- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๗
ซีเทียนใต้อ๋องแลพวกพลเทพารักษ์พร้อมด้วยจินกุนยกกองทัพเหาะกลับมายังดาวดึงษ์ ครั้นถึงประตูนำทีหมึงก็เดินตรงเข้าไปในปราสาทธงเม่งเต้ย ซีใต้เทียนซือจึงเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่าซีใต้เซียนอ๋องกับถักทะลีทีอ๋องแลหมู่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายจับตัวซีเทียนใต้เซียมาได้แล้ว พักอยู่ข้างนอกยังคอยฟังรับสั่งพระองค์อยู่ว่าจะโปรดปรานประการใด
เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า ให้ตั้วลักกุ๊ยอ๋องแลพวกธิเตงพิศณุกรรม์เพ็ชฆาฎเอาตัวซีเทียนใต้เซียไปยังสนามสำหรับฆ่าปิศาจประหารชีวิตรเสีย แลทำลายกายให้ย่อยยับละเอียดป่นเปนธุลี
ฝ่ายตั้วลักกุ๊ยอ๋องกับธิเตงได้ฟังรับสั่งแล้วก็พาซีเทียนไปยังที่ฆ่านักโทษจึงเอาตัวซีเทียนมัดเข้ากับเสาแล้ว พวกเพ็ชฆาฎก็เอาดาบเข้าฟันอาวุธก็มิได้บาดร่างกายซีเทียนสักเท่าเส้นขน
น่ำเต๋าแชกุนจึงเรียกพวกเทพารักษ์อัคคีให้เอาไฟเผา ไฟก็ไม่ไหม้ร่างกายซีเทียน แล้วเรียกรามสูรย์เอาขวานฟ้ามาผ่าอกซีเทียน ร่างกายซีเทียนก็มิได้เปนอันตราย ซีเทียนก็ยังคงมีชีวิตรอยู่
พวกเซียนเพ็ชฆาฎก็สิ้นปัญญาไม่สามารถจะฆ่าซีเทียนให้ตายได้
ฝ่ายตั้วลักกุ๊ยอ๋องเห็นดังนั้นแล้ว จึงกลับมากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ซึ่งพระองค์ทรงโปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายนำตัวซีเทียนไปประหารชีวิตรนั้น พวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้เอาอาวุธมีคมต่าง ๆ เข้าฟาดฟันแต่อาวุธเหล่านั้นมิได้ทำอันตรายร่างกายของซีเทียน ที่สุดจนเอาไฟเผาไฟก็มิได้สังหารร่างกายซีเทียนให้ไหม้ได้ แลได้ให้รามสูรย์เอาขวานฟ้ามาฟันก็มิได้เปนอันตรายฉะนี้ จะโปรดเกล้าประการใดต่อไป
เง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อได้ทรงฟังดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า ถ้ากระนั้นจะทำไฉนจึงจะปราบลิงตัวนี้ได้
ท้ายเสียงเล่ากุนได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้นจึงทูลว่า ซีเทียนวานรตัวนี้ได้กินสิ่งของวิเศษคือชมภู่ทิพย์ สุราทิพย์ แลยาวิเศษซึ่งเปนยาอายุวัฒนะอันประกอบด้วยเครื่องทิพย์โอสถเข้าอยู่ในกาย ของเหล่านี้ล้วนเปนกายสิทธิ์ทั้งนั้น เพราะฉนั้นจะเอาสิ่งใดเข้ามาทำลายนั้นไม่ได้ ขอพระองค์โปรดมอบตัวให้แก่ข้าพเจ้า ๆ จะเอาตัวซีเทียนไปใส่เบ้าโป้ยก่วย เผาหลอมเอายาทิพย์ออกแล้วร่างกายซีเทียนก็จะละลายแหลกละเอียดไป
เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังท้ายเสียงเล่ากุนทูลดังนั้น ทรงเห็นด้วย จึ่งรับสั่งให้ตั้วลักกุ๊ยอ๋องแลหลักเตงออกไปแก้มัดซีเทียน พามามอบให้ท้ายเสียงเล่ากุนเอาตัวไปทำตามความคิด
ตั้วลักกุ๊ยอ๋องจึงพากันออกไปแก้มัดซีเทียนแล้วก็เอาตัวซีเทียนมามอบให้ท้ายเสียงเล่ากุน
