ตอนที่ ๕๐ นางเสาวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม

๏ จะกลับกล่าวชาวบ้านด่านสมุทร เป็นที่สุดนับถือพระฤๅษี
นางโฉมยงนงลักษณ์อัคนี ขึ้นอยู่ที่ป้อมปืนทุกคืนวัน
ทั้งพี่เลี้ยงเคียงอาสน์ต่างคาดว่า นายด่านกล้าขึ้นไปถึงไอศวรรย์
เห็นทีท้าวเจ้าพาราจะฆ่าฟัน เมื่อวันนั้นนึกจะห้ามก็ขามใจ
แม่ก็รู้อยู่ทำไมจึงไม่ห้าม หรือต้องตามกลศึกนึกไฉน
นางยิ้มพลางทางว่าเห็นไม่เป็นไร ปล่อยขึ้นไปได้ทีดีข้างเรา
ถึงเจ้าเมืองเคืองขัดจะตัดหัว ตายแต่ตัวนายกองกรรมของเขา
ฝ่ายพวกพ้องต้องโทษทั้งโคตรเค้า จะช่วยเรารบรุดจนสุดมือ
ได้รายทางวางคนทำกลศึก ฉันตรองตรึกเห็นกระนี้ไม่ดีหรือ
แม้รบเราเผาเมืองให้เลื่องลือ ทั้งฝีมือความคิดวิทยา
อันนายด่านฉันให้ไปมิได้ห้าม ด้วยจับยามเห็นว่ายังไม่สังขาร์
ให้หนังสือถือไปมาลัยมาลา ใช้ปัญญาดูสักครั้งจะอย่างไร
พี่เลี้ยงฟังบังคมชมฉลาด แม่คิดคาดเหลือดีจะมีไหน
ต่างจับยามตามตำราประสาใจ เห็นจะได้คืนกลับไม่อับจน
ต่างเตรียมศึกฝึกเหล่าพวกชาวบ้าน ให้รอนราญรุกรบถึงหลบฝน
ฝ่ายโฉมยงนงเยาว์เสาวคนธ์ ขึ้นอยู่บนป้อมชั้นเชิงบรรพต ฯ
๏ จะกล่าวฝ่ายนายด่านถึงบ้านไหน เกลี้ยกล่อมได้เพื่อนสนิทคิดขบถ
เป็นหลายร้อยพลอยสมัครด้วยรักยศ ล้วนคนคดเขาไม่เอาเข้าบาญชี
ไปตามทางกลางถนนคนทั้งหลาย ไม่ใกล้กรายเกลียดกลัวเอาตัวหนี
พวกนายด่านพาลทะนงด้วยธงมี ทำท่วงทีเป็นสุภาตุลาการ
ถึงบ้านไหนได้คำนับธงรับสั่ง เรียกเอาทั้งเหล้าข้าวของคาวหวาน
ข่มเหงเล่นเป็นโสดด้วยโปรดปราน จะไปด่านคิดสู้กับภูมินทร์
ชาวบ้านเมืองเคืองแค้นแสนสาหัส โกรธกษัตริย์กระซิบว่านินทาสิ้น
ทำธงให้อ้ายขบถคดแผ่นดิน มาขู่กินเล่นสนุกปรับทุกข์กัน
นายด่านได้ไพร่พลมาอลหม่าน เข้าถึงด่านดังหนึ่งมาถึงสวรรค์
พวกลูกเต้าบ่าวไพร่ดีใจครัน มาพร้อมกันอยู่ที่พระอัคนี
นายด่านกราบราบเรียบพับเพียบพลอด ครั้งนี้รอดเพราะหนังสือพระฤๅษี
แล้วเล่าความตามท้าวเจ้าบูรี ให้ฆ่าตีตอบโต้โมโหฮึก
กำลังโกรธโปรดปรานประทานยศ ให้เป็นขบถคิดอ่านทำการศึก
ตีตราธงส่งให้เหมือนใจนึก เหลือรำลึกถึงคุณพระมุนี
ช่างฉลาดคาดแน่เหมือนแลเห็น หรือพระเป็นเทวดาในราศี
โปรดประหารผลาญท้าวเจ้าบุรี ขึ้นนั่งที่แทนกษัตริย์ขัตติยา ฯ
๏ พระดาบสอดยิ้มพริ้มพระโอษฐ์ ภิปรายโปรดว่าเราขาดปรารถนา
ไม่นิยมสมบัติกษัตรา หมายโสดาแดนสวรรค์ชั้นวิมาน
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้จะมิช่วย สงสารด้วยศิษย์หาโยธาหาญ
ถ้าเขารบเราก่อนจึงรอนราญ อันเมืองด่านแดนเดินเนินบรรพต
จงหัดให้ไพร่พลรู้กลรบ ที่หลีกหลบไล่ล้อมพร้อมกันหมด
เดินกระบวนส่วนเดียวไม่เลี้ยวลด ชื่อว่าทศโยธาแสนยากร
เป็นสิบกองต้องหัดให้ผลัดเปลี่ยน กระหวัดเวียนวกหลังเหมือนสั่งสอน
สำคัญกลองฆ้องขานเข้าราญรอน ให้พลผ่อนผลัดรบบรรจบกัน ฯ
๏ นายด่านฟังดังหนึ่งได้ชัยชนะ สาธุสะศึกเสือเหลือขยัน
ไม่กลัวใครได้ครูจะสู้กัน ไล่ห้ำหั่นกินดิบในพริบตา
แล้วสั่งให้ไปจัดหัดทหาร ให้ชำนาญหนีไล่เลี้ยวซ้ายขวา
ได้หลายหมื่นล้วนทมิฬสิ้นโยธา ทั้งพลการะเวกนั้นด้วยพันร้อย
แบ่งพวกหญิงชาญธนูอยู่กำกับ ทั้งสิบทัพคุมไพร่คอยใช้สอย
เห็นแทงฟันมันไม่ม้วยจึงช่วยพลอย ยิงให้ลอยข้ามทัพพออัปรีย์
เป็นสิบหมู่รู้กันสำคัญฆ้อง ให้ตีกลองว่องไวทีไล่หนี
สงบให้เขามารบราวี จึงตามตีติดพันเหมือนสัญญา ฯ
๏ ฝ่ายราหูผู้รับสั่งที่ตั้งทัพ มิได้กลับด้วยยังไม่ได้ให้หา
พอรู้ข่าวท้าวปล่อยคนโทษมา ทั้งมีตราสั่งกำชับให้จับเป็น
เห็นวิปริตผิดอย่างแต่ปางก่อน ราษฎรจะได้ทุกข์เกิดยุคเข็ญ
มิควรทำลำบากให้ยากเย็น แต่จำเป็นก็จะต้องฉลองคุณ
จึงสั่งฝ่ายนายรองทั้งกองทัพ ให้กำกับกันแต่พื้นพวกหมื่นขุน
จะปีนเข้าเผาเมืองให้ชุลมุน ทั้งทัพหนุนหน้าหลังประดังกัน
นายกองรับกลับออกมาบอกไพร่ เตรียมเชื้อไฟดินดำกำมะถัน
ทั้งสายโซ่โยทะกาผ้าน้ำมัน บ้างทำบันไดปีนตีนกำแพง
ส่วนราหูผู้ชำนาญในการรบ แต่งตัวครบเครื่องยุทธ์อาวุธแฝง
ถือโลหะจรีเหมือนตรีแทง คันทองแดงสี่ศอกเม็ดดอกบัว
กิเลนขี่มีเกราะโลหะหุ้ม หมวกโหม่งครุ่มครอบสวมใส่กรวมหัว
มันยักคิ้วหลิ่วตาดูน่ากลัว ตัวเหมือนตัวพยัคฆาหน้าเหมือนคน
แล้วตีฆ้องกลองศึกพิลึกลั่น ธงสำคัญโบกคว้างมากลางหน
ต่างโห่ร้องซ้องเสียงสำเนียงพล ขับกันกล่นเกลื่อนมาล้อมป้อมปราการ
แล้วหยุดทัพยับยั้งสั่งให้บ่าว ร้องว่าชาวทะเลเดรฉาน
เป็นขบถคดโกงพระโองการ จะรอนราญเร่งออกมาอย่าช้าที
แม้นิ่งอยู่กูจะเข้าไปเอาโทษ ให้สิ้นโคตรคนถือพระฤๅษี
ใครนับถือซื่อต่อเจ้าธรณี มาภักดีจะโปรดที่โทษกรณ์ ฯ
๏ ฝ่ายพวกพลบนเชิงเทินเนินหอรบ ไม่หลีกหลบต้านศึกเหมือนฝึกสอน
เหวยราหูผู้เฒ่าเจ้านคร เมื่อคราวก่อนก็อุบายปดนายกู
ให้ออกไปใส่กรงส่งเมืองหลวง ทำล่อลวงเลี้ยวลดไม่อดสู
ยังมีหน้ามาอีกเล่าเฒ่าหัวงู แล้วนายกูจะไปจับมาสับฟัน ฯ
๏ ราหูฟังคั่งแค้นขับทหาร เข้าหักด่านเข่นฆ่าให้อาสัญ
พลางตีฆ้องกลองรบสมทบกัน โห่สนั่นครั่นครื้นยิงปืนไฟ
บ้างโยนโซ่โยถกาขาเกี่ยวติด ไต่ประชิดแทงฟันเสียงหวั่นไหว
ชาวด่านเอาเสาทิ้งกลิ้งลงไป ถูกนายไพร่เจ็บป่วยบ้างม้วยมรณ์
ที่เหลือตายนายขับขึ้นรับรบ จุดเพลิงคบขว้างทิ้งบ้างยิงศร
ชาวด่านแทงแพลงพลาดสาดน้ำร้อน ต่างแทรกซ่อนรอนรันประจัญบาน ฯ
