ตอนที่ ๑๐๑ พระอภัยมณีเยือนลังกา

๏ จะกล่าวถึงพระอภัยวิไลลักษณ์ อยู่สำนักขอบเขตประเทศสถาน
เนินสิงคุตรเขาเขินจำเริญฌาน กับเยาวมาลย์สองชีผู้ปรีชา
สำรวมจิตกิจอย่างทางกสิณ เป็นสุดสิ้นมุ่งมาดปรารถนา
ไม่โลภหลงปลงขันธ์ด้วยปัญญา สังขาราอนิจจังไม่ยั่งยืน
เทศนาสอนสั่งคนทั้งนั้น เป็นนิรันดร์ทุกทิวาไม่ฝ่าฝืน
แต่บรรดาอยู่ประจำทุกค่ำคืน คนทั้งหมื่นมีศรัทธาสมาทาน
ตั้งอยู่ในศีลห้าไม่ฆ่าสัตว์ มัธยัสถ์ถือธรรมกรรมฐาน
ที่ขอบวชสวดสิกขาสมาทาน เป็นอาจารย์ครัดเคร่งบำเพ็งเพียร
แต่ยังไม่ได้กสิณมุนินทร์ใหม่ ด้วยว่าใจเจตนาเป็นพาเหียร
ค่อยกำจัดตัดราคคิดพากเพียร ยังอาเกียรณ์มิได้ล่วงเพราะห่วงใย
พระนักสิทธ์ทรงสอนให้ผ่อนผัน อย่าผูกพันนึกพะวงมักหลงใหล
อันโลกีย์นี้มันชั่วตัวจัญไร จะพาให้เสียประโยชน์โพธิญาณ
พระชี้แจงแจ้งข้อบรมัตถ์ ในทางอรรถแก้ไขหลายสถาน
ประชาชนคนทั้งหมื่นต่างชื่นบาน รับประทานผ่อนผันด้วยปัญญา
เวลานั้นพระมุนีฤๅษีสิทธิ์ สำรวมกิจนึกถึงวงศ์เผ่าพงศา
ไม่ได้ข่าวคราวใครในลังกา พระอนุชาลูกหลานในว่านเครือ
จะอยู่ดีปรีดิ์เปรมเกษมสุข หรือจะทุกข์อย่างไรทั้งใต้เหนือ
ถึงเจ็ดปีลูกหลานในว่านเครือ ไม่พบเชื้อเห็นวงศ์พงศ์ตระกูล
จึ่งลับไปหลายปีไม่มีข่าว ฟังเรื่องราวเป็นอย่างไรจึงหายสูญ
มิได้ปะสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร หรือจะสูญล้มตายวายชีวง
จำจะเข้าทางกสิณดูถิ่นฐาน พวกวงศ์วานว่านเครือจะเหลือหลง
หรือสูญญาติขาดแผ่นดินสิ้นชีวง เสด็จตรงเข้ากุฎีที่สำราญ
สำรวมจิตลงวางทางกสิณ ดูฟ้าดินที่ในธรรมกรรมฐาน
พิเคราะห์ในไตรลักษณ์มรรคญาณ ทุกถิ่นฐานแต่บรรดาในสามัญ
ก็แจ้งสิ้นแต่บรรดาคณาญาติ มาวิวาทชิงชัยไอศวรรย์
พวกฝรั่งสังฆราชฉกาจฉกรรจ์ มาผูกพันศึกใหญ่ในบุรินทร์
ทั้งลูกหลานว่านเครือในเชื้อไข ก็อ่อนใจยากแค้นแสนถวิล
ไม่เป็นอันไปมาเที่ยวหากิน พระทราบสิ้นทางธรรมสำมดึงส์
จำจะต้องไประงับช่วยดับเข็ญ จะได้เว้นชิงช่วงที่หวงหึง
เอาเรื่องเหตุเทศน์ธรรมให้รำพึง ได้ลุถึงศุโขมโหฬาร ฯ
๏ ป่างพระปิ่นมุนีฤๅษีสิทธ์ ออกจากกิจทรงธรรมกรรมฐาน
เสด็จออกนอกกุฎีที่สำราญ โปรดประทานเล่าถึงวงศ์พงศ์ประยูร
ทั้งสองนางดาบสรับพจนารถ รู้ว่าญาติยังถวิลไม่สิ้นสูญ
ต้องรบพุ่งยุ่งกันไปในตระกูล นางอาดูรแดดาลสงสารวงศ์
พระอภัยมุนีฤๅษีสิทธ์ ดูจริตสองนางเห็นยังหลง
ด้วยอาวรณ์ยังไม่ขาดในญาติวงศ์ พระจึงทรงเทศนาในบาลี
ว่าสามัญตัณหาพาให้โลภ หลงละโมบครั้นทำลายตายเป็นผี
ก็ไม่หอบเอาจังหวัดปัถพี ไปเป็นที่ถิ่นฐานบ้านของตน
อนิจจังสังขาราเหมือนปลานก ต้องว่ายวกบินเตร่ระเหระหน
ถึงร่างกายก็อย่าหมายว่าของตน พอสิ้นชนม์เน่าจมถมแผ่นดิน
อนัตตาสูญเปล่านะเราท่าน อย่าหมายมั่นนึกนิยมอารมณ์ถวิล
