๘๑

เมืองเจริบอน

วันที่ ๒๘ กรกฎาคม

เรือถึงเจริบอนแต่เช้ามืด รออยู่จนสายจึงได้เข้าไปใกล้ ให้พระยาชลยุทธขึ้นไปดู ได้ความว่าเขาเตรียมรับพร้อมแล้ว เพราะได้บอกมิศเตอร์กวาลเขาโทรเลขมาแต่วานนี้ เวลา ๔ โมงสิเกรตารี ๑ คอนโทรเลอ ๑ เจ้าท่า ๑ ลงมาหาในเรือ มีเรือไฟมารับด้วยแต่ไม่ได้ไป ๕ โมงลงเรือของเราเอง ไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเช้าในเขื่อนหินก่อเปนคลองออกมา มีเรือขุดคลองลำหนึ่ง เรือใบอย่างเขียนเปนป้อมแลกำปั่นปากปลาหลายลำ แต่ก่อนเคยเห็นที่บางกอกมาก เดี๋ยวนี้เรือไฟประมูลหมด เข้าไปข้างในเขื่อนมีเรือกำปั่นมลายูอย่างเรือบรรณาการหลายลำ เพราะที่นี่มีสินค้าออก คือเข้าน้ำตาลอย่างเลวเปนต้น ใช้ตามเกาะสุมาตราแลแหลมมลายู น่าตาจะจอดไม่ได้ตลอดปี แต่เขาอวดว่าจอดได้ ปลายคลองเข้าไปตัน ถึงโรงที่ขึ้น เรสิเดนต์แลกรมการหลายคนกับรเด่นอธิปติแลเมีย กับคนที่เรียกว่าสุลต่าน ๓ คน มีปาเตะแลพีเลี้ยงสุลต่านอีก ๒ คน เรื่องสุลต่านนี้แต่เดิมมีคนเดียวสืบวงศ์มาแต่สุสุนันตำบลนี้ เปนที่พวกถือศาสนามหมัดแต่แรกคนหนึ่งมาจนถึงปี ๑๗๕๖ สุลต่านปันเมืองเปน ๓ ส่วน ให้ลูกเปนสุลต่านเมืองละส่วน แต่ตั้งกราตนอยู่ใกล้ ๆ กันทั้ง ๓ คน ต่างคนต่างสืบตระกูลมาจนปี ๑๘๑๓ วิลันดากำปนีชิงเอาอำนาจตั้งอธิปติอยู่ในบังคับกำปนี อธิปติก็สืบตระกูลเหมือนกัน เปนผู้บังคับการตามคำสั่ง สุลต่าน ๓ คนได้เงินเดือนคนละ ๑๕๐๐ กิลเดอ แต่พี่น้องมากไม่พอกันกิน ต้องเติมนาให้คนละ ๒๐๐ เบา แต่เปนนาไม่ดีทั้งนั้น เดี๋ยวนี้จนเหลือจนตามกัน ตระกูลพี่เอื้อยนั้นเรียกว่าสุลต่านกัศปอนหรือกัศปูฮอน อยู่กราตนตรงอาลูน ๆ ตระกูลกลางเรียกกาโนมัน อยู่ถัดกราตนใหญ่มาข้างซ้ายขาไป ตระกลเล็กเรียกเจริบอนัน กราตนข้ามฟากถนนมาข้างขวา กราตนหนึ่ง ๆ ใหญ่หลาย ๆ เบา มีกำแพงสูง ๓ เมเตอร์ทั้งนั้น แต่วิลันดาให้รื้อลงให้ต่ำเสียทั้งนั้น ยศก็เลิกไม่ให้เปนสุลต่าน ให้เรียกแต่ปเงรันเหมือนมะถุระ แต่ราษฎรยังนับถือเรียกสุลต่านอยู่ พวกลูก ๆ ให้เรียกรเด่นก็ยังขืนเรียกปเงรันกันอยู่ กลับมากกว่าโซโลแลยกยา