๏ ฝ่ายนงลักษณ์อัคนีอยู่ที่ป้อม เห็นทัพล้อมพร้อมพรักเข้าหักหาญ
ได้ท่วงทีตีฆ้องก้องกังวาน ทหารขานโห่รับทั้งทัพชัย
เปิดประตูตรูตรงออกยงยุทธ์ อุตลุดไล่ฟันเสียงหวั่นไหว
ทั้งสิบทัพนับหมื่นยิงปืนไฟ ถูกนายไพร่ตายล้มไม่สมประดี
พวกราหูสู้รบบ้างหลบเลี่ยง ไม่พร้อมเพรียงพลัดพรายกระจายหนี
พวกชาวด่านรานรุกเข้าคลุกคลี ผลาญโยธีกองทัพลงนับพัน
แต่เสนาราหูยังสู้รบ เลี้ยวตลบหลีกลัดสกัดกั้น
ขับกิเลนเผ่นโผนโจนประจัญ ไล่แทงฟันหันคว้างอยู่กลางพล
พวกด่านห้อมล้อมรุมกลุ้มสกัด ต่างพุ่งซัดศัสตราดังห่าฝน
ถูกราหูสู้ดำรงด้วยคงทน ถึงอับจนคนเดียวสิ้นเรี่ยวแรง ฯ
๏ ฝ่ายนายด่านชาญสมุทรขี่อูฐรบ เลี้ยวตลบไล่ทหารชาญกำแหง
เห็นราหูจู่โจมโถมเข้าแทง ราหูแรงน้อยรบหลบไม่ทัน
ถูกหอกหกตกกิเลนลุกเผ่นโผน นายด่านโจนจับมัดรัดกระสัน
ทหารแตกแยกย้ายพลัดพรายกัน นายด่านฟันไพร่นายล้มตายยับ
พวกโยธาราหูไม่สู้รบ ลงนอบนบนั่งไหว้ยอมให้จับ
พระอัคนีตีกลองเรียกกองทัพ ต่างคืนกลับเกลื่อนมาหน้าปราการ ฯ
๏ นายด่านพาราหูคนผู้เฒ่า มาหมอบเฝ้าที่ตรงป้อมพร้อมทหาร
นางเห็นหน้าราหูคนบุราณ คิดสงสารคนแก่ให้แก้มัด
เห็นเหน็ดเหนื่อยเมื่อยเหน็บยังเจ็บปวด ให้หมอนวดหลายคนปรนนิบัติ
ทั้งเอมโอชโภชนาสารพัด มาตั้งจัดแจงให้เป็นไมตรี
แล้วตรัสว่าราหูเป็นผู้เฒ่า อันตัวเรานี้ถือเป็นฤๅษี
คิดประโยชน์โปรดสัตว์ในปถพี ไม่ฆ่าตีหญิงชายให้วายชนม์
เราหมายมาว่าจะชมโรมวิสัย ด้วยจงใจเจตนาสถาผล
เจ้าเมืองใหญ่ใช้ท่านมาไล่ฆ่าคน จึงจำจนจำสู้ให้รู้ฤทธิ์
เราจับได้ให้สงสารท่านราหู อย่าไปอยู่แปดปนกับคนผิด
จะยกโทษโปรดให้ไว้ชีวิต จะสัตย์ซื่อหรือจะคิดเบือนบิดไป ฯ
๏ ราหูฟังสั่งสอนสุนทรปลอบ พลอยเห็นชอบเชิงความตามวิสัย
สารภาพกราบฤๅษีด้วยดีใจ พระคุณใครไม่เหมือนคุณพระมุนี
มารบรับจับได้ไว้ชีวิต จะขอคิดนับถือพระฤๅษี
อยู่เป็นข้ากว่าจะตายวายชีวี พระมุนีอย่าได้แหนงแคลงพระทัย
อันองค์ท้าวเจ้าวาหุโลมราช จะสิ้นวาสนาคิดผิดวิสัย
ให้ธานีมีศึกไม่ตรึกไตร จะพาไพร่พลตายวายชีวัน ฯ
๏ พระอัคนีปรีชาว่าราหู ท่านย่อมรู้ความจริงทุกสิ่งสรรพ์
อันชิงชัยได้ชนะจะละกัน ชื่อว่าจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย
ท่านไปด้วยช่วยกำกับเป็นทัพหน้า ปราบบรรดาเมืองทมิฬสิ้นทั้งหลาย
พวกกองทัพจับได้ทั้งไพร่นาย ยังมากมายมอบให้ท่านใช้การ ฯ
๏ ราหูฟังบังคมประนมสนอง จะเป็นกองทัพหน้าไปว่าขาน
แม้เมืองไหนไม่อ่อนจะรอนราญ สังหารผลาญชีวันให้บรรลัย
แล้วทูลลาพาบ่าวมาเข้าค่าย ทั้งไพร่นายยินดีจะมีไหน
ทุกหมู่หมวดตรวจพลสกลไกร ยังอยู่ได้ห้าหมื่นพื้นฉกรรจ์
ทั้งเกวียนม้าลาที่เคยขี่ขับ เตรียมสำหรับรับนายจะผายผัน
พอฤกษ์ดีตีฆ้องกลองสำคัญ โห่สนั่นลั่นเลื่อนยกเคลื่อนคลา ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระอัคนีกับพี่เลี้ยง จัดพร้อมเพรียงไพร่นายทั้งซ้ายขวา
คอยอยู่หลังนั่งคะเนดูเวลา ให้ทัพหน้าเดินไปก่อนได้ค่อนวัน
พอแดดร่มลมตกยกทหาร ออกจากด่านเดินพหลพลขันธ์
ต่างขานฆ้องกองทัพรับโห่กัน นายด่านนั้นนำหน้าพลากร
นางโฉมยงทรงสิงห์กั้นกลิ้งกลด เผ่นพยศเยื้องไหล่เยี่ยงไกรสร
ประโคมฆ้องกลองแห่ทั้งแตรงอน อ้อมสิงขรขึ้นทางไปหว่างเนิน
พวกขอเฝ้าเหล่าสี่พระพี่เลี้ยง ประคองเคียงข้างนางไม่ห่างเหิน
ต้นยางยูงสูงสล้างริมทางเดิน ต่างมุ่งเมินเดินชมพนมไพร
พฤกษาออกดอกดวงเป็นพวงห้อย ระย้าย้อยช้อยชดสดไสว
พวกผู้หญิงชิงช่วงพวงดอกไม้ ต่างเด็ดได้ไปถวายพระอัคนี
ริมเชิงเขาสาวหยุดพุทธชาด เดียรดาษดอกประดับสลับสี
รสสุคนธ์มณฑาสารภี มะลุลีลั่นทมน่าชมเชย
สองข้างทางนางแย้มแกมกุหลาบ แก้วอังกาบพุดพะยอมหอมระเหย
นางชมชื่นรื่นร่มลมรำเพย คิดถึงเคยคราวครั้งไปลังกา
เคยพร้อมพรั่งทั้งสองพระน้องพี่ ได้ชวนชี้ชมไม้ไพรพฤกษา
มาห่างแหแต่นี้พระพี่ยา ไม่เห็นหน้าน้องแล้วจะแคล้วกัน
ยิ่งตรึกตราอาลัยจะใคร่กลับ แต่ล่าทัพอับอายจำผายผัน
พระพักตร์เศร้าเปล่าใจในไพรวัน สู้อัดอั้นกลั้นสะอื้นฝืนฤทัย
รีบเดินทางกลางวันได้พันเส้น ครั้นจวนเย็นทำพลับพลาหยุดอาศัย
ครั้นเช้าตามทัพหน้าเคลื่อนคลาไคล ตลอดไปตามทางหว่างคีรี ฯ
๏ ฝ่ายราหูผู้เฒ่าเข้าแดนด่าน ห้ามชาวบ้านน้อยใหญ่มิให้หนี
เที่ยวบอกเล่าเจ้าเมืองเอกโทตรี ว่ามุนีมีบุญกรุณา
เมืองเล็กน้อยพลอยเห็นเช่นราหู ไม่รบสู้สาพิภักดิ์ด้วยหนักหนา
คอยรับทัพคับคั่งตั้งบูชา ล่วงด่านมาห้าชั้นไม่อันตราย ฯ
๏ จะกล่าวเรื่องเมืองด่านทหารเอก ชื่อตรีเมฆคุมทมิฬสิ้นทั้งหลาย
ครั้นรู้ว่าราหูคบผู้ร้าย ชวนหญิงชายภักดีด้วยชีไพร
จะยกมาชวนเราให้เข้าด้วย จำต้องช่วยเจ้าปราบราบให้ได้
จึงรีบรัดจัดพลสกลไกร ทั้งนายไพร่พร้อมหน้าถืออาวุธ
แล้วยกออกนอกด่านด้วยหาญฮึก จะปราบศึกเสี้ยนแผ่นดินให้สิ้นสุด
ทั้งสี่หมื่นพื้นทหารชำนาญยุทธ์ ไม่ยั้งหยุดยกเดินขึ้นเนินทราย
พอพบกับทัพหน้าพวกราหู ต่างรอดูท่วงทีไม่หนีหาย
บ้างแกว่งกลอกหอกดาบปลาบประกาย นายต่อนายออกหน้าร้องพาที
ตรีเมฆว่าราหูเป็นผู้เฒ่า ไยไปเข้านับถือพระฤๅษี
เสียแรงท้าวเจ้าจังหวัดปถพี ประทานที่บ้านเมืองแลเครื่องยศ
ให้ยกทัพนับแสนไปแดนด่าน สังหารผลาญผู้ผิดคิดขบถ
เหตุไฉนใจจิตจึงคิดคด ทรยศยกมาจะราวี ฯ
๏ ฝ่ายราหูผู้เฒ่าจึงเล่าเรื่อง เดิมคิดเคืองคนนับถือพระฤๅษี