เอาขันตีตั้งหน้าเป็นอาจิณ ก็จะสิ้นความวิตกในอกใจ
พระฤๅษีชักเหตุเทศนา ให้สองดาบสยุพินสิ้นสงสัย
วายวิโยคโศกเศร้าบรรเทาใน ที่จริงใจโทมนัสอัดอารมณ์
จึงตรัสว่าถ้าจะไปให้โอวาท แต่เชื้อชาติพวกฝรั่งมันยังขม
ไม่จืดจางบางเบาเอานิยม เหมือนตกตมถอนยากลำบากใจ
ถึงจะไปสั่งสอนให้อ่อนน้อม มันจะยอมยินดีเจ้าที่ไหน
ตาบาทหลวงแกมันดื้อไม่ถือใคร ถึงจะไปป่วยการเหมือนมารยา
แต่จำเป็นจำใจจะไปเยี่ยม สั่งให้เตรียมแต่งราชรถา
พระชวนดาบสินีให้ลีลา ทรงรถาองค์ละรถบทจร ฯ
๏ พวกเสนาดาบสที่บวชใหม่ ก็ตามไปโดยทางหว่างสิงขร
อยากจะไปเยี่ยมเยือนเพื่อนนิกร ได้สั่งสอนให้ศรัทธาสมาทาน
ตามเสด็จพระมุนีฤๅษีสิทธ์ สำรวมกิจเดินไปในไพรสาณฑ์
รถที่นั่งสามพระองค์เข้าดงดาน ชมห้วยธารเหวผาคูหาบรรพ์
ที่โตรกตรอกงอกง้ำเป็นถ้ำเหว ที่ปล่องเปลวย้อยเป็นแท่งดั่งแกล้งสรรค์
ล้วนสีลายพรายแสงแข่งตะวัน สูงชะงั่นเป็นชะง่อนก้อนศิลา
มีไม้งอกออกผลหล่นออกกลาด ระดาดาษงอกงามตามซอกผา
ไม้รวกรากฝากหินก้อนศิลา ฝูงคณานกร้องก้องสำเนียง
ดุเหว่าแว่วแจ้วเจื้อยระเรื่อยร้อง ประสานซ้องก้องดงพลางส่งเสียง
นกแก้วพลอดยอดแก้วแจ้วสำเนียง โกญจาเรียงจับวังร้องวังเวง
สาลิกาจับนิ่งบนกิ่งเกด ฝูงโนเรศรายพลอดบนยอดเขลง
นกกระสาจับกระสังเสียงวังเวง ร้องครื้นเครงก้องฟ้าพนาวัน
ฝูงอีลุ้มจับพุ่มอุโลกเลียบ กระทาเหยียบกิ่งกระถินแล้วผินผัน
ควักข้าวตากฝากตาภาษามัน สำเนียงขันฟังชัดฝูงสัตว์ดง ฯ
๏ นกกะลิงจับกิ่งกะลำพัก ฝูงกาสักจับนิ่งกิ่งกาหลง
นกยูงทองย่องเหยียบยอดยางดง ฝูงเป็ดหงส์จับเหียงเรียงกันไป
พวกนักสิทธ์คทัศนาปักษาสัตว์ สารพัดชมเพลินเนินไศล
รุกขชาติดาษสล้างริมทางไป มะเฟืองมะไฟตูมตาดดาษดา
ทั้งม่วงปรางลางสาดหล่นกลาดกลิ้ง ที่ติดกิ่งสุกงอมหอมนักหนา
ขนุนขนันพันธุ์ดกฝูงนกกา เป็นภักษาสัตว์ไพรในอรัญ
ผลไม้นานาโอชารส พวกดาบสมาพบเก็บขบฉัน
ทั้งใบดอกงอกงามตามอรัญ สารพันต่างต่างตามทางจร
พิกุลแก้วการณิการ์มหาหงส์ คัดเค้าดงประยงคุ์แย้มแกมเกสร
มะลุลีมะลิวัลย์พันขจร ที่ชะง่อนเชิงผาจำปาจำปี
รสสุคนธ์มณฑาระดาดาษ พุทธชาดชบาบางต่างต่างสี
ยี่สุ่นแซมแกมกุหลาบอังกาบมี สารภีบุนนาคสองฟากทาง
ทั้งสายหยุดพุดซ้อนดอกซ่อนกลิ่น กระทุ่มกระถินราวกับไม้ในกระถาง
ระย้าย้อยห้อยงามไปตามทาง ผกากางกลิ่นเกลาเสาวคนธ์
เรณูนวลอวลอบตลบกลิ่น ภุมรินคลึงเคล้นทุกเส้นขน
ละอองอ่อนฟอนเฟ้นเย็นกมล ทั่วสากลบินร้องก้องสำเนียง
ทั้งฝูงสัตว์จัตุบาทวิ่งกลาดเกลื่อน ในแถวเถื่อนครางครึมกระหึ่มเสียง
ทั้งโคถึกมฤคีเม่นหมีเมียง กิเลนเรียงเดินรายตามชายดง
พยัคฆากาสรเที่ยวซ่อนซอก ตามโตรกตรอกเชิงผาป่าระหง
กระต่ายกระแตตุ่นอ้นเที่ยวด้นพง ฝูงกระจงจามรีชะนีไพร
