบากเปล่า ๆ
หลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งนิ่งไม่โต้ตอบว่ากะไร หญิงนั้นก็พูดต่อไปว่า ข้าพเจ้าปีกุญปีนี้ได้สี่สิบห้าแล้ว บุตรสาวคนใหญ่อายุได้ยี่สิบชื่อว่านางจินๆ บุตรคนที่สองอายุได้สิบเก้าปีชื่ออ๋ายๆ บุตรคนสุดท้องนั้นอายุได้สิบหกปีแล้วชื่อนางหลินๆ บุตรทั้งสามนี้ก็ยังไม่มีสามี ตัวข้าพเจ้านี้หากว่าไม่สวยไม่งาม ก็แต่บุตรทั้งสามนั้นรูปร่างสวยงามผิวพรรณยุดผ่อง การเย็บทอปักชำนาญทำได้ทุกอย่าง เพราะไม่มีบุตร์ชายตั้งแต่ยังเยาว์ สามีข้าพเจ้าให้เรียนหนังสือ จัแต่งเปนกลอนเปนโคลงเปนฉันท์ก็ทำได้ ถึงอยู่ประเทศบ้านนอกอย่างนี้ก็จริง แต่ความรู้วิชาแลการกิริยามาระยาตร์ก็พอคล้ายคลึงแก่ชาวพระนคร ท่านทั้งสี่แม้ว่าสมัครักใคร่กับด้วยข้าพเจ้าแม่ลูกแล้ว ก็จะมีความศุขกายศุขใจอยากนุ่งก็มีนุ่งอยากกินก็มีกินเปนที่ถาวรวัฒนาการที่สุด จะมาคิดเห็นดีอะไรแก่หม้อบาตร์เหล็กนุ่งห่มผ้าย้อมกรักอย่างนั้น จะวิเศษด้วยข้ออะไรมี
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังหญิงหม้ายพูดพรรณนาดังนั้น ศรีหน้าสลดให้ตกใจหวาดเสียวสดุ้ง ดุจทารกได้ยินเสียงฟ้าร้องไห้งม ๆ เซอะ ๆ หวั่นไหวกายสั่นระรั้วนั่งนิ่งสกดใจสำรวมอยู่มิได้พูดจาว่ากระไร
โป๊ยก่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ได้ฟังหญิงหม้ายพูดอวดความมั่งมี รูปศรีสวยๆ งามดังนั้น จิตร์ใจให้คันเหลือจะทนได้ นั่งไม่เปนศุขเหลียวซ้ายแลขวา มือเท้าให้ไหวติงไปทั้งกายอดอยู่ไม่ได้ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาสกิดพระอาจาริย์ว่า นางหญิงหม้ายทำซึ่งความดีมาจะใคร่ผูกสมัคทำไมตรี ทำไมอาจาริย์จึงนิ่งทำเฉยไม่พอใจอย่างนั้นเล่า
หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงหันหน้ามาตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายสัตว์เดรฉานทำสูรู้ไม่รู้จักอะไร อาตมเปนสมณะรักษาเพศบรรพชิต ประพฤติพรตพรหมจรรย์ จะเอาความมั่งมีมาทำให้จิตร์เศร้าหมองควรอยู่หรือ จะเอารูปรศกลิ่นเสียงมามัดผูกเราได้หรือ เขาพูดว่ากระไรก็ช่างเขาเปนไรไยเขามิพูดไปช่างเขาเถิด
ฝ่ายนางหญิงหม้ายได้ยินพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงหัวเราะแลวพูดว่า คิดดูก็น่าสงสารคนที่บวชนั้นจะมีความดีอะไรที่ไหน
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ก็ท่านสีกาโยมอยู่กับบ้านนั้นจะมีความดีอะไรเล่า หญิงหม้ายตอบว่าขอมิมนต์ท่านนั่งฟังไว้ ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ท่านฟังก็ทำไมจึงจะทราบได้ จำจะต้องทำคำโคลงเปนคำหนึ่งที่ท่านกล่าวไร้ว่า (ชุนจ๊ายฮองเสงเตี๊ยดซิมล้อ) แปลว่าฤดูเดือนสามเดือนสี่เดือนห้าสวมแพรโล่ คำที่สองว่า (ที้อ้วยกิมแซเสียงเล็กฮ้อ) แปลว่าฤดูเดือนหกเดือนเจ็ดเดือนแปดใส่แพรบางกินน้ำแช่ใบยาเย็น คำที่สามว่า (ชิวอิ๊วชินโซเฮียงจุดจี๊ว) แปลว่าฤดูเดือนเก้าเดือนสิบเดือนสิบเอ็ด