๗๒
โตสารี
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม
เมื่อคืนนี้ดูไม่สู้หนาวปรอทในห้องเพียง ๗๐ เท่านั้น กลางแจ้งเท่าใดไม่ได้ดู เวลาเช้าลงไปเดิรในสวนแล้วเลยไปบ้านหมอ ดูกระดูกสัตว์ต่าง ๆ แลนกที่สตั๊บไว้กับผีเสื้อ หมอคนนี้เปนคนหนุ่ม ตั้งแต่เราไปอยู่ไม่ได้พบปะเดิรไปข้างไหนเลย ผ่านไปทางนั้นก็เห็นแต่นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ น่าต่างเปนกระจก แต่จะเงยหน้าขึ้นแลดูก็ไม่มี ไปดูต้นไม้ที่ในสวนมีดอกติวลิบกำลังบาน วันนี้เปิดออกมารับเห็นจะเปนด้วยคอนโทรเลอไปนัดไว้ เพราะเขาจะให้ไปดูแต่วันก่อนเราผัดไว้ เมื่อรับรองก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ว่ามาอยู่ ๓ ปีแล้วไม่ได้เคยไปข้างไหนนอกจากไปเยี่ยมคนไข้ แลไปที่โรงสำหรับรักษาคนซึ่งไว้เครื่องมือ การที่มาอยู่ที่นี้ประสงค์ความเงียบอย่างเดียว อีก ๒ ปีจะกลับไปบ้าน ด้วยได้เก็บแลได้ตรวจตลอดเกือบจะสมความปราถนาแล้ว ในห้องนั้นเต็มไปด้วยรูปวาดเขียนแลกระดูกสัตว์จัดวางเรียบร้อย แล้วพาไปดูที่โรงทำการหลังเล็กนิดเดียว มีเตียงสำหรับตัดผ่า แลชั้วเครื่องยาอยู่ตรงน่าต่างห้องแต่งตัวเรา เอาคนมีหางมาให้ดูเปนเด็กชาวชวาผู้หญิงอยู่ได้ ๑๐ วันตาย รูปร่างโตแช่ยาไว้ในขวด ต้องล้วงกันกึกกักอยู่เปนนานจึงได้ขึ้นได้ เพราะหัวพอครือขวด หางนั้นงอกตรงที่งอกของหางสัตว์ ที่โคนกว้างประมาณสัก ๓ นิ้วแบนหน่อยหนึ่ง ปลายเรียวรัดกลมเข้ามาทุกที ยาวประมาณสัก ๖ นิ้ว มีกระดูกสี่ข้อ เขาว่าเมื่อเปน ๆ กระดิกได้เหมือนหมา ไม่ใช่ว่าหางซึ่งเกิดปรกติไม่มี เพราะคนเราแรกเกิดในครรภ์มีหางเหมือนกัน แต่งอมาข้างน่าเหมือนกุ้งแล้วทีหลังก็หมดไป นี่งอกออกมาอีกอันหนึ่งต่างหาก ชี้กลับออกมาข้างหลัง แล้วเอาเยื่อในสมองคนแลอรังอุตังกับลิงมาเปรียบกันตั้งพอได้เถา กับเด็กในครรภ์ตั้งแต่อายุ ๑๔ วันเปนลำดับขึ้นมาจนถึงที่แก่มาให้ดูด้วย มีสิ่งที่แช่ไว้ในถ้ำบ้างในขวดบ้างเปนอันมาก พูดกันด้วยการงารไม่ได้ไปข้างไหน อากาศมืดเปนหมอกมัวไปทั้งนั้น แลเปนลองน้ำปลิวชื้นภายหลังฝนตกหน่อยหนึ่ง พอฝนหายแล้วก็จับหนาวมากขึ้น ๆ