เรายกไปให้ทหารเข้าต้านตี จนเสียทีชีวันจะบรรลัย
พระฤๅษีมีคุณการุญโปรด ไม่ถือโทษเมตตาอัชฌาสัย
ให้กลับมาว่ากล่าวทูลท้าวไท มิให้ไพร่พลเมืองเคืองรำคาญ
ด้วยฤๅษีประโยชน์จะโปรดสัตว์ ไม่นิยมสมบัติพัสถาน
เรานำหน้ามาแถลงให้แจ้งการณ์ จะรุกรานท่านผู้ใดก็ไม่มี
ท่านเลิกทัพขับไพร่ไปเสียเถิด อย่าให้เกิดรบพุ่งเอากรุงศรี
ช่วยทูลท้าวเจ้าจังหวัดปถพี ให้ภักดีดาบสทรงพรตธรรม์
จะก่อศึกฮึกหาญเป็นการชั่ว จะร้อนทั่วทุกประเทศทั้งเขตขัณฑ์
ท่านกับเราเล่าก็มีไมตรีกัน จงผ่อนผันพอให้ควรอย่าลวนลาม ฯ
๏ ตรีเมฆว่าราหูคบผู้ร้าย คิดอุบายเบียดเบียนเป็นเสี้ยนหนาม
เป็นข้าครอกนอกเจ้าข้าวนอกชาม ช่วยติดตามรบราญด่านเข้ามา
ตัวเองนี้เราเห็นเป็นคนคด ทรยศต่อแผ่นดินสิ้นขายหน้า
ไม่คิดคุณทูลกระหม่อมชุบย้อมมา ซ้ำอาสานำขบถมาปดเรา
เร่งถอยทัพกลับไปเสียให้พ้น ไม่คบคนหือรือโหดพวกโฉดเฉา
มิฟังว่าราหูอย่าดูเบา จะตัดเอาศีรษะเสียบประจาน ฯ
๏ ราหูว่าฉาฉีอ้ายตรีเมฆ กลับโหยกเหยกก่อศึกพูดฮึกหาญ
จะทำให้ไพร่เมืองเคืองรำคาญ กูจะผลาญเสียให้ตายวายชีวี
ขับกิเลนเผ่นโผนกระโจนจับ ตรีเมฆขับแรดรบไม่หลบหนี
ต่างรับรองป้องกันประจัญตี ปะทะทีฟันแทงต่อแย้งยุทธ์
เหล่าทหารต่อทหารรุกราญรบ ไม่หลีกหลบกลอกกลับสัประยุทธ์
ต่างพุ่งซัดศัสตราแกว่งอาวุธ อุตลุดตะลุมบอนไล่ฟอนฟัน
ทั้งสองฝ่ายนายไพร่ต่างไวว่อง ต่างรับรองเรี่ยวแรงล้วนแข็งขัน
พอนายด่านชานชลายกมาทัน โห่สนั่นหนุนกลุ้มเข้ารุมรบ
บ้างโอบอ้อมล้อมหลังไล่สังหาร พวกพลด่านตายยับซ้อนซับศพ
ทั้งสองทัพขับโยธีตีสมทบ ตรีเมฆหลบหลีกล่าเข้าป่ารัง
ราหูไล่นายด่านเข้าต้านหน้า พวกโยธาหุ้มห้อมล้อมหน้าหลัง
ตรีเมฆรับสัประยุทธ์สุดกำลัง ตกจากหลังแรดล้มไม่สมประดี
ทหารรุมกลุ้มกลัดจับมัดมั่น ไล่ฆ่าฟันไพร่นายพลัดพรายหนี
พอทัพหลังทั้งองค์พระอัคนี มาถึงที่รบทัพตั้งพลับพลา ฯ
๏ ฝ่ายสองทัพจับได้ไพร่ชาวด่าน มาประมาณสามหมื่นล้วนปืนผา
ราหูให้ไพร่มัดตรีเมฆมา หมอบตรงหน้าเฝ้าพระอัคนี
แล้วทูลความตามพบได้รบสู้ นี่ตัวผู้รั้งด่านชานกรุงศรี
นางทรงฟังสั่งว่าอย่าฆ่าตี ให้แก้ตรีเมฆออกแล้วบอกความ
เราถือศิลจินตนารักษากิจ มิได้คิดการบาปที่หยาบหยาม
เจ้าของท่านไม่ควรทำลวนลาม นายด่านห้ามก็ไม่ฟังอหังการ์
ไม่ทำบุญฉุนเฉียวซ้ำเกรี้ยวโกรธ จะฆ่าโคตรญาติวงศ์เผ่าพงศา
จึงจำช่วยด้วยสมเพชเวทนา หมายจะมาว่ากล่าวกับท้าวไท
ให้ถือธรรมจำศิลสิ้นมานะ แล้วเราจะขึ้นไปชมโรมวิสัย
ท่านซื่อตรงจงบำรุงเจ้ากรุงไกร ให้อยู่ในศีลสัตย์สวัสดี ฯ
๏ ตรีเมฆนั่งฟังตรัสมธุรส น้อมประณตนับถือพระฤๅษี
ท่านคิดชอบขอบคุณพระมุนี ขอเป็นที่พึ่งให้พ้นภัยพาล
จะไปด้วยช่วยส่งถึงเมืองหลวง คนทั้งปวงปะข้าจะว่าขาน
ให้เปิดด่านชั้นเจ็ดสำเร็จการ ได้พบพานพูดกับท้าวเจ้าแผ่นดิน
ให้ท้าวหายร้ายดุด้วยสุภาพ ไม่ทำบาปหยาบช้ารักษาศิล
ได้เย็นใจไพร่ฟ้าเห็นอาจิณ จะเพิ่มภิญโญยศปรากฏไป
ขอพระองค์จงพาโยธาหาญ เข้าในด่านอย่าแคลงแหนงไฉน
แล้วนำหน้าพาพลสกลไกร เข้าอยู่ในด่านสิ้นดังจินดา
แล้วเร่งใช้ให้บ่าวไปป่าวร้อง ชาวบ้านช่องหญิงชายทั้งซ้ายขวา
แต่งสำรับกับข้าวทั้งเหล้ายา เลี้ยงบรรดาพลพรรคพระอัคนี
แล้วบอกเล่าเหล่าทมิฬสิ้นทั้งนั้น ให้พร้อมกันนับถือพระฤๅษี
ครั้นรุ่งเช้าเข้ามาว่าข้านี้ ขอเป็นที่ทัพหน้าล่วงคลาไคล
ไปบอกเล่าเจ้านครเขื่อนเพลิงนั้น ให้ด่านชั้นเจ็ดแจ้งแถลงไข
เปิดทางทัพรับพระองค์ให้ตรงไป เห็นจะได้ด้วยเป็นมิตรสนิทกัน ฯ
๏ พระอัคนีดีใจมิได้ห้าม สุดแต่ความคิดนายเร่งผายผัน
ตรีเมฆลาพาทหารขาวด่านนั้น หมื่นห้าพันเข้าประจำนำลีลา
ตรีเมฆนั่งหลังแรดผาดแผดร้อง พาพวกพ้องพลเดินบนเนินผา
แล้วองค์พระอัคนีผู้ปรีชา ตรัสสั่งราหูให้ยกไปตาม
ตะวันบ่ายนายทหารด่านปากน้ำ ยกทัพนำหน้าเสด็จไม่เข็ดขาม
ทั้งทัพหลังทัพหลวงล่วงสามยาม จึงยกตามสามทัพกำกับไป ฯ
๏ จะกล่าวความนามพระกาลชาญสมร เจ้านครเขื่อนเพลิงเชิงไศล
คุมทหารด่านสำคัญอยู่ชั้นใน ให้ม้าใช้สืบเรื่องหัวเมืองราย
รู้ข่าวว่าราหูกับตรีเมฆ คิดโหยกเหยกคบขบถจึงจดหมาย
เป็นความเมืองเรื่องราวทูลเจ้านาย แล้วแจกจ่ายเสื้อหมวกให้พวกพล
ทั้งปืนผาอาวุธเครื่องยุทธ์ครบ จะคอยรบทัพศึกเตรียมฝึกฝน
ตระเวนระวังนั่งทางทุกตำบล แล้วขับพลขึ้นประจำป้อมกำแพง
ให้ลงขวากลากปืนเข้าจุกช่อง ทุกหมวดกองเกณฑ์กันล้วนขันแข็ง
หอรบรายค่ายป้อมให้ซ่อมแปลง รีบจัดแจงอาวุธยุทธนา ฯ
๏ ฝ่ายตรีเมฆเสนีที่ไปก่อน ถึงนครเขื่อนเพลิงริมเชิงผา
เห็นพวกพลล้นหลามตามเสมา เดินตรวจตราเตรียมการจะราญรอน
จึงรอรั้งตั้งค่ายอยู่ชายทุ่ง พอย่ำรุ่งเรียกเสมียนเขียนอักษร
ให้บ่าวไปในเมืองแจ้งเรื่องร้อน เจ้านครรับอ่านดูสารพลัน ฯ
๏ หนังสือนี้ตรีเมฆเจ้าเมืองด่าน ขอแจ้งการณ์เวียงชัยไอศวรรย์
อย่าโมโหโกรธาคิดฆ่าฟัน จงอดกลั้นตรองความให้งามดี
เร่งถือธรรมจำศิลสิ้นโทโส ได้ภิญโญยศบำรุงชาวกรุงศรี
เดิมราหูผู้เฒ่ากับเรานี้ ออกต้านตีแตกทัพได้อับอาย
เธอจับได้ไม่สังหารผลาญชีวิต จึงเห็นฤทธิ์ว่าฤๅษีดีใจหาย
ใครรบสู้ผู้นั้นจะอันตราย คนทั้งหลายเลื่อมใสพร้อมใจกัน
จงรู้เถิดเปิดด่านให้ท่านด้วย จะได้ช่วยโปรดให้ไปสวรรค์
เราบอกความตามจริงทุกสิ่งอัน แม้ป้องกันกีดฤๅษีจะมีภัย ฯ
๏ พระกาลฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ สู้อดโกรธรักษาอัชฌาสัย