ใส่เสื้อแพรจินเจาดอกกินเล่าเข้าเหนียวหอมโอชารศ คำที่สี่ว่า (ตังไล้น่วนก๊อกจุ๋ยงั่นท้อ) แปลว่าฤดูเดือนสิบสองเดือนอ้ายเดือนยี่ เฃ้านอนในหออุ่นเมาเพลิน คำที่ห้าว่า (สี่ซี้ซิวเอ่งปัน ๆ อิ๊ว) แปลว่าสี่ฤดูประสงค์ของมีพร้อม คำที่หกว่า (โป๊ยเจียดเตียนซูเกี๋ยเกี๋ยโต) แปลว่าแปดน่าของบริโภคมีรศมีทุกสิ่ง คำที่เจิดว่า (ชิมกิมโพหลินฮวยเจ็กแม้) แปลว่าเครื่องใส่แพรสีมีต่าง ๆ กลางคืนมีไฟตามตั้งสีสว่างไสว คำที่แปดว่า (เขี่ยงยู่เห้งเกียดเหลยมิท้อ) แปลว่าดียิ่งกว่าที่คนไปไหว้พระพุทธมิท้อ นางหญิงม่ายอ่านคำโคลงชี้แจงให้หลวงจีนถังซัมจั๋งฟังดังนั้นแล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าท่านสีกาโยมพูดดังนั้นก็ดีแต่อยู่กับบ้าน เปนฆราวาศรับซึ่งความสวยงามบริโภคกามคุณศุขกายศุขตา จะนุ่งห่มก็บริบูรณ์จะกินก็เครื่องคาวหวานโอชารสอิ่มเอิบ บุตรสาวก็พรักพร้อมบริบูรณ์ดังนั้นเอาเปนจริง แต่ท่านหาได้ทราบในความดีของสมณะกิจผู้ระงับบาปไม่ แม้ว่าพูดกันทำไมจะรู้ได้ ต้องเอาโคลงเปนพยานจึงจะรู้กันได้ ดังเราจะนำมากล่าวให้ท่านฟังบ้าง คำที่หนึ่งว่า (ชุดเกียหลิบจี่ปุ่นเพียเซี้ยง) แปลว่าเข้าอุปสมบทบวชนั้นตั้งความเพียรไม่เหมือนอย่างโลกย์ คำที่สองว่า (ซีเก่าช่งเจ๊ยอินอั่ยต๋อง) แปลว่าสละความรักใคร่แลเย่าเรือนเคหา คำที่สามว่า (วั่วม้วยปุ๊ดแชเอ่ยเก้าจี๊) แปลว่าของนอกไม่เอาเปนอารมณ์ตามปากลิ้น คำที่สี่ว่า (ซิมตังจู้อิ๊วเอี๊ยง) แปลว่ากายตัวก็มีความศุขด้วยอากาศ คำที่ห้าว่า (กังฮวนเห้งมั้วเซียวกิมก่วย) แปลว่าสำเร็จความเพียรเข้าที่ระงับ คำที่หกว่า (เม่งซิมกี๊แส่พั่งกู๊เฮียว) แปลว่าจิตรสว่างเห็นสันดานเข้าบ้านเดิม คำที่เจ็ดว่า (เส่งเจ้อต้อแกทัมฮวยซิด) แปลว่าดีกว่าอยู่กับบ้านกินเลือดเนื้อ คำที่แปดว่า (เหลาล้ายจุ๊ยโล๊ะเฉ่าภ่วยลั้น) แปลว่าความชราก็ตกลงในถุงเน่า หลวงจีนถังซัมจั๋งพรรณนาความตามในโคลงนั้น ให้นางหญิงหม้ายฟังดังนั้น หญิงนั้นมีความโกรธยิ่งนักจึงพูดว่า สงฆ์ที่เขาทิ้งพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าท่านมาจากเมืองใต้ถัง จะไล่ออกไปให้พ้นจากที่ ข้าพเจ้ามีจิตรจริงใจเอาเย่าเรือนทรัพย์สมบัติเงินทองมาผูกพันธ์สมัคจะใคร่เปนที่อาไศรยซึ่งกันแลกัน นี่ท่านเอาคำอยาบคายพูดให้ข้าพเจ้าเจ็บใจ แม้ว่าท่านเปนผู้รักษาศีลอุปสมบทตั้งมั่นอยู่ในทางสมณกิจสึกไมใต้ ก็ศิษย์มีเปนสามคน จะอนุญาตให้อยู่สักคนหนึ่งก็เปนไร นี่ท่านมาตั้งมั่นทำเอาแต่ใจของท่านผู้เดียวไม่ผ่อนผัน เอาแต่ธรรมเนียมของท่านฝ่ายเดียว
หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นนางโกรธดังนั้นก็ทำเปนเกรง ๆ กลัว ๆ จึงร้องเรียกว่าเห้งเจียจะให้อยู่ที่นี่จะรับหรือไม่ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยธุระการบ้านเรือน ขอพระอาจาริย์ให้โป๊ยก่ายอยู่เถิด โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นจึงพูดว่าพี่เห้งเจียไม่ควรจะปลูกคนอย่างนั้น สาระพัดการต้องผู้ใหญ่ก่อนจึงถูกต้องตามธรรมเนียม หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ถ้าเห้งเจียโป๊ยก่ายไม่ยอมก็ให้ซัวเจ๋งอยู่เถิด ซัวเจ๋งพูดว่าขอพระอาจาริย์ได้ทราบ ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งของพระโพธิสัตว์กวนอิมชักนำสั่งสอน แลข้าพเจ้าได้รับสมาทานศีลแล้ว แลสั่งให้ข้าพเจ้าติดตามพระอาจาริย์ไป ที่ไหนจะมาหลงรักความมั่งมีนั้นได้ ถ้าโดยที่สุดตายเสียก็จะดีกว่า เพราะฉนั้นข้าพเจ้าขอตั้งจิตรตรงไปได้ถึงประเทศไซที อันการมีจิตรประมาทอย่างนี้ข้าพเจ้ารับอยู่ไม่ได้เปนอันขาด หญิงหม้ายเห็นอาจาริย์กับศิษย์ทั้งสี่คนนั้นไม่มีใครยอมอยู่เปนเขยทุกคน นางมีความโกรธผุดลุกจากเก้าอี้เดินเข้าในชั้นในแล้วปิดประตู ทิ้งศิษย์กับอาจาริย์ไว้ให้อยู่ข้างนอก น้ำร้อนน้ำชาไม่หาให้กินทั้งสิ้นเงียบสงัดไม่มีผู้คนออกมา
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจิตรใจให้เศร้าหมอง คิดแค้นพระอาจาริย์พูดว่า พระอาจาริย์ไม่เข้าการเลย เอาการอะไรมากล่าวให้ล้างความดีของเราเสีย แม้เขาจะพูดจาว่ากระไรก็ตามแต่ใจเขา เราคอยพูดยกยอผ่อนผันพอได้อิ่มสักมื้อหนึ่ง พอรุ่งเช้าเราก็จะลาไป อันการนั้นมันก็สุดแต่เราพูดให้เสียการอย่างนี้พากันอดอยากเปล่า ๆ
ซัวเจ๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพี่โป๊ยก่ายอยู่รับเปนลูกเขยก่อนจะสำเร็จการทั้งสิ้น
โป๊ยก่ายว่าน้องอย่าพูดปลูกคนอย่างนั้นไม่ดีเลย ซึ่งการทั้งปวงต้องให้ผู้ใหญ่คิดผู้ใหญ่พูดจึงจะดี เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า จะต้องคิดอะไรกับใคร เมื่อกี้นี้เจ้าบอกแก่พระอาจาริย์ให้รับเปนสามีเขา ตัวก็ต้องรับเปนลูกเขย จะต้องคิดอะไรอิกเล่า แลบ้านนี้ก็มีทรัพย์สินเงินทองมั่งคั่งบริบูรณ์ ทั้งเครื่องภาชนะใช้สอย แม้จะแต่งงานทำขันหมากก็พอใช้ จะเลี้ยงดูเข้าของก็บริบูรณ์ตามแต่พวกเราจะรับซึ่งความศุขแล้ว ตัวสึกออกไปเปนฆราวาศอยู่นั้น ก็เปนศุขอย่างนี้จะมิดีกว่าพวกเราทั้งสองหรือ
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงตอบว่า อันความที่พี่พูดก็จริงดังนั้น ข้าพเจ้าสละแล้วจะกลับเปนฆราวาศอีกดูกระไรอยู่ สละลูกเมียแล้วแลจะกลับไปหาเมียอีกเล่า
ซัวเจ๋งถามว่าพี่เคยมีภรรยาแล้วหรือ เห้งเจียพูดว่าซัวเจ๋งยังไม่รู้ โป๊ยก่ายนี้เดิมอยู่ที่เมืองโอซือก๊ก ดูเปนลูกเขยของเกาท้ายก๋ง เพราะพี่ปราบปรามจับตัวได้เธอรับศีล เพราะฉนั้นจึงได้สละภรรยาตามพระอาจาริย์มาจะไปไซที เพื่อนมัศการพระพุทธเจ้า เธอจากเมียมานานแล้ว บัดนี้มาพบปะอาหารเช่นที่เคยอย่างนี้ จึงคิดถึงความหลัง จิตร์ใจก็ประหวัดหวั่นไหว เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วจึงเรียกโป๊ยก่ายมาบอกว่า เจ้าจงเปนลูกเขยเขาเถิด แลเจ้าจงรู้จักคุณของเห้งเจียให้มาก ๆ เถิด จงมาคำนับข้าเสียข้าจึงจะไม่ขัดฅอเจ้า