เวลา ๕ โมงไปที่โรงตาครูสาสนาอยู่ ตระเตรียมรับรองเอาพิณพาทย์ซึ่งไปตีอยู่น่าโฮเต็ลทุกวันไปเตรียมด้วย ในโรงนี้เปนที่สำหรับประชุมทำพิธีต่าง ๆ อยู่กับพื้นดินไม่มีน่าต่างต้องจุดไฟ เครื่องพิธีรีตองต่าง ๆ เก็บไว้บนเพดานทั้งนั้น มีบันไดพาดขึ้นลง ยกกลักผ้าไกญอุมามาตั้งไว้บนโต๊ะ มีขันใส่เข้ากล้วยหมากพลูคล้ายขันเข้ากำนน แลเชิงไฟเผากำยานเปนเครื่องบูชา กลักนั้นทำด้วยไม้แก่นโตเห็นจะสักกำกึ่ง ในนั้นมีผ้าเนื้อหยาบ ๆ เปนตาโถงสีดำกับขาว ๒ ผืน ผ้าย้อมคราม ๒ ผืน ว่าเปนของไกญอุมาเอามาให้ ผ้าตาโถงเปนของเมีย ผ้าย้อมครามเปนของผัว เอาอกมาเปิดในวันพิธีไกญอุมาปีละครั้ง ในกลักนั้นมีเบี้ยทองแดงเก่า ๆ สำหรับถ้าใคร ๆ ไปบูชา ตาครูก็แจกให้คนละแผ่นสองแผ่น ผู้ที่ได้รับนั้นต้องให้เงินครึ่งกิลเดอบ้างกิลเดอหนึ่งบ้าง ในว่าว่าอัฐในกลักนั้นไม่รู้หมด ไกญอุมาเติมอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งทำพิธีถึงเวลาแจกอัฐล้วงลงไปไม่มี คนที่มากลุ้มรุมกันทุบตาแก่เกือบตาย เพราะไกญอุมาถูกขโมยเสียก่อนแล้วแกไม่รู้ อัฐที่ล้วงออกมานั้นเปนอัฐวัลันดาเก่า ๆ บ้างแปะจีนบ้างมีเปนกอง เราเลือกเอาแต่ที่เก่า ๆ แต่แกยังไม่ยอมให้ ขอผัดไว้รมกำยานเสียคืนหนึ่งก่อนจะได้ขลัง ได้ไล่เลียงถึงศาสนาที่ถือว่านับถืออะไร บอกว่าถือปัตโตโรกูรูซึ่งอยู่เขาสุเมรุ ถามว่าแกรู้หรือไม่ว่าพุทธะเปนอะไร แกว่าได้ฟัง แต่เขาเล่ากันว่าปู่ย่าตายายถือศาสนาพุทธะ แต่พระพุทธเจ้าจะได้เกิดหรือไม่ เกิดที่ไหนคำสอนอย่างไรแกไม่รู้เลย ถามว่าศีลแกรู้จักหรือไม่ บอกว่าคือปัตโตโรกูรู วิษณุรู้จักหรือไม่ ว่ารู้จักคือ ปัตโตโรวิษณุ พรหมรู้จักหรือไม่ ว่าคือ ปัตโตโรพรหม ถามว่า ๒ องค์ข้างหลังนี้นับถือหรือไม่ บอกว่านับถือแต่รวมกันไว้เสียในปัตโตโรกูรู แต่พระเจ้าทั้ง ๓ จะมีเมียชื่อใดหรือไม่มี จะมีพาหนะอย่างใดหรือไม่มีไม่รู้ มนุษย์ที่เกิดมาพระพรหมเปนผู้สร้าง พระนารายณ์เปนผู้รักษา พระอิศวรเปนผู้ทำลาย ถามว่ามีศีลอันใดซึ่งเปนข้อบังคับหรือไม่ บอกว่ามีสี่อย่าง ศีลที่ ๑ ให้นับถือบิดามารดาแลไม่ให้ตีรันฟันแทงกัน