- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๘๐
พระถังซัมจั๋งกับศิษย์เดินไปหลายเวลา ในฤดูนั้นเปนเดือนหกเดือนเจ็ดพิเคราะห์ดูตามแนวป่าชัด เห็นต้นไม้ออกดอกฉ้อหอมระรื่นตลอดทาง แลไปข้างน่าเห็นภูเขาสูง พระถังซัมจั๋งรั้งม้าให้ค่อย ๆ เดินได้ยินเสียงนกร้องอยู่บนเขา พระถังซัมจั๋งมีจิตร์หวนระลึกถึงบ้านเมืองเดิม เห้งเจียพูดว่าอาจาริย์อย่าวิตก จงอุสาหะตั้งใจตรงไปกว่าจะถึง คำโบราณท่านย่อมว่า จะใคร่ให้มั่งมีก็ต้องอุสาหะลงพืชเภาะ พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าดังนั้นก็จริง แต่ไม่รู้ว่าไซทีนั้นยังไกลอีกสักเท่าใด โป๊ยก่ายพูดว่าพระยูไลย์ไม่ปลงใจให้พระไตรยปิฎก รู้ว่าพวกเราจะมาอาราธนา ข้าพเจ้าคิดดูเห็นจะเลิกเสียแล้ว ทำไมจึงเดินไม่ถึงดังนี้ ซัวเจ๋งว่าพี่ทำไมจึงพูดเลอะเทอะดังนี้เล่า จงอุสาหะตั้งใจตามพี่เห้งเจียไปก็คงมีวันถึงอยู่เอง อาจาริย์กับศิษย์เดินพลางพูดกันพลาง แลไปก็เห็นดงไม้สนเปนป่าใหญ่ขวางน่า เห้งเจียก็ถือตะบองเดินนำน่าเข้าป่าไม้สน เดินมาได้ครึ่งวันก็ไม่ออกจากดงต้นสน พระถังซัมจั๋งจึงเรียกเห้งเจียมาถามว่า เราเดินมาก็ข้ามพ้นห้วยเขากันดานมาหมดแล้ว ทำไมยังมีป่าใหญ่ขวางน่าอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่มาข้ามห้วยธารภูเขาก็ยังไม่พบที่ร่มรื่นเย็นอย่างนี้เลย ทั้งต้นไม้แลดอกไม้ก็ปลาดมาก อาตมภาพจะลงหยุดพักสักครู่หนึ่งให้ม้าหายเหนื่อยด้วย เห้งเจียจงไปบิณฑบาตเข้ามาฉันแล้วจึงค่อยไป เห้งเจียก็มาอุ้มอาจาริย์ลงจากม้าลงนั่งพักใต้ต้นสนแล้ว เห้งเจียก็ถือบาตรเหาะขึ้นกลางอากาศแลไปดูรอบทั้งแปดทิศแล้ว แลกลับลงมาที่ดงต้นไม้สน เห็นมีรัศมีออกฟุ้งเฟื่อง เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็ร้องขึ้นว่าดีจริง ๆ ในขณะนั้นเห้งเจียแลไปเห็นไอดำฟุ้งฟูขึ้นในดงไม้สน เห้งเจียตกใจคิดเห็นวาไอดำนี้เปนของร้าย แต่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ไม่เคยเห็นปล่อยไอดำออกดังนี้ เห้งเจียพิเคราะห์ดูก็ไม่รู้แน่ได้
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ใต้ร่มสน ภาวะนาคาถาซิมเกงจิตร์ก็ระงับเปนปรกติ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่าคนร้องเรียกให้ช่วย คิดว่าเห็นจะเปนสัตว์ร้ายไล่กัดดอกระมัง จำเราจะไปดูจะเปนอะไรแน่ จึงลุกขึ้นจากที่เดินเข้าไปใกล้ แลเห็นมีหญิงคนหนึ่งแขวนอยู่บนต้นไม้ พระถังซัมจั๋งถามว่า ท่านสีกามีเหตุอย่างไรจึงมาต้องมัดแขวนอยู่อย่างนี้
ฝ่ายปิศาจเห็นพระถังซัมจั๋งมาถาม ก็แกล้งทำคร่ำครวญร้องไห้ด้วยมารยาแล้วพูดว่าท่านอาจาริย์ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองตุ้มปอก๊ก จากนี้ไปประมาณสองโยชน์บิดามารดาข้าพเจ้าใจบุญ เวลาวันเชงเหมงพาพวกพ้องวงษ์ญาติไปเส้นไหว้ที่ฮองซุ้ยฝังศพปู่ย่าตายายนั้น ครั้นพากันมาถึงที่ป่าช้าฝังศพแล้ว ก็ได้ยินเสียงกลองแลม้าฬ่อแลคนโห่ร้องกึกก้องโกลาหฬ แลไปก็เห็นพวกหนึ่งหลายคน ต่างคนมีมือถืออาวุธทุก ๆ คนเดินเข้ามา พวกญาติของข้าพเจ้าแลเห็นก็กลัวพากันวิ่งหนีไปหมดสิ้น ข้าพเจ้าตกใจกลัวล้มกลิ้งอยู่กับดิน พวกโจรจึงจับเอาไปในป่าเขาที่พักของมัน อ้ายนายโจรที่หนึ่งที่สองที่สามเห็นรูปร่างข้าพเจ้าสะสวย ต่างก็ชิงกันอยากได้ไว้เปนภรรยาไม่ตกลงกัน มันจึงได้เอาตัวข้าพเจ้าผูกไว้ที่นี่ พวกโจรก็พากันไปหมดแต่ข้าพเจ้าถูกมัดแขวนมาอย่างนี้ได้ห้าวันแล้ว เห็นชีวิตร์ข้าพเจ้าจะไม่รอดเปนแน่แล้ว ชะรอยชาติปางก่อนข้าพเจ้าจะได้ทำกุศลสิ่งใดไว้จึงได้มาปะท่านอาจาริย์ในวันนี้ ขอท่านได้เมตตาช่วยชีวิตร์ข้าพเจ้าไว้สักครั้งหนึ่งเถิด แม้ข้าพเจ้าได้รอดแล้ว พระเดชพระคุณของท่านข้าพเจ้าจักมิได้ลืมเลย พูดแล้วก็ทำมารยาน้ำตาไหลลงอาบหน้าสอึกสอื้นร้องไห้ไม่หยุด พระถังซัมจั๋งเปนผู้มีเมตตาจิตร์ เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้พลอยร้องไห้ไปด้วย จึงร้องเรียกซัวเจ๋งกับโป๊ยก่าย
ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเวลานั้นไปเที่ยวเก็บผลไม้ดอกไม้ ครั้นได้ยินเสียงอาจาริย์ร้องไห้แลเรียกตกใจก็พากันวิ่งมาหาอาจาริย์ ถามว่าพระอาจาริย์มีธุระสิ่งใดหรือ พระถังซัมจั๋งเอามือชี้บนต้นไม้บอกให้โป๊ยก่ายขึ้นไปแก้ลงมา
ฝ่ายเห้งเจียอยู่บนกลางอากาศพิเคราะห์ดูก็เห็นไอดำนั้น ยิ่งฟุ้งมากขึ้นกลบบังร้ศมีนั้นมืดไป จึงคิดว่าเห็นจะไม่ดีแล้ว ที่ไอดำเปนกลุ่มดังนี้ จะเปนปิศาจร้ายเข้าทำร้ายแก่อาจาริย์เปนแน่อันจะไปบิณฑบาตเปนการเล็กน้อย จำจะต้องลงไปดูอาจาริย์เสียก่อนเห็นจะดีกว่า คิดดังนั้นแล้วก็หวนกลับลงมายังพื้น แลเห็นโป๊ยก่ายกำลังแก้มัดให้นางหญิงสาวนั้นอยู่ เห้งเจียจึงเข้าไปยึดใบหูโป๊ยก่ายกระชากลงมายังพื้น โป๊ยก่ายกระโดดลุกขึ้นพูดว่า อาจาริย์บอกให้เราช่วยชีวิตร์คน ทำไมจึงมากระชากเราให้ล้มดังนี้ เห้งเจียว่าน้องอย่าแก้มัน นั่นคือปิศาจมันแกล้งมาหลอกลวงพวกเรา พระถังซัมจั๋งตวาดว่าอ้ายลิงพูดอะไรอย่างนั้น เขาเปนผู้หญิงกลับเห็นว่าเปนปิศาจมารร้ายอะไรที่ไหน เห้งเจียพูดว่าพระอาจาริย์ไม่ใช่เหตุ การทั้งนี้เกี่ยวอยู่ในตัวข้าพเจ้า