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า เอาความอะไรมากล่าวเลอะเทอะอย่างนี้ แม้ถึงตัวพี่ใจอย่างนั้นก็พอใจเหมือนกัน จะเอาความชั่วมาใส่ให้แต่ข้าพเจ้าคนเดียวอย่างไร คำโบราณท่านเปรียบว่าสมณะนั้นรูปศรีดุจปิศาจ แต่ผู้ใดเล่าจะไม่มีความปราถนา เหตุฉนี้ผู้ใดใคร ๆ ก็พูดเอาแต่ที่ดีเอาตัวรอด อ้างความสำเร็จจนไม่มีน้ำร้อนน้ำชาจะกิน ทั้งเข้าปลาอาหารก็ไม่มีจะกิน ใต้ไฟก็ไม่มีจะจุด จนถึงความอดอยากก็ไม่สู้กระไรนัก มาวิตกด้วยม้าไม่มีหญ้าจะกิน พรุ่งนี้จะต้องรับให้พระอาจาริย์ขี่เดินทาง จะเอากำลังที่ไหนพาเดินทางได้ จะมิต้องถึงลอกหนังม้าดอกกระมัง พูดดังนั้นแล้วจึงพูดว่า พี่น้องจงอยู่ที่นี่ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปปล่อยม้าให้ไปเที่ยวกินหญ้า โป๊ยก่ายก็ลงจากหอไปแก้ม้าจูงเดินไป เห้งเจียจึงบอกแก่ซัวเจ๋งว่า น้องจงอยู่ที่นี่ เปนเพื่อนพระอาจาริย์ พี่จะไปดูโป๊ยก่ายจะไปข้างไหน เห้งเจียก็ออกจากหอแปลงเปนแมลงวันบินแอบตัวโป๊ยก่ายไปมิได้รู้สึก
ฝ่ายโป๊ยก่ายจูงม้ามาถึงที่มีหญ้า ก็ไม่ปล่อยม้าให้กินหญ้า จูงม้าเลยไปทางประตูหลังบ้านของหญิงนั้น โดยความตั้งใจจะใคร่พบแก่แม่หญิงหม้าย
ฝ่ายแม่หญิงหม้ายเวลานั้น กำลังพาบุตร์สาวทั้งสามคนไปชมดอกไม้อยู่หลังบ้าน พอแลเห็นโป๊ยก่ายมา บุตรสาวทั้งสามคนก็เดินหลบเข้าไปในประตู แม่หญิงยืนอยู่ที่ประตูจึงถามว่าท่านจะไปไหน โป๊ยก่ายตะลีตาลานปล่อยม้าเดินมาพะนมมือแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพาม้ามาจะให้กินหญ้าขอท่านแม่ได้ทราบ
แม่หญิงหม้ายพูดแกโป๊ยก่ายว่า ท่านหลวงจีนถังซัมจั๋งมัทยัดละเอียดนัก อยู่ที่นี่เปนบุตร์เขยของข้าพเจ้า จะไม่ดีกว่าที่ไปประเทศไซทีหรือ ไม่ต้องหอบหิ้วให้ลำบากกายลำบากใจ
โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อันที่พระอาจาริย์นั้น เพราะรับ ๆ สั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เธอหาอาจอยู่ได้ไม่ เมื่อกี้นี้ก็จะให้ข้าพเจ้าอยู่ด้วยท่านแม่คิดกันแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังเกรงอยู่กลัวท่านแม่จะติว่าข้าพเจ้าปากยาวหูยาว เพราะฉนั้นจึงยังเห็นว่าขัดข้องอยู่
แม่หญิงหม้ายได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ติเตียนอะไรดอก เพราะจะใคร่ได้บุตร์เขยไว้ในบ้านสักคนหนึ่ง แต่วิตกว่าบุตรสาวจะมีความเลือกอย่างไรก็ยังทราบไม่ได้ ข้าพเจ้าจะไปลองบอกดูก่อน
โป๊ยก่ายพูดว่า ขอท่านแม่โปรดบอกแก่แม่น้องด้วยเถิดว่า อย่าเลือกรูปร่างเลย แม้ว่าตัวข้าพเจ้าอยาบคายก็จริงอยู่ แต่มีวิชาหลายประการนัก จะจัดการบ้านเรือนนั้นเปนได้หลายอย่าง