ฝ่ายท้ายเสียงเล่ากุนก็พาตัวซีเทียนไปยังวิมานดุสิตโดยเร็ว ฝ่ายยี่หนึงจินกุนก็เข้ามาเฝ้าถวายบังคมน่าพระที่นั่งเง็กเซียงฮ่องเต้โปรดประทาน ดอกไม้ทองคำทิพย์ร้อยกิ่ง สุราทิพย์ร้อยคนโท โอสถทิพย์ร้อยเมล็ด แลของวิเศษต่าง ๆ รับสั่งให้แบ่งปันกันแก่พวกพี่น้องทั้งหกนั้น
จินกุนครั้นได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแล้วก็มีความยินดี
ฝ่ายพระกวนอิมเห็นเสร็จการสิ้นธุระแล้วก็ถวายพระพรลาเง็กเซียงฮ่องเต้แล้วก็พยักหน้าให้จินกุนถวายบังคมลาออกจากประตูสวรรค์ แล้วขึ้นเหยียบเมฆต่างก็เหาะกลับไปยังที่สำนักนั้นแต่เดิมมา
ฝ่ายท้ายเสียงเล่ากุนเมื่อพาตัวซีเทียนขึ้นมายังชั้นดุสิต ครั้นถึงแล้วเล่ากุนก็จัดแจงเบ้าโบ้ยก่วยเสร็จแล้ว จึงเอาตัวซีเทียนแก้มัดถอนมีดกายสิทธิ์ที่เสียบสันหลังนั้นออกเสียแล้ว ก็ผลักตัวซีเทียนลงในเบ้าแล้วเอาฝาปิดแน่นหนาให้สานุศิษย์เอาไฟใส่สุม เบ้านั้นประกอบด้วยอากาศธาตุแปดส่วน คือเขียนว่า ฟ้าหนึ่ง น้ำหนึ่ง กึ้นว่าไม้หนึ่ง ทั้ยว่าทองหนึ่ง จิ๊นว่ากระท้านหนึ่ง ซ้อนว่าลมหนึ่ง ลี้ว่าไฟหนึ่ง คุมว่าดินหนึ่ง (กระท้านนั้นคือลมพยุห์) รวมทั้งแปดนี้ประกอบเปนเบ้ากายสิทธิ์เรียกว่าเบ้า (โบ้ยก่วย)
เมื่อเวลาท้ายเสียงเล่ากุนเอาตัวซีเทียนใส่ลงในเบ้านั้น ซีเทียนแอบมาอยู่ที่ส่วนลมเพราะลมบังคับไฟให้เย็นได้ เพราะฉนั้นซีเทียนจึงไม่เปนอันตราย แลจักษุของซีเทียนนั้นแดงเปนไฟ เพราะไฟนอกสุมแรงมากไนตาซีเทียนเขม้นอยู่ ตาของซีเทียนแดงเหมือนแสงไฟขณะเมื่อไฟฟ้าร้อนนั้น ซีเทียนก็หาร้อนหาเปนอันตรายไม่
ตั้งแต่ท้ายเสียงเล่ากุนสุมไฟมาได้สิบเก้าวันตามกำหนดแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนให้เปิดฝาเบ้าเอายาวิเศษที่ซีเทียนลักกินนั้น ครั้นพวกศิษย์งัดฝาเบ้าเผยขึ้นจะออก เมื่อซีเทียนอยู่ในเบ้าไม่เห็นแสงสว่าง ครั้นได้ยินเสียงเบ้าสะเทือนจึงแลขึ้นไปเห็นแสงสว่าง จึงได้ดำริห์ในใจว่าเราจะนิ่งอยู่อย่างนี้เห็นจะไม่เปนการ จำจะหนีไปเสียแต่เมื่อยังไม่ทันเขาระวังจึงจะได้ คิดดังนั้นแล้วก็คอยขยับ พอฝาเบ้าแย้มเปิดซีเทียนก็เผ่นขึ้นบนปากเบ้าถีบด้วยกำลังอันแรง เบ้านั้นก็หกคว่ำพวกเซียนซึ่งอยู่พร้อมกันในที่นั้นก็ตรูกันเข้าจับ ซีเทียนก็กระโจนเข้าทุบตีพวกเซียนเหล่านั้นคนละทีสองทีลุกล้มวิ่งกระจายไปหมดไม่มีผู้ใดจะรบรอต่อสู้ซีเทียนได้แต่สักคนหนึ่ง
ฝ่ายท้ายเสียงเล่ากุนเห็นดังนั้นก็วิ่งเข้ามาจะจับตัวซีเทียน ในขณะนั้นซีเทียนดุจเสือร้าย ท้ายเสียงเล่ากุนตรงเข้ามาจะจับตัวซีเทียน ๆ ก็ชกด้วยหมัดถูกท้ายเสียงเซไปแล้วก็ล้มลง ซีเทียนก็รีบออกจากที่นั้น ชักกระบองออกจากหูร้องว่าใหญ่ ๆ กระบองก็ใหญ่ขึ้นมาทันทีตามคำสั่ง ซีเทียนจับกระบองกวัดแกว่งตีออกมามิได้เว้นว่าใครแลใคร พวกเซียนทั้งหลายพากันวิ่งวุ่นวายหวั่นหวาดไปทุกวิมาน ซีเทียนไล่พวกเซียนแลเทวดามาจนถึงวิมานดาวทั้งเก้า ๆ ก็ต้องปิดประตูวิมานเงียบไปหมด