ศีลที่ ๒ ไม่ให้ลักทรัพย์ ศีลที่ ๓ ไม่ให้ล่วงประเวณี ศีลที่ ๔ ให้รักษาตัวให้สอาด ลองให้สวดมนต์ดูก็สวดเหมือนกับที่โบรโม ฟังเลือน ๆ ถามว่าที่สวดนั้นเข้าใจหรือไม่ว่าเนื้อความอย่างไร บอกว่าเข้าใจแต่ว่าบทนี้สำหรับบูชาเวลานั้น ๆ การพิธีนั้นมีพิธีใหญ่ประจำปีละ ๒ ครั้ง คือบูชายัญที่โบรโมแลบูชาผ้าไกญอุมา พิธีไม่มีกำหนด ๓ อย่าง คือ เกิด แต่งงาร ตาย พิธีนั้นก็ชั่วแต่เรื่องเษกเท่านั้น เราอยากจะใคร่ได้โอที่สำหรับบูชา วานให้คอนโทรเลอคิดอ่านว่าซื้อหมายว่าแกจน คอนโทรเลอว่าแกไม่จน ฉลาดในการปอกลอกคนอย่างยิ่ง ได้เงินมาแล้วฝังดินทั้งนั้น คนพวกนี้เชื่อการอัศจรรย์ง่ายนัก ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดิรทางไปเปนลมล้มลงไม่รู้สึกตัว ครั้นฟื้นขึ้นมาก็พูดไหลเลื่อนไปต่าง ๆ เชื่อกันว่าผีเข้าไปบูชาเส้นสรวงกันเปนอันมาก อีกเรื่องหนึ่งคนหนึ่งเที่ยวบอกว่าตัวนอนฝันไปว่ามีทองฝังอยู่ที่ริมบ้าน ครั้นออกไปพบศิลาฝังศพก้อนหนึ่ง ขุดลงไปก็ไม่มีอะไร แต่คนตื่นเต้นกันมาบูชาเอาอัฐเอาเงินมาเสียเหมือนอย่างบูชาไกญอุมา คอนโทรเลอได้ไปตรวจเห็นว่า เปนศิลาที่ใช้ในทางรถไฟ ประกาศห้ามเท่าไรก็ไม่หยุดจนต้องจับ พวกนี้เปนพระสืบพืชพันธุ์กันเหมือนพราหมณ์ แต่ไม่ใช่พราหมณ์ เปนชาติศูทร์ขึ้นมาจากเมืองข้างล่างทั้งสิ้น ที่ว่าเปนชาติขัตติยแต่ก่อนก็มี แต่วิลันดาคอยห้ามปรามจับกุมไม่ให้มีขึ้นได้ ข้อซึ่งเรียกว่าเปนศาสนาพระพุทธนั้น ตามความเข้าใจของคนที่ถือศาสนามหมัดในประเทศนี้ว่า นอกจากศาสนามหมัดแล้วเปนศาสนาพระพุทธทั้งสิ้น จะแบ่งว่าเปนพราหมณ์อย่างไร พระพุทธอย่างไรแบ่งไม่ได้ เว้นไว้แต่เปนผู้ที่ได้เรียนรู้อยู่จึงเข้าใจในศาสนาพราหมณ์ แต่ก็ฉเพาะเรื่องเทวรูปด้วยเขาเล่นกันอยู่ทั้งนั้น ใช่ว่าจะรู้ลึกซึ้งอันใด เราเข้าใจว่าคนพวกนี้คงจะเปนผู้ถือศาสนาพราหมณ ครั้นเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนเปนศาสนามหมัด ทนความกดขี่ให้เปลี่ยนศาสนาไม่ได้ จึงได้หนีขึ้นมาอยู่บนเขา แต่ก็ยังคงจะยังไม่พ้นความตรวจตรา จึงได้คิดปิดบังช่อนเร้น