๖๑
เมืองโซโล
วันที่ ๘ กรกฎาคม
นอนไม่หลับจนสว่างเพราะเมื่อยร้อนและยุงกัด เอาราชรักษามานวดก็มาถลาล้มทับ วันนี้มีใคร ๆ เอาของมาให้อีก สุสุนันก็ให้เอารูปมาเพิ่มเติมอีก นอนน้อยแลไม่สบายเสียพื้นเต็มที พวกที่มาขายผ้ากายน์แลของอะไรต่าง ๆ ก็ไม่ได้ซื้อสักอย่างหนึ่ง เพราะคนโน้นไปคนนี้มา แลต้องส่งสิ่งนี้ไปให้คนโน้น ส่งสิ่งโน้นไปให้คนนี้กาหลเสียยังค่ำ คนก็มาตามดูอยู่รอบ ๆ ถึงต้องให้โปลิศไล่ เวลาบ่าย ๔ โมงเข้าไปในกราตนเขาเปิดหลังคารถเสียแดดก็ยังจัดอยู่ รถเดิรช้า ๆ ปวดหัวเต็มที แต่พวกวิลันดาเขาทนได้ ข้อซึ่งฝรั่งว่าถ้าไม่ใส่หมวกไปในกลางแสงแดดพระอาทิตย์ตีหัวหรือเปนอะไร ๆ นั้น อย่าได้เข้าใจว่าเปนแต่พวกวิลันดาเลย ทั้งผู้หญิงผู้ชายกลางแดดหรือน้ำค้างเดิรไม่ต้องใส่หมวกหรือกั้นร่มอยู่โดยปรกติ ความที่รถเดิรช้าจนแรงม้าไม่พอที่จะลาก เพราะต้องเหนี่ยวน้ำหนักรถเหมือนแรกออกอยู่เสมอ ๆ ถึงกลางอาลูนที่เปนฝุ่นมากรถติด พวกคู่ข้างคู่เคียงต้องมาเข็นมาไสจึงได้หลุดออกไปได้ เข้าประตูขวาเหมือนอย่างวันแรก การรับรองที่นั่งก็เหมือนกันเปนแต่ไม่มีทหารกับขุนนางน้อยลง สุสุนันเองแต่งตัวนุ่งจีบใส่เสื้อเชิ๊ดแลชั้นนอกเหมือนอิวนิงเดรสไม่เปนทหาร ติดตราด้วยดวงหนึ่งหรือสองดวง มีคอมมานเดอห้อยคอ โพกผ้าอย่างลายมีดอกไม้เพ็ชร์ทัด ๒ ข้าง คาดเข็มขัดงูสีน้ำตาลเหน็บกฤชข้างหลัง พวกเจ้านายผู้หญิงผู้ชายพร้อมกันเหมือนวันอื่น ๆ เมื่อเสร็จพิธีรับรองกันแล้ว จะพาไปเที่ยว เกิดจัดการจูงกันขึ้น สุสุนันมาจูงเรา แล้วขอให้เรสิเดนต์มาจูงเมีย พี่น้องอื่น ๆ ก็เที่ยววิ่งวานให้คนโน้นจูงคนนี้จูง พวกไทยเราต้องจูงเจ้าผู้หญิงทุกคน เว้นไว้แต่ผู้หญิงพวกเราไม่ต้องจูง ออกเดิรได้ก็พากันไปลิ่วทีเดียว เหลียวมาข้างหลังเห็นแต่ผู้หญิงเราตามมากับหลวงสุนทรเปนล่าม เรสิเดนต์ยังจูงรตูเดิรเตาะแตะ ๆ อยู่หาไหน ๆ มิรู้ เขาเล่ากันว่าได้ความลำบากยากแค้นกันเปนอันมาก เพราะพวกผู้หญิงแขกเดิรช้า ๆ ขัด ๆ ทั้งสิ้น ก้าวตีนไม่ได้เกินกันเลย แลดูเหนื่อยงอมแงมด้วยกันทุกคน การที่ต้องช้าหนักยิ่งขึ้นไปกว่านั้นเพราะเจ้านายแก่ ๆ มาข้างน่า ปล่อยให้คนจูงลากไป ด้วยเดิรไม่ไหว เจ้านายสาว ๆ ก็เดิรเรียงพี่เรียงน้องกัน พวกเราบางคนรำคาญว่าช้านักจูงเดิรล่วงน่ากันขึ้นไป เจ้าผู้หญิงแกลงสมอเหนี่ยวเสียไม่ยอมเดิร เลยต้องเข้าแถวกันมาตามเรื่อง ไปดูที่คลังทำใหม่ยังค้างอยู่ ในว่าที่ไม่พอจะไว้เงิน เราก็ลองเลียมถามเข้าไปว่าเงินเห็นจะมาก แกนิ่งเสียไม่ตอบ แล้วเลยออกประตูไปทางข้างใต้ มีกรงเสืออยู่ข้างประตูสองกรง มีโรงเรือนอะไรอยู่หลายหลังมีกำแพงกั้น ประตูเปิดเห็นอาลูน ๆ ด้านใต้ต้นไทรก็กระร่องกระแร่งอีก แล้วเลี้ยวไปตามทิมแถวข้างตวันออก ดูห้องไว้เครื่องโต๊ะ มีเครื่องเงินเครื่องถ้วยชามที่เลี้ยงตามลานน่าปันดโป ปลูกศาลารายแลต้นไม้ใหม่ ๆ หน้าตาคล้าย ๆ วังใหม่ของวังน่าของเรา แล้วไปถึงหอนาฬิกาสูง ทำคล้ายพระที่นั่งภูวดลทัศไนย แต่ย่อมกว่าเตี้ยกว่า เวลาจะขึ้นบันไดต้องขอเลิกจูง สุสุนันเองก็ต้องหยักรั้งขึ้นไปจนเห็นกางเกงขาสั้น ที่หอนั้นเปนสามชั้น ๆ ล่างมีพิณพาทย์แลคนร้อง อีกชั้นหนึ่งเปนที่เลี้ยงเหล้าเลี้ยงน้ำชา ชั้นบนเปนเรือนนาฬิกา แกบอกกำหนดปีไม่ตรงกับลูกตุ้มเกินไปเปนกอง ที่บนนั้นแลเห็นไปไกลอยู่ แต่ไม่ใคร่แลเห็นเรือนมีต้นไม้บังเสียมาก เห็นชัดแต่ในวัง ดูก็มีเรือนไม่สู้มากนัก ที่ว่าคนอยู่ถึง ๗๐๐๐ นั้นเห็นจะอยู่อัดแอกันเปนอย่างวังเจ้านายทีเดียว เรือนใช้มุงด้วยกระเบื้องไม้ทั้งสิ้น ตัวแกเองออกไปนั่งที่เฉลียงทักทายปราไสยพวกขุนนางวางน้ำ เราชำระพวกวิลันดาเรื่องผลประโยชน์ภาษีอากร แต่มีความเสียใจที่จะเอาอันใดไม่ได้ เปนแต่คเนบ้างกระเสนกระสายบ้าง ไม่เปนแก่นสาร กลับลงมาชั้นที่มโหรีอยู่ สุสุนันสีซอให้ฟังเปลี่ยนเพลงหลายเพลงเข้ากันกับร้อง กลับลงมาที่ปันดโปดูม้าพระที่นั่ง เปนม้าอังกฤษตัวหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่แต่ไม่ใคร่งาม อีกตัวหนึ่งเปนม้าออสเตรเลีย มีม้าแซนเดอลวู๊ดอีก ๒ ตัว จะหางามเท่าที่เราซื้อจากการุตสักตัวหนึ่งก็ไม่มี เพราะฉนั้นจึงให้ไปซื้อม้าตัวที่เราซื้อ แต่เจ้าของเขาไม่ขาย เครื่องแต่งเปนเครื่องอย่างฝรั่ง ๒ สำรับ อย่างที่งดงามวิเศษ เครื่องชวา ๒ สำรับ เปนอานไม้หุ้มกำมหยี่มีผนังข้างเหมือนเครื่องพม่าแต่รูปรี ดูท่าทางขี่ไม่สบายต้องอ้าขากว้าง ถามถึงแกขี่อยู่หรือไม่ได้ขี่ บอกว่าขี่อยู่บ่อย ๆ เดือนละ ๒ - ๓ ครั้ง ทางอยู่ใน ๒ - ๓ ปาล ถามว่าแกขี่ไปข้างไหน ได้ความว่าขี่อยู่ในกราตนนั้นเองวนไปวนมา ทางที่ไปไกลที่สุดเพียงวัดที่ข้างอาลูน ๆ แต่ฝรั่งเขาบอกว่าขี่ไม่ได้วิ่งเลย ชักเต้นมิใช่เต้นน้อยเต้นตันดั๊กตลอดทาง เอะอะว่าจะขี่ให้ดู พวกเราพากันวิตกวิจารณ์ว่าม้าตัวใหญ่นั้นมันมีกิริยาอยู่ แลรูปร่างสุสุนันแบบบางนัก