ท้าวจัตุโลคบาลซีใต้ทีอ๋องก็พากันวิ่งหนีไปหมด ในคราวนั้นซีเทียนไม่เลือกหน้าไม่ว่าผู้ใดสูงหรือต่ำถือกระบองเที่ยวไล่ตีกระหนาบไปทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดจะรอได้ ซีเทียนไล่ตีลงมาจนถึงปราสาทธงเม่งเต้ย ซีเทียนคิดจะตีเข้าไปในปราสาทเหลงเซียวเต้ย บังเอินพบอีวเซี้ยจินกุน จอสือเล่งกัวเทพบุตรทั้งสองนี้เปนขุนนางผู้ใหญ่ของเง็กเซียงฮ่องเต้ อีวเซี้ยจินกุนเห็นซีเทียนไล่ตีเข้ามาดังนั้น ก็ชักกระบองกายสิทธิ์เข้าสกัดหน้าร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายลิงไพรจะไปข้างไหน เหตุใดตัวจึงบังอาจกระทำการกำเริบบ้าคลั่งเช่นนี้ ซีเทียนเห็นเข้าแล้วก็มิได้รอรั้งยกกระบองขึ้นตีตรงเข้ามา จอสือเล่งกัวเห็นดังนั้นก็ถลันแขงเข้ามาเอากระบองยกขึ้นรับ ต่างรบกันอยู่ที่น่าประตูปราสาทเหลงเซียวเต้ยยังหาทันแพ้ชนะกันไม่ อีวเซียจินกุนจึงให้พวกเซียนทหารไปเรียกพวกราย์มสูรสามสิบหกนายมาให้รีบช่วยกันรบซีเทียน
ฝ่ายพวกรามสูรย์ก็ถือสาตราเครื่องอาวุธครบมือกันมาระดมล้อมซีเทียนไว้ทั้งซ้ายขวา ซีเทียนเห็นพวกเทพบุตรมาล้อมไว้แน่นหนาดังนั้นจึงร่ายพระเวทแปลงกายเปนสามเศียรหกกร ถือกระบองสามอันกวัดแกว่งดุจดังว่าจักรผันเข้ารบเทพบุตรอยู่ไนท่ามกลางที่ล้อม เทพบุตรทั้งหลายก็มิอาจที่จะเข้าใกล้ซีเทียนได้ เวลานั้นเสียงสู้รบกันก็สะท้านหวั่นไหวไปทั้งวิมาน ทราบถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ตกพระไทยจึงรับสั่งให้อิ่วเปี๋ยนเล่งกัว อีวเซี้ยจินกุนทั้งสองรีบไปยังทิศปราจิณนิมนต์สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊มาโดยเร็ว เทพบุตรทั้งสองได้ฟังรับสั่งพระเปนเจ้าโลกย์ดังนั้นแล้ว ก็ถวายบังคมลารีบออกจากวิมานเมืองฟ้าเหาะไปยังทิศปราจิณ
ครั้นถึงเทพบุตรทั้งสองก็เหาะลงยังพื้นดินเดินตรงเข้ามายังอารามลุ่ยอิมเข้าไปนมัศการซี้ใต้กิมกังแลพระสานุศิษย์ทั้งหลายแล้วจึงบอกว่า ขอได้กรุณาช่วยกราบเรียนพระผู้เปนเจ้าเปนที่พึ่งของโลกย์ทราบว่า ข้าพเจ้าทั้งสองนี้รับเทวบัญชาของเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลงมานิมนต์พระผู้เปนเจ้าขึ้นไปยังดาวดึงษ์บัดนี้
ส่วนสานุศิษย์ทั้งหลายเมื่อได้ทราบความดังนั้นจึงเข้าไปกราบทูลพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ (เข้าใจกันว่าพระยูไล) คือ พระอรหันต์ พระองค์จึงโปรดอนุญาตให้นำอี่วเปี๋ยนเล่งกัวอีวเซี้ยจินกุนทั้งสองเข้าไปเฝ้า ครั้นถึงก็กระทำการนมัศการกราบไหว้โดยความเคารพแล้วก็คุกเข่าประนมมือนิ่งอยู่
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงถามว่า เง็กเซียงฮ่องเต้มีกิจธุระอะไรจึงให้ท่านทั้งสองมาหาข้าพเจ้า เทพบุตรทั้งสองจึงกราบทูลความตามที่ซีเทียนได้กระทำการวุ่นวายตั้งแต่ต้นจนปลายให้พระเปนเจ้าทรงทราบทุกประการ แล้วกราบทูลต่อไปว่าเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ข้าพเจ้ามานิมนต์พระผู้เปนเจ้าไปช่วยระงับ ด้วยซีเทียนรุกราญเข้าไปจวนจะถึงอับจนอยู่แล้ว ถ้าพระองค์ไม่ทรงพระกรุณาเห็นดาวดึงษ์พิภพจะเปนอันตรายเสียเปนมั่นคงขอพระองค์ได้โปรด
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงทราบดังนั้นแล้ว จึงตรัสเรียกพระออนันฮุดโจ๊กับพระเกียเอี๊ยมฮุดโจ๊ทั้งสองให้ตามพระองค์ไปด้วย
