ตอนที่ ๑๖ สินสมุทรพบศรีสุวรรณ

๏ กล่าวถึงศรีสุวรรณวงศ์ดำรงราชย์ บรมบาทบพิตรอดิศร
กับโฉมแก้วเกษราพะงางอน ครองนครรมจักรนัครา
สาวสุรางค์นางสนมประนมน้อม ดังดาวล้อมจันทร์กระจ่างกลางเวหา
จนโฉมยงองค์อัครชายา มีธิดาอายุได้แปดปี
ดูคมขำสำอางเหมือนอย่างหุ่น ชื่อโฉมยงองค์อรุณรัศมี
ดังดวงจิตบิตุเรศชนนี พระอัยกีอัยกาเอามาไว้
จัดพี่เลี้ยงนางนมให้สมศักดิ์ บำรุงรักพระนัดดาอัชฌาสัย
เลือกลูกสาวท้าวพระยาเสนาใน ที่ยังไว้จุกมาให้ห้าร้อย ฯ
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์อรุณรัศมี กับนารีร่วมใจที่ใช้สอย
เล่นสนุกตุ๊กตาตัวน้อยน้อย ล้วนใส่สร้อยเสมาน่าเอ็นดู
เอาเศษผ้ามาทำผ้านุ่งห่ม ปักปิ่นถมทองหุ้มใส่ตุ้มหู
มีฉากชั้นกั้นห้องช่องประตู เป็นที่อยู่ตุ๊กตาน่าสำราญ
ถึงเวลาพาลูกเที่ยวอุ้มเล่น มิได้เว้นเป็นสุขสนุกสนาน
ทำโกนจุกลงท่าหางานการ แสนสำราญตามประสากุมารี ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงเดชเกศกษัตริย์ ผ่านสมบัติเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
เมื่อหลานรักจักมาถึงธานี ในราตรีเทพเจ้าเข้าดลใจ
ศรีสุวรรณบรรทมในที่แท่น ให้โศกแสนเศร้าหมองไม่ผ่องใส
คิดถึงพี่ที่พรากจากกันไป แต่นับได้เก้าปีมิได้พบ
ไม่ได้ข่าวราวความจะตามหา ก็ไกลตาตายเป็นไม่เห็นศพ
ยิ่งรำลึกตรึกตรายิ่งปรารภ กำสรดซบพักตราโศกาลัย
ซ้ำคิดถึงบิตุราชมาตุรงค์ สองพระองค์จะเคืองเข็ญเป็นไฉน
โอ้กรรมเอ๋ยเคยสร้างไว้ปางใด จึงจำให้ยากเย็นไม่เว้นวาย
จากชนกชนนีแล้วมิสา พระเชษฐาน้องน้อยก็พลอยหาย
ยิ่งคิดไปใจเจียนจะขาดตาย พระฟูมฟายชลเนตรเวทนา
พอหลับลงทรงสุบินนิมิตฝัน พระองค์สั่นริกริกพลิกผวา
ตื่นสะดุ้งรุ่งแสงพระสุริยา ก็รู้ว่าเกิดนิมิตพิสดาร
จึงอ่าองค์ทรงเครื่องเรืองจำรัส ออกแท่นรัตน์รจนามุกดาหาร
พอผันแปรแลเห็นโหราจารย์ เอื้อนโองการเรียกเข้ามาเล่าความ
เราฝันเห็นว่าไฟนั้นไหม้ป่า ติดหลังคาบ้านช่องท้องสนาม
เราออกไปไฟดับแล้วกลับลาม มาติดตามเนื้อตัวออกทั่วไป
แล้วว่าองค์ทรงเดชพระเชษฐา เสด็จมาช่วยระงับดับเสียได้
แล้วประทานดวงแก้วอันแววไว เรารับไว้ชมชื่นพอตื่นนอน ฯ
๏ โหรรับสั่งบังคมบรมนาถ ลงเลขคาดคิดดูตามครูสอน
ตั้งคืนวันชันษาพยากรณ์ แล้วตัดทอนทูลความตามคัมภีร์
ซึ่งพระองค์ทรงสุบินว่าเพลิงไหม้ จะเกิดภัยรบพุ่งถึงกรุงศรี
พระเชษฐามาระงับดับอัคคี ให้มณีแสงสว่างกระจ่างตา
จะสิ้นเคราะห์เพราะองค์พระทรงเดช ทั้งจะแจ้งแห่งเหตุพระเชษฐา
ข้างต้นร้ายปลายดีมีศักดา เรืองเดชาไชยะชนะมาร ฯ
๏ พระฟังคำทำนายไม่วายคิด ปัจจามิตรเห็นจะมาเหมือนว่าขาน
ได้ยินข่าวท้าวอุเทนว่าเกณฑ์การ จะคิดอ่านลงมาตีบุรีเรา
จึงปรึกษาสามพราหมณ์ตามวิตก จะให้ยกกองทัพไปรับเขา
คอยกำจัดศัตรูอย่าดูเบา บุรีเราราษฎรจะร้อนรน
จะให้พี่โมราปรีชาชาญ เป็นผู้ผ่านเมืองจารึกได้ฝึกฝน
ทั้งไพร่นายให้ชำนาญการประจญ อยู่ตำบลบูรพทิศคิดสงคราม
อันตัวพี่วิเชียรได้เรียนรู้ จงไปอยู่เมืองปราการชาญสนาม
เป็นฝ่ายเหนือเผื่อจะเกิดการสงคราม คอยปราบปรามไพรินทมิฬมาร
อันพาราสายัณห์ตะวันตก เป็นทางบกปรปักษ์มักหักหาญ
พี่สานนกลศึกฝึกชำนาญ ไปอยู่ด่านพาราเมืองสายัณห์
แล้วประทานเครื่องยศกลดกระบี่ พานพระศรีสารพัดล้วนจัดสรร
ให้คุมพลคนละหมื่นพื้นฉกรรจ์ เป็นจอมจันตประเทศเขตนคร ฯ
๏ เจ้าพราหมณ์พร้อมน้อมคำนับอภิวาท ลาพระบาทบพิตรอดิศร
มาสั่งเวรเกณฑ์พหลพลนิกร ผูกกุญชรช้างม้าบรรดามี
เจ้าวิเชียรชวนจงกลกับพลไพร่ ยกขึ้นไปเมืองปราการด่านกรุงศรี
เจ้าโมราพานางประภาวดี ไปบุรีจารึกตั้งระวังการณ์
เจ้าสานนนางอุบลกับพลขันธ์ ไปพาราสายัณห์ดังบรรหาร
ทั้งสามแห่งแปลงซ่อมป้อมปราการ ฝึกทหารด่านทางเที่ยววางคน ฯ