ขึ้นห้อยโหนโยนระย้าร้องหาผัว บางโยนตัวอยู่บนกิ่งวิ่งไสว
พอสุริยาจวนจะลบภพไกร ก็นึกได้เรียกผัวของตัวพลาง
สัตว์ระยำซ้ำสามตะกลามชู้ มันฆ่าคู่ทุจริตไม่คิดหมาง
จึงอมเรศสาปซ้ำไว้ตามทาง ได้เชยค่างต่างเพศสังเวชใจ
ให้สมจริตจิตหญิงแพศยา ต้องอยู่ป่าคล้ายกับลิงวิ่งไสว
เพราะมักมากอยากภิรมย์ให้สมใจ หญิงจัญไรต้องร้างอย่างชะนี
พอพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย พระจันทร์ลอยแจ่มจำรัสรัศมี
กระจ่างแจ้งแสงกระจัดในปัถพี โขมดผีครางครึ้มกระหึมครวญ
ยะเยืยกเย็นเส้นหญ้าเป็นป่าชัฏ พระพายพัดเย็นในฤทัยหวน
ผีป่าบ่นพึมพึเสียงคร่ำครวญ ร้องโหยหวนกู่เรียกกันเพรียกไป
พวกนักสิทธ์ติดตามรถที่นั่ง เอาจิตตั้งแผ่เมตตาเหมือนปราศรัย
ไม่มีเหตุเภทพาลประการใด ทั้งเจ็บไข้มิได้มีราคีพาน ฯ
๏ จนถึงทางกลางป่าศาลาพัก ก็พร้อมพรักน้ำท่าผลาหาร
พวกที่คอยรักษาพยาบาล มากราบกรานปรนนิบัติกษัตรา
ถวายน้ำอัฐบานจานลูกไม้ น้ำตาลใสสดตระการหวานนักหนา
ทั้งสามองค์ทรงนั่งยังศาลา ฉันผลาอัฐบานเครื่องหวานมัน
พวกนักสิทธ์เสนาก็มาพร้อม เข้านั่งล้อมในศาลาพากันฉัน
สำเร็จกิจของตระการทั้งหวานมัน หยุดพร้อมกันพักเหนื่อยที่เมื่อยมา
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงศิลนรินทร์รัช โองการตรัสถามพลันด้วยหรรษา
อยู่ที่นี่พร้อมกันในคัลลา มีโรคาป่วยบ้างหรืออย่างไร
หรืออยู่ดีปรีดิ์เปรมเกษมสุข หรือเกิดทุกข์ร้อนเย็นเป็นไฉน
พวกเสนาทูลพลันไปทันใด ไม่มีภัยเจ็คบปวดทุกหมวดกอง
พระอภัยมุนีฤๅษีสิทธ์ ได้ทราบกิจเขาประมูลทูลฉลอง
พระปราศรัยไต่ถามตามทำนอง ให้ถูกต้องเยี่ยงอย่างทางบุราณ
แล้วจึ่งว่าเราจะลาไปนิเวศน์ เข้าในเขตลังกามหาสถาน
ไปเยี่ยมวงศ์พงศาด้วยช้านาน พอแจ้งการเสร็จสรรพจะกลับไพร
แล้วพระองค์พงศ์กษัตริย์ขึ้นรถา เสวกานำทางหว่างไศล
พวกเสนานักสิทธ์เดินติดไป กับพลไพร่ตามกันเป็นหลั่นเดิน
กระจ่างจันทร์แจ่มฟ้าเวหาหน นภาดลฝูงนกวิหคเหิน
กะเรียนร้องก้องระงมพนมเนิน พระฟังเพลินปักษาคณาดง
การะเวกบินขานประสานเสียง แข่งสำเนียงกับประยูรสกุณหงส์
ฝูงกาสักบินร้องก้องในดง เดือนก็ตรงเวหาห้องพอสองยาม
สารถีขี่ขับรถที่นั่ง ไม่หยุดยั้งพ้นป่าพนาหนาม
ออกท้องทุ่งมุ่งข้ามพอสองยาม เข้าเขตคามนคราเมืองป่าตาล ฯ
๏ จะกล่าวฝ่ายเสวกาเมืองวาโหม เสียงครึกโครมใกล้เขตประเทศสถาน
ขัดตาทัพยับยั้งระวังการ คอยต้านทานประจามิตรไม่คิดเกรง
จึ่งยกออกนอกประตูข้างบูรพทิศ อาญาสิทธิ์ชักทวนชนวนเขนง
พร้อมพหลพลหมื่นเสียงครื้นเครง บ้างรำเพลงทวนออกนอกทวาร ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระมุนีฤๅษีสิทธ์ สำรวมกิจโดยธรรมกรรมฐาน
จึ่งสั่งพวกเสนีปรีชาชาญ ท่านเอาการนี้ไปเล่าให้เขาฟัง