ครั้นพร้อมกันเสร็จแล้ว สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊พร้อมด้วยศิษย์แลเทพบุตรออกจากพระอารามแล้วทรงกระทำปาฏิหารไปทั้งสามองค์ เทพบุตรทั้งสององค์ก็เหาะตามไปยังดาวดึงษ์
ครั้นถึงน่าประตูเหลงเซียวเต้ยพระองค์ทรงรับสั่งแก่เทพบุตรทั้งหลายว่า ท่านทั้งปวงจงเลิกการรบพุ่งเถิด เทพบุตรทั้งหลายเมื่อได้ยินพระเปนเจ้าตรัสสั่งดังนั้นต่างก็ถอยห่างออกไปจากที่รบ
ฝ่ายสมเด็จพระเซ๊กเกียมมองนิฮุดโจ๊ จึงทรงตรัสเรียกว่าซีเทียนจงออกมานี่ เราจะถามดูเหตุผลต้นปลายเปนประการใด จึงได้มารบพุ่งกันออกวุ่นวายดังนี้
ฝ่ายซีเทียนเมื่อได้ยินพระเปนเจ้าเรียกดังนั้นก็คลายมนต์กลับเปนรูปเดิมตามปรกติแต่กำลังยังมีโทสะอยู่ จึงร้องถามด้วยเสียงอันดังว่าท่านผู้นี้อยู่ที่ไหนจึงอาจสามารถมาห้ามปรามเราเมื่อกำลังรบพุ่ง แลเรียกชื่อเราฉนี้จะมีธุระอะไรหรือ
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงสดับซีเทียนถามดังนั้น จึงตรัสว่าตัวเจ้าทำการวุ่นวายในมนุษย์โลกย์จนกระทั่งถึงเทวะโลกย์ทุก ๆ แห่งให้ได้ความเดือดร้อนไปทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าตัวเจ้าเกิดเมื่อไรอยู่ที่ไหนได้ธรรมอันวิเศษอันใด จึงทำการให้เกิดวุ่นวายดังนี้
ซีเทียนได้ยินถามดังนั้นก็ร้องตอบว่าตัวข้าพเจ้านี้ คืออากาศฟ้าดินประมวนรวมธาตุกายสิทธิ์ในศิลา จึงบังเกิดตัวข้าพเจ้าเปนวานรอาไศรยอยู่ในภูเขาฮวยก๊วยซัวถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเปนที่อยู่ เที่ยวสืบหาอาจาริย์เรียนวิชาบันลุธรรมวิเศษอายุวัฒนากาลไม่ตาย แลมีวิทยาอาจสำแดงแผลงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ หาที่สุดมิได้ เพราะอยู่ในมนุษโลกย์คับแคบไม่พอใจอยากจะใคร่อยู่ในสวรรค์บ้าง จึงขึ้นมายังวิมานเหลงเซียวเต้ยที่แห่งนี้ อันตำแหน่งเง็กเซียงฮ่องเต้นี้ ธรรมดาก็ต้องผลัดเปลี่ยนกัน ผู้ใดมีกำลังฤทธาอานุภาพมากจะต้องยกให้ผู้นั้นเปนจึงจะสมควร เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงปราถนาจะมาชิงเอาที่นี้บ้างตามความปราถนา
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงฟังซีเทียนวานรพูดดังนั้นจึงทรงแย้มพระโอฐตรัสว่า ตัวเจ้าก็เปนแต่วานรชาติเดระฉานทำไมอาจสามารถมีความกำเริบคิดจะเปนถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ จะได้ด้วยเหตุอะไรเจ้ายังจะรู้สึกแล้วหรือ เราจะว่าให้เจ้าเข้าใจก่อนคือท่านเง็กเซียงฮ่องเต้นี้ ตั้งแต่เล็กมาก็รักษาศีลให้ทานแลเจริญกุศลภาวนามีความบริสุทธิ์ตั้งอยู่ในทางสัมมาปะฏิบัติต่อ ๆ มา พันห้าร้อยห้าสิบกัลป์ ๆ หนึ่งเปนสิบสองหมื่นเก้าพันหกร้อยปี เจ้าจงคิดดูว่ามากน้อยเท่าใด เพราะดังนั้นจึงได้ขึ้นมารับบรมศุขในวิมานชั้นดาวดึงษ์นี้ด้วยอานิสงษ์คุณที่ได้สร้างมา ก็ตัวเจ้าเพียงแต่กำเนิดลิงยังอยู่ในชาติเดระฉาน อาจสามารถจะปราถนาทิพย์สมบัติขึ้นนั่งที่เปนเง็กเซียงฮ่องเต้ทีเดียวหรือ เจ้าจงคิดกลับใจเสียใหม่เถิด คิดดังนั้นหาสมควรไม่ อายุของเจ้าจะถอยสั้นไม่เปนผลเจ้าจงเร่งกลับใจโดยเร็ว อายุจะได้ยืนนาน ถ้าเจ้าไม่ฟังคำเราสอนชีวิตร์ของเจ้าจะดับสูญไปโดยเร็ว เรามีความกรุณาว่าตัวเจ้าเคยปฏิบัติทางชอบทางดีมาช้านานจงคิดกลับใจเสียใหม่เถิด