พระเปนเจ้าทั้ง ๓ ก็ย่นลงเสียเปนองค์เดียว ศีลตัวที่สี่ก็เปนศีลศาสนามหมัดเพื่อจะให้เข้าเรื่องกัน แลยอมสุหนัดซึ่งเปนแต่เปนการภายนอกไม่มีที่กีดขวาง แลไม่มีเทวรูปอย่างหนึ่งอย่างใด บูชาเผากำยานให้เหมือนศาสนามหมัด การสั่งสอนศาสนาลูกหลานก็คงจะงุบงิบ มีผู้รู้กันแต่ในลูกหลานน้อยคน การที่สอนปิด ๆ เช่นนั้นย่อมจะสูญได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือเห็นแก่โลกามิศมากเกินไป ดัดแปลงเข้าหาทางที่จะเปนผลประโยชน์อย่างหนึ่ง ปิด ๆ ไปจนเลยลืมเสียอย่างหนึ่ง พวกนี้จึงได้เหลือแต่ความรู้ร่องแร่งดังนี้ ก็ไม่ผิดอันใดกับพราหมณ์ของเรา แลเขาว่าศาสนานี้จะไม่อยู่ได้อีกนานด้วยเพราะคนเหล่านี้เปนคนโง่ คำสั่งสอนอันใดในศาสนาก็ไม่มี พวกที่ถือศาสนามหมัดมาชักโยงเอาไปเสียได้มาก ด้วยมาเปนเขยสู่แล้วมีลูกออกมาก็ถือศาสนามหมัด แล้วก็แผ่ออกไปมากทุกที ๆ เขาประมาณว่าต่อไปอีก ๑๕ ปี เห็นจะหมดคนถือศาสนานี้ เพราะถ้าถือศาสนามหมัดแล้ว มักจะกระด้างกระเดื่องด้วยเรื่องอยู่ในบังคับคนมิจฉาทิษฐิ ถ้ามีพวกอาหรับมาเมื่อใด ก็ชวนแต่จะกำเริบรุกรานร่ำไป ถามดูถึงหนังสือว่ามีอันใดบ้างก็หยิบออกมาให้ดู เขียนด้วยใบลานเปนอย่างลานกำสั้น แต่เปนอักษรชวาโบราณ แรกเห็นแล้วดูเหมือนจะอ่านได้เพราะเหมือนหนังสือขอม แต่ดูไปอ่านไม่ออก เจ้าของเองก็อ่านไม่เข้าใจ แลไม่ใช่หนังสือในศาสนาด้วย มีอยู่ที่มิวเซียมบัตเตเวียก็มาก แต่ในที่นั้นเขาอ่านได้ จะกลับขึ้นมาถึงต้องเอาเสื้อไปเติม ตั้งแต่วันมาอยู่เปนหนาวอย่างยิ่ง ปรอทแจ้งเวลาหัวค่ำ ๔๘ ไปดูรูปที่มิศเตอร์มูไลยันถ่ายแลสนทนากับพวกที่มาอยู่ในโฮเต็ล กินเข้าต้องติดไฟใต้โต๊ะ ในที่นอนถึง ๕๖ แบลงเก็ต ๒ ชั้นไม่พอต้องเติมผ้าสักหลาดบางอีกผืน ๑ นุ่งกางเกง ๒ ชั้น เสื้อยืดหนาในเสื้อนอน แต่บางคนเขาห่ม ๒ ชั้นเปนปรกติทุกวัน ทวีกันขึ้นไปจนถึง ๕ ชั้นก็มี ที่ต้องใช้ผ้าห่มมากเช่นนี้ เพราะไม่มีเตาไฟและไม่มีเวนติเลชั่นโดยมาก หนาวก็ได้แต่พอกผ้ากับปิดประตูน่าต่าง ปิดนานเข้าก็อับลม บางคนก็ต้องขยายประตูให้มีอากาศเข้า เพราะฉนั้นจึงทนหนาวไม่ใคร่จะได้