ว่าตัวเราจะเข้าไปในสิงหล มิใช่กลข้าศึกอย่านึกหวัง
ล้วนฤๅษีเป็นเจ้าของเคยครองวัง เพราะจิตหวังที่ในวงศ์พงศ์ประยูร
เสนานำคำสั่งพระนักสิทธ์ ไปแจ้งกิจว่าพระปิ่นบดินทร์สูร
องค์พระจอมนคเรศเกศตระกูล มาพร้อมมูลจะเข้าไปในบุรินทร์ ฯ
๏ ฝ่ายพระยาวาโหมได้ทราบเหตุ พลางน้อมเกศชื่นชมสมถวิล
แล้วสั่งพวกเสวกาในธานินทร์ มาพร้อมสิ้นรีบไปเฝ้าเจ้านคร
ครั้นเห็นพระอภัยเจ้าไกรภพ เข้านอบนบทูลองค์พระทรงศร
เชิญเสด็จประทับด่านชานนคร เช้าจึ่งจรเข้าไปยังกรุงลังกา
พระนักสิทธ์รับนิมนต์ขึ้นบนรถ พร้อมกันหมดไปพลันด้วยหรรษา
เสร็จเข้าเมืองป่าตาลชานชลา สามสิทธาขึ้นไปนั่งยังพระโรง
พวกวาโหมจัดแจงแต่งเครื่องลาด ให้ไสยาสน์บนบัลลังก์ที่นั่งโถง
แล้วนั่งยามตามไต้กองไฟโพลง ทุกเรือนโรงนั่งยามเหมือนตามเคย
พระปราศรัยเจ้าพาราเมืองวาโหม มาทุกข์โทมอยู่ลังกานิจจาเอ๋ย
เราขอบใจได้การุญเหมือนคุ้นเคย ไม่เฉยเมยรักใคร่เหมือนใจปอง
ควรจะนับเหมือนหนึ่งเนื้อในเชื้อไข เพราะเห็นใจเจ้าก็ดีไม่มีสอง
อุตส่าห์มาช่วยศึกช่วยตรึกตรอง พระคุณของเจ้าเหลือเหมือนเชื้อวงศ์ ฯ
๏ ฝ่ายพระยาวาโหมโสมนัส ได้ฟังตรัสชื่นชมสมประสงค์
จึงถวายอภิวาทบาทบงสุ์ พระผู้ทรงสิกขาเธอการุญ
แล้วจัดแจงโภชนากระยาเสวย ทั้งนมเนยจานเจือให้เกื้อหนุน
กับรังนกต้มน้ำตาลหวานละมุน ผลองุ่นสุกสดรสตระการ
แล้วจัดแจงแต่งของเลี้ยงดาบส ทั่วกันหมดพร้อมแต่เช้าทั้งคาวหวาน
พอแสงทองส่องสีรวีวาร ก็จัดการของเลี้ยงตั้งเรียงราย
แล้วตั้งเครื่องสามองค์พงศ์กษัตริย์ ดูเหมือนจัดเรียงเรียบประเทียบถวาย
พอรุ่งแจ้งแสงสุวรรณพรรณราย พลางถวายน้ำฉันอันบรรจง
พระอภัยมุนีฤๅษีสิทธ์ สำรวมกิจงามดีเหมือนชีสงฆ์
นั่งที่ฉันเรียงตามกันสามองค์ เสร็จแล้วทรงยถาตามบาลี
พวกนักสิทธ์เสนาบรรดาฉัน อิ่มพร้อมกันในพลับพลาหลังคาสี
แล้วก็ชวนกันคำนับรับสัพพี ตามวิธีนักพรตหมดทุกองค์
แปลว่าให้สุขะชนะโรค อันความโศกให้กระจุยเป็นผุยผง
อายุยืนหมื่นพันให้มั่นคง จงดำรงบ้านเมืองให้เลื่องลือ ฯ
๏ พวกวาโหมฟังเพราะเสนาะหู แต่ไม่รู้ว่าจะรับจะนับถือ
ได้แต่นั่งหัวร่อพูดอออือ แล้วยกมือกราบไหว้ไปทุกคน
กินแล้วบ่นพึมพำทำสุ้มเสียง หรือเราเลี้ยงข้าวปลาผลาผล
ไม่อร่อยหรือจึ่งต้องร้องทุกคน จึ่งนั่งบ่นเหมือนกันทั่วทุกตัวไป
แล้วหมอบกราบคลานเข้าไปทูลไต่ถาม ขอแจ้งความข้าพระองค์นึกสงสัย
เห็นร้องขึ้นพร้อมกันเป็นฉันใด หรือของไม่โอชาสารพัน ฯ
๏ พระทรงศีลจึ่งแสดงให้แจ้งอรรถ สารพัดมันเผือกท่านเลือกสรรค์
โอชารสหมดจริงทุกสิ่งอัน สารพันเอมโอชโภชนา
เป็นนิสัยฤๅษีฉันที่ไหน ก็ต้องให้พรอย่างนี้ดีนักหนา
ท่านจะได้สุโขมโหฬาร์ ความชราโรคภัยจะไม่เบียน
ทั่งอายุก็จะยืนได้หมื่นกัป อเนกนับเหมือนเราว่าใช่พาเหียร