๏ จะกล่าวลำกำปั่นสินสมุทร ไม่ยั้งหยุดแล่นสล้างมากลางหน
พร้อมสะพรั่งทั้งเหล่าสำเภาพล ตัดถนนพระรามข้ามแหลมเลี้ยว
ไม่ได้ข่าวเจ้ากรุงผลึกราช โอ้อนาถลึกล้ำล้วนน้ำเขียว
คลื่นระลอกกลอกกลิ้งเป็นเกลียวเกลียว ทางก็เปลี่ยวใจก็เปล่าเศร้าฤทัย
ถึงสามเดือนเคลื่อนคล้อยแต่ลอยแล่น ไปตามแผนที่ทางสว่างไสว
สิ้นเสบียงเลี้ยงพลสกลไกร จะกินไม่ถึงเดือนเหมือนประมาณ ฯ
๏ อังกุหร่าทูลฉลองสองกษัตริย์ เห็นจะขัดสนเสบียงเลี้ยงทหาร
ไปข้างหน้าสารพันจะกันดาร จะโปรดเกล้าเหล่าทหารประการใด ฯ
๏ ฝ่ายสุวรรณมาลีศรีสวัสดิ์ นางกษัตริย์ซักถามตามสงสัย
แต่ก่อนเก่าข้าวปลาหาอย่างไร จึงได้ไว้เป็นเสบียงพอเลี้ยงพล ฯ
๏ อังกุหร่าฝรั่งได้ฟังถาม จึงทูลความจริงแจ้งแห่งนุสนธิ์
เมื่อสุหรั่งยังเป็นนายไม่วายชนม์ เคยเข้าปล้นชาวบุรีเที่ยวตีเรือ
ได้เงินทองข้าวของทรัพย์สิ่งสิน ของเจ๊กจีนแขกไทยทั้งใต้เหนือ
ไม่อับจนขนเอาทั้งข้าวเกลือ จนเหลือเฟือเพราะว่าทำแต่ลำพัง
เพียงโฉมยงทรงสั่งให้บังคับ มิได้จับเรือแพเหมือนแต่หลัง
คนทั้งหมดอดกินสิ้นกำลัง จะเซซังสูญหายพลัดพรายไป ฯ
๏ ยุพยงทรงฟังอังกุหร่า สุดปัญญาที่จะคิดผิดวิสัย
ด้วยใจหญิงนิ่งรำพึงตะลึงตะไล คิดขึ้นได้ด้วยปัญญาจึงหารือ
อันเงินทองของสุหรั่งยังนักหนา จะซื้อหาเอาที่ไหนไม่ได้หรือ
เที่ยวรุกรานบ้านเมืองจะเลื่องลือ เขาขึ้นชื่อว่าเป็นโจรโพนทะนา ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งบังคมประนมสนอง อันพวกพ้องโจรเรือเหมือนเสือกล้า
ทุกถิ่นฐานบ้านเขตไม่เมตตา จะซื้อหาเห็นไม่ได้ดังใจจง ฯ
๏ สินสมุทรสุดฉลาดเป็นชาติยักษ์ จะใคร่หักหาญศึกนึกประสงค์
จึงกราบทูลมารดาว่าพระองค์ อย่าได้ทรงพระวิตกสะทกสะท้าน
ถ้าเมืองไหนใหญ่กว้างมีฉางข้าว ให้พวกเราขึ้นไปว่าซื้ออาหาร
แม้นไม่ให้ไล่ขับให้อัประมาณ จึงรุกรานรบเร้าเอาธานี
แล้วตรัสสั่งอังกุหร่าอย่าช้าอยู่ สังเกตดูแหลมคุ้งทุกกรุงศรี
นครใดใหญ่กว้างยุ้งฉางมี เข้าทอดที่ปากน้ำเหมือนคำเรา ฯ
๏ อังกุหร่ารับสั่งนั่งพินิจ สังเกตทิศทางจรสิงขรเขา
จึงทูลสินสมุทรว่าเภตราเรา ต้องตัดเข้าคุ้งค้อมอ้อมออกมา
เป็นแว่นแคว้นแดนเมืองรมจักร กษัตริย์ศักดิ์สูงชาติวาสนา
เป็นเมืองใหญ่ไพร่พลคณนา จะแวะหาเห็นไม่ได้ภัยจะมี ฯ
๏ สินสมุทรพูดฮึกนึกสนุก อย่าเป็นทุกข์ถึงเราน้อยไม่ถอยหนี
ถ้าขัดขวางทางเราเร่งเข้าตี ชิงบุรีริบเอาทั้งข้าวปลา ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งรับรสพจนารถ เที่ยวประกาศไพร่นายทั้งซ้ายขวา
แล้วยิงปืนครื้นครั่นเป็นสัญญา บ่ายเภตราตรงเข้าอ่าวบุรี
จึงทอดกำปั่นใหญ่ไว้แต่ห่าง ประมาณทางโยชน์หนึ่งถึงกรุงศรี
อังกุหร่าฝรั่งสั่งโยธี จะเข้าตีปากน้ำทำอุบาย
เกณฑ์เภตราห้าสินรีบไปก่อน เข้านครเหมือนหนึ่งมาจะค้าขาย
ตั้งปลัดหัศเกนให้เป็นนาย คิดอุบายแก้ไขให้ได้การ
กำปั่นน้อยร้อยลำสำหรับรบ บรรจุครบเครื่องศัสตราโยธาหาญ
ตั้งอังกฤษจิตุเวนเจนชำนาญ ดูคิดอ่านกองหนุนเป็นขุนพล
เรือสำรองสองร้อยจะคอยซ้ำ ถึงเพลี่ยงพล้ำเปลี่ยนผลัดไม่ขัดสน
อังกุหร่ากล้าหาญการประจญ เป็นนายพลกองหลังระวังภัย
พอย่ำฆ้องกองหน้าทั้งห้าสิบ ออกแล่นลิบลับทางสว่างไสว
ถึงยามสองกองกลางก็กางใบ ค่อยแล่นไปช้าช้าในสาคร
ครั้นรุ่งสายฝ่ายฝรั่งอังกุหร่า ออกเภตราสองร้อยลอยสลอน
คอยระวังฟังการจะราญรอน เป็นสามตอนตามทางห่างห่างมา ฯ
๏ ฝ่ายเรือเหล่าชาวด่านบ้านปากน้ำ ห้าสิบลำแล่นรายทั้งซ้ายขวา
ตระเวนเวียนเปลี่ยนผลัดอยู่อัตรา คอยรักษาปากน้ำทุกค่ำคืน
พอยามสองกองตระเวนเห็นกำปั่น ดูเรียงรันรายทางมากลางคลื่น
สักเท่าไรไม่แน่แลกลางคืน จึงยิงปืนสัญญาให้ราใบ ฯ
๏ ฝ่ายปลัดหัศเกนเจนสมุทร เห็นเรือหยุดปากอ่าวเสาไสว
รู้ว่าเหล่าชาวด่านออกต้านไว้ จะลดใบพูดจาจะช้าที