แม่หญิงหม้ายจึงถามโป๊ยก่ายว่า เจ้ามีวิชาการอย่างไรบอกให้ข้าพเจ้ารู้บ้าง โป๊ยก่ายพูดว่า ถึงตัวข้าพเจ้ารูปร่างหยาบคายก็จริง แต่ธุระกิจการในบ้านนั้นหมั่นอุสาหะ แม้ไร่นาก็ไม่ต้องใช้วัวควายไถคราด คราดเหล็กของข้าพเจ้ามีอันเดียวก็กระทำให้สำเร็จได้ทั้งสิ้น คราวไม่มีฝนจะทำให้ฝนตกก็ได้ หากไม่มีลมจะทำให้ลมพัดก็ได้ ถ้าตึกบ้านห้องหอต่ำแคบจะทำให้ใหญ่โตสูงกว้างก็ได้ สาระพัดการก็สำเร็จได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แม่หญิงจึงพูดว่า ถ้ามีความเพียรแลมีวิชาความรู้อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ต้องกลับไปตรึกตรองปฤกษาหาฤๅกับท่านอาจาริย์เสียก่อน ถ้าตกลงเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับท่านเปนบุตรเขย
โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ไม่ต้องตรึกตรองอะไร แม้พระอาจาริย์เล่าก็มิใช่บิดามารดาบังเกิดเกล้า ซึ่งธุระนั้นสุดแต่ใจข้าพเจ้าทั้งสิ้นไม่ต้องไปปฤกษาพาฤๅแก่ผู้ใดอีกต่อไปแล้ว สุดแล้วแต่ใจข้าพเจ้าผู้เดียว
แม่หญิงได้ฟังโป๊ยก่ายดังนั้น จึงพูดว่าถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าจะบอกให้บุตรเขารู้ตัวเสียก่อน แล้วจึงจะค่อยจัดแจงแต่งงาน พูดดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปข้างในงับประตูหลังบ้าน โป๊ยก่ายก็ไม่พาม้าไปให้กินหญ้า กลับจูงมาข้างหน้าหอ โป๊ยก่ายหาได้รู้สึกว่าเห้งเจียตามไปฟังความรู้หมดสิ้นทุกประการแล้วไม่
เห้งเจียเมื่อตามไปฟังทราบความตลอดแล้ว ก็กลับมาแจ้งความแก่หลวงจีนถังซัมจั๋งว่า โป๊ยก่ายจูงม้ากลับมาแล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามโป๊ยก่ายว่า เอาม้าไปปล่อยให้กินหญ้าแล้วหรือ
โป๊ยก่ายตอบว่า ไม่มีหญ้างามที่จะให้ม้ากิน เห้งเจียจึงพูดขึ้น ไม่มีที่จะให้ม้ากิน แต่มีที่จูงม้าไปเที่ยวได้
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดกระทบดังนั้นก็คิดว่าการลับของเราคงมีผู้รู้แล้ว ให้คิดระอายแก่ใจยิ่งนักนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ สักครู่หนึ่งก็ได้ยินประตูข้างเปิด แลไปก็เห็นนางหญิงหม้ายพาบุตรสาวเดินออกมามีคนถือโคมนำหน้าออกมา หอมกลิ่นระรื่น ครั้นเดินมาถึงที่น่าหอนั่ง แม่หญิงหม้ายจึงบอกบุตรสาวทั้งสามว่า ให้ไหว้คำนับหลวงจีนถังซัมจั๋งแลเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง บุตรสาวทั้งสามคนได้ยินมารดาบอกดังนั้นก็ยืนรายกันทั้งสามคนคำนับไหว้ พิจารณาลักษณรูปร่างนางทั้งสามคนนั้น ดุจดังว่านางฟ้าลงมาดิน ยากที่จะหานางใดในมนุษย์โลกย์นี้มาเปรียบเทียบได้
ฝ่ายอาจาริย์สานุศิษย์ทั้งสามสี่คนนั้น ก็ทำเปนไม่รู้ไม่เห็นเมินหน้าไปเสียทางอื่น มิได้รับรองโต้ตอบประการใด แต่โป๊ยก่ายเมื่อแลเห็นนางทั้งสามคน มีศิริรูปโสภาผ่องไสงดงามดังนั้น ในดวงจิตรก็ประวัติ มีความกำหนัดในรูปเกิดขึ้น จิตรใจก็ให้งวยงงร่างกายก็กำเริบหวั่นไหว จึงเอื้อนโอฐออกสุนทรวาจาเสียงเบา ๆ ว่า ลำบากแก่ท่านมารดาต้องพานางฟ้าลงมาดิน ขอเชิญให้แม่น้องผู้รูปงามทั้งสามกลับเข้าไปเถิด