ซีเทียนได้ฟังสมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ ทรงสั่งสอนให้สะติตักเตือนดังนั้นจึงตอบว่า มาทว่าเง็กเซียงฮ่องเต้รักษาศีลมานานมากกัลป์นานปีก็จริงแต่ไม่ควรอยู่ในที่นี้ เพราะคำบูราณท่านกล่าวไว้ว่าที่ทางต้องอาไศรย์เปลี่ยนแปลงกัน ในปีนี้ควรข้าพเจ้าจะได้นั่งที่นี้ ต้องให้ท่านเง็กเซียงฮ่องเต้ออกไปอยู่เสียที่อื่น วิมานนี้ให้เปนสิทธิ์แก่ข้าพเจ้า การกุลียุคจึงจะราบคาบไปได้ทั้งสิ้น แม้มิยกที่นี้ให้แก่ข้าพเจ้าการกุลียุคก็จะเกิดวุ่นวายไม่มีความศุขได้ทั่วโลกย์
พระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ฟังซีเทียนพูดดังนั้น จึงตรัสว่าเจ้าพูดว่าเจ้ามีอายุยืนเท่านั้น จะชิงเอาวิมานของเทพยดาจะได้หรือเจ้าไม่รู้จักอะไรเลย อันทิพย์สฐานวิมานฟ้าแลทรัพย์สมบัติยศบริวารทั้งหลาย ย่อมได้ด้วยผลของความดีความชอบคือบุญกุศลที่ตนได้สร้างมาแต่ชาติปางก่อนมิใช่จะได้โดยฤทธาอานุภาพเรี่ยวแรงเมื่อไรมี
ซีเทียนจึงพูดว่า ข้าพเจ้าก็มีศีลมีสัตย์แลมีวิทยาหลายประการ แปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่าง หมื่นกัลป์ข้าพเจ้าก็ไม่แก่ไม่ตายแลชำนาญในการกระทำปาฏิหารตีลังกาไปได้ทีหนึ่งไกลถึงหมื่นแปดพันโยชน์ ทำไมจะนั่งที่พระอินทร์ไม่ได้ทีเดียวหรือ
พระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ตรัสว่า ถ้าเจ้าอวดอ้างว่าเจ้ามีวิชาดีจริงแล้ว เจ้าจงกระทำปาฏิหารให้เราดู แม้เจ้ากระโดดพ้นฝ่ามือของเราไปได้ เราจะให้เง็กเซียงฮ่องเต้ไปอยู่เสียข้างทิศปราจิณจะให้เจ้าอยู่ในวิมานดางดึงษ์นี้ตามความปราถนาของเจ้า ถ้าเจ้ากระโดดไม่พ้นฝ่ามือเรา เจ้าต้องลงไปเปนปิศาจลิงอยู่เบื้องต่ำรักษาศีลเจริญภาวนารักษาตัว ปฏิบัติไปอีกหลายกัลป์จึงค่อยมาชิงเอาวิมานนี้
ซีเทียนครั้นได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าตีลังกาทีหนึ่งไปได้ถึงหมื่นแปดพันโยชน์ ฝ่ามือนิดหนึ่งเท่านั้นทำไมจะโดดไปไม่พ้น แล้วซีเทียนจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นขอให้ท่านยื่นฝ่ามือมา ข้าพเจ้าจะกระโดดให้ท่านดู
พระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงยื่นพระหัดถ์ แบฝ่ามือออกมาให้ซีเทียน ซีเทียนสำรวมจิตรร่ายพระเวทคาถา กระโดดขึ้นอยู่ในฝ่าพระหัดถ์ของพระแล้วจึงพูดว่า ท่านจงคอยดูข้าพเจ้าจะหกขะเมนไปเดี๋ยวนี้ ว่าแล้วซีเทียนก็ตีลังกาหกขะเมนไป หวังใจว่าจะให้พ้นฝ่าพระหัดถ์ของพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊
พระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงเล็งทิพย์จักษุแลตามช่องเมฆที่ซีเทียนไปโดยเร็วดุจลมพัดนั้นด้วย
ซีเทียนเมื่อตีลังกาไปจนสิ้นกำลังแล้ว ก็ลงหยุดยังฟากตีนฟ้าจึงแลไปเห็นเสาจันทน์แดงห้าต้นค้ำฟ้าอยู่ อันเสาจันทน์แดงนั้นคือนิ้วพระหัดถ์ของพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊เรียกว่าเสานิ้วแดงก็ว่า