จึงยิงปืนเป็นสำเหนียกเรียกทหาร ให้หักด่านรบพุ่งชาวกรุงศรี
พวกโจรพร้อมล้อมยิงทิ้งอัคคี ชาวบุรีเรือจมล่มทลาย
ที่เหลืออยู่รู้ว่าเป็นข้าศึก กำดัดดึกดูเรือเห็นเหลือหลาย
ค่อยถอยรบหลบเลี่ยงอยู่เรียงราย พวกผู้ร้ายไล่รุกมาทุกที
ข้างชาวเมืองเยื้องยิงปืนใหญ่ลั่น ถูกกำปั่นแตกแตนออกแล่นหนี
เห็นโจรไล่ใกล้กลับรับนาวี แกว่งอัคคีขว้างทิ้งแล้วยิงปืน
ทหารโจรโยนโซ่เอาขอสับ ชาวด่านรับรบพลางมากลางคลื่น
คงคาเคลื่อนเลื่อนลั่นเสียงครั่นครื้น ทั้งเสียงปืนรบร่ำกระหน่ำไป ฯ
๏ จะกล่าวฝ่ายนายด่านบ้านปากอ่าว แต่ครั้งคราวพราหมณ์มาอยู่อาศัย
ครั้นศรีสุวรรณนั้นผ่านพระเวียงชัย จึงตั้งให้ตาเฒ่าเป็นเจ้าพระยา
ได้สิทธิ์ขาดราชการด่านสมุทร เป็นสุขสุดสมคะเนอยู่เคหา
มีเมียสาวราวยี่สิบล้วนโสภา ที่หมดหน้านั้นให้หัดมโหรี
คืนวันนั้นบันดาลให้ร่านร้อน หิวหาวนอนนั่งเหงาบนเก้าอี้
ร้องเรียกเหล่าเมียน้อยดอกสร้อยดี ให้ดีดสีขับเพลงวังเวงใจ
พอได้ยินเสียงปืนดังครื้นครึก อึกทึกท้องชลาสุธาไหว
ในเที่ยงคืนตื่นเรียกกันเพรียกไป ตานายใหญ่ลงมายังฝั่งคงคา
ให้ตีกลองร้องเร่งทหารรบ มาสมทบถือพื้นแต่ปืนผา
ลงเรือน้อยร้อยยี่สิบรีบออกมา พอเพลาสุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ
เห็นพวกพ้องกองตระเวนเจนสมุทร สัประยุทธ์ยิงรับกับกำปั่น
ยิงแย้งเป็นปีกกาประดากัน ทุกลำลั่นแล้วโห่เป็นโกลา
ถูกเรือแขกแตกปรุทะลุล่ม พวกโจรจมน้ำม้วยด้วยมัจฉา
หัศเกนเห็นว่าน้อยก็ถอยมา ชาวพารารบรุกไปทุกที
พอกองกลางข้างโจรมาถึงพร้อม เข้ารุกล้อมรบพุ่งชาวกรุงศรี
ปืนกำปั่นลั่นลำละสามที เรือบุรียับย่อยทั้งร้อยลำ
ที่เหลือนั้นหันกลับไม่รับรบ โจรตลบแล่นไปไล่ถลำ
พัลวันกันเข้าอ่าวปากน้ำ พวกโจรซ้ำยิงตายทลายพัง
นายด่านไปไล่คนขึ้นบนป้อม สะพรั่งพร้อมโยธาทั้งหน้าหลัง
เห็นโจรไล่ใกล้ตลิ่งยิงประดัง เสียงตึงตังตูมสนั่นดังครั่นครื้น
พอข้างหลังอังกุหร่าก็มาถึง สั่งให้ขึงตารางเหล็กลำละผืน
พอคลุมลำกำปั่นกันลูกปืน ทหารยืนตามช่องคอยมองยิง
พอลมแปรเข้าฝั่งอังกุหร่า ให้โยธาเทียบสำเภาเข้าตลิ่ง
ข้างชาวด่านให้ทหารเอาหินทิ้ง พวกโจรยิงปืนปีนตีนกำแพง
พวกบนป้อมหลอมตะกั่วคั่วทรายสาด จนถึงฟาดฟันกันด้วยขันแข็ง
ปืนฝรั่งอังกฤษติดจะแรง ยิงกำแพงด่านพังเสียงดังครืน
ชาวด่านแตกแยกย้ายทั้งนายไพร่ พวกโจรไล่ฟันฟาดลงดาษดื่น
บ้างเจ็บป่วยปวดกระดูกถูกลูกปืน พากันตื่นแตกพลัดกระจัดกระจาย
เสียงชาวบ้านร้านตลาดกรีดกราดร้อง มีข้าวของแขกริบเอาฉิบหาย
แต่ตาเฒ่าเจ้าพระยาพาท่านยาย ลงเรือพายพุ้ยมายังธานี
ทั้งชายหญิงทิ้งบ้านสถานถิ่น กลัวไพรินรีบมุ่งมากรุงศรี
พอมืดมนสนธยาเป็นราตรี พวกโจรตีด่านได้พอใกล้พลบ
ขึ้นริบทรัพย์จับคนบนตลิ่ง เห็นผู้หญิงอยากได้ไล่ตลบ
แล้วขนเอาข้าวเกลือลงเรือรบ เที่ยวริบครบเครื่องศัสตราบรรดามี
ให้ไปส่งลงลำกำปั่นใหญ่ แล้วสั่งให้ทูลฉลองทั้งสองศรี
จะโปรดเกล้าเอาเสบียงแต่เพียงนี้ หรือจะตีบ้านเมืองเนื่องขึ้นไป ฯ
๏ พวกนายรองรับสั่งอังกุหร่า รีบออกมาถึงลำกำปั่นใหญ่
จึงทูลความตามจริงเหมือนชิงชัย เขาตีได้ปากน้ำที่สำคัญ
บัดนี้ฝ่ายนายฝรั่งอังกุหร่า ยังตรวจตราเตรียมพหลพลขันธ์
รักษาค่ายขึ้นป้อมอยู่พร้อมกัน จะผ่อนผันโปรดปรานประการใด ฯ
๏ หน่อนรินทร์ยินดีเป็นที่ยิ่ง เข้าวอนวิงมารดาอัชฌาสัย
แต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นกรุงไกร จะลาไปชมประเทศเขตนคร
นางโฉมยงสงสารกุมารน้อย ประคองค่อยลูบหลังแล้วสั่งสอน
ถึงมีชัยได้ด่านเป็นการร้อน ชาวนครเขาก็คงจะสงคราม
พ่อจงไปให้ทัพกลับเสียเถิด อย่าให้เกิดติเตียนเป็นเสี้ยนหนาม
มัวทำศึกตรึกตราจะช้าความ จะได้ตามพระบิดาเที่ยวหากัน
