- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๒๔
ซัวเจ๋งยกหาบใส่บ่า เห้งเจียจูงม้านำหน้าพระอาจาริย์เดินเข้าไปยังพุ่มไม้ในป่ารกค้นหาโป๊ยก่าย แหวกหญ้าบุกรกเข้าไปบัดเดี๋ยวก็แลเห็นโป๊ยก่ายถูกมัดอยู่บนต้นไม้ เสียงร้องครางไม่อยุด เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ทำแกล้งพูดเยาะว่า โป๊ยก่ายลูกเขยป่านนี้ยังไม่มาเคารพนบนอบวงษ์เพื่อนฝูงทั้งหลาย แลทำไมจึงไม่มาบอกให้พระอาจาริย์ยินดีบ้างเล่า ขึ้นไปนอนอยู่บนที่ตึกสูงตามสะบายใจ ได้ดีแล้วก็ไม่ทักไม่ทายกันบ้างเลย จะลืมกันเสียทีเดียวหรือ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดเยาะเย้ยดังนั้น ให้มีความละอายเปนที่สุด สู้อุส่าห์กัดฟันไม่ร้องคราง
ฝ่ายซัวเจ๋งยืนอยู่ข้างนั้น เห็นโป๊ยก่ายถูกมัดมีความเจ็บปวดครางอยู่ดังนั้น ก็นึกสงสารจึงขึ้นไปแก้มัดให้โป๊ยก่ายแล้วก็พากันลงมา จึงมีคำกลางว่ารูปศรีอันงาม ดุจอาวุธอันบุคคลไว้สำหรับฆ่าตัวเอง ความกำหนัดโลภหลง จะต้องด้วยไภยอันใหญ่ หญิงแรกรุ่นกำดัด ดุจยักษ์แลปิศาจรากโษษอันร้ายแรงฉนั้น
โป๊ยก่ายครั้นซัวเจ๋งแก้มัดให้ลงมาถึงแผ่นดินได้แล้ว ก็จุดธูปนมัศการขมาโทษ เห้งเจียถามว่ารู้ว่าโพธิสัตว์องค์ใดแกล้งแปลงมาหรือไม่ โป๊ยก่ายบอกว่า ข้าพเจ้าต้องมัดเจ็บปวดมืดมัวหารู้ว่าองค์ใดไม่ เห้งเจียจึงหยิบกระดาษที่เก็บได้นั้นมาส่งให้โป๊ยก่ายดู โป๊ยก่ายรับกระดาดมาดูก็รู้ชัดว่าพระโพธิสัตว์แปลงกายมา ยิ่งมีความอดสูแก่ใจหาที่เปรียบมิได้ ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่านี่โป๊ยก่ายมีนิสัยอันใหญ่ ได้ร่วมญาติกันกับพระโพธิสัตว์ทั้งสี่องค์
โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ตั้งแต่นี่ไปน้องอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อิกต่อไป ต้องตั้งจิตร์หาบหามตามพระอาจาริย์ไปกว่าจะสำเร็จการเถิด หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็สมควรแล้ว
เห้งเจียเห็นการเรียบร้อยแล้ว จึงเดินนำหน้าพากันออกเดินมายังทางใหญ่ หมายระยะทางตรงไปยังทิศปราจิณ ครั้นเดินตามระยะทางตามแนวป่าเช้าค่ำก็พักนอน วันหนึ่งเดินมาตามทางแลไปข้างน่าเห็นภูเขาใหญ่มีต้นไม้ขึ้นเปนช่อชั้นงาม บนยอดเขามีเมฆห้อมล้อมมีรัศมีต่าง ๆ อาจาริย์กับศิษย์เดินพลางชมพลาง หลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นก็มีความรื่นเริง จึงพูดว่าเราข้ามเขาข้ามน้ำมาก็มากแล้ว ยังไม่เห็นเหมือนภูเขานี้ พิเคราะห์ดูไชยภูมิงดงามยิ่งกว่าทุกเขา เห็นจะใกล้เขตรวัดลุ่ยอิมยี่ดอกกระมัง เราทั้งหลายจงตั้งจิตรสำรวมกิริยาให้เรียบร้อย จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