มันประสงค์จะกินอาจาริย์ที่ไหนจะรู้ได้เล่า โป๊ยก่ายก็เคืองบอกแก่อาจาริย์ว่า ท่านอย่าเชื่ออ้ายเป๊กเบ๊อุน พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่โป๊ยก่ายว่า น่าที่ของเห้งเจีย ๆ เคยดูถูกทุก ๆ หนไม่ผิด ถ้าเห็นเปนปิศาจแน่แล้วเราอย่าไปเกี่ยวข้องแก่มัน จงรีบพากันไปเถิดอย่าไปเปนธุระแก่มันเลย เห้งเจียก็ดีใจพูดว่าดีแล้วพระอาจาริย์ได้รอดชีวิตร์ไม่เปนไร นิมนต์ขึ้นหลังม้ารีบไปจะได้ออกให้พ้นดงต้นสน ดูที่แห่งใดมีบ้านเรือนผู้คนจึงเข้าไปบิณฑบาตมาให้อาจาริย์ฉัน อาจาริย์กับศิษย์ก็พากันเดินออกไป
ฝ่ายหญิงสาวที่แขวนอยู่กับกิ่งไม้นั้น ขยับเขี้ยวเคี้ยวฟันมีความโกรธเปนอันมาก จึงคิดว่าเราได้ยินมาหลายปีแล้วว่าซึงหงอคงคนนี้มีฤทธาอานุภาพมากนัก ก็สมจริงดังเขาชมแลเล่าลือจริง เราอยากได้มาประสมภากให้สำเร็จเปนเซียน ไม่รู้เลยว่าเห้งเจียจะรู้เท่ากระทำให้ความคิดของเราไปไม่ตลอด พระถังซัมจั๋งหนีพ้นไปได้เราจะมิต้องลำบากหรืออย่าเลยเราจะลองเรียกดู คิดแล้วปิศาจก็เอาเสียงเปนสายลมพัดมาเข้าหูพระถังซัมจั๋งว่า ท่านอาจาริย์ท่านมาทิ้งคนเปนให้ถึงแก่ชีวิตร์ดังนี้ จะไม่เสียเวลาป่วยการที่จะไปนมัศการพระพุทธเจ้าหรือ แลจะอาราธนาพระไตรย์ปิฎกไปทำไม พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าได้ยินดังนั้น ก็เรียกเห้งเจียให้กลับไปแก้มัดหญิงนั้น เห้งเจียถามว่าทำไมจึงมีจิตร์คิดถึงผู้หญิงดังนี้เล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าหญิงนั้นร้องให้ช่วย แลเธอพูดถูกต้องว่าทิ้งคนเปนให้ตายไม่ช่วย จะไปไหว้พระอาราธนาธรรมมาทำไม ช่วยชีวิตร์มนุษยได้รอดตายคนหนึ่ง ก็กุศลยิ่งกว่าเอาแก้วมะนีสร้างพระเจดีย์เจ็ดชั้น เห้งเจียจงไปช่วยแก้มัดเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระอาจาริย์คิดถึงเมตตาจิตร์ขึ้นมา เราก็ไม่มีอะไรจะแก้ท่าน ท่านอยากจะไปแก้มันก็ตามใจเถิด ข้าพเจ้าไม่อาจห้าม ได้ห้ามท่านครั้งหนึ่งแล้วท่านก็ดุเอาข้าพเจ้า ท่านจะไปแก้ก็นิมนต์ไปเองเถิด พระถังซัมจั๋งโกรธด่าว่าอ้ายลิงพูดมากนักเจ้าไม่ไปก็จงนั่งคอยอยู่ที่นี่ เรากับโป๊ยก่ายไปแก้ลงแล้วจึงค่อยไป พระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายก็กลับเข้าดงไปแก้นางปิศาจลงมาแล้ว นางก็มีความดีใจผุดลุกขึ้นทำกิริยากะชดกะช้อยเดินตามพระถังซัมจั๋งออกมาพ้นดงพบกับเห้งเจีย ๆ แลเห็นดังนั้นก็หัวเราะ พระถังซัมจั๋งขัดใจจึงด่าว่าอ้ายลิงเองหัวเราะเยาะเราทำไม เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้ามิได้หัวเราะเยาะพระอาจาริย์ หัวเราะว่าพระอาจาริย์สิ้นเคราะห์มาพบเนื้อคู่ที่รูปงามดังนั้นดอก พระถังซัมจั๋งตวาดว่าอ้ายลิงพูดเลอะเทอะ อาตมภาพมิได้หลงไหลเห็นแก่รูปเสียงกลิ่นรศความสำผัดถูกต้อง เห้งเจียว่าพระอาจาริย์ยังไม่เข้าใจท่านเคยบวชมาแต่เล็ก เคยดูแต่พระคำภีร์พุทธศาสนา มิได้เข้าใจในกฎหมายของบ้านเมืองไม่ เหมือนคนนี้มีลักษณ์งามดังนี้ ส่วนท่านเปนชีบาณาสงฆ์ มาเดินร่วมทางแก่สัตรีในป่าดังนี้ ถ้าพบปะคนที่เปนพาลมันจะจับไปยังโรงศาลเขาไม่เกรงว่าเปนคนไปอาราธนาพระธรรม หรือไปไหว้พระอะไรเขาจะลงโทษว่าเปนชู้กัน ก็จะเฆี่ยนตีเอา แม้ว่าเราไม่ได้มีจิตร์คิดกระทำเช่นนั้นก็จริง แต่จะได้ใครมาเปนพยานในข้อความที่บริสุทธิ์ของเรา จะไม่พลอยพาพวกพ้องป่นปี้ไปด้วยหรือ พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่าหาเปนเช่นนั้นไม่ เราช่วยเขาให้พ้นทุกข์ได้รอดชีวิตร์ แลกลับมามีโทษแก่เรานั้นจะไม่เปนไปได้ จงพาเธอไปเถิดธุระการอยู่แก่เราเอง เห้งเจียพูดว่าอาจาริย์เปนธุระช่วยเธอก็จริง แต่กลับไปให้ร้ายเธอเสียอีกพระอาจาริย์ก็ยังหารู้สึกไม่ พระถังซัมจั๋งถามว่า ทำไมจึงว่ากลับให้ร้ายเธออย่างไร อาตมยังไม่เข้าใจ เห้งเจียว่านางถูกมัดแขวนอยู่นั้น บางทีห้าวันเจ็ดวันก็จะตาย บัดนี้ท่านอาจาริย์พานางมาดังนี้ อาจาริย์ก็ขี่ม้าเดินเร็วพวกข้าพเจ้าตามหลังไป ก็หญิงคนนี้มีเท้าอันเล็กเดินตามคงไม่ทัน ทิ้งให้เธอล้าหลังอยู่ บางทีจะไปพบสัตว์ร้าย ก็จะขบกัดกินเปนอาหาร ดังนี้จะไม่เรียกว่าให้ร้ายแก่เธอหรือ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า ท่านพูดดังนั้นก็จริงอยู่ ถ้ากระนั้นขอให้เห้งเจียช่วยคิดอย่างไรจะดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อุ้มเอานางขึ้นม้าไปด้วยก็แล้วกัน พระอาจาริย์จะต้องวุ่นอะไรไปอีกเล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่าเห้งเจียเอาอะไรมาพูดดังนี้ ผู้หญิงจะขี่ม้าได้หรือ อย่ากระนั้นเลย อาตมจะลงเดินไปก็ได้ ให้โป๊ยก่ายค่อย ๆ จูงม้าเดินไป เห้งเจียยิ่งหัวเราะใหญ่แล้วพูดว่า เจ้าหมูได้สบายแล้ว อาจาริย์ให้เจ้าจูงม้าไป พระถังซัมจั๋งพูดว่า อย่าพูดให้เลอะเทอะไป คำโบราณท่านย่อมว่าม้าวิ่งไปพันโยชน์คนที่ไหนจะตามทัน ให้โป๊ยก่ายค่อย ๆ จูงม้าไปพวกเราจะได้เดินข้ามเขาลงไปที่ลาด บางทีจะมีบ้านหรือวัดที่มีคนอยู่ พวกเราได้ชื่อว่าช่วยชีวิตร์คนไว้ เห้งเจียพูดว่าอาจาริย์คิดดังนั้นก็ถูกต้องนิมนต์อาจาริย์รีบไปเถิด พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็ออกเดิน ซัวเจ๋งก็หาบของ โป๊ยก่ายก็จูงม้าเห้งเจียถือตะบองออกนำน่าหญิงเดินไป เดินมาได้ประมาณสักห้าสิบเส้น ตวันก็รอนลงแลไปข้างทางก็เห็นตึกกว้านบ้านเรือนห้องหออยู่เรียงราย พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ที่ตำบลนี้คงจะเปนที่วัดวาอาราม เราพากันเข้าไปอาไศรย์พักนอนสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจึงค่อยไป เดินมาประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงน่าวัด พระถังซัมจั๋งจึงสั่งสานุศิษย์ให้หยุดคอยข้างนอกก่อน อาตมาจะเข้าไปขออาไศรย์ได้แล้วจึงค่อยพากันเข้าไป สานุศิษย์ทั้งสามได้ฟังอาจาริย์สั่งดังนั้นก็หยุดคอยอยู่ใต้ร่มไม้ พระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปในประตูชั้นนอกแลเขาไปดู เห็นประตูชำรุดหักพังล้มลงอยู่ทั้งนั้นแลเข้าไปในนั้น เห็นกุฎีแถวรกร้างเงียบสงัดไม่มีคนอยู่ มีพระอุโบสถก็พังลงเสียหมดเถาวัลหญ้าบอนขึ้นรกรุงรัง พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นให้เกิดความสังเวศสลดใจลงทันที แข็งใจขืนเดินเข้าไปดูที่ชั้นสองแลเห็นหอกลองหอระฆังหักพังเซซวนซุดโซมไปทั้งสิ้น มีระฆัง ๆ หนึ่งตกกลิ้งอยู่ที่พื้นดิน ครึ่งหนึ่งอยู่ข้างบนดูขาวดุจน้ำมวกครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้ดินมีสีเขียวดุจคราม เพราะจมดินอยู่สนิมจับจึงได้เปนดังนั้น พระถังซัมจั๋งก็เอามือลูบคลำได้ยินเสียงดังหง่างขึ้นทีหนึ่ง พระถังซัมจั๋งตกใจเซล้มลงกับพื้น แต่ที่จริงในวัดนั้นมีเต้าหยินอยู่คนหนึ่ง เมื่อเห็นคนเข้ามาในวัด จึงเอาอิฐก้อนหนึ่งปาไปถูกระฆังจึงได้ดัง พระถังซัมจั๋งจึงร้องเรียกว่าระฆังเอ๋ย ทางไซทีนี้นานวันไม่มีผู้ใดมาถึงจึงได้เกิดปิศาจขึ้นดังนี้หรือ เต้าหยินคนนั้นเดินมาพยุงพระถังซัมจั๋งให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า มิใช่เหตุระฆังนั้นเปนปิศาจดอก ข้าพเจ้าปาอิฐมาถูกระฆังจึงได้ดังขึ้น พระถังซัมจั๋งเงยหน้าขึ้นดู เห็นหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว จึงถามว่านี่เปนปิศาจหรือ อาตมไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนคนทั้งหลาย อาตมภาพมาจากเมืองใต้ถัง สานุศิษย์ที่มาด้วยล้วนแต่มีฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญปราบมารร้ายได้ ถ้าไปเกี่ยวข้องถึงเธอเข้าแล้วเห็นชีวิตร์จะไม่รอด เต้าหยินผู้นั้นคุกเข่าลงกราบไหว้แล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามิใช่ผีปิศาจร้ายอะไรดอก ข้าพเจ้าเปนคนสำหรับจุดธูปเทียนบูชาอยู่ในนี้ ได้ยินเสียงท่านอาจาริย์จะใคร่ออกมาเชิญ ก็กลัวผีหลอกจึงเก็บเอาอิฐปาระฆังให้ดังมีเสียงขึ้น พอเอาเสียงเปนเพื่อนจึงได้กล้ามา นิมนต์ท่านเข้าไปข้างในเถิด