ซีเทียนจึงคิดว่า เรามาถึงนี่แล้วก็สิ้นระยะทางเท่านั้น ในคราวนี้เราจะกลับไป พระได้สัญญาไว้แก่เรา ๆ คงได้นั่งที่แทนเง็กเซียงฮ่องเต้เปนบรมศุขแล้ว คิดดังนั้นแล้วจึงมาคิดว่าเราจำจะทำสำคัญไว้จึงจะชอบ คิดดังนั้นแล้วจึงถอนขนเพ็ชร์ออกเส้นหนึ่งร่ายพระคาถาเปนภู่กันอันหนึ่ง จึงเขียนอักษรหกตัวที่เสากลางว่า (ซีเทียนใต้เสียเก่าบี้) แปลเปนความไทยว่า ซีเทียนได้มาถึงที่นี้ ครั้นเขียนแล้วจึงเรียกขนเพ็ชร์กลับเข้าตนตามเดิม แล้วก็ถ่ายปัศสาวะลงไว้ที่โคนเสาแล้วหกขะเมนกลับมายังฝ่ามือดังเก่า แล้วจึงพูดว่าท่านต้องบอกเง๊กเซียงฮ่องเต้ให้ยกวิมานให้แก่ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เถิด
พระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่า ตัวเจ้าออกไปยังไม่พ้นฝ่ามือเราเลยจะนั่งวิมานยังไม่ได้
ซีเทียนเถียงว่า ข้าพเจ้าได้หกคะเมนไปจนสิ้นระยะทางแล้วปะเสาจันทน์แดงห้าต้นได้จารึกอักษรหกตัวไว้เปนสำคัญ แลได้ถ่ายปัศสาวะไว้ที่โคนเสาจันทน์ด้วย ถ้าท่านไม่เชื่อข้าพเจ้า ๆ จะพาท่านไปดูจะได้เห็นจริงด้วยกัน
พระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่า เราไม่ต้องไปให้ลำบากเจ้าจงก้มลงดูที่ฝ่ามือเราก่อน จะได้เห็นสิ่งสำคัญว่าเจ้าไปไม่พ้นฝ่ามือเรา
ซีเทียนจึงก้มศีศะลงมองดู ก็เห็นที่นิ้วกลางของพระนั้นมีอักษรอยู่หกตัว แลมีน้ำปัศสาวะของตัวอยู่ด้วย ซีเทียนเห็นดังนั้นก็ตกใจ นึกว่าเราเขียนหนังสือไว้หกตัวอยู่ที่เสาต้นกลางทำไมจึงมาอยู่ที่นิ้วมือพระองค์นี้เปนที่อัศจรรยใจนัก แล้วมานึกว่าหรือจะมีคนจับยามรู้ว่าเราเขียนอักษรไว้ที่เสาจันทน์นั้น จึงได้เอามาเขียนที่นี่ คิดแล้วจึงพูดแก่พระว่า ข้าพเจ้ายังไม่เห็นจริงไม่เชื่อ ข้าพเจ้าจะขอหกขะเมนกลับไปดูใหม่ ซีเทียนว่าแล้วขยับจะหกขะเมนไป พระจึงคว้าฝ่าพระหัดถ์ลงครอบซีเทียนไว้ ซีเทียนก็ติดอยู่ในอุ้งมือของพระ แล้วพระองค์ก็สลัดให้ซีเทียนกระเด็นไปจากวิมานดาวดึงษ์ ทางประตูทิศปราจิณ บังเกิดเปนเบ็ญจะคีรีห้ายอดครอบซีเทียนลงไว้กับพื้นพระสุธาดล เขานั้นติดกันทั้งห้าเขาเรียกว่า (เง้าเห้งซัว) คือ ประกอบด้วยเบ็ญจะธาตุทั้งห้า คือธาตุทองคำหนึ่ง ธาตุไม้หนึ่ง ธาตุน้ำหนึ่ง ธาตุไฟหนึ่ง ธาตุดินหนึ่ง หมู่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายแลเห็นดังนั้น ต่างก็ตบมือร้องสาธุการสรรเสริญว่าชอบแล้วควรแล้ว พากันมีความยินดีทุกทั่วหน้า
มีคำกลางว่า ตั้งความเพียรอุสาหะปฏิบัติมานานปีตั้งหมื่นกัลป์ไม่เคลื่อนทางมรรคผล คราวนี้แผลงฤทธิ์เดชดังสท้านสเทื้อนตลอดโลกย์ ไม่รู้ว่าอีกกี่พันปีจึงจะกลับออกได้