ดูท่าทางไม่มีแรง ร้องกันเซงแซ่ว่าอย่าให้ขี่เลย เรานึกจะห้ามแต่ไม่ทันบอก แกก็สั่งให้กรมม้าเขาขี่ เปนอันโล่งใจไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่ร้องพุโท่กันก็มี เพราะแกตั้งท่าเอะอะเหมือนจะขี่เอง พอเสร็จการขี่ม้าให้ดู ถึงเวลาให้กินน้ำ มีนายม้าจูง ๒ คนไปรับกรวยเงินสลักกาไหล่ทองเปนหย่อม ๆ โตสักเท่าเขาควาย ๒ อัน กรอกน้ำซึ่งคนถือตามหลังม้ามาในหมู่เครื่องยศ เต้นปั๋ง ๆ หมุนไปหมุนมากว่าจะเข้ามาถึงปากม้าเปนนาน เมื่อถึงม้าแล้วตั้งท่าจะกรอกม้าก็เฉยอยู่ พวกเราเอะอะกันว่าจะไม่สำเร็จ ไหนเล่าประเดี๋ยวหนึ่งม้าอ้าปากออกรับ กรอกพร้อมกันทั้งสองข้าง เปนการสำเร็จได้โดยดีเพราะหัดกันไว้เสียจนเคยแล้ว แล้วมานั่งเลี้ยงน้ำชาอีกครั้งหนึ่ง พอเสร็จลากลับก็พลบ เหนื่อยเต็มทีขากลับออกทางด้านน่า คือข้างเหนือที่สติงเค็ล ท่วงทีก็อย่างเดียวกันกับที่ยกยา แต่ในศาลาชั้นบนไว้ปืนใหญ่บอกหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าไกสโตมีเปนปืนที่ได้กล่าวแล้วในพงศาวดารในตอนประชาชะรันกับมายาพหิส อีกไนยหนึ่งว่าปืนบอกนี้เปนไก่ตัวผู้หรือตัวเมีย ถ้าพบกันกับคู่ที่เมืองบัตเตเวียจะเกิดจลาจลนั้น ปืน ๒ บอกนี้ไม่เหมือนกันเลย ขนาดก็ผิดกันรูปก็ผิดกัน ทำไมจึงว่าเปนคู่กันก็ไม่ทราบ ที่ดินยกสูงนี้มีปืนตั้งทำนองจะจัดเปนป้อมกลาย ๆ แต่ไม่แขงแรงอะไรพอที่จะเปนป้อม ปืนนั้นก็เปนปืนเก่าทั้งสิ้น ป้อมวิลันดาที่ตั้งอยู่น่ากราตน เขาว่าเท่ากันกับที่ยกยา แต่ดูด้วยตาเหมือนกับโตกว่าสักหน่อยหนึ่ง
ยามเศษเข้าไปในกราตนอีก ดูมะโดโยเหมือนอย่างวันก่อนเปลี่ยนแต่เปนยิงปืน แต่สุสุนันบอกว่าไม่เหมือนกัน เล่นแปลก ๆ กันได้ถึง ๓๐ อย่าง เราไม่รู้สึก พอเสร็จการมะโดโยแล้วเล่นเสรมปีต่อไป ในเสรมปี ๔ คนนี้เปนเด็กพึ่งรุ่นสาว อายุอยู่ในราว ๑๔ ปี ๑๕ ปี มีลูกสาวอยู่ในนั้นคนหนึ่งเรียกมาให้เราดู เราถามว่าอีก ๓ คนไม่ใช่ลูกสาวนั้นอะไรเล่าจะแทน ๓ คนที่ตายหรือแกหัวร่อ การที่เล่นมีแปลกที่เห็นได้คือผลัดกันรินเหล้าข้างละ ๒ คนกินข้างละ ๒ คน กว่าจะรินได้ดูประดักประเดิดเต็มที ต้องเยื้องไปยักมาอยู่เปนนาน ผู้ที่จะกินก็เหมือนกันต้องมีอับมีอายต่าง ๆ ก็อยู่ในทำจริตให้งาม ๆ ถ้าเปนเจ้าเข้าเจ้าของก็น่าจะดูอยู่ แต่เปนคนอื่นเบื่อเต็มที เมื่อจะจบชักปืนออกจากพก เปนปืนโก๊ขนาดเล็ก ตั้งท่าจะยิง ครั้นลั่นนกกลายเปนจีบเอาพัด ตัวเล่นไปตามกระบวรรำ เลิกเสรมปีแล้ว พาดูเครื่องปุษากะต่าง ๆ มีตัวอะไรต่ออะไรมากกว่าที่ยกยาสักครึ่งหนึ่ง จนกระทั่งถึงช้างก็มี เปนของเปล่า ๆ ไม่ได้ใช้อะไรนอกจากเปนก้อนยศ ยิ่งอาวุธแล้วมีมากกว่า ๒ - ๓ เท่า มีปืนอย่างยิงเป็ดโบราณลำกล้องยาวทำนองปืนน่าเรือดั้งของเรา แล้วดูหนังซึ่งเอามาวางไว้ให้ดู ๆ พระราชยานพระวอล้วนแต่ทาแดงปิดทอง มีหูช้างเปนนาคทรงเครื่อง ในพระวอแกต้อนเอาอีเตี้ยเข้าไปไว้ออกเต็ม แต่ฝีไม้ลายมือท่าทางไม่ดีกว่ายกยานัก สุสุนันเวลาค่ำนี้แต่งตัวเสื้อปักน่าอกเปนกำมหยี่สีแดงตัวเปนสีน้ำเงิน คล้ายกับเสื้อสเปนแทงวัว มีการเลี้ยงอาหารเหมือนกันกับอย่างที่ตักแจก เราถามว่านี้กินอย่างนี้เสมอทุก ๆ วันหรือ บอกว่ามีกับเข้าฝรั่งกินทุกวัน เปนของคอเวอนเมนต์วิลันดาหาส่งวันละ ๒ เวลา หามาจากบ้านเรสิเดนต์ แต่ตัวกินกับเข้าอย่างชวาเปนพื้น เราว่าทำไมไม่เลี้ยงอย่างชวาบ้าง แกว่าไม่รู้ว่าเราจะชอบ เราเล่าถึงเข้านาสิประจิดที่เมียรเด่นอธิปติทำให้กิน แกว่าเปนตำราที่ในกราตน แลถามถึงที่อยู่ว่าสบายหรือไม่ เราว่าไม่สบายอย่างยิ่งเพราะร้อนแลยุงกัด ชั้นบนก็มีคนเดิรอึงนัก แกว่าที่ในกราตนไม่เห็นสู้ร้อนไม่เห็นมียุง เราว่าแกจะรู้สึกที่ไหนทั้งร้อนทั้งยุง เพราะมีคนพัดอยู่เราไม่มีคนพัด หัวร่อชอบใจ แล้วชวนว่าขากลับจะผ่านทางโซโลให้หยุดพักอีกสักคืนหนึ่ง เพราะจะไปสมารังทีเดียวไกลนัก เราว่าอยู่ไม่ได้เพราะสิ้นกำหนดสัญญาที่โฮเต็ลแล้ว ไปว่าขึ้นอีกวันหนึ่งมันจะเอาแพงนักจะได้อยู่ก็เพียง ๗ - ๘ ชั่วโมง เห็นเปลืองเปล่า ๆ แกว่าถ้าเช่นนั้นบ้านของแกมีอีกแห่งหนึ่งจะจัดให้อยู่ แต่ขอให้รู้แน่เสียก่อนสัก ๑๐ วัน เพราะจะต้องตกแต่ง จะขอเลี้ยงอย่างชวาสักวันหนึ่ง เราว่าโปรแกรมอยู่ข้างจะหมดวัน ขอบใจแล้วที่จะจัดการให้มีความสบาย แต่จะขอไปตรวจดูโปรแกรมก่อน จะอยู่ได้หรือไม่ได้จะให้ทราบพรุ่งนี้ เรานึกสงไสยว่าจะไม่เปนที่พอใจวิลันดา จึงให้ลองไปบอกเรสิเดนต์ดู เรสิเดนต์ว่าเห็นดีในการที่จะหยุดโซโล เพราะต้องถ่ายถอนรถไฟไปลำบาก แต่เห็นว่าไม่ควรจะไปอยู่ที่ของสุสุนัน ด้วยเหตุว่าเราไม่ได้รับอยู่เรือนของวิลันดาแห่งหนึ่งแห่งใด จะรับแต่ของสุสุนันแห่งเดียวกลัวจะเข้าใจผิด ถ้าอยู่โฮเต็ลได้จะเปนการดี เราว่าทางไกลกันเพียง ๒ ชั่วโมงเท่านั้นไม่ยอมเสียเงินให้โฮเต็ลอีกแล้วจะเลยไปทีเดียว สั่งให้ไปขอบใจสุสุนันแลบอกเลิกด้วย กลับวันนี้ ๘ ทุ่ม