๔๙
(ตอนที่ ๙ เสด็จประทับเมืองยกยา)
เมืองยกยา
วันที่ ๒๖ มิถุนายน
นอนไม่ค่อยหลับท้องไม่ค่อยสบาย กะว่าจะร้อนกลายเปนหนาว เมื่อคืนนี้ปรอท ๖๙ หลับ ๆ ตื่น ๆ เมื่อเช้ามืดเสียงบ๋อยอึงเสียงตีพิณพาทย์เสียงรถไฟ เลยหลับไม่ได้ แต่ลุกไม่ขึ้นต้องปลุก ตื่นขึ้นแต่งตัวกินเข้า ยังมีเวลาเหลือเปนกอง เดิรพูดกันเล่นกับเรสิเดนต์รอบเรือน จึงรู้ว่าแกยังไม่ได้กินเข้า โมง ๑ กับ ๔๐ มินิตได้ออกรถไฟ กลับไปข้ามน้ำสรายูดูก็กว้างใหญ่ แต่มีน้ำไหลอยู่ซีกเดียว ข้างหนึ่งเปนหาดดินหน้าตาเหมือนแม่น้ำยมนาแต่เล็กกว่า มีตพานยาวข้าม ที่นี่มีรถแตรมทางเคียงกันไปกับรถไฟ แต่ไม่ได้ลงไปติลยับเมืองอื่นในแขวงบันยูมาส์ ตามทางที่ไปก็มีนามีบ้านต้นผลไม้ตลอด แต่ไม่สู้แน่นหนานัก สู้ในแขวงปริยังคาไม่ได้ ไปประมาณ ๔๐ มินิตเศษถึงติลยับ มีหนทางมาห่างเมืองไกลถนนกว้างเท่าบัตเตเวีย มีต้นขนารีปลูก ๒ ข้างต้นโต ๆ ลำต้นเกือบเหมือนบุยเตนซอก แต่แปลกธรรมดาเมืองอื่น ที่อื่นเข้าไปยิ่งใกล้บ้านเรือนยิ่งถี่ขึ้น แต่ที่นี่เข้าไปเท่าไรก็เสมออยู่ จนกระทั่งถึงกลางเมือง แปลกแต่ที่มีถนนตัดเปนบล็อกกว้างตรงลิ่ว ๆ ทุกถนนแลจนสุดสายตา แต่บ้านเรือนไม่สมกับถนนเลย จนเกือบจะถึงสเตชันรถไฟซึ่งอยู่ไม่ไกลทเลนัก จึงเห็นโรงสองหลังคล้าย ๆ ศาลาวัดร้างเปนตลาด ผู้ที่มารับรองที่สเตชันเพิ่มขึ้นก็แต่คอนโทรเลอ แลแอสสิสตันกับปาเตะแลพวกเวทนาต่าง ๆ มีกงซุลฝรั่งเศสฮาเบอร์มาสเตอเลบตะแนนผู้บังคับการรักษาท้องที่ เปนคนหนุ่มเด็ก ๆ คนหนึ่ง แต่สเตชันแต่งดอกไม้ใบไม้ธง มีซุ้มที่ออกถนนหรูหรามาก แตรชาวเมืองเปาวงหนึ่งสัก ๕ คน ๖ คน รถที่มารับเปนรถแลนดอแต่อาการมาก เก๋งปิดไม่ถึงกันประตูกลอนหักข้างหนึ่งพอขัดไวได้ แต่ข้างหนึ่งต้องโยงเชือกน้ำยากระเทาะ เขาว่าสิ้นฝีมือเมืองติลยับเท่านี้ ตามทางมีโรงยามโปลิศหลังโตกว่าแถบบัตเตเวียผูกโบไม้ห้อยจั่นหมากตามชายคาเหมือนแต่งรับที่สมารัง ๒๕ ปีมาแล้ว ในโรงนี้ไว้กำมลังทุก ๆ โรงตามทางนี้เปนหมู่บ้านแขก เกณฑ์คนชาวบ้านออกมายืนถือธงวิลันดาราย ๒ ข้างห่างกันราว ๑๕ วา ที่บ้านเจ๊กเกณฑ์ออกมาถือธงแดงเหมือนกัน ดูเหมือนคนเหล่านี้จะถอนไปถอนมา ขี่รถไปทางใดดูพบทั้งสิ้น ไม่สมกับจำนวนคนที่มีอยู่ คือเขาว่ามีแขกอยู่ ๕๐๐๐ คนเศษ เจ๊ก ๗๐๐ ฝรั่ง ๑๐๐ เศษ คนที่จะตอมดูเบาบาง เมื่อไปตามทางช่างนึกถึงเมืองนครศรีธรรมราชเสียจริง ๆ ฝรั่งที่อยู่ก็ดูอยู่เรือนอย่างแขกมากกว่าอยู่เรือนอย่างฝรั่ง ตึกใหญ่ ๆ มีร้างเปนอันมาก ยังโรงทหารแลตึกสำหรับออฟฟิเซอร์หลังโต ๆ เรียงเปนแถว ๆ มีสนามฝึกหัดกินที่ถนนสายหนึ่งทีเดียว แต่ทิ้งร้างบานประตูน่าต่างหักพังหลังคาทลายก็มี เขาพาไปดูที่ท่าเรือ มีโรงไว้สินค้าหลังโต ๆ ปิดเปล่าทั้งนั้น มีเปิดอยู่หลังเดียว ตะพานน้ำก็ยาวอย่างเดียวกับตันยงปกาที่สิงคโปร์ แต่มีเรือจอดลำเดียว เมืองนี้เปนเมืองสำคัญ แต่แรกฝรั่งมาค้าขายที่เกาะชวา เพราะเปนเมืองท่าข้างอินเดียนโอชันที่เรือจอดได้อยู่ท่าเดียวจึงเปนเมืองท่าใหญ่ แลเป็นที่ตั้งกองทหาร ครั้นเกิดมีเรือไฟขึ้นเมืองนี้ก็ไม่เปนที่ทำเลค้าขายเหมือนแต่ก่อน แลยังซ้ำเกิดไข้มาลาเรียชุกชุมนัก ถ้าได้เปนแล้วไม่รู้จักหายเปนร่ำไป บางทีก็ถึงตาย คนที่อยู่ในที่นั้นมักไม่ใคร่จะเปน ต่อเมื่อออกจากเมืองไปแล้วเปนไม่ทันรู้ตัว แต่แอสสิสตันเรสิเดนต์เถียงว่าลือแรงเกินไป เขาเห็นว่าไม่เปนที่ร้ายแรงอันใด เมื่อเขาจะรับตำแหน่งพอรู้ว่าเลื่อนที่มาอยู่ติลยับ คิดจะลาออกไปยุโรปแต่นึกว่าลองทนดูทีหนึ่ง ครั้นมาอยู่ก็ไม่เห็นว่าเปนอะไรมากจับไข้ปีละ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ๆ ละ ๓ วัน ๔ วัน ไม่เห็นผิดอะไรกันกับบัตเตเวียฤๅสมารัง เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้แน่ว่าคอเวอนเมนต์จะคิดอย่างไรต่อไป ถอนแต่ทหารไปได้ ๕ ปีแล้ว โรงเรือนก็ทิ้งไว้เปล่า ๆ ชำรุดทรุดโทรมจะต้องขอให้ขายเสีย แต่เขาเสียดายเห็นว่าไม่ควรจะทิ้งเสียเลย เรสิเดนต์อยู่ที่บันยูมาส์ ไม่เห็นสลักสำคัญอันใด ทางไปมาก็ลำบากควรจะมาอยู่ติลยับ เราเล่าให้เรสิเดนต์ฟังแกหัวร่อร้องว่าไม่ยอมมาอยู่เปนอันขาด คนอื่น ๆ ที่ได้พบปะต่อไปอีกเล่าให้ฟังหัวร่อทั้งนั้น ว่าแต่ก่อนมาการที่เอาทหารมาไว้ติลยับ ประสงค์จะตั้งข่มเมืองยกยาแลเมืองโซโล ถ้ามีเหตุการณ์อันใดก็จะยกไปถึงง่าย เดี๋ยวนี้ไม่เปนที่น่ากลัวแล้วจึงไม่เห็นสำคัญ แต่เขายังว่าถ้ามีรถไฟขึ้นแล้วเช่นนี้ มีท่าทางที่จะจำเริญขึ้นอีก ที่อ่าวก็เปนอ่าวดีพอใช้มีเกาะบังอยู่ข้างน่า เรือเข้ามาจอดหลังเกาะได้ ที่เกาะนั้นก็ว่าดีแต่ไม่มีเวลาที่จะข้ามไปดู ไม่เห็นคลื่นตูม ๆ เช่นดอกเตอร์อาเบนดานันว่า เพราะอยู่แต่ในอ่าว ขับรถไปดูริมทเลนอกอ่าวตามหาดทราย แล้วกลับมากินเข้าที่โฮเต็ลไลยอนพร้อมด้วยกรมการทั้งปวง แล้วกลับมาขึ้นรถไฟไปพักอยู่ที่เมาส์อิก ออกจากเมาส์เวลา ๔ มินิตจะเที่ยง ในรหว่างแขวงบันยูมาส์กับบาเกเลนต่อกันนี้มีเขาคล้ายในปริยังคา