ฝ่ายสมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงกำจัดซีเทียนแล้ว จึงเรียกพระออนันแลพระเกียเอี๊ยมจะเสด็จกลับยังทิศปราจิณ ในขณะนั้นมีเซียนสองเซียน คือ ทิผอง ทิอิ๋ว เทพบุตรทั้งนี้มาคุกเข่านิมนต์ขอให้พระองค์หยุดสักประเดี๋ยว ด้วยเง็กเซียงฮ่องเต้จะออกมาเฝ้าพระองค์ก์ทรงรับนิมนต์ บัดเดี๋ยวเง็กเซียงฮ่องเต้ก็ออกมาเฝ้าถวายพระอะภิวาทกราบไหว้แล้วจึงพูดว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระพุทธิเข้าขอบพระบารมีของพระองค์เปนที่ยิ่ง ซึ่งได้กำจัดซีเทียนให้เสื่อมเสียพยศอันร้าย พวกเซียนทั้งหลายได้เปนศุขทุก ๆ วิมาน พระบารมีคุณนั้นหาที่สุดมิได้ ขออาราธนานิมนต์หยุดพักสักวันหนึ่ง จะได้เชิญเทพยดาทั้งหลายทำพิธีเลี้ยงโต๊ะแลถวายเครื่องทิพย์โภชนาหารแก่พระองค์สักครั้งหนึ่ง
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงฟังเง็กเซียงฮ่องเต้นิมนต์ดังนั้น จึงตรัสว่า อาตมภาพทราบว่าบพิธมีความเดือดร้อนจึงมาช่วยระงับเหตุการ โดยความประสงค์จะให้เทพยดาอารักษ์ทั้งหลายได้มีความผาศุขสวัสดิภาพโดยปรกติตน
เง็กเซียงฮ่องเต้จึงทูลนิมนต์ขอให้พระองค์ขึ้นพักอยู่บนพระตำหนักสถิตย์ยังทิพรัตนบัลลังก์ แล้วจึงตรัสสั่งให้พวกเทพบุตรรามสูรย์รีบแยกกันเหาะไปทุกวิมาน เชิญเทพยดามาพร้อมกันยังตำหนักเง็กเกียกิมข้อยไท้เหี้ยนโป๊เก๋ง จะได้นมัศการขอบพระบารมีคุณของพระ
ฝ่ายหมู่รามสูรย์ก็แยกย้ายกันไปเที่ยวประกาศป่าวร้องตามรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ ครั้นพวกรามสูรย์ไปแล้วจึงรับสั่งแก่ซีใต้เทียนซือเทพบุตรแลหมู่นางฟ้าให้จัดแจงเปิดพระตำหนักเง็กเกียกิมข้อยไท้เหี้ยนโป๊เก๋งปราสาทแล้ว แลรัตนบัลลังก์สำหรับพระซึ่งจะได้ประทับอยู่ท่ามกลางสองข้างไว้ที่เซียนเทพบุตนั่ง แลประดับด้วยเครื่องวิเศษต่าง ๆ แลเครื่องทิพย์โอชารสต่าง ๆ
ครั้นจัดเสร็จแล้วในเวลานั้น มีเง็กเซงง่วนซุ้ยทีจุนหนึ่ง เสียงเซงเล่งโป๊ทีจุนหนึ่ง ทั้ยเซงเต่าเง็กทีจุนหนึ่ง เง้าขี่จินกุนหนึ่ง เง้าเต้าแชกุนหนึ่ง ซัมกัวซื้อเซียหนึ่ง เก๊าอิ๋วแชกุนหนึ่ง จ๊าหูหนึ่ง อิ๋วปักที่อ๋องหนึ่ง (อธิบายว่าท่านที่ออกนามมานั้นล้วนแต่พรหมทั้งสิ้น)
โลเฉียหนึ่ง เหี้ยนหยื้อหนึ่ง หมู่นี้เทพบุตรนำเครื่องราชวัดฉัตรธง แลเครื่องวิเศษดอกไม้ทิพย์ของหอมปลาดต่างๆ ครั้นมาถึงก็นำขึ้นถวายพระกราบนมัศการพร้อมกันแล้วกล่าวว่า ขอพระบารมีคุณซึ่งทรงปราบซีเทียนวานรให้พินาศไปได้ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้พ้นจากความเดือดร้อนรำคาญ
ในเวลานั้นเง็กเซียงฮ่องเต้พร้อมด้วยเทพยดาแลพรหมทั้งหลาย กระทำสักการะบูชาพระเสร็จแล้วด้วยประการต่าง ๆ ก็ประชุมเลี้ยงโต๊ะกันเปนการรื่นเริง ครั้นเสร็จการเลี้ยงแล้วจึงพร้อมกันกราบทูลสมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ ขอให้พระองค์ทรงตั้งนามการประชุมนี้ไว้เปนที่ระฦกอยู่สิ้นกาลนานในภายน่า
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ ได้ทรงฟังเทพเจ้าทั้งหลายทูลขอนามการประชุมเลี้ยงโต๊ะครั้งนั้น ทรงแย้มพระโอฐโปรดประทานนามว่า (เทียนอันพิฮวย) แปลว่าวิมานประชุมความศุขของหมู่เทพยดาทั้งหลาย ๆ จึงพร้อมกันเรียกว่า (อันพิฮวย) แล้วพร้อมกันนั่งกินเลี้ยงโต๊ะอิกคราวหนึ่ง ตามลำดับผู้น้อยผู้ใหญ่แลประโคมเครื่องดนตรีพิณพาทย์ระนาดฆ้องเปนที่รื่นเริงสำราญทั่วทุกเทพยดา