จึงเสแสร้งแกล้งตอบว่าขอบใจ ที่ชวนชักรักใคร่จะให้ดี
ทั้งบอกกล่าวราวเรื่องให้รู้เหตุ ผู้วิเศษจะบำรุงเจ้ากรุงศรี
แม้จริงจังดังว่าอย่าช้าที บอกให้ตรีเมฆมาพูดจากัน ฯ
๏ ฝ่ายผู้ถือหนังสือลับกลับมาค่าย บอกความนายตามจริงทุกสิ่งสรรพ์
ตรีเมฆฟังนั่งรำพึงอยู่ครึ่งวัน คิดพรั่นพรั่นเพื่อนเราจะเผาเรือน
แม้มิไปไม่ดีเหมือนขี้ขลาด ไม่องอาจอายใจใครจะเหมือน
พอพระกาลให้ม้าใช้ออกไปเตือน ไม่บิดเบือนบอกว่าเราจะเข้าไป
เรียกบ่าวตามสามคนเข้าเมืองด่าน ฝ่ายพระกาลยินดีจะมีไหน
จับเสนีตรีเมฆลงเหล็กไว้ แล้วคุกคามถามไต่จงให้การ
ตัวเป็นข้าฝ่าพระบาทบดินทร์สูร ได้เพิ่มพูนยศศักดิ์อัครฐาน
เคยถือน้ำทำสัตย์ปฏิญาณ กินเมืองด่านแดนประเทศเขตนคร
เหตุไฉนใจคอจึงทรยศ เป็นขบถบพิตรอดิสร
มาชวนเราเข้าด้วยให้ม้วยมรณ์ ทำยอกย้อนอย่างนั้นด้วยอันใด
เคยเป็นมิตรคิดว่าดีดูตรีเมฆ มาโหยกเหยกอย่างนี้ผิดวิสัย
จะต้องเอาเข้ากรงบอกส่งไป จะว่าไรเร่งว่าอย่าช้าที ฯ
๏ ตรีเมฆฟังคั่งแค้นแหงนหัวร่อ กูไม่ง้อขอชีวิตไม่คิดหนี
นึกว่าเพื่อนเหมือนเขาว่าเพราะปรานี มึงกลับตีเอาเรือไม่เชื่อฟัง
ถึงกูตายภายหน้ากรรมมาถึง พวกของมึงจึงจะตายเมื่อภายหลัง
กูซื่อตรงหลงประมาทจึงพลาดพลั้ง มึงระวังหัวเถิดวะอ้ายพระกาล ฯ
๏ เจ้าเมืองฟังสั่งให้ใส่กรงไว้ แต่บ่าวไพร่ปล่อยออกไปบอกทหาร
ว่านายผิดคิดร้ายจะวายปราณ พวกชาวด่านเป็นแต่ไพร่มิได้คิด
พากันมาหาเราไม่เอาโทษ จะช่วยโปรดผ่อนปรนให้พ้นผิด
ให้จงรักภักดีเจ้าชีวิต อย่าควรคิดขัดขวางเหมือนอย่างนาย ฯ
๏ ฝ่ายโยธีตรีเมฆสักหมื่นเศษ ครั้นรู้เหตุย่อท้อใจคอหาย
แต่นายกองร้องห้ามตามอุบาย เขาลวงนายเราเข้าไปจับใส่กรง
เราเข้าหาน่าที่จะมีผิด มันคงคิดจับกุมอย่าลุ่มหลง
รักษาค่ายไว้ด้วยกันให้มั่นคง เมื่อมันส่งเมืองหลวงจึงช่วงชิง
ช่วยแก้แค้นแทนนายเหมือนหมายมาด เราล้วนชาติชายใช่น้ำใจหญิง
ทั้งพวกไพร่ใหญ่น้อยพลอยเห็นจริง หวังจะชิงนายด่านคอยราญรอน ฯ
๏ ฝ่ายราหูผู้กำกับอยู่ทัพหน้า ยกโยธามาตามทางหว่างสิงขร
พอแดดลบหลบสิ้นแสงทินกร ใกล้นครเขื่อนเพลิงเชิงคิรี
จึงหยุดทัพยับยั้งอยู่หลังเขา คอยจับชาวเมืองข้างทางวิถี
ให้ม้าใช้ไปที่ค่ายฟังร้ายดี พอพวกตรีเมฆมาบอกว่านาย
เขาจับได้ใส่กรงเหล็กขังไว้ จะส่งไปให้เสมียนเขียนจดหมาย
ราหูฟังสั่งความตามอุบาย ไปอยู่ค่ายคอยดูชาวบูรี
แม้พระกาลเกณฑ์ทหารออกห้อมล้อม อุส่าห์พร้อมใจรบอย่าหลบหนี
แล้วพวกพ้องกองเราจะเข้าตี ชิงบุรีเห็นจะเสร็จสำเร็จการ
ปลัดทัพรับลากลับมาค่าย บอกอุบายถ้วนทั่วตัวทหาร
ต่างดีใจไม่นอนจะรอนราญ แม้ชาวด่านมาจับจะรับรบ ฯ
๏ ฝ่ายพระกาลหาญศึกนั่งปรึกษา กับบรรดาขุนนางผู้รู้ขนบ
พวกโยธีตรีเมฆไม่นอบนบ เห็นจะรบรอราอยู่ท่าทัพ
ถ้าพวกพ้องของมันนั้นมามาก จะทำยากจริงเจียวต้องเคี่ยวขับ
อยู่แต่ไพร่ไม่ยอมน้อมคำนับ ไปล้อมจับตัวมันเสียวันนี้
พวกนายรองกองทะลวงหลวงปลัด จงรีบรัดเรียกกันขมันขมี
พอคุมคนพรักพร้อมออกล้อมตี เป็นพลสี่กองรบสมทบกัน ฯ
๏ ฝ่ายนายรองกองทะลวงหลวงปลัด รับคำจัดพวกพหลพลขันธ์
ถืออาวุธจุดคบมีครบครัน แล้วชวนกันยกออกนอกกำแพง
เข้าโอบอ้อมล้อมรอบริมขอบค่าย จุดคบรายเรียงสว่างกระจ่างแสง
บ้างถอนขวากลากเหนี่ยวด้วยเรี่ยวแรง ชาวด่านแย้งยิงปืนเสียงครื้นครึก
ทั้งสี่ทัพขับระดมเข้าสมทบ เร่งให้รบตีกลองเสียงก้องกึก
โห่สนั่นลั่นเลื่อนสะเทื้อนสะทึก กำดัดดึกครึกครื้นด้วยปืนรบ ฯ
๏ ฝ่ายราหูรู้ว่าคนออกปล้นค่าย ขับไพร่นายหนุนกันแล้วบรรจบ
เข้าล้อมหลังชาวบุรีตีกระทบ ฟันจนศพซ้อนซับลงทับกัน
พวกนายรองกองทะลวงหลวงปลัด แตกกระจัดกระจายเวียนวิ่งเหียนหัน
พวกโยธีตรีเมฆหมื่นสี่พัน ออกไล่ฟันไพร่นายวอดวายวาง
พลบุรีสี่หมื่นตายดื่นดาษ กลิ้งเกลื่อนกลาดกลางทุ่งจนรุ่งสาง
บ้างหลบลี้หนีจนวนอยู่กลาง บ้างเจ็บบ้างตายล้มไม่สมประดี ฯ
๏ ฝ่ายพระกาลหาญเหี้ยมยืนเยี่ยมป้อม เห็นศึกล้อมเหล่าทหารลนลานหนี
เร่งยกทัพขับออกนอกบุรี ตัวขึ้นขี่โลโตไล่โยธา
รุมระดมสมทบรบราหู เป็นหมวดหมู่มากมายทั้งซ้ายขวา
พอแดดสายนายด่านชานชลา ยกโยธามาสำทับช่วยรับรบ
ทัพราหูอยู่กลางข้างนายด่าน ล้อมพระกาลไว้อีกไม่หลีกหลบ
เป็นห้าทัพขับโยธีตีกระทบ ต่างรุกรบรับกันประจัญบาน
พอทัพพระอัคนีกับพี่เลี้ยง ได้ยินเสียงแซ่เซงเร่งทหาร
แซงสกัดลัดทางข้างพระกาล ผลาญชาวด่านตายกลาดดาษดา ฯ
๏ ฝ่ายพวกพ้องของฤๅษีทั้งยี่สิบ คอยซุบซิบอยู่ในด่านนานหนักหนา
ขึ้นปลอมดูผู้คนบนเสมา เห็นโยธาทัพพระอัคนี
จึงช่วยกันฟันคนอลหม่าน เปิดทวารออกไปรับทัพฤๅษี
พวกพลล้อมพร้อมพรูเข้าบูรี ไล่ฆ่าตีรี้พลบนกำแพง
พวกอยู่ป้อมล้อมวงโดดลงวิ่ง ตกใจจริงทิ้งอาวุธลงมุดแฝง
ฝ่ายพระกาลราญรอนจนอ่อนแรง เห็นทัพแซงเกรียวกรูเข้าบูรี
จะถอยกลับทัพฤๅษีสกัดไว้ ทั้งพวกไพร่พลตายพลัดพรายหนี
เห็นศึกเสือเหลือจะสู้พวกมุนี จริงของตรีเมฆบอกไม่หลอกลวง
จึงขับโลโตวิ่งทิ้งทหาร ไม่เข้าด่านแยกเยื้องไปเมืองหลวง
ที่เหลือตายนายรองกองทะลวง ต่างเสียท่วงทีทัพอัปรา
ทิ้งอาวุธทรุดหมอบนบนอบน้อม ต่างร้องยอมสาพิภักดิ์ด้วยหนักหนา
พระอัคนีมีจิตคิดเมตตา เรียกโยธาถอยกลับทั้งทัพชัย
ต่างล้าเลื่อยเหนื่อยหนักเข้าพักผ่อน อยู่นครเขื่อนเพลิงเชิงไศล