เห้งเจียได้ฟังพระอาจาริย์พูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า จะเร็วดังนั้นทีเดียวหรือ ซัวเจ๋งจึงถามเห้งเจียว่าวัดลุ่ยอิมยิ่นั้นหากพวกเราจะไปนั้น หนทางจะไกลใกล้ประมาณสักเท่าใด เห้งเจียตอบว่าหนทางนั้นหมื่นแปดพันโยชน์สิบส่วนเรามายังไม่ได้หนึ่งส่วน
โป๊ยก่ายถามว่าหากจะไปนั้นสักกี่ปีจึงจะถึง เห้งเจียตอบว่าถ้าน้องทั้งสองไปสิบวันจึงจะถึง ถ้าพี่จะไปวันหนึ่งไปมาห้าสิบรอบก็ยังเห็นแสงตวันไม่ค่ำ ถ้าเปรียบพระอาจาริย์ไปเมื่อไรจะถึงอย่าเพ่อคิดเลย
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ถ้าเห้งเจียพูดดังนั้นก็เมื่อไรจึงจะถึงเล่า เห้งเจียตอบว่าเปรียบพระอาจาริย์ไปนั้นตั้งแต่เล็กจนแก่อย่างนี้พันหนก็ยังไม่ถึง หากพระอาจาริย์มีมูลสันดานผ่องไสยบริสุทธิ์ ชั่วระลึกหยุดก็ถึงที่เขาเล่งซัวนั้นเอง
ซัวเจ๋งจึงถามว่าแม้ตำบลนี้มิใช่วัดลุ่ยอิมยี่พิจารณาดูในแห่งนี้ก็จะเปนสฐานที่ของผู้วิเศษจะอาไศรยอยู่ดอกกระมัง เห้งเจียว่าน้องเห็นความดังนั้นก็จะเปนได้บ้างเห็นเกือบจะถูกต้อง สมควรจะเปนสำนักของผู้วิเศษจริงไม่กระนั้นก็จะเปนสำนักเซียน แลอิสีดาบสอยู่เปนแน่ พวกเราค่อย ๆ เดินพิศดูเล่น
จะกล่าวมูลเหตุของภูเขานี้ มีนามเรียกว่าเขาบ้วนซี่วซัวบนเขานั้นมีสำนักเรียกว่า เหงาจึงกวนสำนัก ๆ นี้มีเซียนฤๅษีองค์หนึ่งนามเรียกว่า ติ๋นหงวนจื้อในภูมิที่นั้น เกิดของวิเศษอยู่สิ่งหนึ่ง ของสิ่งนี้คือตั้งแต่เริ่มตั้งโลกย์ยังไม่ปันฟ้าปันดิน ก็บังเกิดมีของกายสิทธิ์อย่างนี้ คือในใต้หล้านี้ทั้งสี่ทวีปมีแต่อุดรทวีปนั้นแรกมี ต่อมามีชมภูทวีปต่อทีหลัง นามของวิเศษนั้นเรียกว่า เช้าฮ่วนตันคือยาวิเศษแลเรียกยีนเซียมก๊วน คือมีต้นเกิดผลเปนรูปคล้ายคน จะเรียกมรรคลีผลก็ได้ สามพันปีจึงจะออกดอกอิกสามพันปีจงจะตั้งผล อิกสามพันปีจึงจะสุก รวมหมื่นปีจึงบริบูรณ์ กำหนดมีเฉภาะสามสิบผล ผลนั้นคล้ายแก่ทารกพึ่งจะออกจากครรภ์มารดา สามวันผลนั้นเปนเบญจะสาขาบริบูรณ์ แม้ผู้ใดมีนิไสยได้ดมกลิ่นทีหนึ่งอายุยืนสามร้อยหกสิบปี แม้ได้กินผลหนึ่งอายุยืนสี่หมื่นเจ็ดพันปี แต่เมื่อเวลาวันนั้นติ๋นหงวนต้ายเซียนฤๅษีอาจาริย์ใหญ่มีกิจธุระด้วยหงวนซุ้ยเทียนจุนพรหมใหญ่ เชิญไปฟังธรรมบนวิมานมิลอสวรรค์ ติ๋นหงวนต้ายเซียนนั้นสั่งสอนสานุศิษย์แพร่หลายเหลือที่จะคะเนนับ ในเวลานั้นยังมีอยู่สี่สิบแปดคน ๆ นี้ ได้สำเร็จมรรคของเซียนโดยเชี่ยวชาญ ในเวลานั้นติ๋นหงวนอาจาริย์ใหญ่พาสานุศิษย์สี่สิบแปดคนนั้นไปยังสวรรค์ เมื่อจะไปนั้นให้ศิษย์สองคนอยู่เฝ้าสำนัก ชื่อเชงฮองคนหนึ่งชื่อเม่งง้วยคนหนึ่ง เชงฮองอายุได้พันสามร้อยยี่สิบปี เม้งง้วยอายุได้พันสองร้อยปี ใต้เซียนติ๋นหงวนใกล้จะไปได้สั่งสอนสานุศิษย์เชงฮองเม่งง้วยไว้ว่า วันมะรืนนี้คนชอบแก่ข้าพเจ้าจะมาทางนี้คือเปนสมณะสงฆ์อยู่ประเทศจีนเมืองใต้ถัง นามเรียกว่า ถังซัมจั๋ง เธอรับคำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปมัชฌิมประเทศ เพื่ออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม เมื่อเธอมาถึงนี่ตัวทั้งสองอย่าได้เกียจคร้าน จงเชื้อเชิญให้หยุดพักแล้วไปเก็บผลยิ่นเซียมบนต้นลงมาถวายให้เธอฉันสองผล