นางทั้งสามเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นแล้ว ก็คำนับกลับเข้าไปข้างใน เอาโคมเต็งลั้งไว้คู่หนึ่ง
ฝ่ายแม่หญิงหม้ายจึงถามว่า ท่านผู้ใดจะพอใจเปนบุตรเขยข้าพเจ้า ขอเชิญเถิด
ซัวเจ๋งได้ยินนางถามดังนั้นจึงตอบว่า ได้จัดเรียบข้อยแล้วคือแซ่ตือชื่อโป๊ยก่ายนั้นแลจะให้เปนบุตรเขย
โป๊ยก่ายได้ยินซัวเจ๋งพูดดังนั้นจึงพูดว่า พี่น้องอย่าเหมาให้เราดังนั้นจะต้องคิดไตร่ตรองกันก่อนจึงจะชอบ
• • • • • • • • •
จบเล่ม ๑ ไซอิ๋ว
เล่ม ๒ ยังพิมพ์ต่อไป
น่าต้น ไซอิ๋ว เล่ม ๒
เห้งเจียพูดว่ายังจะไตร่ตรองอะไรต่อไปอิกเล่า ข้างหลังบ้านได้นัดแนะพูดจากันไว้แล้วก็เปนที่ตกลงกันแน่นอนแล้วนะซิ อาจาริย์เปนเจ้าสาวข้าพเจ้าเปนเจ้าบ่าวให้ซัวเจ๋งเปนเถ้าแก่ ไม่ต้องหาฤกษ์วันคืนอะไรแล้ว วันนี้ก็เปนวันธงไชยได้ฤกษดีแล้ว ควรจะแต่งงานวิวาหะมงคลอยู่กินด้วยแล้ว โป๊ยก่ายไปไหว้อาจาริย์แล้วจะได้ส่งตัวเข้าไป โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดวา อย่าทำเล่น ๆ ดังนั้นไม่สำเร็จเอาที่ไหนมา ยังไม่ทันไรก็จะเอาลงเปนแน่นอนอย่างนี้ไม่ได้
เห้งเจียจึงพูดว่าทำไมจะไม่สำเร็จเล่า เจ้ากับแม่หญิงได้ยินยอมตกลงกันแล้ว ทำไมจึงว่าไม่สำเร็จ เจ้าจงรีบเร็ว ๆ ไปด้วยนาง เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว ก็เข้ามาจับมือโป๊ยก่ายจูงมาให้นางแม่หญิงหม้ายแล้วพูดว่า คนนี้คือบุตร์เขยท่าน ๆ จงพาไปจัดแจงแต่งเถิด
ฝ่ายนางแม่หญิงหม้าย เห็นเห้งเจียมอบตัวโป๊ยก่ายมาให้แล้ว นางก็รับพาโป๊ยก่ายไป
ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อเห้งเจียมอบตัวให้ตามนางแม่หญิงหม้ายไปเวลานั้น ร่างกายให้ไหวติงไปทั้งตัวมีความยินดียิ่งนัก ก็เดินตามนางเข้าไปข้างใน นางหญิงหม้ายจึงเรียกเด็กคนใช้ให้เอาเครื่องแจน้ำร้อนน้ำชาไปเลี้ยงเห้งเจียกับซัวเจ๋งข้างนอก แล้วเรียกพวกทำเครื่องโต๊ะให้กระเกรียมจัดแจงทำเครื่องโต๊ะในการวิวาหะมงคลในเวลาพรุ่งนี้ ครั้นนางสั่งการเสร็จแล้วก็พาโป๊ยก่ายเดินไป
ฝ่ายพระอาจาริย์กับศิษย์ทั้งสามนั่งอยู่ข้างนอก ครั้นเสร็จธุระแล้วก็พากันหลับนอนตามสบาย
เมื่อโป๊ยก่ายเดินตามแม่หญิงเข้าไปนั้น เห็นหอห้องเปนชั้นเรียบร้อยเรียงรายมากมาย จึงถามว่าท่านมารดา ในชั้นนี้เห็นเปนห้องหอแลมีประตูเปนชั้น ๆ นั้นจะเปนห้องสำหรับใส่อะไรไว้หรือ
นางบอกว่านี่ไว้สำหรับใส่ของกินแลเครื่องใช้ต่าง ๆ โป๊ยก่ายจึงชมว่า บ้านผู้ดีแท้ ๆ เดินไปอีกก็เลี้ยวมุมตึก ข้างนั้นมีทางเดินไป จึงมาถึงตึกใหญ่ แม่หญิงหม้ายพาโป๊ยก่ายเดินตรงขึ้นบนเต๊งสูง ครั้นถึงนางจึงบอกโป๊ยก่ายว่า เมื่อกี้นี้เห้งเจียพี่ของเจ้าบอกว่าวันนี้เปนวันธงไชย ก็เปนการด่วนจัดแจงไม่ทัน เจ้าจงไหว้พอเปนกิริยาแล้วจึงได้เข้าร่วมห้อง