เหล่าฤๅษีรี้พลสกลไกร สำราญใจสรวลเสเสียงเฮฮา ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระอัคนีถอดตรีเมฆ ตั้งเป็นเอกอำมาตย์อาจอาสา
แล้วเลี้ยงดูหมู่พหลพลโยธา อยู่พาราเขื่อนเพลิงเริงสำราญ ฯ
๏ จะกลับกล่าวท้าววาหุโลมราช สถิตอาสน์ออกเสนาแน่นหน้าฉาน
พอรู้ข่าวราวเรื่องเมืองพระกาล ว่าเสียด่านทั้งหกก็ตกใจ
จึงตรัสว่าข้าศึกมันฮึกหาญ เพราะพวกด่านแดนมหาชลาไหล
ลวงเกลี้ยกล่อมพร้อมเพรียงชาวเวียงชัย กูจะไปรบเองไม่เกรงกลัว
น้อยหรือหวาชะล่าใจอ้ายตรีเมฆ มันโหยกเหยกสาหัสจะตัดหัว
ทั้งฤๅษีที่โกหกพูดยกตัว กูไม่กลัวดอกจะจับมาสับฟัน
อ้ายพวกด่านบ้านนอกมันหลอกเจ้า ทั้งโคตรเค้าเข่นฆ่าให้อาสัญ
พระเคืองขัดตรัสด่าสารพัน ยังมิทันขาดคำเธอสำลัก
พอพระกาลด่านในหนีไปถึง เสียงกริ้วอึงอึกทึกใจตึกตัก
จะผ่อนตัวกลัวว่าจะช้านัก อุส่าห์หักใจคอไม่รอรั้ง
คลานเข้ามาหน้าฉานก้มกรานกราบ สารภาพทูลตามเนื้อความหลัง
ได้รบทัพสัประยุทธ์สุดกำลัง สงครามครั้งนี้ล้นพ้นประมาณ
ด้วยมากมายหลายทัพดูนับแสน มาเนืองแน่นหนุนหนักเข้าหักหาญ
ทั้งราหูจู่โจมมาโรมราญ จึงเสียด่านเมืองหลวงเสียท่วงที
พระเดือดด่าราหูตรีเมฆด้วย น้อยหรือช่วยกันรบคบฤๅษี
คงเห็นกันมันกับกูได้ดูดี เหวยมนตรีเร่งรัดไปจัดทัพ
ทั้งหน้าหลังตั้งกองสักสองแสน ให้ทันแค้นกูจะไปล้อมไล่จับ
อำมาตย์หมอบนอบนบเคารพรับ ไปจัดทัพทวยหาญชำนาญรบ
เป็นเกียกกายซ้ายขวากองหน้าหลัง ถือดาบดั้งโล่เขนล้วนเจนจบ
ทั้งปีกป้องกองตระเวนเกณฑ์สมทบ ถือเครื่องรบครบทั่วทุกตัวคน
บ้างขี่ม้าลีลาชุมพาแพะ ขี่กวางแกะเลียงผาโกลาหล
ตั้งกระบวนถ้วนหน้าตรวจตราพล ผูกเสือต้นลายเหลืองเรืองระยับ
มีเบาะอานผ่านอกผ้าปกข้าง แก้วกระจ่างแจ่มเม็ดเพชรประดับ
มาเรียงเรียบเทียบเกยเคยประทับ ต่างเตรียมรับสรรพเสร็จสำเร็จการ ฯ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าวาหุโลมราช ยุรยาตรอ่าองค์สรงสนาน
ประดับเครื่องเรืองจำรัสชัชวาล เกราะประสานสร้อยกระสันกันอาวุธ
แล้วเหน็บตรีมีฝักสะพักศร คทาธรถือสำหรับสัประยุทธ์
กริชทองแดงแฝงองค์เครื่องยงยุทธ์ มายั้งหยุดยืนดูหมู่โยธา
เห็นพร้อมพรั่งคั่งคับขับทหาร ให้พระกาลกำกับกองทัพหน้า
พระทรงนั่งหลังพยัคฆ์อันศักดา ให้เคลื่อนคลาพลออกนอกบุรี
ทหารโห่โกลาทั้งหน้าหลัง ดูคับคั่งเกลื่อนกลางทางวิถี
อึกทึกกึกก้องฆ้องกลองตี ทั้งผงคลีคลุ้มฟ้านภาดล ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระอัคนีอยู่ที่ด่าน ปรนทหารเหิมฮึกแล้วฝึกฝน
ทั้งไล่หนีทีโถมโจมประจญ ให้รู้กลการณรงค์ในสงคราม
เรียกราหูผู้เฒ่าเข้ามาสั่ง ตรีเมฆทั้งนายด่านชาญสนาม
บอกนายรองกองร้อยให้รู้ความ เป็นคนสามสิบกองคอยป้องกัน
จนล่วงหน้าพากันไปแม้ใครรบ เลี้ยวตลบล้อมทัพให้ขับขัน
คอยวงเวียนเปลี่ยนผลัดสกัดฟัน ชื่อกลกันโขลงช้างจับกลางแปลง
พวกนายทัพรับว่าสาธุสะ คงชนะข้าศึกไม่นึกแหนง
แล้วทูลลาพากันออกนอกกำแพง ต่างจัดแจงพร้อมพลสกลไกร
พวกปากน้ำนำหน้าโยธาหาญ โห่สะท้านสะเทื้อนลั่นเสียงหวั่นไหว
แล้วเสนีตรีเมฆยกหนุนไป กำหนดไกลร้อยเส้นพอเห็นกัน
แล้วราหูผู้กำกับกองทัพหลัง พร้อมสะพรั่งไพร่นายยกผายผัน
แล้วทัพพระอัคนีนารีนั้น คุมฉกรรจ์สี่หมื่นเสียงครื้นครึก
รีบยกตามสามทัพคนคับคั่ง ประโคมสังข์แตรกลองเสียงก้องกึก
โห่สนั่นครั่นครึ้มกระหึมฮึก สะเทื้อนสะทึกทั่วป่าพนาดร ฯ
๏ ฝ่ายกองหน้าวาหุโลมรีบกองทัพ พอพบกับนายด่านชาญสมร
พระกาลขับทัพทหารเข้าราญรอน นายด่านต้อนพลขันธ์ประจัญรับ
พวกฤๅษีทีรบรู้หลบเลี่ยง เห็นพลาดเพลี่ยงผลุนฟาดเสียงฉาดฉับ
พวกวาหุโลมล้มตายไพร่นายยับ พระกาลขับโลโตต้อนโยธี
ถือทวนแกว่งแทงทหารชาวด่านโดด เลี่ยงหลีกโลดหลบผิดศิษย์ฤๅษี
ยิ่งเดือดใจไล่รุกเข้าคลุกคลี นายด่านขี่อูฐขับเข้ารับรบ
ถือหอกแกว่งแทงพระกาลถูกซานทรุด ทิ้งทวนหลุดสุดกำลังกลับหลังหลบ
เหล่าทหารด่านกลุ้มเข้ารุมรบ ตีกระทบพระกาลไม่ทานทน
ทั้งไพร่นายตายยับลงนับหมื่น เหลือตายตื่นแตกทัพวิ่งสับสน
เจ้าวาหุโลมโถมไล่พวกไพร่พล ขับเสือต้นเผ่นโผนโจนทะยาน
เสียงโฮกปีบถีบถลาเหลือกตาเขียว ยืนแยกเขี้ยวขวางหน้าโยธาหาญ
พวกโยธีรี้พลหลีกลนลาน เห็นนายด่านปากน้ำด่าสำทับ
กูเลี้ยงมึงถึงขนาดอ้ายชาติข้า ทำมารยาย้อนยอกคิดกลอกกลับ
ให้ฤๅษีที่มึงคบช่วยรบรับ มาสู้กับกูเดี๋ยวนี้ดูฝีมือ ฯ
๏ นายด่านตอบยอบตัวทำหัวเราะ เป็นเหตุเพราะภูวไนยหาไม่หรือ
ให้รบพุ่งฟุ้งเฟื่องจนเลื่องลือ ครั้นสุดซื่อสิจะล้างให้วางวาย
จึงอุส่าห์มาตามความรับสั่ง ลองกำลังภูวนาถเหมือนมาดหมาย
มิคิดบุญคุณท้าวว่าเจ้านาย พระจะวายชีวาเวลานี้
จะตอบแรนแทนคุณทูลกระหม่อม จงนบน้อมนับถือพระฤๅษี
ทรงศีลธรรม์กรุณาทั่วธานี จะได้มีเกียรติยศปรากฏไป
อันถิ่นฐานบ้านเมืองแลเครื่องยศ พระดาบสไม่จำนงอย่าสงสัย
จะสั่งสอนผ่อนปรนให้พ้นภัย ตั้งพระทัยทำบุญกับมุนี ฯ
๏ พระโกรธกริ้วนิ่วหน้าด่านายด่าน อ้ายเดรฉานชาติโกหกยกฤๅษี
มึงจองหองลองกับกูดูเดี๋ยวนี้ แม้มึงดีให้เป็นเจ้าชาวพารา
แล้วขับเสือเงื้อกระบองร้องตวาด เข้าตีพลาดพลิ้วกายทั้งซ้ายขวา
นายด่านหันกันกระบองป้องปัดมา แกล้งล่อล่าลวงให้เธอไล่ตาม
พอเธอห่างพรั่งพร้อมเข้าล้อมหุ้ม เป็นศึกรุมรอบข้างกลางสนาม
ต้องด้วยกลรณรงค์ในสงคราม แยกเป็นสามสิบกองคอยป้องกัน
สกัดตีรี้พลอลหม่าน สังหาญผลาญโยธาให้อาสัญ