เพราะไม่ต้องตั้งเกิดมาก็เปนเอง ตระกูลที่หนึ่งมีถึง ๑๓๐ คน ลูกผู้ซึ่งจะเปนคนสืบตระกูลนั้น รูปร่างเล็กดูเหมือนยังเปนเด็กมาก แต่อายุ ๒๐ ปีแล้ว เขาว่าอายุ ๒๑ จึงจะให้เปนรายา การที่เอารายายัดเข้าไปในชื่อนั้น ประสงค์จะแก้คำที่คนเรียกสุลต่าน เดี๋ยวนี้เรียกปเงรันอธิปติมหมัดจะมาลุดินเอาลุคับ พ่อตายแต่ปี ๑๘๘๕ เดี๋ยวนี้ปเงรันอริยดันดาฮิหนึ่งรัดผู้เปนตาเปนผู้กำกับ เปนหัวน่าวงศที่ ๑ วงศที่ ๒ กาโนมนนั้นปเงรันรายาดุลกานัน วงศที่ ๓ เจริบอนัน ชื่อปเงรันรายามัดดัน สังเกตดูท่าทางริเยนต์นั้นไม่ได้มีความนับถือกันกับพวก ๓ ตระกูลนี้ จะเดิรจะเหินก็ดูปัดหน้าไปปัดหน้ามา พวกเหล่านั้นเดิรตามหลังร่องแร่งไม่เห็นมีใครนับถือยำเกรง

เสร็จการรับรองกันที่ท่าแล้ว พาเดิรมาเข้าข้างในตึกใหญ่หลังหนึ่ง จะเปนโรงภาษีหรือโรงไว้สินค้า ขึ้นรถที่นั้นมากับสิเกรตารีตรงไปวังที่สงัดของสุลต่านกัศปอน อยู่ห่างเมืองออกไปหน่อยหนึ่ง ตั้งอยู่กลางนาซึ่งเปนที่ของตระกูลนั้น ทำเปนภูเขามีประตูทางที่เข้าไป เดิรลดเลี้ยวหน่อยหนึ่งจึงถึงน่าภูเขา มีพลับพลาเล็กสี่เหลี่ยมอยู่ที่ตรงนั้น เขาก่อเปนเขาจีนทำด้วยศิลาฟองน้ำก้อนเล็ก ๆ เปนกระปุ่มกระปิ่มไปทั้งนั้น ดูไม่เปนหินเปนผาอะไรเหมือนทำด้วยปูน เวลาแรกคิดแปลนเห็นจะสนุก แต่เวลาทำเข้าแล้วมันไม่ได้ดี เพราะต้องการที่จะให้เปนที่ประพาส สนุกสนานเปนเขานึก ไม่ได้ตั้งใจจะให้เหมือนจริงเลย บนยอดนั้นมีพลับพลาสี่เหลี่ยมเหมือนข้างล่าง ถัดลงมามีคูหาเปนถ้ำ ๓ ช่องแล้วเปนที่น้ำตกมีอ่างหรือสระรับ เมื่อเดิรเลียบไปตามอ่างนั้นมีประตูเข้า ๒ ข้าง ข้างในมีเรือนเปนที่อยู่ ใช้เสาไม้เอาเขาเปนผนังมีหลังคาสองข้าง ท่วงทีพอทำแล้วก็จะรั่วกันทีเดียวไม่ได้ช้าเลย ประตูหลังมีช่องเดียวมีลานออกไปถึงพลับพลาตั้งอยู่ริมหนองบัว เมื่อเดิมว่ากว้างแต่เดี๋ยวนี้แคบเข้ามาเสียมาก แต่บัวก็ยังมีอยู่ เล่นไขน้ำมาแต่ภูเขาซึ่งแลเห็นอยู่ข้างหลังไม่สู้ไกลนัก แต่ท่อนั้นก็ดูทีจะทำกำมลอจึงได้ซุดโซมเร็ว เดี๋ยวนี้ไม่มีร่องรอย ถ้าจะเทียบก็เหมือนทเลชุบศรของพระนารายณ์ แต่ทเลชุบศรดีกว่านี่มากหลายเท่า เดิรเลียบออกมาข้างน่าอิก ดูศิลาที่ก่อนั้นท่าหุ่นเปนรูปช้างบ้างรูปรากษสบ้าง เปนทีจะให้เห็นว่าศิลาเปนรูปเช่นนั้นเอง แต่ทำมันชัดเกินไป อ้ายศิลาที่ติด ๆ เข้าไปมันก็ไม่ดีด้วย เท่ากับเอายักษ์วัดพระแก้วเปนหุ่นแล้วเอาฟองน้ำเล็ก ๆ เกาะเข้าจะเปนฉันใดก็ฉันนั้น สูงเห็นจะราวสักเท่าภูเขาวัดประยูรวงศได้ แต่บริเวณนั้นโตกว่า เลวกว่าวัดประยูรวงศตั้งร้อยเท่า ดูไม่เปนเรื่องอันใดงามแต่ในรูปถ่าย กลับออกมาพักที่เรือนเด็กคนนั้น ทำอยู่นอกแต่ติดกันกับบริเวณเขา กลับมาจากนั้นไปบ้านเรสิเดนต์ผ่านตามถนนตลาด ดูผู้คนก็มีมากแต่ไม่ครึกครื้นเหมือนเมืองในดอน ๆ เช่นบันดองหรือมาเกลัง แต่จะสู้มาลังก็ไม่ได้ ในเมืองท่ายกเสียแต่บัตเตเวียสมารังสุรบายาก็คือเมืองปสรวนแลเจริบอน น่าจะดีกว่าในเมืองดอน ๆ แต่กลับสู้ไม่ได้ ตามปากชาวเมืองเขาพูดบอกเล่าว่าในเมืองชวานี้ที่เปนเมืองใหญ่เมืองดีอยู่ ๕ เมือง ที่ออกชื่อมา ๓ เมือง กับโซโลแลยกยา หนทางที่ทำก็ดีเหมือนที่อื่น แต่ที่นี่วิเศษที่ต้นมะขามที่อื่นก็ปลูกเหมือนกันแต่ไม่งามเหมือน ด้วยถนนตรงลิ่วไม่สูง ๆ ต่ำ ๆ มะขามก็ใหญ่ ๆ แลดูปลายถนนเรียวเข้าไปจนเปนตัน แต่การที่จะรักษาต้นมะขามให้อยู่ไม่ให้ตายเลยนั้นยาก มีต้องแซมหลายต้นแต่ก็ไม่เสียแนว เพราะเขาปลูกชิดกัน ถนนนี้ไปขาดตอนอยู่ที่สนามน่าบ้านเรสิเดนต์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ทเล สนามนั้นเรียกว่าบังคัล แปลว่าที่เคารพ ถ้าใครไปถึงนั่นต้องลดร่มถอดเกือก เปนของสุลต่านตั้งข้อบังคับไว้แต่ก่อน ต่อไปจากสนามนั้นก็เปนถนนอาวนิวต่อไป บ้านเรสิเดนต์ขนาดเดียวหรือเหมือนกันกับบ้านแอสสิสตันเรสิเดนต์ ตำบลมาเกลัง แต่การตกแต่งร่องแร่งเพราะพึ่งมาอยู่ใหม่ ใช้ของจีนของยี่ปุ่นเครื่องกระดาษแลถ้วยชาม มีการเลี้ยงกลางวัน กับเข้าจีนเกณฑ์เจ้าภาษีเขามาทำ แต่โต๊ะเก้าอี้ไม่พอต้องถือไปเที่ยวร่อนแจก แดดร้อนเต็มทีกลับมาลงเรือ พวกที่ลงมารับแต่ก่อนมาส่งถึงเรือ แจกบัตรตราเสร็จแล้ว ออกเรือเวลาบ่าย ๔ โมง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