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นนึกดีใจก็ทำตาม จึงจุดธูปเทียนมาปักโต๊ะเทวดาแลปู่ย่าตายาย แล้วคำนับไหว้ตามธรรมเนียม ครั้นเสร็จแล้วจึงมาไหว้แม่ยาย แล้วโป๊ยก่ายจึงถามว่า ท่านมารดาจะให้บุตร์คนไหนเปนภรรยาข้าพเจ้าเล่า
นางจึงตอบว่า แม่นี้ยังมีความสงไสยอยู่ ด้วยคนทั้งสามนี้จะมีความเสียใจบ้างดอกกระมัง จะยกคนใหญ่ให้คนกลางคนเล็กจะเสียใจ จะยกคนกลางให้คนใหญ่คนเล็กจะเสียใจ จะยกคนเล็กให้คนใหญ่คนกลางจะเสียใจ เพราะฉนั้นจึงเปนความลำบากอยู่ยังไม่แน่ลงไปได้
โป๊ยก่ายว่า ถ้ากระนั้นท่านมารดาโปรดยกให้เสียทั้งสามคนก็แล้วกัน ไม่ต้องวุ่นวายอะไรเลย นางจึงพูดว่าทำอย่างนั้นจะมิเสียธรรมเนียมไปหรือ บุตร์เขยคนหนึ่งจะเอาบุตร์สาวสามคนนั้นไม่ได้ โป๊ยก่ายว่าท่านพูดดังนั้น ก็ที่ท่านเปนขุนนางหรือผู้มีทรัพย์ บ้านเรือนใหญ่โต เขามีเมียมาก ๆ ก็มีอยู่ถมไปจะผิดชอบอะไรไป ตัวข้าพเจ้าตั้งแต่ยังเล็กเคยไปเรียนวิชาแปลงกายได้ ถึงจะมีภรรยาหลายคนก็จะผ่อนผันให้พอใจได้ทุก ๆ คน นางจึงพูดว่าทำอย่างนั้นก็ไม่ดี แม่มีผ้าแพรขาวผืนหนึ่ง เจ้าเอาปิดตาปิดหูเสียแล้ว เสี่ยงทายใหหญิงทั้งสามนั้นมายืนตรงหน้าเจ้าถ้าเจ้าจับถูกคนใดแม่จะยกคนนั้นให้เปนภรรยา
โป๊ยก่ายได้ฟังแม่ยายพูดดังนั้นก็นึกดีใจ จึงรับเอาผ้าแพรขาวมาแล้ว ก็ครุมหัวปิดตาปิดหูเสร็จแล้วก็ร้องบอกว่า ขอท่านมารดาได้บอกแม่น้องให้มายืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเถิด นางจึงร้องบอกบุตร์สาวทั้งสามว่าเจ้าจงออกมาให้เขาเสี่ยงทายเถิด เมื่อเปนบุญของใครแม่จะได้ยกให้มีผัว นางทั้งสามได้ฟังมารดาสั่งดังนั้น ต่างก็พร้อมกันออกมายืนอยู่ โป๊ยก่ายได้กลิ่นหอมมาเข้านาสิกก็รู้ว่านางทั้งสามออกมายืนอยู่แล้ว จึงเดินตรงเข้าไปใกล้คว้าซ้ายคว้าขวาไล่จับก็มิได้ถูกต้องนางคนใด จนหน้าตาโดนประตูแลน่าต่างฝาผนัง ตาหูปากคางฟกบวม จับใครก็ไม่ได้แต่สักคนเดียว จนไปโดนบานประตูหกล้มลงนั่งอยู่กับพื้น แล้วร้องบอกว่าบุตร์สาวของท่านมารดาวิ่งเร็วนักจับไม่ได้จะทำอย่างไรดี
นางแม่ยายเห็นดังนั้น จึงมาแก้ผ้าที่ผูกตาออกเสียแล้ว พูดว่าไม่ใช่นางน้องทั้งสามนั้นวิ่งเร็ว เพราะเขาเปนผู้ดีจึงหลบหลีกไม่กล้าให้เจ้าจับตัวได้ เขาจะไม่ยอมเปนภรรยาเจ้า โป๊ยก่ายจึงว่า ถ้านางทั้งสามเขาไม่ยอมเปนภรรยาข้าพเจ้าแล้ว ท่านแม่ยอมก็ใช้ได้เหมือนกัน ท่านแม่ยายจึงพูดว่า ลูกเขยอะไรอย่างนี้จึงจะคิดเล่นแม่ยายเล่า เห็นไม่สมควรจะคิดเลย นางจึงพูดว่าบุตร์สาวทั้งสามคนนี้มีฝีมือได้ปักเสื้อประดับด้วยพลอยต่าง ๆ สี งามที่สุดมีอยู่คนละตัว แม้ว่าเจ้าใส่ได้สมตัวเสื้อตัวใดแล้ว จะยกคนนั้นให้แก่เจ้า
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า ถ้ากระนั้นขอท่านแม่เอาเสื้อออกมาข้าพเจ้าจะลองใส่ดู แม่ยายจึงเดินเข้าไปข้างในหยิบเสื้อออกมาตัวหนึ่ง ส่งให้โป๊ยก่าย ๆ ก็รับเอาเสื้อมาแล้วก็เปลื้องเสื้อเดิมออกเสีย เอาเสื้อใหม่สวมตัวเข้าลองใส่ดู พอยกเสื้อสอดมือทั้งสองเข้าไปไนแขนเสื้อ ๆ กลายเปนเชือกมัดผูกไว้ทั้งมือแลท้าว โป๊ยก่ายก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น มีความเจ็บปวดเปนอันมาก หญิงก็อันตระทานสูญหายไป