นายด่านกลับทัพประจบรบประจัญ ตัวนายนั้นล้อมท้าวเจ้าบุรี
พระเห็นหน้าราหูว่าอุเหม่ อ้ายโว้เว้กลับไปถือพวกฤๅษี
ราหูว่าข้าพเจ้าเข้าด้วยนี้ เพราะเสียทีเธอไม่ล้างให้วางวาย
จึงทราบว่าดาบสละยศศักดิ์ มิใคร่รักเงินทองของทั้งหลาย
จะไปชมโรมวิสัยให้สบาย จึงมุ่งหมายจะมาเฝ้าทูลท้าวไท
ที่นับถือฤๅษีผู้มีพรต ไม่คิดคดต่อพระองค์อย่าสงสัย
ขืนรบสู้บูรีจะมีภัย ทั้งนายไพร่ใหญ่น้อยจะพลอยตาย ฯ
๏ พระเดือดด่าราหูอ้ายงูเฒ่า กลับหลอกเจ้าจองหองนี่ใจหาย
อันคนดีที่เขารักเจ้านาย ถึงวอดวายไว้ชื่อให้ลือชา
มึงนี้หมายขายเจ้าเอาประโยชน์ หือรือโหดฮึกฮักขึ้นหนักหนา
มาล่อลวงล่วงพระราชอาชญา จะเข่นฆ่าเสียให้ตายวายชีวี
พลางขับเสือเงื้อง่าคทาโถม เข้ารุกโรมราหูก็สู้หนี
แกล้งรบรับขับทหารเข้าต้านตี พอพบตรีเมฆมาขวางหน้าไว้
แกล้งร้องว่าฝ่าพระบาทประมาทนัก เมื่อคนรักหรือพระองค์มาสงสัย
พระฤๅษีนี้ประเสริฐเลิศไกร ตั้งพระทัยทำบุญกรุณา
ไม่ชื่นชมสมบัติพัสถาน จะโปรดปรานไปสวรรค์ให้หรรษา
ขอพระองค์จงเป็นมิตรกับสิทธา จะได้ผาสุกสวัสดิ์กำจัดภัย
เดี๋ยวนี้เล่าเขาก็ล้อมไว้พร้อมพรั่ง เหมือนเสือขังกรงสิ้นดิ้นไม่ไหว
มิโอนอ่อนผ่อนปรนให้พ้นภัย จะเสียไพร่เสียองค์พระทรงยศ ฯ
๏ พระชี้หน้าว่าอุเหม่อ้ายตรีเมฆ พลอยโหยกเหยกเอกกะระอ้ายขบถ
กลับมาขู่กูให้ยอมน้อมประณต มึงเหลือคดควรทำลายให้วายปราณ
พลางโถมตีตรีเมฆก็ไม่ต้อง คอยปัดป้องปิดทางขวางทหาร
เจ้าพาราวาหุโลมไล่โรมราญ จะออกด้านไหนก็ไปมิใคร่พ้น
ดูโยธามาด้วยก็ม้วยมอด ที่ยังรอดรวนเรระเหระหน
ศึกสมทบรบรับถึงอับจน เที่ยวหันเหียนเวียนวนอยู่หว่างกลาง
จนค่ำพลบคบล้อมอยู่พร้อมพรั่ง ข้างหน้าหลังไล่สกัดให้ขัดขวาง
ออกด้านไหนไพร่นายยิ่งวายวาง ด้วยเพลิงแดงแสงสว่างดังกลางวัน
พระอัคนีมีจิตคิดสงสาร ให้ทหารเรียกพหลพลขันธ์
ใครออกมาหาเราเข้าด้วยกัน ไม่ทำอันตรายสบายดี ฯ
๏ ฝ่ายพวกไพร่ได้สดับไม่รับรบ ออกนอบนบนับถือพระฤๅษี
ต่างเรียกเพื่อนเกลื่อนมาในราตรี ที่ต่อตีตัวนายก็วายปราณ ฯ
๏ เจ้าพาราวาหุโลมเหงื่อโซมเสื้อ เที่ยวขับเสืออยู่แต่องค์น่าสงสาร
จนรุ่งเช้าท้าวไปปะกับพระกาล หาทหารนายไพร่ก็ไม่มี
แต่พวกล้อมพร้อมพรั่งดูคั่งคับ เห็นกองทัพแลพบแต่ศพผี
ถามพระกาลท่านกับเราอยู่เท่านี้ จะต่อตีต้านทานประการใด ฯ
๏ พระกาลฟังบังคมบรมนาถ ขอรองบาทบริรักษ์จนตักษัย
เชิญพระองค์ทรงศักดิ์รบหักไป ถึงกรุงไกรเตรียมทัพกลับมารบ
จะขับเคี่ยวเดี๋ยวนี้แม้มิถอย เหมือนน้ำน้อยดับไฟไม่สงบ
ด้วยข้าศึกฝึกฝนพลสมทบ จึงรุมรบครั้งนี้ได้มีชัย ฯ
๏ พระฟังคำรำพึงแล้วจึงตอบ ท่านว่าชอบชี้ทางสว่างไสว
แต่หยุดพักสักหน่อยจึงค่อยไป เดี๋ยวนี้ให้หิวโหยโรยกำลัง
ทอดพระองค์ลงจากหลังพยัคฆ์ เข้าหยุดพักพุ่มไม้เหมือนใจหวัง
พระกาลนั้นกตัญญูดูระวัง อุส่าห์นั่งนวดพัดกษัตรา ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระอัคนีที่ตีทัพ ขึ้นหยุดยับยั้งอยู่บนภูผา
ครั้นอุทัยไตรตรัดทัศนา เห็นโยธาทัพล้อมอยู่พร้อมกัน
แต่พลท้าวเจ้าวาหุโลมราช ตายเกลื่อนกลาดกลางป่าพนาสัณฑ์
พอเสนีตรีเมฆราหูนั้น มาพร้อมกันกับนายด่านชานชลา
ทูลว่าท้าวเจ้าบุรินทร์สิ้นทหาร กับพระกาลเข้าอาศัยใต้พฤกษา
แม้เห็นพระจะโมโหผินโผมา คอยรักษาพระองค์ให้จงดี ฯ
๏ พระยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสประภาษ เราคิดคาดใจท้าวเจ้ากรุงศรี
จะใส่ปีกหลีกพหลพลโยธี ไปบุรีคิดการมาราญรอน
ให้ปีกป้องกองตระเวนพวกเกณฑ์หัด ไปสกัดตามทางหว่างสิงขร
เมื่อเหนื่อยหนักจักลงในดงดอน จึงไล่ต้อนตีตะพัดจับมัดมา
กองตระเวนเจนทางต่างรับสั่ง ยกไปตั้งซุ่มอยู่ริมภูผา
พระอัคนีตีฆ้องกลองสัญญา ให้โยธารบพุ่งเจ้ากรุงไกร
ฝ่ายทัพล้อมพร้อมพรั่งก็ตั้งโห่ สำเนียงโกลาลั่นสนั่นไหว
บ้างก็พุ่งศัสตรายิงมาไป ไล่เข้าใกล้กลัวสง่าจะฆ่าฟัน ฯ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าวาหุโลมราช กษัตริย์ชาติเชื้อยักษ์มักกะสัน
จะหักทัพกับพระกาลชาญฉกรรจ์ ใส่ปีกขันควงทองทั้งสองกร
แล้วจัดแจงแต่งองค์ขึ้นทรงพยัคฆ์ สอดสะพักสะพายแล่งพระแสงศร
ท้าวนำหน้าพาพระกาลออกราญรอน คทาธรถือเงื้อขับเสือทะยาน
โขยกปีบถีบกระโชกแล้วโฮกขบ สองมือตบตีนฟัดประหัตประหาร
พระได้ทีรี้พลหลบลนลาน ทั้งพระกาลกุมทวนคอยสวนแทง
พวกทัพล้อมห้อมหุ้มเข้ากลุ้มกลัด รบสกัดกั้นหน้าล้วนกล้าแข็ง
ต่างตีรันฟันฟาดพลิกพลาดแพลง ทั้งกองแซงเข้าสมทบช่วยรบรับ
เจ้าพาราวาหุโลมเข้าโหมหัก จนหอบฮักเหงื่อโซมแทบลมจับ
ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังดูคั่งคับ ต้องหันรับรบขวางอยู่กลางพล
จนอาวุธหลุดพระหัตถ์แล้วลัดหลีก กระพือปีกบินเร่ขึ้นเวหน
ถีบถลาถาโถมพโยมบน พวกไพร่พลพากันตามออกหลามไป ฯ
๏ ฝ่ายพระกาลราญรอนจนอ่อนจิต เป็นสุดฤทธิ์รบต้านทานไม่ไหว
ถลาล้มลมจับวับหัวใจ ตรีเมฆให้ไพร่รัดผูกมัดมา ฯ
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าบุรินทร์รีบบินหนี ไปถึงที่ทางเดินบนเนินผา
ให้เหนื่อยอ่อนร่อนลงริมหิมวา สิ้นศัสตราอาวุธสุดกำลัง
พวกทัพซุ่มรุมกันแทงฟันฟาด พอล้มพลาดจับได้มัดไพล่หลัง
ต่างโห่ร้องก้องเสียงสำเนียงดัง พาไปยังที่อยู่พระมุนี
พอพร้อมทั้งพระกาลทหารเอก ที่ตรีเมฆมัดเข้ามาหน้าฤๅษี