คงจะได้สมประสงค์ไม่วงเวียน เหมือนจุดเทียนแสงสว่างกระจ่างตา
พระอภัยสุริย์วงศ์เธอทรงตรัส แสดงอรรถเล่าความตามสิกขา
เจ้าวาโหมโสมนัสด้วยศรัทธา แจ้งกิจจาภูวไนยเธอไขความ
สาธุสะพระฤๅษีเธอดีเหลือ สมเป็นเชื้อวงศ์ไทยในสยาม
ทั้งพูดจาหมดจดดูงดงาม น่าจะตามท่านไปบวชสวดนโม
นึกในใจถ้าแม้นได้เมียมาด้วย จะรื่นรวยรู้เหตุวิเศษโส
คงจะได้เงินทองของโตโต จะสุโขแท้แล้วไม่แคล้วเลย
แล้วจึ่งว่าข้าแต่องค์พระทรงศีล ผู้เป็นปิ่นแก่ประชาเจ้าข้าเอ๋ย
แม้นเสร็จศึกนึกถึงบุญขอคุ้นเคย จะลาเลยกลับไปพาเมียมาพลัน
ขอบวชเรียนเขียน ก ข ต่อหนังสือ ทำเป็นฤๅษีมั่งได้นั่งฉัน
ไม่กินนกกินปลาสารพัน พระทรงธรรม์โปรดข้าดังว่าวอน ฯ
๏ พระอภัยมุนีฤๅษีสิทธ์ ได้ฟังกิจเห็นลำบากยากจะสอน
เพราะเป็นพวกคนทมิฬปลายดินดอน จะสั่งสอนสักเท่าไรเห็นไม่จำ
เพราะเขาเป็นน้ำเนื้อผีเสื้อยักษ์ ถึงจะชักมาช่วยชุบอุปถัมภ์
เขาไม่ทิ้งเพศหยาบก็บาปกรรม แต่ต้องจำใจรับกับทมิฬ
พระปราศรัยใจท่านรักคงจักได้ ไม่เป็นไรคงจะสมอารมณ์ถวิล
เราจะช่วยกรุณาอย่าราคิน ท่านจงสิ้นสิ่งวิตกในอกใจ
พระตรัสพลางทางว่าจะลาก่อน เป็นการร้อนยังพะวงคิดสงสัย
จะไปเยี่ยมญาติวงศ์เหมือนจงใจ ขอลาไปจากพาราเมืองป่าตาล
เจ้าวาโหมโสมนัสจัดพหล แต่ล้วนคนสามารถที่อาจหาญ
ให้ไปส่งองค์ฤๅษีปรีชาชาญ จากป่าตาลพร้อมพรั่งระวังภัย
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงศีลมุนินทร์นาถ เสร็จทรงราชรถทองอันผ่อนใส
ดาบสินีชีสองละอองใย เสด็จในบุษบกกระจกบัง
ทั้งสามรถบทจรโดยวิถี พวกฤๅษีเสนามาข้างหลัง
พ้นทุ่งนาป่าระหงเข้าดงรัง โศกมะสังแลลิ่วเป็นทิวไป
ยางพะยอมค้อมคู้ฤดูดอก บ้างแตกงอกขึ้นเรียงเคียงไสว
กระแบกกระบากซากซึกมะสังไทร ทั้งกรดไกรหูกวางนางตะเคียน
ประดู่ดอกออกเรืองเหลืองระย้า ตะโกนาคุดคู้ดูอย่างเขียน
ขนุนขนันกันเกรากระเบากระเบียน ต้นทุเรียนลำไยมะไฟมะเฟือง
ทั้งปริงปรางลางสาดผลกลาดกลุ้ม แลเป็นกลุ่มสุกดีล้วนสีเหลือง
ระย้าย้อยห้อยงามอร่ามเรือง ตัดติดเนื่องตามทางกลางอรัญ
ฝูงลิงค่างต่างกินเป็นภักษา ทั้งนกกาจิกกินแล้วผินผัน
กระรอกกระแตแลกลาดวิ่งพาดพัน ในอรัญป่ากว้างหนทางจร
พวกฝูงสัตว์จัตุบาทวิ่งกลาดเกลื่อน ฝูงค่างเถื่อนเดินเรียงเคียงสลอน
ทั้งโคตรเพรียวดาษดาล้วนงางอน เที่ยวสัญจรโขลงใหญ่ที่ในดง
ฝูงแรดร้ายหลายร้อยรอยระดะ เที่ยวเกะกะกินหนามตามประสงค์
ทั้งเสือสีห์หมีเม่นเที่ยวเร้นพง เลียงผาวงวิ่งเต้นเล่นบนเนิน
นรสิงห์สิงหนัศสัตว์ทั้งหลาย พวกกวางทรายถึกกระทิงวิ่งตะเพิ่น
ฝูงกาสรโคเพลาะย่องเหยาะเดิน ริมชายเนินเชิงผาคูหาบรรพ์
สิงโตเต้นเล่นหางที่หว่างเขา บ้างหมอบเจ่าคุดคู้ดูมันขัน
มีลูกแอบแนบชิดเข้าติดพัน กิเลนผันเผ่นโผนโจนทะยาน