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย ซัวเจ๋งนอนอยู่ที่น่าหอนั่ง พอรุ่งสว่างตื่นขึ้นเหลียวซ้ายแลขวา ก็มิได้เห็นบ้านเรือนแลห้องหอ นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงเรียกเห้งเจียกับซัวเจ๋งให้ตื่นขึ้น ซัวเจ๋งจึงถามเห้งเจียว่า พวกเราเห็นจะถูกปิศาจอะสุรกายหลอกลวงดอกกระมัง จึงได้เปนปลาดอัศจรรย์ดังนี้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เข้าใจแน่ จึงหัวเราะแล้วพูดว่า ซึ่งบังเกิดมีป่าไม้อยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่าอ้ายสัตว์กินรำมันจะไปต้องโทษอยู่ที่ไหน
หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า โป๊ยก่ายจะต้องโทษด้วยเหตุอะไร เห้งเจียจึงพูดว่า เมื่อวานนี้มีห้องหอตึกบ้านแลมีหญิงหม้ายหญิงสาวนั้น ไม่ทราบว่าจะเปนพระโพธิสัตว์พระองค์ใด มาบันดานแปลงกายพอครึ่งคืนก็อันตระทานไปเสีย ถ้ากระนั้นก็เห็นว่าโป๊ยก่ายคงจะต้องทรมารอยู่เปนแน่แล้ว
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ยกมือนมัศการเนืองไป บัดเดี๋ยวแลไปข้างริมต้นไม้สน เห็นกระดาดตกลงมายังพื้นดิน ซัวเจ๋งก็วิ่งไปเก็บมาอ่านดู ในกระดาดนั้นมีคำโคลงเขียนด้วยอักษรจีนอยู่แปดบท เปนคำอรรถว่า (ลี่ซัวเล่าโป๊ปุ๊ดซือฮ้อม) แปลว่าเจ้าแม่เล่าโป๊ไม่ใช่รักทางโลกย์ คำที่สองว่า น่ำไฮ้กวนอิมลงมาจากเขา แปลว่าพระโพธิสัตว์เสด็จมาจากเขาน่ำไฮ้ คำที่สามว่า บุญซู้เทาเฮี้ยนกายสี้แปะ แปลว่าพระโพธิสัตว์ทั้งสองแปลงกายมา คำที่สี่ว่า ห่วยเซ้งมุ้ยนิ้งต้อลีมตัง แปลว่าพระโพธิสัตว์ทั้งสามแปลงเปนนางรูปสวย คำที่ห้าว่า เซ้งเจงพ้ามเป๊าะเสี้ยนกีเตี้ย แปลว่าจะมาลองใจหลวงจีนถังซัมจั๋งว่าจะมั่นคงเพียงไร คำที่หกว่า โป๊ยก่ายทามเอิ้มเหลียกแส่ง้วน แปลว่า โป๊ยก่ายนั้นจิตร์มากด้วยความกำหนัด คำที่เจ็ดว่า ส่งจี๊เซ้ยซิมซูเก๊ยก่วย แปลว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปภายหลังให้ขมาโทษอย่าได้คิดต่อไป คำที่แปดว่า หยอดแซต๊ายมั่นโล่โต้ลั้น แปลว่า แม้มีความเกียจคร้านไปข้างน่าจะมีความลำบากมาก
เมื่อเวลาลูกศิษย์กับอาจาริย์กำลังดูคำโคลงอยู่นั้น ได้ยินเสียงร้องเรียกว่า พระอาจาริย์ช่วยข้าพเจ้าด้วยสักครั้งหนึ่งเถิด ต่อไปข้าพเจ้าไม่กล้ากระทำอิกแล้ว
พระอาจาริย์ถังซัมจั๋งจึงถามว่า เสียงที่ร้องเรียกนั้นเสียงโป๊ยก่ายมิใช่หรือ ซัวเจ๋งบอกว่าใช่ เห้งเจียบอกแก่ซัวเจ๋งว่า ช่างเขาอย่าเปนธุระถึงเขาเลยพวกเราจัดแจงไปเถิด หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า แม้โป๊ยก่ายมีความโฉดเขลาดังนั้นก็จริงอยู่ แต่ต้องเห็นแก่พระโพธิสัตว์ ต้องช่วยแก้สักครั้งหนึ่งก่อน