แล้วโฉมยงสั่งสอนสินสมุทร ทรงเครื่องยุทธ์อย่างกษัตริย์รัดกระสัน
ใส่เสื้อเกราะโพกผ้าเช็ดหน้าพัน เหน็บกั้นหยั่นกริชเล็กล้วนเหล็กดี
ถือดาบด้ำคร่ำทองของฝรั่ง ถวายบังคมลามารศรี
ลงเรือเร็วรีบมาในราตรี ประทับที่ฝั่งสมุทรให้จุดคบ
กุมาราพาพลขึ้นบนป้อม สะพรั่งพร้อมพลขันธ์เข้าบรรจบ
อังกุหร่าพานายทหารรบ มานอบนบหน่อนาถดาษดา
พระลดองค์ลงนั่งบนเก้าอี้ ให้คิดที่จะทำศึกแล้วปรึกษา
เราจะตีรมจักรนัครา อังกุหร่าท่านจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งบังคมหน่อกษัตริย์ จึงทูลทัดด้วยปัญญาอัชฌาสัย
เข้าหักด่านวานนี้จนมีชัย พลไกรหิวโหยโรยกำลัง
คอยดูทีฝีมือชาวเมืองก่อน จึงผันผ่อนเพทุบายต่อภายหลัง
มารบเราเราจึงตีให้แตกพัง แล้วรุกไล่ให้กระทั่งถึงกำแพง
เวลารุ่งพรุ่งนี้คงมีทัพ เราคอยรับรบประจัญให้ขันแข็ง
วันนี้ให้ไพร่พลได้ผ่อนแรง จะได้แบ่งรบเขาชาวนคร ฯ
๏ หน่อกษัตริย์ตรัสตอบว่าชอบอยู่ ท่านรอบรู้การศึกช่วยฝึกสอน
แล้วถามไถ่ในการจะราญรอน ให้พักผ่อนโยธาในราตรี ฯ
๏ กล่าวถึงฝ่ายชายหญิงที่ทิ้งบ้าน อลหม่านหมายมุ่งมากรุงศรี
จนเหนื่อยบอบหอบหืดมืดเต็มที บ้างหลีกลี้หลบตัวด้วยกลัวโจร
บ้างเห็นเพื่อนเหมือนพวกแขกฝรั่ง ไม่เหลียวหลังแล่นโลดกระโดดโผน
พวกผู้หญิงวิ่งฉุยลงลุยโคลน สะดุดโคนตอหลักจนหักพัง
ฝ่ายตาเฒ่าเจ้าพระยาพาเมียหลวง ลงพายจ้วงมาทีเดียวไม่เหลียวหลัง
ยายเมียมือพุ้ยน้ำด้วยกำลัง มากระทั่งถึงกรุงพอรุ่งราง
ขึ้นตลิ่งวิ่งตามกันสองเฒ่า สะดุดสะเด่าโดนก้อนสิงขรขวาง
ยายพยุงจูงตามาตามทาง หาขุนนางที่ตำแหน่งแจ้งคดี
เมื่อจวนค่ำกำปั่นสักพันเศษ ล้วนแขกเทศวิลันดากะลาสี
เข้าตีด่านต้านต่อก็เต็มที ต้องแตกหนีมายังรุ่งถึงกรุงไกร ฯ
๏ ฝ่ายขุนนางต่างตระหนกตกประหม่า จึงพามาพระโรงรัตน์จำรัสไข
สั่งให้ท่านท้าวนางทูลข้างใน ว่าทัพใหญ่ยกมาถึงธานี
พวกท้าวนางต่างวิ่งเสลือกสลน ตรงขึ้นบนปรางค์มาศปราสาทศรี
ทูลผ่านเกล้าภพไตรว่าไพรี ยกมาตีปากน้ำค่ำคืนวาน ฯ
๏ พระโฉมยงทรงฟังยังไม่แจ้ง จับพระแสงเสด็จมายังหน้าฉาน
เสนาพร้อมน้อมประณตบทมาลย์ ตานายด่านตัวสั่นรำพันทูล
ซึ่งรบแขกแตกพังมาครั้งนี้ ควรชีวีข้าบาทจะขาดสูญ
ขอพระองค์ทรงพระอนุกูล แล้วกราบทูลตามจริงที่ชิงชัย ฯ
๏ ศรีสุวรรณจรรโลงเฉลิมภพ ให้ปรารภร้อนจิตคิดสงสัย
ท้าวอุเทนเกณฑ์มาหรือว่าใคร จำจะไปรับรองลองกำลัง
จึงตรัสสั่งเสนีให้กรีทัพ ให้เสร็จสรรพซ้ายขวาทั้งหน้าหลัง
เราจะไปรบแขกให้แตกพัง พระตรัสสั่งเสร็จสรรพกลับมนเทียร ฯ
๏ ฝ่ายอำมาตย์ยาตรามาข้างนอก ทำหมายบอกส่งให้เสมียนเขียน
ตามบาญชีมีไว้ในหอทะเบียน ใครขาดเฆี่ยนเร่งเอาเข้ากระบวน
ได้พร้อมพรั่งหลังหน้าทั้งขวาซ้าย ทั้งไพร่นายแน่นทางข้างฉนวน
แล้วผูกม้ากล้ารบเคยรำทวน ประดับล้วนเครื่องจินดาเป็นม้าทรง ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมโมลีศรีสุวรรณ ครั้นสุริยันรุ่งเช้าเข้าโสรจสรง
แล้วทรงเครื่องเคยประจญรณรงค์ มาขึ้นทรงพาชีให้คลี่คลาย
ทหารแห่แลล้วนถืออาวุธ ปืนคาบชุดหอกดาบกำซาบสาย
ทั้งปืนล้อก็ให้ลากมามากมาย ออกทางท้ายเมืองมาริมสาคร
ถึงทุ้งกว้างห่างป้อมยี่สิบเส้น พอแลเห็นแขกฝรั่งนั่งสลอน
ให้หยุดยั้งฟังการจะราญรอน พลนิกรตั้งปีกกาหน้ากระดาน ฯ
๏ ฝ่ายพระหน่อบดินทร์สินสมุทร ขึ้นยั้งหยุดอยู่บนป้อมพร้อมทหาร
เห็นทัพบกยกออกมาต้านทาน แสนสำราญเริงรื่นมายืนดู
ล้วนธงเทียวเขียวแดงแสงสลับ โยธาทัพโห่ลั่นสนั่นหู
ถามฝรั่งอังกุหร่าว่าตาครู จะรบสู้คิดอ่านประการใด ฯ
๏ อังกุหร่าว่าศึกยังฮึกฮัก จะหาญหักด้วยกำลังยังไม่ไหว
ดูท่วงทีรี้พลสกลไกร เป็นทัพใหญ่อย่างกษัตริย์ขัตติยา
ที่ยืนม้าอยู่กลางกางพระกลด มีเครื่องยศแห่แหนกันแน่นหนา
เห็นทีท้าวเจ้าเมืองจะยกมา เรารักษาป้อมค่ายไว้ให้ดี