เชงฮองเม่งง้วยทั้งสองจึงพูดว่า คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่าความปะฏิบัติไม่เหมือนกันอย่าได้ร่วมคิด ก็นี่เธอเปนสมณะจะมาเปนสมรรคพรรคพวกได้หรือ
ติ๋นหงวนผู้อาจาริย์ได้ฟังเชงฮองเม่งง้วยพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านทั้งสองไม่รู้เหตุผลด้วยเดิมพระถังซัมจั๋งนั้น เมื่อครั้งพระพุทธองค์ประชุมเลี้ยงมหาสังฆทานนั้น ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้นับได้ห้าร้อยปีแล้ว เมื่อครั้งเธอเปนโพธิสัตว์ บัดนี้เธอกลับชาติมาเปนสมณะสงฆ์ แม้เธอมาถึงเอาผลยิ่นเซียมถวายให้เธอ จงระวังระไวอย่าให้สานุศิษย์ของเธอรู้เหตุการ
เชงฮองเม่งง้วยได้ฟังอาจาริย์สั่งดังนั้นก็เคารพรับคำสั่ง แล้วใต้เซียนติ๋นหงวนก็พาสานุศิษย์สี่สิบแปดคนเหาะขึ้นบนสวรรค์
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งเดินมากับด้วยสานุศิษย์ทั้งสามคน พิจารณาดูเพิงผาโขดเขาคีรีบัดเดี๋ยวก็เห็นมีต้นไม้สน ที่พื้นลานดูร่มรื่นเปนที่ไชยภูมิสงัดเงียบสำหรับระงับใจให้มีความศุขเย็นใจดุจผู้ปฏิบัติ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงลงจากม้า แลไปเห็นมีแผ่นศิลาจารึกอักษรใหญ่สิบตัว คือ (บ่วนซี่วซัวฮกตี้เหงาจึงกวนต๋องเทียน) แปลว่าเขาบ้วนซิ่วที่ไชยภูมิสำนักเหงาจึงกวนถ้ำฟ้า
หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงบอกแก่ศิษย์ว่า ที่นี้เปนที่สำนักงดงามพวกเราเดินเข้าไปดูเล่น เห้งเจียพูดว่าเห็นจะดีแล้วศิษย์กับอาจาริย์ก็พากันเดินเข้าไปยังประตู มองขึ้นไปดูที่สองข้างประตูมีหนังสือเหลียนเขียนไว้ข้างละเจ็ดตัว คำหนึ่งว่าเชียงแซปุ๊ดเหลาสินเซียนฮู้ แปลว่าอายุยืนไม่แก่ที่เทวดา คำสองว่าอื่อเทียนตั้งซิวเต๋ายิ้นแก ยืนนานเสมอฟ้าหรือสี่มรรค
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงพูดว่า พวกฤาษีเหล่านี้พูดอวดตัวมากนัก ข้าพเจ้าเบื่อหูเมื่อข้าพเจ้าอยู่บนสวรรค์ที่มหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนก็ยังไม่เคยฟังพูดอวดใหญ่โตอย่างนี้ พูดดังนั้นแล้วก็พากันเดินเข้าไปข้างในประตู มองเข้าไปเห็นมีหนุ่มน้อยสองคนเดินออกมา พิเคราะห์ดูรูปร่างงามแปลกปลาดกว่าคนธรรมดาทั้งหลาย หนุ่มน้อยนั้นคือเชงฮองเม่งง้วย เธอทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ยกมือขึ้นคำนับพูดว่า ขอนิมนต์ท่านอาจาริย์เข้ามาพักข้างใน
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีพากันเดินตามหนุ่มน้อยทั้งสองเข้าไปยังสำนัก ครั้นถึงเชงฮองเม่งง้วยจึงเชิญหลวงจีนถังซัมจั๋งให้นั่งที่อันสมควร แล้วยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย
หลวงจีนถังซัมจั๋งแลขึ้นไปบนที่บูชา เห็นมีอักษรใหญ่สองตัวคือ (เทียนตี้) แปลว่าฟ้าดิน แลมีเครื่องตั้งประดับประดาเปนชั้น ๆ หลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงลุกเดินเข้ามาจุดธูปบูชา แล้วกลับมานั่งจึงถามเชงฮองเม่งง้วยว่า ที่สำนักนี้เปนสุขุมระงับเย็นดุจที่เมืองพระพุทธเจ้าอยู่ ทำไมไม่เห็นบูชาพรหมซัมเชงแลเทพยดาดาวทั้งหลาย บูชาแต่อักษรสองตัว ฟ้ากับดินเท่านั้นเอง
เชงฮองเม่งง้วยได้ฟังหลวงจีนถังซัมจั๋งถามดังนั้น หัวเราะแล้วจึงตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่านอาจาริย์ อาจาริย์ของข้าพเจ้าท่านบูชาอักขระฟ้าดินสองตัวนี้ เปนที่สุดยอดแล้ว พรหมแลเทพยดาเทพารักษ์หรือดาวทั้งหลาย ไม่อาจรับการบูชาของอาจาริย์ข้าพเจ้าได้ เพราะอาจาริย์ของข้าพเจ้าออกจากที่อันฉลาดเฉลียวแล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า อันฉลาดเฉลียวนั้นเปนใจความอย่างไร
เชงฮองเม่งง้วยตอบว่า พรหมซัมเซงเปนเพื่อนของพระอาจาริย์ข้าพเจ้า เทวดาเทพารักษ์เจ้าแลดาวทั้งหลาย เปนที่ชอบกับอาจาริย์ของข้าพเจ้า เพราะฉนั้นจึงไม่อาจรับเครื่องสักการะบูชาของอาจาริย์ข้าพเจ้า
เห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้น ได้ยืนเชงฮองเม่งง้วยพูดดังนั้นก็หัวเราะออกงอๆ แล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าเข้าใจกำจัดซึ่งภูตผีปิศาจทั้งหลาย ฟังดูหนุ่มน้อยเด็กทั้งสองคนนี้เข้าใจพูดอ้อมค้อม หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า บัดนี้อาจาริย์ของท่านทั้งสองไปข้างไหน
เชงฮองเม่งง้วยตอบว่า พระอาจาริย์ของข้าพเจ้านั้น ท่านพรหมง่วนซุ้ยเทียนอุนเชิญขึ้นไปบนสวรรค์ ยังวิมานหมี่หลอฟังวิสัชนาธรรม เห้งเจียได้ฟังเชงฮ่องเม่งง้วยบอกดังนั้นก็หัวเราะใหญ่ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น จึงบอกสานุศิษย์ให้ออกไปหาเตาจะได้หุงต้ม เห้งเจียโป๊ยก่ายได้ฟังอาจาริย์สั่งดังนั้น ก็พากันออกมาที่หอกลางไปข้างห้องหออาไศรย ที่โรงครัวจัดแจงหุงต้ม
ฝ่ายเชงฮองเม่งง้วย จึงถามว่าท่านอาจาริย์คือเปนพระที่อยู่เมืองจีน ชื่อถังซัมจั๋งจะไปอาราธนาพระไตรยปิฎกใช่หรือไม่ หลวงจีนถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพนี้แล คือพระถังซัมจั๋ง เหตุใดท่านทั้งสองจึงรู้จักชื่ออาตมภาพเล่า เชงฮองเม่งง้วยจึงบอกว่า อาจาริย์ของข้าพเจ้า เมื่อท่านจะไปได้สั่งไว้ว่า ท่านอาจาริย์จะมาถึงที่นี่ สั่งให้ข้าพเจ้าทั้งสองนิมนต์ท่านพักก่อน ขอท่านอาจาริย์ได้นั่งคอย ข้าพเจ้าจะไปเก็บผลไม้เล็กน้อยมาถวาย เชงฮองเม่งง้วยก็คำนับลาเข้าไปในห้อง หยิบไม้ขอทองเอาแพรปูรองถาด ครั้นแล้วคนทั้งสองก็พากันออกจากห้อง เดินตรงไปยังสวนดอกไม้ ข้ามพ้นสวนดอกไม้ไปบัดเดี๋ยวก็มาถึงที่ต้น (ยิ่นเซี่ยมก๊วย) เชงฮองก็ปีนขึ้นไปบนต้น เอาไม้ตะกร้อทองเกี่ยวผลยิ่นเซียมสองผลขยับสั่น ผล (ยิ่นเซียมก้วย) ก็หล่นลงมาในตะกร้อ เม่งง้วยเอาถาดรองรับไว้ในถาด แล้วคนทั้งสองก็พากันเดินกลับมายังสำนัก จึงนำถวายหลวงจีนถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่าที่สำนักนี้ไม่มีสิ่งใดจะถวาย มีแต่ผลไม้เล็กน้อยอย่างนี้ นิมนต์ท่านฉันพอเปนยาวะชีวิก
หลวงจีนถังซัมจั๋งแลไปในถาด จิตร์ใจให้ไหวสั่นถอยหลังออกมาสามก้าวแล้วพูดว่า ปีนี้ไร่นาเข้าปลาก็บริบูรณ์ ทำไมตำบลนี้แห้งแร้งหรือ จึงเอาเด็กพึ่งคลอดได้สามวันมาให้อาตมฉัน จะควรหรือ เชงฮองได้ฟังหลวงจีนถึงซัมจั๋งพูดดังนั้น แลทั้งมีกิริยาสะดุ้งหวาดไม่รู้จักของวิเศษ เม่งง้วยเห็นดังนั้น ก็เดินเข้ามาใกล้บอกว่าท่านอาจาริย์ยังไม่ทราบ ผลไม้นี้นามเรียกว่า ยิ่นเซียมก้วยผลนั้นเกิดอยู่บนต้น
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ท่านทั้งสองทำไมจึงพูดไพล่เผลดังนั้นเล่า ต้นไม้จะมาเกิดเปนคนมีหรือ จงเอาไปเสียเถิดอาตมฉันไม่ได้ เชงฮองเม่งง้วย ฟังหลวงจีนพูดดังนั้น ก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงยกถาดผลไม้กลับเข้าไปในห้อง เชงฮองเม่งง้วยจึงพูดว่า ผลไม้นี้จะไว้ช้าไม่ได้จะเสียกินไม่ได้ เราทั้งสองแบ่งกันคนละผล พูดแล้วก็ต่างคนกินคนละผล เชงฮองเม่งง้วยนั่งกินผลไม้อยู่ในห้อง ฝาห้องติดกับโรงครัว โป๊ยก่ายกำลังหุงต้มอยู่ในครัวได้ยินเชงฮองเม่งง้วย กระซิบพูดกันเมื่อตะกี้ เอาไม้ขอแลถาดไปใส่อะไรที่ไหน แลได้ยินว่าพระถังซัมจั๋งไม่กล้ากินผลยิ่นเซียมก้วย คนทั้งสองเอากลับไปในห้องแบ่งกันกินเสีย โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นน้ำลายไหลโดยความที่อยากกิน ทำไมเราจะได้สักผลหนึ่งมากินแก้อยาก ตัวเองก็ยังกังวลหุงต้มอยู่ไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใด จึงนั่งคอยเห้งเจียมาจะได้ปฤกษากัน บัดเดี๋ยวเห้งเจียก็จูงม้ามาผูกที่โคนต้นไม้ แล้วก็เดินเลยไปข้างหลังสำนัก โป๊ยก่ายแลเห็นเห้งเจียเดินไปจึงกวักมือร้องเรียกว่า พี่เห้งเจียกลับมานี่ก่อน ๆ เห้งเจียหันหน้ากลับมายังโรงครัว จึงถามว่าอ้ายกินรำมึงเรียกทำไม โป๊ยก่ายว่าที่สำนักนี้มีของวิเศษแกจะรู้อะไร
เห้งเจียถามว่าของวิเศษอะไรที่ไหน โป๊ยก่ายบอกว่าคือผลยิ่นเซียมก้วยแกเคยเห็นบ้างหรือ เห้งเจียได้ยินก็ตกใจแต่ที่จริงไม่เคยได้เห็น เปนแต่เคยได้ฟังเขาเล่าให้ฟังว่าผลยิ่นเซียมก้วยนี้เขาเรียกว่า (เช้าฮ่วนตัน) คือยาวิเศษถ้าได้กินแล้วอายุยืนนานเดี๋ยวนี้ที่ไหนจะมี เปนของหายากนัก