ฝ่ายอ๋องโป้เนี่ยเนี้ยนางท้าวเทวราช ก็นำเครื่องมาลาปลาดต่าง ๆ แลผลชมภู่สองผลขึ้นถวายพระ แล้วนมัศการกราบทูลว่า ขอบพระบารมีคุณอะภินิหารของพระองค์ที่ทรงกำจัดปิศาจวานรเสียได้ กระทำให้พวกข้าพเจ้าได้มีความศุขสำราญทั่วกัน
สักประเดี๋ยวหนึ่งมีน่ำเก๊ดซินแซเหาะมา ครั้นถึงตรงเข้าถวายบังคมเง็กเซียงฮ่องเต้ แล้วก็นมัศการพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ แล้วจึงทูลว่าซีเทียนนั้นได้ยินว่าท้ายเสียงเล่ากุนเอาตัวไปหลอมเผาหมายว่าในวิมานจะเปนศุขบังเอินหนีไปได้ ครั้งนี้พึ่งบารมีของพระองค์ปราบลงได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้พ้นจากความเดือดร้อนเปนบรมศุขสัดถาวร ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งของอันใด มีแต่ทิพย์โอสถหญ้าทิพย์ของหอมจะขอถวายแก่พระองค์อันเปนที่เลื่อมไสยแห่งข้าพเจ้า แล้วกล่าวพรถวายว่า ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยืนยาวเท่าแก่ทรายในพระมหาสมุท แล้วกล่าวคำถวายพรว่า ขอให้พระกายของพระองค์สูงหกวาพระศิริระรูปเปนทองคำธรรมชาติประทับนั่งบนบัวเก้าชั้น แลมีธรรมอันสุขุมเปล่าว่างเทพยดาแลมนุษย์ทั้งหลายในสากลโลกย์นี้ไม่มีผู้เสมอด้วยพระองค์แล้ว
ขณะนั้นแลเห็นชิดเคียดใต้เซียนเหาะมาถึง แล้วเดินตรงเข้ามาถวายบังคมเง็กเซียงฮ่องเต้ แล้วคุกเข่าลงคลานนมัศการพระแล้วนำผลสาลี่ทิพย์สองผลกับพุทราทิพย์สองผลถวาย แล้วทูลถวายพรแก่สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊
แล้วพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ก็เสด็จลงจากอาศนะ ในขณะนั้นซุนซีเลงกัวมากราบทูลว่า ซีเทียนโผล่ศีศะออกมาจากเขาแล้ว ซุนซีเลงกัวนี้คือเปนทหารรักษาองค์ของเง็กเซียงฮ่องเต้
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่าท่านอย่าวิตก ตรัสแล้วก็ชักเอายันต์ออกจากกลีบจีวรในยันต์มีอักษรหกตัวคืองั่ยมิมอนิปัดฮ่อง ส่งให้พระออนันให้รีบไปยังเขาเง้าเห้งซัว ให้เอายันต์นี้ไปปิดที่ยอดเขา พระออนันฮุดโจ๊รับยันต์แล้วปาฏิหารรีบกลับลงไปยังเขาเง้าเห้งซัว ครั้นถึงจึงเอายันต์นั้นปิดที่ยอดเขาแลเขาก็บันดานมีรากงอกลงไป พระออนันต์ปิดยันต์แล้วก็กระทำปาฏิหารกลับมายังดาวดึงษ์พิภพ กราบทูลว่าได้นำยันต์ไปปิดแล้วตามสั่ง
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงภาวนาเรียกหมู่พระภูมิเจ้าที่ซึ่งอยู่ณะเขาเง้าเห้งซัวให้ขึ้นไปที่ดาวดึงษ์ พระภูมิทั้งหลายก็ขึ้นไปเฝ้าถวายนมัศการแล้วก็ยืนอยู่ในที่อันสมควร พระจึงตรัสสั่งแก่พระภูมิเจ้าที่ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงอยู่รักษาดูแลที่เขาเง้าเห้งซัวนี้ให้จงดีทรมานให้ซีเทียนหมดพยศหมดโทษแล้ว ต่อไปภายน่าก็คงจะมีผู้ช่วยซีเทียนให้พ้นจากเขาได้ ตรัสดังนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงสนทนาแก่เง็กเซียงฮ่องเต้แลเซียนทั้งหลายเสร็จแล้ว ๆ ก็ทรงตรัสกำชับท้าวตี่ก๋งคือพระภูมิเจ้าที่ให้ระวังซีเทียนเสร็จแล้ว ก็ทรงลาเง็กเซียงฮ่องเต้ออกจากวิมานพร้อมด้วยพระออนัน