ถ้าแม้นเขาเข้ารบจึงรบมั่ง ดูกำลังรบพุ่งชาวกรุงศรี
ถ้าเพลี่ยงพล้ำซ้ำเติมให้เต็มที ชิงบุรีครอบครองเป็นของเรา ฯ
๏ กุมาราว่าจะไม่ออกไปรบ ก็เป็นหลบหลีกตัวเหมือนกลัวเขา
ท่านล้าเลื่อยเหนื่อยนักพักก็เอา เราจะเข้ารบรับกับพระยา
มาแบ่งพลคนละครึ่งจึงจะได้ อันป้อมไซร้ท่านจงอยู่ดูรักษา
เราจะไปไล่พวกชาวพารา พิฆาตฆ่าเสียให้ยับทั้งทัพชัย
ด้วยความรู้ครูให้ไว้หลายอย่าง ไม่อวดอ้างอังกุหร่าอย่าสงสัย
ถึงสิ้นแรงแทงฟันไม่บรรลัย สลบไปเที่ยงคืนก็ฟื้นกาย ฯ
๏ อังกุหร่าฝรั่งได้ฟังตรัส ไม่อาจขัดพากันรีบผันผาย
มาจัดพวกพลไกรทั้งไพร่นาย เป็นปีกซ้ายปีกขวาล้วนกล้ารบ
บ้างกุมหอกดาบปืนยืนสะพรั่ง ทั้งทวนดั้งโล่เขนล้วนเจนจบ
แล้วเลือกอัศวราชชาติสินธพ มาผูกครบเครื่องสำหรับกับสงคราม ฯ
๏ พระหน่อน้อยคอยดูอยู่บนป้อม เห็นพรั่งพร้อมทวยหาญชาญสนาม
ทรงกระบี่ขี่ม้าสง่างาม ให้โห่สามลาออกนอกกำแพง
พอเดินทัพถึงกันประจันหน้า ไม่พูดจาโจนฟันด้วยขันแข็ง
ชุลมุนวุ่นวางกันกลางแปลง ต่างต่อแย้งยิงกันสนั่นดัง
พระหน่อนาถอาจองทรงสินธพ เร่งให้รบรุกไปเหมือนใจหวัง
ชาวเมืองแตกแขกซ้ำระยำมัง จนกระทั่งหน้าม้าเจ้าธานี ฯ
๏ ศรีสุวรรณนั้นก็ขับอัศวราช ไล่พิฆาตแขกชวากะลาสี
ทั้งไพร่นายตายล้มไม่สมประดี พวกโยธีทัพแขกแตกกระจาย ฯ
๏ สินสมุทรขับม้าออกหน้าทัพ จะรบรับนายใหญ่ดังใจหมาย
ครั้นเห็นอามาชิดพินิจกาย ดูช่างคล้ายพระบิดาสารพัน
นึกคะนึงถึงพ่อให้ท้อจิต ไม่อาจคิดที่จะฆ่าให้อาสัญ
เห็นจวนใกล้ได้ทีศรีสุวรรณ ก็ควบกัณฐัศว์โถมเข้าโจมตี
ถูกกุมารหลานรักอักเข้าอก กระเด็นตกม้าพับลงกับที่
พวกพหลพลไกรเห็นได้ที ก็กลับตีทัพแขกแตกระยำ
บ้างล้มกลิ้งวิ่งโลดกระโดดโผน ลงลุยโคลนพรวดพราดพลาดถลำ
บ้างจวนตัวกลัวตายลงว่ายน้ำ ชาวเมืองซ้ำแทงตายเสียหลายคน ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งอังกุหร่ารักษาค่าย เห็นเจ้านายเสียทัพวิ่งสับสน
ขับทหารด่านนอกออกประจญ พอกันคนเข้ามาได้ในกำแพง
ขึ้นรักษาหน้าที่ไม่หนีหลบ ถือทวนรบแต่ละเล่มล้วนเข้มแข็ง
ชาวเมืองบุกรุกขึ้นปีนกำแพง ฝรั่งแทงถูกอกพลัดตกตาย ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ผู้ดำรงรมจักร เห็นจะหักเอาไม่ได้ดังใจหมาย
ให้โบกธงถอยพหลพลนิกาย แล้วให้รายเรียงล้อมป้อมปราการ ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งอังกุหร่าเวลาพลบ พอหยุดรบจึงปรึกษาโยธาหาญ
เรารอรั้งตั้งมั่นประจัญบาน คอยกุมารเผื่อจะมาในราตรี
ถ้ารุ่งเช้าเจ้านายมิได้กลับ จึงเลิกทัพโยธาออกล่าหนี
ทั้งนายไพร่ใหญ่น้อยพลอยยินดี รายรักษาหน้าที่ทุกช่องปืน ฯ
๏ สงสารสินสมุทรซบสลบหลับ กลิ้งอยู่กับพระสุธาไม่ฝ่าฝืน
ต้องละอองน้ำค้างในกลางคืน ค่อยแช่มชื่นฟื้นองค์ดำรงกาย
ภาวนาอาคมประนมหัตถ์ แล้วเป่าปัดเมื่อยเหน็บที่เจ็บหาย
แลเห็นเหล่าชาวเมืองเคืองระคาย เข้าตั้งล้อมป้อมค่ายอยู่หลายชั้น
แล้วเหลียวดูผู้คนบนหน้าที่ เสียงยังตีฆ้องตรวจกันกวดขัน
ให้แค้นใจไพรีที่ตีรัน ลุกถลันโลดโผนโจนทะยาน
เข้ากลางทัพจับคนขึ้นฟัดฟาด ไล่พิฆาตเข่นฆ่าโยธาหาญ
ชาวบุรีหนีซนไม่ทนทาน อลหม่านมี่อึงคะนึงไป
สินสมุทรหยุดท้าอยู่หน้าค่าย เหวยตัวนายโยธีอยู่ที่ไหน
อย่าถอยหลังนั่งนิ่งมาชิงชัย แล้วเลี้ยวไล่ไพร่พลไม่ทนทาน
จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยแขนออกแล่นอ้อม มาถึงป้อมเรียกหาโยธาหาญ
อังกุหร่ามาเปิดบานทวาร เชิญกุมารขึ้นบนป้อมอยู่พร้อมกัน
มาถามข่าวเจ้านายว่าวายวอด ไฉนรอดกลับมาไม่อาสัญ
กุมาราว่าเราเข้าประจัญ กับคนกั้นกลดทองกระบองไว
ดูรูปร่างช่างเหมือนพระบิตุราช ไม่เคลื่อนคลาดเคลิ้มจิตคิดสงสัย
เขาโจมตีชีวันแทบบรรลัย พอดึกได้น้ำค้างค่อยสร่างทรวง