พระนักสิทธ์พิศดูท้าวเจ้าบูรี เห็นท่วงทีถือตัวไม่กลัวตาย
แต่โฉมยงสงสารโองการตรัส ให้แก้มัดมิให้ช้ำระส่ำระสาย
เชิญนั่งแท่นแผ่นผาศิลาลาย พลางภิปรายปราศรัยเป็นไมตรี
นี่แท้ท้าวเจ้าเมืองเรืองพระยศ เราสร้างพรตเพราะว่าถือเป็นฤๅษี
ไม่นิยมสมบัติในปถพี มาทั้งนี้นึกจะใคร่ให้ได้บุญ
เป็นเหตุเพราะเคราะห์กรรมต้องทำศึก พระไม่นึกหน่วงเหนี่ยวจึงเฉียวฉุน
เราจับได้ไม่ฆ่าเพราะการุญ จะทำคุณคืนให้ทั้งไพร่พล
จะปล่อยให้ไปสำราญผ่านสมบัติ รักษาสัตย์สืบสร้างทางกุศล
ถือศีลธรรม์กรุณาประชาชน จะได้พ้นภัยพาลสำราญใจ ฯ
๏ ท้าวทมิฬยินคำที่ร่ำโปรด ค่อยหายโกรธตรึกตราอัชฌาสัย
จึงเอื้อนอรรถตรัสตอบว่าขอบใจ แต่เราไม่ขอตัวไม่กลัวตาย
ด้วยเสียทัพกับท่านรำคาญจิต อยู่ไปคิดอดสูไม่รู้หาย
จงฆ่าตีชีวิตให้วอดวาย จะสู้ตายเสียให้ลับอัประมาน ฯ
๏ พระอัคนีมีจิตคิดสังเวช จึงตรัสเทศนาว่าวิตถาร
ธรรมดาสามัญในสันดาน คำโบราณว่าไว้แต่ไรมา
อันต่อตีมีแต่แพ้ชนะ มิใช่จะเสียชาติวาสนา
เราจับได้ไม่สังหารผลาญชีวา ท่านจะมาชิงตายเสียดายนัก
จงกลับไปให้สำราญผ่านสมบัติ สืบกษัตริย์สุริย์วงศ์ซึ่งทรงศักดิ์
โอรสพระมเหสีเป็นที่รัก ไม่หน่วงหนักนึกเสียดายจะวายปราณ ฯ
๏ ท้าวทมิฬยินคำที่ร่ำปลอบ จึงโต้ตอบตามวิสัยน้ำใจหาญ
เราก็รู้อยู่บ้างทางโบราณ เป็นชายชาญชอบแต่ตามจามรี
สงวนศักดิ์รักยศสู้ปลดปลิด รักชีวิตเหมือนไม่รักยศศักดิ์ศรี
ซึ่งร่ำปลอบขอบคุณพระมุนี เราจะมีหนังสือให้ถือไป
ให้ลูกยาวาโหมน้อมโน้มจิต มิให้คิดเคลือบแคลงแหนงไฉน
พลางฉะเชือดเลือดพระหัตถ์ออกบัดใจ เขียนสไบบอกบุตรด้วยสุดอาย
ให้พระกาลท่านจงถือหนังสือนี้ ไปบุรีแจ้งการท่านทั้งหลาย
แล้วเอามีดกรีดศอเชือดคอตาย ระทวยกายอยู่บนแท่นแผ่นศิลา ฯ
๏ พระอัคนีมีจิตคิดสงสาร เกณฑ์ทหารไพร่นายทั้งซ้ายขวา
ทำมณฑปศพท้าวเจ้าพารา ด้วยดอกดวงพวงผกาสุมาลี
ผูกเพดานม่านบังที่นั่งสวด ให้สำรวจตามจริตศิษย์ฤๅษี
แล้วโฉมยงองค์พระอัคนี ขึ้นสู่ที่พลับพลาหน้าบรรพต
ให้พระกาลด่านในไพร่ทั้งหลาย ที่เหลือตายหลายหมื่นคืนไปหมด
ต่างรับสั่งพรั่งพร้อมน้อมประณต จากบรรพตหมายมุ่งไปกรุงไกร ฯ
๏ สองวันครึ่งถึงเมืองนำเรื่องข่าว เฝ้าหน่อท้าวทูลแจ้งแถลงไข
วาโหมอ่านสารศรีที่สไบ ว่าพ่อไปรบรับอัปรา
พระฤๅษีมิได้ทำให้จำม้วย สู้ตายด้วยขายพักตร์นั้นหนักหนา
หวังจะใคร่ไว้ชื่อให้ลือชา พระลูกยาจงสำราญผ่านบุรี
อย่ารบพุ่งมุ่งร้ายเมื่อภายหลัง จงเชื่อฟังนับถือพระฤๅษี
อุปถัมภ์ทำบุญกับมุนี เอาเป็นที่พึ่งพาข้างหน้าไป
พอจบคำร่ำว่าเจ้าวาโหม น้ำตาโซมซึมตกซกซกไหล
เห็นโลหิตบิดายิ่งอาลัย ยกขึ้นใส่กลางเกล้าเฝ้าโศกา ฯ
๏ โอ้พระองค์ทรงเดชเกศกษัตริย์ มารีบรัดตัดชาติวาสนา
เสียแรงลูกผูกยนต์รู้มนตรา กำบังตาล่องหนทั้งทนคง
ครั้นศึกมีก็มิให้ลูกไปด้วย ไม่ได้ช่วยสงครามตามประสงค์
จนเสียทีชีวิตพระบิตุรงค์ มาปลดปลงเปล่าใจกระไรเลย
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณทูลกระหม่อม เลี้ยงถนอมลูกมานิจจาเอ๋ย
เคยจูบเกล้าเผ้าผมเคยชมเชย มาละเลยลูกไว้ให้ได้อาย
โอ้ม้วยดินสิ้นฟ้ามหรณพ มิได้พบภูวนาถเหมือนมาดหมาย
สะอื้นอ้อนอ่อนลงไม่ทรงกาย เจียนจะวายชีวาด้วยอาลัย ฯ
๏ ทั้งเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร ต่างสงสารโศกาน้ำตาไหล
บ้างนบนอบปลอบโอรสยศไกร ควรรีบไปให้พบศพพระองค์
ได้เชิญมาธานีบุรีรัตน์ อย่างกษัตริย์สูงชาติราชหงส์
พระฟังคำจำฝืนยืนดำรง ถือผ้าทรงเยื้องย่างเข้าปรางค์ใน
ทูลยุบลชนนีไม่มีชื่น สะอึกสะอื้นกันแสงแถลงไข
นางทรงฟังดังชีวันจะบรรลัย ดูสไบอ่านจบสลบลง ฯ
๏ ฝ่ายแสนสาวท้างนางต่างเข้านวด บ้างรินขวดน้ำดอกไม้ลูบไล้สรง
เกษรสดรดรื่นค่อยฟื้นองค์ กันแสงทรงโศกาถึงสามี
โอ้สงสารผ่านเกล้าเจ้าประคุณ เคยมีบุญเลี้ยงบำรุงซึ่งกรุงศรี
มาประมาทพลาดพลั้งลงครั้งนี้ ถึงชีวีวายวางลงกลางไพร
พระสุดแสนแค้นเดือดเชือดพระศอ ไม่รั้งรอเลยหนอกรรมจะทำไฉน
เป็นสามีที่พึ่งถึงกระไร ให้เห็นใจเจ้าประคุณกรุณา
โอ้ทีนี้มีแต่จะแลลับ เหมือนเดือนดับมืดมิดทุกทิศา
ทั้งลูกน้อยพลอยซ้ำเป็นกำพร้า โอ้อุราเหมือนจะต้องพุพองพัง
เคยพึ่งบุญพูนสวัสดิ์เหมือนฉัตรแก้ว พระทิ้งเมียเสียแล้วไม่กลับหลัง
ละลูกรักอัคเรศนิเวศน์วัง ไม่เหลียวหน้ามาสั่งเมียมั่งเลย
เคยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงบุตรสุดถนอม มาสิ้นบุญทูลกระหม่อมของเมียเอ๋ย
จนสิ้นชาติคลาดเคลื่อนไม่เหมือนเคย เมื่อไรเลยเมียจะวายฟายน้ำตา
นางครวญคร่ำร่ำสะอึกสะอื้นไห้ ชลนัยน์พรั่งพรายทั้งซ้ายขวา
บรรดาเหล่าสาวสรรค์กัลยา พลอยโศกาก้องเสียงทั้งเวียงวัง ฯ
๏ ครั้นสร่างโศกนางกษัตริย์ให้จัดรถ พร้อมเครื่องยศแหนแห่ทั้งแตรสังข์
ใส่โกศรัตน์ชัชวาลมีม่านบัง ทหารตั้งตาริ้วเป็นทิวไป
นางพระยาวาโหมขึ้นทรงรถ โศกกำสรดเศร้าหมองไม่ผ่องใส
พร้อมพระวงศ์พงศาเสนาใน จากกรุงไกรตรงมาพนาดร
สองวันครึ่งถึงทัพหยุดยับยั้ง พร้อมสะพรั่งชายหญิงริมสิงขร
นางพระยาพาโอรสบทจร กับนิกรกัลยาฝูงนารี
ไปประทับพลับพลาหน้ามณฑป ต่างนอบนบนับถือพระฤๅษี
ผ่ายโฉมยงนงลักษณ์พระอัคนี เห็นเทวีวาโหมก็โสมนัส
จึงยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสประภาษ ด้วยนางนาฏญาติวงศ์พงศ์กษัตริย์
อันตัวเราชาวบุรินทร์กบิลพัสดุ์ ละสมบัติบวชประโยชน์โพธิญาณ