โป๊ยก่ายบอกว่าในที่สำนักนี้มี หนุ่มน้อยทั้งสองนั้นเอามาสองผลถวายพระอาจาริย์ ๆ พูดว่า เด็กทารกพึ่งออกได้สามวันพระอาจาริย์ไม่กล้ากิน เขาทั้งสองพูดอ้อนวอนให้กินพระอาจาริย์ก็ไม่รัปทานแล้วท่านก็ไม่บอกได้เรารู้ด้วย หนุ่มน้อยสองคนเอาไปซ่อนกินไม่ให้พวกเรารู้ เราทำอย่างไรจะได้กินบ้างสักผลหนึ่ง ข้าคิดว่าเราไปเที่ยวค้นดู ถ้าพบแล้วเก็บเอามากินสักสองสามผลจะเปนอย่างไรบ้างก็จะได้รู้กัน
เห้งเจียพูดว่าถ้าดังนั้นก็ไม่สู้ยากอะไรนัก เปนธุระพี่จะไปเที่ยวค้นดู ถ้าพบแล้วพี่เอามากินเล่น พูดแล้วก็เดินออกไป โป๊ยก่ายยึดไว้ว่าอย่าเพ่อก่อนข้าพเจ้าได้ยินมันพูดกันว่า เอาอะไรเปนไม้ตะกร้อในห้องไปสอย เห็นจะต้องเอาสิ่งนั้นไปเก็บจึงจะได้ดอกกระมัง พี่จงแอบเข้าไปดูก่อน
เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงพูดว่าพี่เข้าใจได้ เห้งเจียจึงร่ายมนต์บังตามิให้เห็นตัว แล้วก็เดินเข้าไปในห้อง เวลานั้นเชงฮองเม่งง้วยมิได้อยู่ในห้อง เห้งเจียสอดตามองรอบห้องแลเห็นไม้ขอทองที่บนประตูห้องแขวนอยู่ ยาวประมาณสองแขนเสศ ข้างหนึ่งใหญ่ข้างหนึ่งเล็ก ผ้าแพรสีต่าง ๆ พันคันขอ เห้งเจียเห็นแล้วก็คิดว่าเห็นจะเปนไม้อันนี้เอง จึงเดินเข้าไปหยิบเอามาเดินดูไปในสวนจนข้ามสวนดอกไม้ไปถึงสวนต้นไม้ใหญ่ ดูกิ่งก้านออกเขียวรื่นไปทั้งหมู่ ผลแลดอกออกฉ้อดูงดงามยิ่งนัก เห้งเจียก็เดินมาใกล้ต้นยิ่นเซียมก้วยยืนอยู่ที่โคนต้น แลขึ้นไปดูบนต้นเห็นข้างทิศอาคะเณนั้นมีกิ่งมีผลห้อยอยู่ พิจารณาดูดังทารกแดง ๆ ผลนั้นติดอยู่ปลายกิ่งห้อยแกว่งกวัดผามลม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ ก็ปีนขึ้นบนต้นไม้นั้นจนถึงยอดเอาไม้ตะกร้าสอยลูกหนึ่งพอบิดผลยิ่นเซียมก้วยก็หล่นตกลงมายังพื้นดิน เห้งเจียก็กระโดดตามลงมาค้นหาดูรอบในที่นั้นก็ไม่เห็น แหวกหญ้าดูก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลย เห้งเจียนึกว่าผลไม้นี้มีตีนเห็นจะเดินหนีได้โดยจะหนีไปก็ไม่พ้น ปลาดจริง ๆ ทำไมจึงหาไม่เห็น จึงคิดว่าชะรอยพวกพระภูมิเจ้าที่ ๆ รักษาในสวนนี้ จะไม่ยอมให้เราลักผลยิ่นเซียมก้วยจึงเก็บเอาไปซ่อนเสีย พูดแล้วก็อ่านคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่ในเขตรนั้น บัดเดี๋ยวพระภูมิก็มาพร้อมกันคำนับแล้วถามว่า ท่านใต้เซียเรียกพวกข้าพเจ้ามานี้มีกิจธุระจะสั่งเสียอะไรหรือ
เห้งเจียพูดว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ ข้าพเจ้าลือรอบจักรวาฬคือเปนหัวขะโมยใหญ่ บนสวรรค์นั้นลักชมภู่ลักสุราชองเง็กเซียงฮ่องเต้แลลักยาวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุน ผู้ใดก็ไม่กล้าจะขัดขวางอะไร บัดนี้ข้าพเจ้าขะโมยเก็บผลไม้ผลหนึ่ง ทำไมพวกท่านเอาของเราไปซ่อนเสียที่ไหน ผลไม้ก็เปนของอยู่กลางอากาศเกิดขึ้น ควรจะแบ่งให้เรากินสักผลหนึ่ง จะเสียหายสักเท่าใด เราพึ่งสอยลงมาผลหนึ่งเท่านั้นทำไมจึงเก็บเอาไปซ่อนเสียที่ไหน