เราแค้นใจไล่ฆ่าโยธาทัพ แตกกระเพิ่นเยินยับจนทัพหลวง
หากรำลึกนึกถึงท่านทั้งปวง จะเป็นห่วงทุกข์ถึงเราจึงเข้ามา
เวลารุ่งพรุ่งนี้ออกตีทัพ จะคิดจับแก้แค้นให้แสนสา
จงเร่งรัดจัดพหลพลโยธา พอเวลารุ่งเช้าเราจะไป ฯ
๏ ฝรั่งรับกลับออกมานอกป้อม ประชุมพร้อมพลนิกายทั้งนายไพร่
ที่เรี่ยวแรงแข็งขันแกล้งสรรไว้ ประมาณได้โยธาสักห้าพัน
แล้วผูกม้ามาประทับรับเสด็จ เตรียมสำเร็จรอไว้พอไก่ขัน
พระหน่อน้อยคอยดูสุริยัน พอตะวันส่องฟ้าจะคลาไคล ฯ
๏ ฝ่ายโยธีศรีสุวรรณยังปั่นป่วน แต่เรรวนเรียกกันเสียงหวั่นไหว
เป็นราตรีมิได้รู้ว่าผู้ใด บ้างหลงใหลล้มกลิ้งวิ่งกระทบ
พระโฉมยงทรงกระบองร้องว่ารับ ทหารกลับราบเรียบเงียบสงบ
บ้างตีฆ้องกองไฟจุดไต้คบ เห็นแต่ศพกลิ้งกลาดดาษดา
ทั้งไพร่นายได้ศพยี่สิบเศษ คิดสมเพชเพื่อนกันพรั่นนักหนา
ให้ขานยามตามหมวดเที่ยวตรวจตรา จนเวลาจวนแจ้งแสงตะวัน ฯ
๏ สินสมุทรสุดแค้นแหงนชะแง้ เฝ้าเตือนแต่สุริย์ฉายจะผายผัน
เห็นแสงทองผ่องแผ้วขึ้นแพรวพรรณ เกษมสันต์สรงชลสุคนธา
แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองจำรัส ประนมหัตถ์มัสการอ่านคาถา
ฤทธิรงค์คงทนด้วยมนตรา ใครเข่นฆ่าชีวันไม่บรรลัย
ครั้นเสร็จสรรพจับกระบี่ขี่สินธพ เคลื่อนพหลพลรบพิภพไหว
เดินกระบวนมาถึงทัพกรุงไกร ให้หยุดไพร่พร้อมกันประจัญรับ
แล้วร้องท้าว่าเหวยนายทหาร รบกันวานนี้ประเดี๋ยวไม่เคี่ยวขับ
เรามาใหม่ไหนตัวนายกองทัพ ออกมารับรบสู้ดูศักดา ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงพระแสงกระบองเหล็ก เห็นลูกเล็กหลากจิตคิดกังขา
อ้ายกุมารวานนี้สิ้นชีวา ยังกลับมาองอาจประมาทใจ
จึงแต่งองค์ทรงม้ามาหน้าทัพ แล้วหยุดยับยั้งถามตามสงสัย
ว่าดูราทารกนี้นามใด เหตุไฉนจึงมาตีบุรีเรา
เป็นโจรเรือเชื้อฝรั่งหรืออังกฤษ สมคบคิดคุมพลเที่ยวปล้นเขา
ดูชันษาอายุก็ยังเยาว์ มารบเราชีวันจะบรรลัย ฯ
๏ สินสมุทรพูดจาภาษาเด็ก ถึงทั้งเล็กก็ไม่พรั่นประหวั่นไหว
เราชื่อว่าสินสมุทรวุฒิไกร พระอภัยบพิตรเป็นบิดา
ล้วนเหล่ากอหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ผ่านสมบัติบำรุงราษฎร์ศาสนา
จะแล่นใบไปทางกลางคงคา ชาวพารารบเราจึงเข้าตี
ท่านชื่อไรจงบอกออกมาบ้าง เป็นขุนนางหรือบำรุงซึ่งกรุงศรี
แม้นรักตัวกลัวตายวายชีวี อัญชลีแล้วจะกลับกองทัพไป ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงเดชเกศกษัตริย์ นึกประหวัดหวั่นจิตคิดสงสัย
กุมาราว่าพ่อชื่อพระอภัย จะเป็นใครหนอคนนี้หรือพี่ยา
แล้วพิศดูกุมารก็แม้นเหมือน ไม่คลาดเคลื่อนทรงเดชพระเชษฐา
แต่ผมหยิกอย่างยักษ์ลักขณา กับสองตาดูแดงยังแคลงใจ
จึงตอบคำทำว่าบิดาเจ้า มาหรือเปล่าประเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน
จงแจ้งความตามจริงอย่าชิงชัย จะบรรลัยแหลกลาญเหมือนวานนี้
อันตัวเราเจ้ากรุงรมจักร เป็นปิ่นปักหลักโลกเฉลิมศรี
เจ้ากลับไปให้พ่อมาต่อตี ได้ดูฝีมือกันประจัญบาน ฯ
๏ หน่อกษัตริย์ขัดข้องร้องตวาด ชิช่างอาจอวดศักดาว่ากล้าหาญ
บอกบิดามาทำไมมิใช่การ เรารอนราญรบสู้กันดูลอง
อย่าพักให้ไพร่พลเข้าปนปะ แพ้ชนะแต่ลำพังเราทั้งสอง
แล้วขับม้าร่ารำเป็นทำนอง ส่วนว่ากองทัพโห่เป็นโกลา ฯ
๏ ศรีสุวรรณนั้นชำนาญในการรบ ทำเลี้ยวหลบล่อให้ไล่ถลา
เห็นได้ทีตีต้องกุมารา ถูกถึงห้าหกทีดังตีกลอง
ไม่ช้ำชอกกลอกกลับเข้ารับรบ ม้าก็ขบกัดกันผันผยอง
สินสมุทรฉุดฉวยชิงกระบอง แล้วตีต้ององค์พระอาตกพาชี
ฝรั่งรุมกลุ้มจับจอมกษัตริย์ ยุดพระหัตถ์แน่นไว้มิให้หนี
ทหารฮึกครึกโครมเข้าโจมตี ชาวบุรีแตกพลัดกระจัดกระจาย
บ้างหนีรอดมอดม้วยบ้างป่วยเจ็บ พวกโจรเก็บเสื้อผ้ามาเหลือหลาย
กุมาราพาพหลพลนิกาย กลับเข้าค่ายขึ้นป้อมอยู่พร้อมพรัก