ฝูงม้าเต้นเผ่นผยองลำพองวิ่ง บ้างนอนกลิ้งเล็มหญ้าเป็นอาหาร
ละมั่งระมาดดาษดงกระจงฟาน ร้องประสานเสียงดังก้องวังเวง ฯ
๏ พวกเสนาวาหุโลมเดินโครมครื้น บ้างแบกปืนถือทวนชวนเขนง
พร้อมพหลพลหมื่นเสียงครื้นเครง ฝูงสัตว์เกรงกลัววิ่งเป็นสิงคลี
เกือบจะถึงลังกาอาณาเขต พอสุริเยศรอนรอนจะอ่อนสี
พวกบรรดาข้าเฝ้าเหล่าเสนี บรรดาที่อยู่รอบขอบนคร
รู้ว่าองค์พระมุนีฤๅษีสิทธ์ ต่างมีจิตภิญโญสโมสร
บ้างก็รีบเข้าไปในนคร ทูลบังอรแม่หัวเจ้าเสาวคนธ์
บ้างก็ไปคำนับรับเสด็จ พร้อมกันเสร็จไพร่นายฝ่ายพหล
ส่วนโฉมยงนงเยาว์เสาวคนธ์ จรดลด้วยสุรางค์นางกำนัล
ทั้งสุลาลีวันรีบผันผาย พร้อมบ่าวนายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ครั้นถึงรถสามพระองค์ผู้ทรงธรรม์ บังคมคัลเชิญเสด็จประเวศวัง
สามพระองค์ทรงศีลนรินทร์ราช ตรัสประภาษถามไต่พระทัยหวัง
ถึงพระหน่อสุริย์วงศ์ดำรงวัง ไปยับยั้งอยู่หนตำบลใด
ทั้งสองนางทางประมูลทูลฉลอง ว่าเธอต้องไปอยู่ท่าชลาไหล
ทั้งพระวงศ์พงศาก็คลาไคล เข้าอยู่ในเมืองด่านชานบุรินทร์
ทั้งองค์พระเจ้าอาก็มาอยู่ จึงได้กู้เมืองไว้ดั่งใจถวิล
ศึกก็ยังตั้งประชิดติดบุรินทร์ ไม่สุดสิ้นรบกันทุกวันคืน ฯ
๏ สามพระองค์ทรงฟังให้สังเวช กองกิเลสนี้มันกล้าเหลือฝ่าฝืน
คิดยุ่งยิ่งชิงรังไม่ยั้งยืน เป็นแต่พื้นโลภหลงต้องวงเวียน
อนิจจังสังสารวัฏเอ๋ย ให้หลงเลยไปมาลมพาเหียร
ไม่สุดสิ้นความประสงค์ต้องวงเวียน ดูอาเกียรณ์ถ้าจะเปรียบเหมือนเหยียบตม
แม้นผู้ใดพัวพันไม่หมั่นล้าง ก็เสียทางเหมือนไม่รักซึ่งมรรคผล
ดั่งดุมวงกงเกวียนต้องเวียนวน ให้เสียผลเสียประโยชน์โพธิญาณ
พระตรัสพลางทางดั่งให้เร่งรถ พร้อมกันหมดรีบไปในสถาน
เข้านิเวศน์ลังกาไปช้านาน หยุดสำราญแรมร้อนผ่อนสบาย ฯ
๏ ฝ่ายดาบสสองยุพาสุดาสมร ขึ้นบรรจถรณ์ที่ในเก๋งเคร่งใจหาย
รักษาพรตงดงามตามสบาย เพราะมุ่งหมายทางธรรมสำมดึงส์
ทั้งวัณฬาสุมาลีหลวงชีสอง เข้าในห้องตรองตรึกระลึกถึง
พระไตรลักษณ์หักประหารการรำพึง คิดตัดซึ่งห่วงใยในสันดาน
หวังประโยชน์โพธิญาณการกุศล จะได้พ้นกองทุกข์สนุกสนาน
ฟังถ้อยคำสามีปรีชาชาญ โปรดประทานสอนสั่งคิดตั้งใจ
ดาบสินีที่ปฐมพรหมวิหาร เจริญฌานตามประสงค์ปลงนิสัย
ให้ดับทุกข์ดับโศกดับโรคภัย ด้วยตัดใจครัดเคร่งบำเพ็งเพียร
ชักประคำสำรวมสติตั้ง เอาจิตหยั่งเห็นสังขาร์เป็นพาเหียร
ไม่รักรูปรักทรงของวงเวียน เป็นอาเกียรณ์เปื่อยเน่าไม่เข้ายา
เหมือนโรงร้านไปมาพออาศัย พระอภัยแจ้งเหตุเทศนา
ควรเชื่อฟังตั้งมั่นเอาปัญญา ท่านเทศนาชี้แจงแห่งบาลี
นางถือมั่นขันตีอุเบกขา โดยศรัทธาคิดเห็นเป็นวิถี
ทั้งละเวงวัณฬาสุมาลี ดาบสินีเคร่งเทียบเปรียบสมภาร ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงโลกเฉลิมภพ ให้ปรารภในพระทัยหลายสถาน