ได้บอกกล่าวท้าวไทเธอไม่หยุด จนสิ้นสุดเสียองค์น่าสงสาร
ได้สวดทั้งบังสุกุลทำบุญทาน ช่วยทำการปลูกมณฑปสวมศพไว้
วันนี้วงศ์พงศาพวกข้าเฝ้า มาถึงเรายินดีจะมีไหน
เชิญขึ้นบนมณฑปชักศพไป ทำบุญให้ได้สวรรค์ชั้นวิมาน ฯ
๏ นางกษัตริย์ตรัสว่าสาธุสะ นิมนต์พระไปประเทศนิเวศน์สถาน
ด้วยหน่อท้าวเยาว์อยู่ไม่รู้การ ถวายท่านพระสิทธาจงการุญ
ช่วยสั่งสอนอ่อนบ้างเหมือนอย่างบุตร ด้วยสิ้นสุดญาติเชื้อช่วยเกื้อหนุน
พลางจูงกรสอนให้ไปไหว้คุณ นางการุญเรียกมาใกล้ด้วยไมตรี
แล้วตรัสว่าน่ารักลักขณะ ควรที่จะบำรุงชาวกรุงศรี
พลางถามวันชันษาด้วยปรานี ได้สิบสี่ปีรุ่นสมบูรณ์ครัน
จึงอวยพรสอนคำพระกรรมฐาน ให้วงศ์วานวายวิโยคที่โศกศัลย์
แล้วพาเหล่าชาววังสิ้นทั้งนั้น กับเผ่าพันธุ์พงศาเสนาใน
ขึ้นชั้นบนมณฑปดูศพท้าว เสียงแสนสาวแซ่ซ้องนั่งร้องไห้
มเหสีตีอุราโศกาลัย ทั้งหน่อไทกราบพระศพซบโศกา
สงสารนางข้างในใจจะขาด ยกพระบาทบดินทร์สูรทูลเกศา
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณกรุณา ครั้งนี้มาปลดปลงอยู่ดงดาน
เคยพร้อมเหล่าสาวสุรางค์ในปรางค์มาศ มาจากอาสน์เอองค์น่าสงสาร
บรรทมที่พระยี่ภู่เคยอยู่งาน มานิพพานเพิงผาพนาดร
โอรสาว่าพระคุณการุญเลี้ยง ให้ชื่อเสียงสารพัดจะตรัสสอน
มาสิ้นบุญทูลกระหม่อมจอมนคร จะผันผ่อนผินหน้าไปหาใคร
พระวงศาว่าทีนี้สิ้นที่พึ่ง พระเหมือนหนึ่งโพธิ์ทองอันผ่องใส
จะสูญลับนับปีแต่นี้ไป ไม่มีใครครอบครองช่วยป้องกัน
นางห้ามแหนแสนสุรางค์ว่าปางก่อน เคยดับร้อนร่มเกล้าฝูงสาวสรรค์
พระเลี้ยงดูชูชื่นทุกคืนวัน จะเลยลับกัปกัลป์พุทธันดร
พวกเสนาว่าพระองค์ดำรงราชย์ เคยพึ่งบาทบพิตรอดิศร
เป็นสัตย์ธรรม์กรุณาประชากร จะกลับร้อนเริงรุมดังสุมไฟ
ต่างครวญคร่ำรำลึกสะอึกสะอื้น ดังเสียงคลื่นในมหาชลาไหล
บ้างเป็นลมล้มกลิ้งนิ่งแน่ไป ต่างแก้ไขค่อยสว่างสร่างวิญญาณ์ ฯ
๏ นางกษัตริย์ตรัสให้เชิญพระศพ จากมณฑปใส่โกศขึ้นรถา
มีจามรชอนตะวันเป็นหลั่นมา มยุราฉัตรพัชนีวี
โยงผ้าขาวดาวบสขึ้นรถชัก พิงพนักอ่านหนังสือของฤๅษี
ออกจากเนินเดินทางหว่างคิรี พระอัคนีนำหน้าเคลื่อนคลาไคล
พวกเกณฑ์แห่แตรสังข์ประดังเสียง ก้องสำเนียงกลองชนะปี่ไฉน
พระญาติวงศ์พงศาเสนาใน ต่างร่ำไรเรียงตามกันหลามมา
พระลูกรักอัคเรศอยู่รถหลัง พร้อมสะพรั่งไพร่นายทั้งซ้ายขวา
ครั้นพลบค่ำทำประทับที่พลับพลา ตลอดมานคเรศนิเวศน์วัง
แล้วขุดหินศิลาปลูกปราสาท ประชุมญาติยกศพไปกลบฝัง
คอยนะบีมีบุญกรุณัง จะมาสั่งบุญบาปจึงทราบความ ฯ
๏ แล้วเชิญองค์พระอัคนีศรีสวัสดิ์ อยู่ปรางค์รัตน์ราบเตียนที่เสี้ยนหนาม
ทั้งขอเฝ้าเหล่าลูกศิษย์ที่ติดตาม พลอยได้ความสุขทั่วทุกตัวคน
อยู่พาราวาหุโลมโยมสาวสาว ทั้งเย็นเช้าปรนนิบัติไม่ขัดสน
แต่องค์พระอัคนีมีกังวล กลัวไม่พ้นเชษฐาสุดสาคร
ครั้นยามดึกปรึกษาสี่พี่เลี้ยง ที่อยู่เคียงแท่นสุวรรณบรรจถรณ์
จะทำศึกตรึกการเที่ยวราญรอน น้องนี้อ่อนอกใจมิใคร่วาย
อันแว่นแคว้นแดนทมิฬถิ่นประเทศ มีขอบเขตข้างเหนือนั้นเหลือหลาย
ล้วนถือไสยใจบาปทั้งหยาบคาย ไม่กลัวตายร้ายกาจชาติทมิฬ
จะไปชมโรมวิสัยยังไกลอยู่ ไม่มีผู้ศรัทธารักษาศิล
จะสมทบรบสู้ทุกบุรินทร์ กว่าจะสิ้นศึกเสือนั้นเมื่อไร
แต่เพียงนี้ปีหนึ่งจึงสำเร็จ น้องคิดเข็ดคนบาปปราบไม่ไหว
ต้องทำศึกตรึกตราระอาใจ จะผันแปรแก้ไขอย่างไรดี ฯ
๏ พี่เลี้ยงตอบปลอบประโลมโฉมเฉลา พี่แสนเศร้าด้วยพระน้องมัวหมองศรี
ไม่ทันถึงครึ่งทางสิอย่างนี้ เป็นทุกข์ที่มรรคาข้างหน้าไป
แม้นพบเหล่าชาวทมิฬถิ่นประเทศ ที่ทนคงทรงพระเวทข้างเพทไสย
ฉวยเสียทีรี้พลสกลไกร จะบรรลัยแหลกลงเป็นผงคลี
แม้นมีผู้รู้เห็นว่าเป็นหญิง มีแต่สิ่งสารพัดจะบัดสี
ด้วยชิงชัยไม่สันทัดเป็นสตรี จะเสียทีเสียดายไม่วายคิด
โบราณว่าสี่ท้าวยังก้าวพลาด เป็นนักปราชญ์แล้วก็ยังรู้พลั้งผิด
อันทำศึกเหมือนสู้กับงูพิษ จงทรงคิดใคร่ครวญให้ควรการ
กลับไปลำสำเภาเถิดเจ้าพี่ เที่ยวชมที่ธานินทร์ทุกถิ่นฐาน
ได้ใช้ใบไปตามความสำราญ จะพ้นพาลไพรีไม่บีฑา ฯ
๏ นางฟังสี่พี่เลี้ยงประโลมปลอบ จึงตรัสตอบว่าจิตกนิษฐา
จะกลับไปในทะเลลงเภตรา น้องคิดอายขายหน้ายิ่งกว่ารบ
ถึงศึกเสือเหลือร้ายข้างภายนอก ก็ง่ายดอกด้วยว่ามีที่หนีหลบ
เกรงแต่ที่พี่ยาตามมาพบ จะต้องรบรักเหลือจะเบื่อใจ ฯ
๏ พี่เลี้ยงว่าน่าสมเพชพระเชษฐา จะตรึกตราโกรธขึ้งไปถึงไหน
แต่ดาบตัดกัทลียังมีใย หรือตัดใจขาดเด็ดไม่เมตตา
แสนสงสารปานฉะนี้พระพี่เจ้า จะโศกเศร้าสืบความเที่ยวตามหา
จะซูบผอมตรอมตรองถึงน้องยา เวทนาน่าสงสารรำคาญใจ ฯ
๏ นางฟังคำรำลึกนึกสังเวช น้ำพระเนตรคลอคลอชะลอไหล
ไม่บัญชาว่าขานประการใด สะอื้นอ้อนถอนฤทัยอาลัยลาน
คิดถึงครั้งลังกาก็น่าแค้น คิดถึงแสนซื่อตรงก็สงสาร
จะไปชมโรมวิสัยเกรงภัยพาล เหลือรำคาญคิดจะกลับก็อับอาย
แต่อักอ่วนป่วนใจมิได้ตรัส ให้อั้นอัดอาดูรไม่สูญหาย
ทุกค่ำเช้าเศร้าพระทัยไม่สบาย ระทวยกายกำสรดสู้อดออม
จนลืมองค์สรงเสวยเลยเป็นโรค ทุกข์กับโศกซ้ำให้รูปนั้นซูบผอม
พวกข้าไม่เป็นสุขพลอยทุกข์ตรอม มาแวดล้อมพร้อมพรั่งฟังอาการ
นายพระยาวาโหมพลอยโทมนัส ปรนนิบัติบนปราสาทราชฐาน
พวกมดหมอก็ให้มาพยาบาล กำหนดนานหลายเดือนไม่เคลื่อนคลา ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