สินสมุทรหยุดยั้งนั่งเก้าอี้ ให้คุมท้าวเจ้าบุรีรมจักร
มาไต่ถามนามวงศ์สงสัยนัก เราเห็นพักตร์ดูละม้ายคล้ายบิดา ฯ
๏ ฝ่ายศรีสุวรรณวงศ์นั้นองอาจ ไม่ขยาดยืนดูอยู่ตรงหน้า
เห็นธำมรงค์เรือนครุฑบุษรา ของเชษฐาแน่นักประจักษ์ใจ
หรือได้คู่กุมารนี้เป็นลูก เอาแหวนผูกข้อมือหรือไฉน
ไม่แจ้งเหตุเชษฐาให้อาลัย ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย
หลานหัวเราะเยาะว่าประดาเสีย คิดถึงเมียหรือร้องไห้มิใคร่หาย
กุ๋ยกุ๋ยกษัตราน่าไม่อาย เมื่อกลัวตายไยทะนงมาสงคราม ฯ
๏ ศรีสุวรรณหันหุนฉุนพิโรธ กำลังโกรธตรัสว่าเจ้าอย่าหยาม
ถึงบรรลัยไว้ชื่อให้ลือนาม ไม่กลัวความตายดอกบอกจริงจริง
จงเร่งมาฆ่าตีเอาชีวาตม์ เราก็ชาติชายใช่น้ำใจหญิง
ใช่จะของ้องอนมาวอนวิง แต่เห็นสิ่งของต้องนองน้ำตา
ธำมรงค์วงที่เจ้าผูกหัตถ์ เพชรรัตน์เรืองเดชของเชษฐา
ทั้งผืนผ้าเจียระบาดที่คาดมา เรารู้ว่าของพระอภัยมณี
อันตัวเรานี้เป็นน้องจึงร้องไห้ ด้วยจากไปตายเป็นไม่เห็นผี
ซึ่งท่านถามนามกรของเรานี้ เราชื่อศรีสุวรรณราชเร่งฟาดฟัน ฯ
๏ พระหน่อไทได้ยินถวิลหวัง เป็นความหลังล้วนจริงทุกสิ่งสรรพ์
บิดาว่าอาชื่อศรีสุวรรณ เห็นสมกันกับกษัตริย์ที่ตรัสมา
แล้วก็จำธำมรงค์วงนี้แน่ เห็นเที่ยงแท้แต่จะซักให้นักหนา
ซึ่งพระอภัยมณีเป็นพี่ยา มีวิชาชำนาญประการใด
ถ้าเป็นน้องของพระองค์ก็คงรู้ ว่าย่าปู่อยู่นิเวศน์ประเทศไหน
แม้นว่าถูกทุกสิ่งที่จริงใจ จึงจะได้เห็นว่าเป็นอาเรา ฯ
๏ ฝ่ายบดินทร์ปิ่นประเทศเขตสถาน รู้ว่าหลานเคลือบแคลงแถลงเล่า
อันพระพี่มีวิชามาแต่เยาว์ ฝีปากเป่าปี่ประเสริฐเลิศโลกา
ผู้ใดฟังนั่งหลับลืมสติ มีลัทธิหลายหลากมากนักหนา
เป็นหน่อท้าวเจ้าบุรีรัตนา เราสองราร่วมท้องพี่น้องกัน
พระเล่าความตามจริงจนจากพี่ มาถึงนี่ก็พอได้ไอศวรรย์
แล้วว่าเจ้าเราพิศดูผิวพรรณ ช่างเหมือนกันกับพระพี่นี่กระไร ฯ
๏ สินสมุทรทรุดองค์ลงอภิวาท เข้ากอดบาทพระเจ้าอาน้ำตาไหล
สะอื้นอ้อนวอนว่าขออภัย พระอย่าได้ถือโทษจงโปรดปราน
ต่อปิ่นเกล้าเล่าเรื่องจึงรู้เหตุ ว่าทรงเดชเป็นอาข้าเป็นหลาน
เที่ยวตามติดพระบิดามาช้านาน ไม่พบพานภูวนาถประหลาดนัก
ทั่วประเทศเขตขอบแขกฝรั่ง จนกระทั่งทะเลลมรมจักร
ทูลแต่ต้นจนจบแล้วซบพักตร์ สะอื้นฮักหวนคิดถึงบิดา ฯ
๏ ศรีสุวรรณกันแสงแล้วทรุดนั่ง พระลูบหลังหลานน้อยละห้อยหา
โอ้สงสารหลานเอ๋ยอนิจจา เจียนจะฆ่ากันตายวายชีวัน
นี่หากบุญหนุนช่วยไม่ม้วยมอด จึงได้รอดพบพานกับหลานขวัญ
พลางกอดราชนัดดาแล้วจาบัลย์ สะอื้นอั้นอารมณ์ไม่สมประดี
ครั้นสร่างโศกสงสารพระหลานรัก วรพักตร์ผุดผ่องก็หมองศรี
ประคองอุ้มนัดดาแล้วพาที ไปบุรีเราเถิดอาจะพาไป
จะได้เอาข้าวปลาลงมาแจก ฝรั่งแขกพลนิกายทั้งนายไพร่
พอได้พบน้องยาอาสะใภ้ แล้วจะได้ตามติดพระบิดร ฯ
๏ กุมารฟังบังคมบรมนาถ ทูลพระบาทบพิตรอดิศร
ข้าคุมทัพขับทหารมาราญรอน พระมารดรยังค้างอยู่กลางชลา
ทำสงครามสามวันเข้าวันนี้ พระชนนีเห็นจะคอยละห้อยหา
เป็นหญิงอยู่ผู้เดียวเปลี่ยววิญญาณ์ หลานจะลาลงไปเฝ้าเล่าให้ฟัง
ให้ทราบความตามที่มิได้รบ มาพานพบภูวไนยดังใจหวัง
เชิญพระองค์คงคืนเข้าเวียงวัง หลานไปสั่งเสร็จสรรพจะกลับมา ฯ
๏ พระจอมวังฟังแจ้งไม่แคลงจิต พลางจุมพิตนึกรักขึ้นนักหนา
ถ้ากระนั้นวันนี้พ่อพาอา ไปเชิญมาเวียงวังจึงบังควร
พอได้เห็นพี่นางต่างพระพี่ ถือเป็นที่บูชารักษาสงวน
ไกลหรือใกล้ไปมาเวลาจวน จะได้ชวนมารดามาธานี ฯ
๏ พระหน่อไทได้สดับก็รับสั่ง ร้องเรียกอังกุหร่าแล้วว่าพี่
เร่งป่าวร้องกองทัพกลับวันนี้ ไปพร้อมที่เรือใหญ่ในคงคา
แล้วสององค์ลงเรือลำที่นั่ง พร้อมสะพรั่งไพร่นายทั้งซ้ายขวา
ออกกำปั่นลั่นปืนเป็นสัญญา เสียงโยธาเอิกเกริกเลิกไปตาม ฯ
๏ จะกลับกล่าวชาวบุรีซึ่งหนีแขก ต่างตื่นแตกตกประหม่าเข้าป่าหนาม