พระภูมิเจ้าที่ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงบอกว่า ท่านใต้เซียเห็นผิดเสียแล้ว พวกข้าพเจ้าเปนแต่เจ้าผีซึ่งสิ่งผลไม้วิเศษอย่างนี้พวกเทวดาเซียนเขาอาจทำได้ พวกข้าพเจ้าจะเอาไปที่ไหนได้แต่จะดมกลิ่นก็ไม่ได้ดม
เห้งเจียถามว่าถ้าพวกท่านไม่ได้เอา เราสอยตกลงมาแล้วจะหายไปข้างไหนเล่า พระภูมิเจ้าที่บอกว่าใต้เซียทราบแต่ของวิเศษไม่ทราบที่พื้นนี้ขัดแก่เบ็ญจะธาตุเหงาเฮ้งอยู่
เห้งเจียถามว่าเหตุใดจึงมีขัดข้อง พระภูมิเจ้าที่จึงตอบว่าผลไม้นี้ถูกธาตุทองก็หล่นถูกธาตุไม้ก็เหี่ยวถูกน้ำก็แปรสูญ ถูกธาตุไฟก็เผาละเอียดถูกธาตุดินก็มุดสูญไป เวลาจะเก็บก็ต้องเอาทองทำไม้สอยหล่นแล้วก็ต้องเอาถาดแลเอาแพรแลสำลีรองรับผลไม้ไว้ ผลไม้จึงจะมิได้แปรปรวน ถ้าผลไม้เหี่ยวแห้งกินอายุก็ไม่ยืนนาน ท่านใต้เซียไม่ทราบเพราะฉนั้นสอยตกถูกดินจึงได้อันตระทานหายไป
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงเอากระบองเหล็กกะทุ้งดินงัดขึ้นดูก็ไม่เห็นจึงพูดว่าเห็นจะเปนจริงดังท่านพูดข้าพเจ้าผิดเอง ท่านทั้งหลายจงกลับไปเถิด พวกพระภูมิเจ้าที่ก็พากันกลับไป เห้งเจียจึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้มือหนึ่งจับขอสอย มือหนึ่งเอาผ้าผูกฅอทำเปนถุงรับ สอยลงมาได้สามผลแล้วก็กระโดดกลับลงมา ไปยังที่ห้องครัวแก้ห่อออกมาให้โป๊ยก่ายดู แล้วพูดว่าผลไม้นี้จะต้องแบ่งให้เท่ากัน โป๊ยก่ายจงเรียกกันมาให้พร้อมกันดูเล่นเปนขวัญตา โป๊ยก่ายจึงออกไปจากห้องเรียกซัวเจ๋งมา ครั้นพร้อมเห้งเจียจึงขยายห่อออกถามว่า ผลไม้อย่างนี้พี่น้องเคยเห็นที่ไหนมีบ้างหรือ
ซัวเจ๋งบอกว่าข้าพเจ้าเคยเห็นแต่ไม่เคยได้กิน ครั้งก่อนเมื่อข้าพเจ้าอยู่บนสวรรค์ เคยเห็นเทพยดาตามป่าหิมพานต์นำมาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เมื่อเวลาแซยิดนั้นก็ได้เคยเห็นทุกครั้ง ซัวเจ๋งจึงพูดว่าถ้ากระนั้นพี่ให้ฉันสักผลหนึ่ง เห้งเจียว่าน้องไม่ต้องขอจะต้องแบ่งกันคนละผล เห้งเจียหยิบผลยิ่นเซียมก๊วยให้โป๊ยก่ายแลซัวเจ๋งคนละผลต่างคนต่างกิน โป๊ยก่ายปากกว้างเอาผลไม้ใส่ปากแล้วกลืนเข้าไปในท้องแล้วถามคนทั้งสองว่า กลิ่นรศชาติเปนประการใดบ้าง
เห้งเจียว่าตัวกินเข้าไปแล้วจะมาถามใครอิกเล่า ลิ้นตัวไม่มีดอกหรือจึงไม่รู้สึกว่ารศชาติเปนประการใด โป๊ยก่ายบอกว่ากลืนเข้าไปเร็วนักไม่ทันจะรู้ว่ามีเมล็ดหรือไม่มีก็ไม่ทราบ อยากจะให้พี่ไปเอามาอีกสักผลหนึ่ง ค่อย ๆ กินจึงจะได้รู้รศว่าเปนประการใด เห้งเจียพูดว่าน้องทำไมจึงไม่รู้จักพอ ที่พี่น้องเราได้กินคนละผลก็พอเปนนิไสยปัจจัยอันใหญ่ยิ่งมิใช่การเล็กน้อย เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็มิได้ไปเก็บผลไม้อิก
ฝ่ายโป๊ยก่ายยังบ่นไม่หยุดปาก พูดแต่เรื่องกินผลยิ่นเซียมก๊วยบังเอินเชงฮองเม่งง้วยกลับมาในห้องนั่งอยู่ ได้ยินเสียงโป๊ยก่ายบ่นว่า ทำไมหนอจะได้กินผลยิ่นเซียมก๊วยอิกสักผลหนึ่ง ให้อร่อยลิ้นจึงจะดี เชงฮองได้ยินดังนั้น ก็มีความสงไสยจึงพูดแก่เม่งง้วยว่า อ้ายปากหมูมันพูดอะไรว่า อยากจะกินยิ่นเซียมก๊วยอีกสักผลหนึ่ง