จวนจะรุ่งรังสีรวีวาร พระตรองการถึงพงศ์วงศ์ตระกูล
พอเช้าตรู่สุริยาภาณุมาศ จะลีลาศออกไปจากไอศูรย์
ได้พบปะสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร จะอนุกูลสอนสั่งให้บางเบา
การรบพุ่งยุ่งยิ่งชิงสมบัติ จะบัญญัติขู่ข่มอารมณ์เขา
ถ้าแม้นเห็นชอบผิดเหมือนจิตเรา แม้นมิเอาข้อคำที่รำพัน
เหมือนสำเภาเสาหักจะชักฉุด ถึงบุรุษเรี่ยวแรงที่แข็งขัน
จะถ่อค้ำลำบากเห็นยากครัน พระทรงธรรม์ตรองตรึกนึกอาวรณ์
จนรุ่งรางสร่างแสงแจ้งกระจ่าง ส่องสว่างแจ่มจำรัสประภัสสร
ฝ่ายเสาวคนธ์มณฑาพะงางอน กับบังอรกัลยาสุลาลี
พลางจัดแจงแต่งเครี่องสุพรรณภาชน์ ถวายบาทบงกชบทศรี
ทั้งสามองค์พงศ์กษัตริย์สวัสดี เลี้ยงฤๅษีเสนาที่มาตาม
ของต่างต่างอย่างดีที่ประสงค์ โดยจำนงเรียงวางข้างละสาม
ทั้งของเคียงคาวหวานใส่จานชาม ถวายตามฤๅษีมีทุกองค์
พวกนักสิทธ์ฉันเสร็จแล้วยถา ทำทีท่าดูละม้ายคล้ายกับสงฆ์
ฝ่ายเสนามาพร้อมพวกล้อมวง เตรียมรถทรงพระที่นั่งอลังการ
สามพระองค์มุนีฤๅษีสิทธ์ สำเร็จกิจขอฉันแล้วบรรหาร
จะออกไปเยี่ยมองค์พวกวงศ์วาน ที่เมืองด่านปากน้ำจงนำไป
ทั้งสามองค์ทรงราชรถา พวกเสนาเดินเคียงเรียงไสว
ทั้งฤๅษีเสนาพากันไป จากกรุงไกรลังกาพากันจร
สารถีขับม้าอาชาชาติ ขุนอำมาตย์คั่งคับสลับสลอน
พวกขอบขัณฑเสมาประชากร นั่งสลอนกราบก้มบังคมคัล
บ้างก็ว่าสามพระองค์พงศ์กษัตริย์ ไปดั้นดัดอยู่ทำไมในไพรสัณฑ์
เพราะละวังลังกาไปอารัญ จึ่งรบกันไม่รู้วายมาหลายปี
แม้พระองค์ทรงลาสิกขาบท คงเปลื้องปลดความทุกข์เป็นสุขี
บ้างร้องทูลขึ้นไปพลันด้วยทันที จงปรานีข้าเก่าเหล่าประชา ฯ
๏ พระทรงฟังราษฎรสุนทรเฉลย จึงภิเปรยโปรดประทานการสิกขา
ว่าตัวเราละเพศไม่เจตนา ครองพาราเป็นใหญ่ในบุรินทร์
เพราะคิดเห็นอนิจจังเกิดสังเวช จึงละเพศไปอยู่ป่ารักษาศิล
ไม่ประโยชน์กับจังหวัดปัถพิน จึงถือศีลภาวนาสมาทาน
กองกิเลสพาให้หลงเหมือนกงจักร เราคิดหักมิได้หลงในสงสาร
จึงตั้งใจหมายประโยชน์โพธิญาณ เราแจ้งการให้รู้ทุกผู้คน
สามพระองค์เสด็จไปใกล้ถึงด่าน พวกทหารเข้าไปแจ้งทุกแห่งหน
ให้เสนีทูลแถลงแจ้งยุบล แก่ภูวดลรมจักรนัครา ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ผู้ดำรงอาณาเขต ครั้นทราบเหตุว่าสมเด็จพระเชษฐา
กับสองดาบสินีเธอลีลา เสด็จมาถึงสถานชานบุรินทร์
จึ่งจัดแจงแต่งองค์สรงสนาน ออกจากด่านรีบไปพระทัยถวิล
รับสมเด็จพระเชษฐาเข้าธานินทร์ ออกไปสิ้นพร้อมพระวงศ์พงศ์ประยูร
สินสมุทรสุดสาครบวรนาถ พร้อมพระญาติสุริย์วงศ์ทรงไอศูรย์
หกกษัตริย์สุริย์วงศ์พงศ์ตระกูล ไปพร้อมมูลเชิญเสด็จเข้าเขตคัน
ต่างถวายบังคมโสมนัส สามกษัตริย์ฤๅษีเกษมสันต์
เสด็จเข้าเมืองปราการสำราญครัน ศรีสุวรรณเชิญพระพี่ให้ลีลา