บ้างถูกง้าวหลาวแหลนเลือดไหลทราม เพื่อนกันหามเข้าไปไว้เสียในพง
พวกเสนามาถึงออกอึงฉาว เข้าเฝ้าท้าวทูลเฟือนเลอะเลือนหลง
ทูลกระหม่อมจอมพลออกรณรงค์ เขาจับองค์ภูวไนยไปได้แล้ว
ไม่ทันเย็นเห็นศัตรูจะถึงนี่ เสด็จหนีเสียเถิดทูลกระหม่อมแก้ว
ถ้ารอราช้าไปเห็นไม่แคล้ว พอทูลแล้วลมจับก็หลับตา ฯ
๏ สมเด็จท้าวทศวงศ์ได้ทรงทราบ ดังคมดาบตัดเอาเกล้าเกศา
ลุกยองยองร้องเรียกอำมาตย์มา แต่งบรรณาการไปให้ไพรี
ว่าตัวเราเจ้านครจะงอนง้อ ขอแต่พ่อนางอรุณรัศมี
พอหลาบเข็ดเมตตาอย่าฆ่าตี เอากรุงไกรถ่ายชีวีศรีสุวรรณ
อำมาตย์ลามาสั่งชาวคลังหลวง ตามกระทรวงสารพัดเร่งจัดสรร
พร้อมสำเร็จเสร็จสรรพกำกับกัน ใส่เรือบัลลังก์ทองล่องลงมา
ถึงบ้านด่านลานแลเห็นแต่ค่าย ทั้งไพร่นายหลากจิตคิดกังขา
ให้เรือพายท้ายทอดจอดนาวา ขึ้นมาหาเห็นแต่ผีไม่มีคน
จะถามใครไม่มีที่จะถาม ไม่ได้ความสารพัดจะขัดสน
พากันตรงลงเรือว่าเหลือจน เร่งให้พลพายมายังธานี
เข้าในวังบังคมประนมสนอง ไม่พบกองทัพชวากะลาสี
ในขอบค่ายน้อยใหญ่ก็ไม่มี เห็นแต่ผีตายกลาดดาษดา ฯ
๏ ท้าวทศวงศ์ทรงฟังให้สังเวช น้ำพระเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา
เสียอารมณ์ลมจับนั่งหลับตา หมอเอายานัตถุ์ถวายจนหงายเงย
ค่อยรู้สึกปรึกษาพวกข้าเฝ้า ที่นี้เราวังเวงแล้วเองเอ๋ย
ใครจะกู้บุรีไม่มีเลย เสียลูกเขยคนนี้เหมือนชีวิต
แม้รู้ว่าข้าศึกอยู่เมืองไหน ก็จะได้คิดความไปตามติด
ถึงยากเย็นเป็นข้าปัจจามิตร แต่ชีวิตศรีสุวรรณอย่าบรรลัย
จำจะบอกไปถึงสามเจ้าพราหมณ์ด้วย จะได้ช่วยดูแลคิดแก้ไข
ใครอยู่ที่นี่หวาพวกม้าใช้ จงรีบไปหาสามเจ้าพราหมณ์มา
ขุนหมื่นรับอภิวันท์แล้วผันผาย ทั้งสามนายเร็วรวดตำรวจขวา
ต่างคนออกนอกวังขึ้นหลังม้า ควบอาชาแยกทางไปกลางแปลง ฯ
๏ สงสารท้าวทศวงศ์ยิ่งทรงโศก กำเริบโรคเรอหาวหนาวแสยง
อุตส่าห์ขืนยืนตรงดำรงแรง จับพระแสงเยื้องย่างขึ้นปรางค์ปรา
เห็นญาติวงศ์องค์มิ่งมเหสี กับบุตรีหลานน้อยมาคอยท่า
ทรุดพระองค์ลงอุ้มเอานัดดา กลั้นน้ำตาไว้ไม่หยุดสุดอาลัย
จึงตรัสบอกบุตรีสามีเจ้า ไปรบเขาเขากลับจับไปได้
จะวอดวายตายเป็นไม่เห็นใคร พลางร่ำไรรักหลานสงสารครัน ฯ
๏ พระบุตรีตีทรวงเข้าฮักฮัก ดังใครควักชีวาให้อาสัญ
ระทวยกายหายใจมิใคร่ทัน สะอื้นอั้นอ่อนนิ่งไม่ติงกาย
สาวสุรางค์นางในร้องไห้แซ่ พวกเถ้าแก่ลมจับผงับหงาย
หลวงแม่เจ้าท้าวนางเจ้าขรัวนาย ร่ำร้องไห้ไม่วายฟายน้ำตา
ท้าวทศวงศ์สงสารพระหลานรัก ลงซบพักตร์ถอยกำลังแทบสังขาร์
มเหสีมิทันจำนรรจา กอดธิดาซวนซบสลบไป ฯ
๏ ฝ่ายอรุณรัศมีศรีสวัสดิ์ เห็นสามกษัตริย์ซบพักตร์เข้าผลักไส
ไม่พื้นกายหมายมั่นว่าบรรลัย นางร่ำไรเรียกหาบิดาพลาง
ทูลกระหม่อมจอมโลกของลูกเอ๋ย ไฉนเลยไม่มาช่วยฉันด้วยบ้าง
พระมารดาตายายมาวายวาง สะอื้นพลางกลิ้งเกลือกลงเสือกกาย
พระญาติวงศ์สงสารสามกษัตริย์ เข้าโบกปัดนวดเฟ้นพระเส้นสาย
ทั้งสามองค์คงคืนค่อยฟื้นกาย ต่างฟูมฟายชลนัยน์อาลัยลาน
พระอัยกาว่าตายแล้วยายเอ๋ย เสียลูกเขยเขาจะหมิ่นทุกถิ่นฐาน
จะปลดปลอดรอดตายหรือวายปราณ ทั้งลูกหลานก็จะซ้ำเป็นกำพร้า
พระอัยกีตีทรวงสะอื้นไห้ ด้วยอาลัยลูกเขยเคยเห็นหน้า
จะคลาดแคล้วแก้วเนตรเกษรา ต้องเป็นม่ายขายหน้าทั้งตาปี
ธิดาว่าโอ้พระทูลกระหม่อม เคยเป็นจอมรมจักรเป็นศักดิ์ศรี
แม้นสิ้นชาติวาสนาพระสามี อันเมียนี้ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย
พระบรรลัยไปแล้วจงโปรดเกล้า มาเด็ดเอาชีพเมียไปเสียด้วย
สะอึกสะอื้นฝืนดำรงองค์ระทวย แทบจะม้วยมรณาด้วยสามี
ทั้งเสนาข้าเฝ้าเศร้าสลด ทุกตำบลชนบทบุรีศรี
แถวถนนหนทางกลางบุรี มิได้มีผู้ใดเดินไปมา ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