เมื่อท่านอาจาริย์จะไปนั้นก็ได้สั่งไว้ว่า ให้ระวังสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋งมันมักซุกซน นี่เห็นมันจะขะโมยเก็บผลยิ่นเซียมก๊วยมากินเข้าไปแล้วดอกกระมัง เม่งง้วยจึงหันหน้าไปดูไม้ขอทองเห็นตกอยู่กับพื้นจึงร้องบอกแก่เชงฮองว่าเห็นจะไม่เปนการแล้ว ไม้ตะกร้อทำไมจึงพลัดตกลงมาอยู่กับพื้น เราพากันไปดูที่สวน จะมีเหตุการอะไรบ้าง พูดกันแล้วเชงฮองกับเม่งง้วยก็พากันออกจากห้องไปยังสวน ครั้นถึงจึงแลขึ้นไปดูบนต้นไม้ตลอดมา เห็นยังเหลืออยู่ยี่สิบสองผล เม่งง้วยพูดว่า ผลไม้มีอยู่สามสิบผล ท่านอาจาริย์เก็บกินสองผล เราเก็บถวายพระถังซัมจั๋งสองผล ก็ยังเหลืออยู่ยี่สิบหกผลจึงจะถูก นี่ทำไมจึงยังเหลืออยู่แต่ยี่สิบสองผลเล่า จะมีขาดหายไปเสียสี่ผลหรือ ไม่ต้องสงไสยเลยอ้ายพวกศิษย์พระนั้นเองคงจะขะโมยกินเปนแน่ จำเราจะไปต่อว่าแก่หลวงจีนผู้อาจาริย์จึงจะชอบ ว่าแล้วก็พากันเดินกลับมายังสำนักหอน่า ครั้นถึงก็เดินขึ้นบนหอแล้วชี้หน้าหลวงจีนถังซัมจั๋งว่า พวกอ้ายโล้นหน้าโล้นหลังสกปรกไม่มีดี เชงฮองเม่งง้วยทั้งด่าทั้งว่าด้วยถ้อยคำอันอยาบช้า
หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นคนทั้งสอง มาชี้หน้าว่ากล่าวอยาบหยามอย่างนั้น ก็มิได้รู้ว่าเหตุผลต้นปลายเปนประการใด จึงถามเชงฮองเม่งง้วยว่าท่านทั้งสองมีความร้อนใจอะไรหรือ เชงฮองพูดว่ายังจะทำหูหนวกไปอิกหรือ ขะโมยผลไม้ยิ่นเซียมก๊วยไปกินเสียสี่ผลแล้วจะไม่ให้เราพูดจะได้หรือ
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ผลยิ่นเซียมก๊วยนั้นรูปร่างเปนอย่างไรเรายังหารู้จักแลเข้าใจไม่ เม่งง้วยบอกว่าเมื่อตะกี้นี้เอามาให้ท่านกินท่านว่าเด็กทารกพึ่งเกิดนั้นมิใช่หรือ หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า อะนิจจังอะนิจจาเมื่อตะกี้นี้ข้าพเจ้ากลัวมิอาจเข้าใกล้ เหตุใดจึงจะไปลักกินเข้าไปได้เล่า ท่านพูดดังนี้จะมิผิดไปหรือ
เชงฮองจึงพูดว่า ท่านไม่กินก็พวกสานุศิษย์ของท่านขะโมยเอาไปกิน หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงว่า ถ้ากระนั้นเห็นจะจริงท่านจงคอย อาตมภาพจะเรียกมาถามดู ถ้าได้ขะโมยจริงดังท่านว่าก็มีความผิด ว่าแล้วหลวงจีนถังซัมจั๋งก็เรียกศิษย์ทั้งสาม ซัวเจ๋งได้ยินพระอาจาริย์เรียกก็ตกใจ จึงพูดว่าเห็นจะไม่ชอบกนเสียแล้วคงจะเกิดความด้วยเรื่องผลไม้นี้เอง
เห้งเจียพูดว่า โทษขะโมยของกินมีความผิดมากกว่าฆ่าคนตาย เขาจะลือว่าพวกเราขะโมยกินตาย ถึงหนักหนาอย่างไรพวกเราอย่ารับ โป๊ยก่ายว่าถ้าอย่างนั้น เราพร้อมใจกันอย่ารับก็แล้วกัน พูดปฤกษากันตกลงแล้ว เห้งเจียโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งก็พร้อมกันขึ้นไปบนหอนั่ง