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งได้ฟังเต้าหยินพูดดังนั้น ก็ค่อยวางใจหายหวาดหวั่น เต้าหยินก็พาพระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปยังประตูชั้นสามพระถังซัมจั๋งจึงพิเคราะห์ดูเห็นไม่เหมือนชั้นนอก มีประดับด้วยแก้วมะนีแลโมราแลลายทองสลับเขียนมีรูปต่าง ๆ ตามฝาตามห้องดูสว่างไสว เครื่องโต๊ะล้วนแต่แก้ววิเศษ พระถังซัมจั๋งดูแล้วจึงถามเต้าหยินว่าข้างนอกนั้นดูรกเรี้ยวรุงรังน่ากลัว ทำไมในนี้จึงประดับประดางดงามอย่างนี้ด้วยเหตุอะไร เต้าหยินหัวเราะแล้วบอกว่า ที่ตำบลเขานี้มีปิศาจผีร้ายชุกชุม แลทั้งโจรผู้ร้ายก็มาก ถ้าท้องฟ้าสว่างก็ออกตีชิงวิ่งราว เดือนมืดก็เข้าหาที่อาไสยน่าวัด พระประธานก็ยกทิ้งไว้ข้างหนึ่ง เอาไม้มาใส่ไฟหุงต้มอะไรกิน พระสงต์ในวัดก็ไม่มีผู้ใดออกต้านทานได้ ก็ทิ้งโบสถ์นั้นให้โจรอาไสยอยู่ตามสบาย พระถังซัมจั๋งว่าถ้ากระนั้นที่ตรงนี้ก็เปนที่สำนักกลาง แลขึ้นไปดูที่บนประตูก็เห็นมีหนังสือใหญ่อยู่ห้าตัว คือวัด (ติ๊นไฮ้เสียนลิมยี่) พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าไปข้างในแลเห็นพระสงฆ์เดินออกมาองค์หนึ่ง คือไปทางไซทีนี้ มีนามเรียกว่าพระสงฆ์พิเบ๊เจง เธอเดินออกมาเห็นพระถังซัมจั๋งคิ้วดำตาก็สวย หน้าผากกว้างรูปพรรณลักษณได้ตำราทุกอย่าง ดูดุจพระอะระหันต์ จึงจับมือพามาที่กุฎีใหญ่กระทำคำนับแล้วถามว่า ท่านอาจาริย์จะไปข้างไหนหรือจึงได้มาถึงนี่ พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ ให้ไปไซทีอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรมยังวัดลุ่ยอิมยี่ มาถึงที่นี่เปนเวลาจวนค่ำ จะขออาไสยพักสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจะลาไปขอท่านได้กรุณาด้วย
ฝ่ายพระสงฆ์นั้น ครั้นได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ควรพูดดังนี้ให้เสียวาจา เราเปนสาวกพระพุทธเจ้า อย่ากล่าวซึ่งคำสัพลาวาจา พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมภาพพูดโดยความสัจจริงหาได้กล่าวเท็จไม่ พระสงฆ์นั้นพูดว่า ตั้งแต่เมืองใต้ถังมาถึงนี่ก็ไม่รู้ว่าทางไกลสักเท่าได ทุก ๆ เขาก็มีแต่ปิศาจร้าย ทุก ๆ ถ้ำก็มีแต่ยักษ์มาร อันรูปร่างของท่านก็งดงามบริสุทธิ์ดังนี้ คนเดียวจะไปอาราธนาพระธรรมได้หรือ พระถังซัมจั๋งตอบว่า ท่านอาวุโสเห็นอาตมภาพผู้เดียวที่ไหนจะมาได้ อาตมภาพมีศิษย์ถึงสามคน ถ้าพบเขาขวางก็ตัดทางไป หากพบแม่น้ำกว้างก็ทำสะพานข้ามไป สานุศิษย์คอยป้องกันรักษาอาตมภาพมาจึงมาได้ พระสงฆ์องค์นั้นถามว่า ก็สานุศิษย์ทั้งสามนั้น บัดนี้อยู่ที่ไหนเล่า พระถังซัมจั๋งว่ายืนคอยอยู่ข้างนอกประตู พระสงฆ์นั้นตกใจจึงพูดว่าท่านอาจาริย์ยังไม่ทราบที่ตำบลนี้ มีสัตว์เนื้อเสือร้ายชุกชุมนัก ทั้งปิศาจผีร้ายก็มากมักจะคอยทำร้ายคน แต่เวลากลางวันยังไม่กล้าออกไปเที่ยวไกล ตวันชายบ่ายก็ปิดประตูน่าต่าง แล้วเวลาก็จวนค่ำคนอยู่ข้างนอกไม่ได้ จึงเรียกสานุศิษย์ให้รีบออกไปเชิญเข้ามาเดี๋ยวนี้
เด็กสองคนได้ยินอาจาริย์สั่งก็รีบออกไป แลเห็นเห้งเจียก็ตกใจล้มคว่ำล้มหงาย เหลือบไปเห็นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมือและเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปหมด เด็กทั้งสองอุส่าห์แข็งใจวิ่งกลับเข้ามาข้างในบอกแก่พระถังซัมจั๋งอาจาริย์ว่า เห็นจะไม่เปนการ ศิษย์ของท่านไม่เห็น ๆ แต่ปิศาจสามสี่คนยืนอยู่ที่ประตู พระถังซัมจั๋งถามว่ารูปร่างเปนอย่างไร เด็กบอกว่าคนหนึ่งรามสูรย์ คนหนึ่งปากยาว คนหนึ่งหน้าเขียว แลมีหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างสะสวย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะพูดว่าหนูยังไม่รู้จัก สามคนที่หน้าตาดุร้ายนั้น คือศิษย์ของอาตมภาพเอง ยังหญิงคนนั้นอาตมภาพช่วยชีวิตร์เธอที่ในป่าสนนั้น เด็กทั้งสองถามว่า ท่านอาจาริย์รูปร่างงามดังนี้ทำไมจึงพาศิษย์รูปร่างดุร้ายอย่างนั้นมาด้วยเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่ารูปร่างไม่สวยไม่งามก็จริงแต่ต้องธุระอาไสยเธอกระทำให้สำเร็จได้ จงรีบไปเชิญเธอเข้ามาในนี้เถิด ถ้ารอช้าไปหน้ารามสูรย์นั้นจะมุทะลุวุ่นวายขึ้นมาจะเกิดเหตุ เด็กทั้งสองได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งออกไปร้องเรียกว่า ท่านทั้งสามที่คอยอยู่นั้น ท่านอาจาริย์ถังซัมจั๋งให้เชิญเข้าไปข้างใน โป๊ยก่ายก็จูงม้าซัวเจ๋งก็ยกหาบเห้งเจียก็ถือตะบองคุมนางหญิงนั้นพร้อมกันเดินเข้าไป ครั้นถึงประตูที่สามก็รางหาบผูกม้าแล้วก็พากันขึ้นบนกุฎีใหญ่ มาทำคำนับพระสงฆ์เจ้าอารามแล้ว ต่างก็นั่งที่ตามสมควร พระสงฆ์เจ้าอารามก็เข้าไปพาพระสงฆ์เจ็ดแปดสิบรูปมาคำนับกันแล้ว จึงให้ศิษย์วัดยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยงกัน แลจุดโคมไฟสว่าง