สามพระองค์ทรงประทับบนเก๋งใหญ่ ทั้งนายไพร่พร้อมกันต่างหรรษา
พระอภัยมุนีศรีโสภา ภิปรายปราศรัยพระวงศ์พงศ์ประยูร
หกกษัตริย์มัสการแล้วกรานกราบ ศิโรราบในพระปิ่นบดินทร์สูร
ศรีสุวรรณกราบก้มบังคมทูล สองประยูรทรงพรตดาบสินี
ยังอิ่มเอมเปรมปราเป็นผาสุก หรีอมทุกข์บ้างหรือพระฤๅษี
ทั้งโรคันอันตราย์มายายี หรีอไม่มีที่ในกายสบายบาน
ทั้งสององค์ทรงพรตดาบสสมร ถวายพระพรโดยธรรมกรรมฐาน
เจริญเรียนไตรลักษณ์มรรคญาณ หมายนิพพานเกษมสุขสิ้นทุกข์ภัย
แบ่งกุศลผลผลาอานิสงส์ ถวายองค์อนุชาพลางปราศรัย
อาตมาตัดบ่วงคือห่วงใย ไม่อาลัยศฤงคารทั้งบ้านตน
อยู่ในป่าหาผลไม้ฉัน ทั้งเผือกมันสารพัดไม่ขัดสน
พอเป็นยาวะชีวังประทังตน กว่าจะพ้นทุกข์ไปในสันดาน ฯ
๏ ฝ่ายพระศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์ สนองอรรถเสาวนีย์สี่สถาน
จึ่งว่าฉันโมทนาสาธุการ ในศีลทานที่พระองค์ปลงอารมณ์
ก็อยากบวชอยู่บ้างแต่ยังห่วง ต้องหนักหน่วงในอุระยังสะสม
เพราะศึกเสือเหลือทนจนอารมณ์ ต้องเตรียมตรมอยู่ด้วยวงศ์เผ่าพงศ์พันธุ์
ครั้นจะเอาตัวรอดเหมือนทอดทิ้ง ไปนอนนิ่งอยู่ในป่าพนาสัณฑ์
แต่ล้วนลูกล้วนหลานสงสารครัน จะบากบั่นไปแต่ตัวกลัวนินทา ฯ
๏ ดาบสินีจะใคร่ตีฝีปากตอบ ผิดระบอบทางธรรมคำสิกขา
ท่านห้ามปรามสารพัดอัดอุรา พระอนุชาแนมเหน็บให้เจ็บทรวง
จึ่งตอบบ้างทางประชดอดไม่ได้ เขาว่าไว้บวชผัวเพราะตัวหวง
เอาโยมนั่งจ๋อก้อไว้ล่อลวง จะตัดห่วงตัดใยเป็นไรมี ฯ
๏ ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลม จะเหน็บแนมเคี่ยวเข็ญเป็นฤๅษี
ก็บาปกรรมใครเขารู้ดูไม่ดี จะเป็นที่ติฉินคนนินทา
แล้วก็เป็นพี่สะใภ้เคยไหว้กราบ ทั้งจะบาปติดตัวชั่วนักหนา
ทำเป็นไม่รู้เท่าเข้าตำรา เขาจะว่าโง่เง่าไม่เท่าเทียม
ก็ช่างเถิดทำไม่รู้เหมือนหูหนวก มิใช่พวกอื่นไกลจะอายเหนียม
พลางชักพูดทางความตามธรรมเนียม เสร็จมาเยี่ยมอนุชาเพราะการุญ
สองมุนินทร์ยินพร้องสนองถ้อย เห็นเรียบร้อยหน่วงเหนี่ยวไปเฉียวฉุน
นึกในจิตคิดเห็นจะเป็นคุณ เดชะบุญเสร็จศึกเหมือนนึกปอง
จะโลมเล้าเอาใจให้ไปบวช ทรงผนวชอยู่กุฎีเป็นที่สอง
อันถิ่นฐานหลานลูกช่วยปลูกครอง จะเชิญน้องไปสิงคุตรอยู่กุฎี ฯ
๏ ฝ่ายพระศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์ โองการตรัสสั่งเหล่านางสาวศรี
ให้จัดเครื่องผลผลาบรรดามี มาตั้งที่สามกษัตริย์จัดประจง
ทั้งคาวหวานพระกระยาสุธาโภชน์ ด้วยมาโนชชื่นชมสมประสงค์
พระนักธรรม์ฉันตามกันสามองค์ สมประสงค์อิ่มหนำพอสาราญ
พวกฤๅษีเสวกาพากันฉัน ทั้งหวานมันอิ่มเอมเกษมศานต์
หยุดอยู่เมืองปากน้ำค่อยสำราญ กำหนดนานเบ็ดเสร็จเจ็ดทิวา ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