แล้วจึงไปตกท้องทุ่งกว้างกว้าง ต้องเข้าถ้ำแห่งหนึ่งยาว ๖๐๐ เมเตอร์ตกทุ่งกว้าง ๆ มีนาเต็ม แล้วเข้าในหมู่เขาเตี้ย ๆ ไปตกทุ่งกว้างเช่นนั้นอิกบ่อย ๆ ดูผู้คนแน่นหนาเรือนเปนปั้นหยามีประทุนอย่างยี่ปุ่นทั้งนั้น แต่ราษฎรมีอาการกิริยาแลแต่งตัวแปลกไป คือโพกน้ำเงินเสื้อก็น้ำเงิน นุ่งโสร่งย้อมคราม ถึงสเตชันเล็กเล็กแห่งใดคนแน่น ๆ ทุกแห่ง
เมืองใหญ่ในมณฑลบาเกเลนนี้ตั้งอยู่ที่ปูวเรศโย มีทางรถไฟไปถึง เขาว่าเปนเมืองงามแลเปนที่สบายนัก เพราะอยู่บนเขา ทหารที่ถอนไปจากติลยับก็ไปอยู่ที่นั้นแต่ไม่มีเวลาจะไป พ้นทางแยกปูจเรศโยไปหน่อยหนึ่ง ถึงสเตชันแห่งหนึ่ง มีเวโทโนผู้หนึ่งกับรเด่นอายูเอาน้ำชามาเลี้ยงในรถไฟ ตั้งแต่นี้ไปเวทนาต้องกลับเปนเวโทโน ตามภาษาชวากลางแลอะไรต่ออะไรเปลี่ยนหลายคำ แต่เดาไม่ถูกว่าอย่างไรควรจะโออย่างไรควรจะอา ลองเอาภาษามคธเข้าใส่ ผิดไม่เข้าใจบางทีก็โออยู่ ข้างท้ายบางทีอยู่กลาง ๆ สองโอติดกันก็มี เดาไม่ถูกเลยต้องเรียนใหม่ เวโทโนคนนี้กิริยาอาการเรียบร้อย แปลกกว่าที่เคยเห็นมาเสียจริง ๆ ท่าทางผิวพรรณแลแต่งตัวก็ผิดกันกับข้างตวันตก คือนุ่งโสร่งพันชาย ๑ จีบชาย ๑ เปนต้น ไม่มีอะไรจะให้แก ให้บุหรี่ในซองตัวหนึ่ง เมียให้หมากคำหนึ่ง เอาขึ้นทูนหัวแล้วเอาเหน็บเสื้อไว้ที่อก ต่อไปจากนั้นเข้าแขวงยกยากะระตะ มีไร่อ้อยเปนพื้นสเตชันเมืองยกยาฤๅยกโย มีแตรฝรั่งแต่ชาวเมืองเป่าเพลงสรรเสริญบารมี แอสสิสตันเรสิเดนต์กับรเด่นอธิปติ ที่เรียกว่าไปรมินิสเตอร์ เปนคนแก่อายุกว่า ๕๐ แล้ว แต่งตัวคาดเข็มขัดมีประจำยามแลขอพกลงยาสีน้ำเงินประดับเพ็ชร์ทำมาแต่นอก เปนงูไปทั้งนั้น เปนฉายาซึ่งจะเรียกต่อไปว่า “งูสีน้ำเงิน” ใส่หมวกเปนรูปหมวกยอกกีแกมทรงประพาศ จะเล่าไม่ถูกได้แต่รูปร่างประหลาดดีเต็มที เปนเรื่องเดียวกันกับหมวกไม่มีเส้า ซึ่งพวกเวทนาเวโทโนใส่กันอยู่ ต้อนรับในชื่อของสุลต่าน ขึ้นรถซึ่งเปนรถสุลต่านจัดมารับเทียมม้า ๔ มีทหารม้าวิลันดา ซึ่งเปนทหารรักษาองค์ของสุลต่าน แห่น่า ๑๒ คน หลัง ๑๒ คน ทหารพวกนี้มีโรงอยู่ที่น่ากราตน คือวังของสุลต่าน นัยว่ามาช่วยรักษาพระองค์สุลต่าน แต่ที่แท้เหมือนผู้คุ้ม เพราะถ้าสุลต่านจะไปแห่งใดทหารเหล่านี้ต้องแห่ไปด้วยเสมอ ที่จะขี่รถเล่นไม่มีทหารแห่นั้นไม่ได้เปนอันขาด ว่าเสียพระเกียรติยศ แต่ที่แท้กลัวจะหนี เพราะเคยหนีกันมาแล้ว ถ้าใครจะไปมาหาสู่สุลต่านฤๅสุลต่านจะทำอันใด ทหารรักษาองค์นี้ต้องทำรายงารยื่นเรสิเดนต์ทุกวันเปนประเพณีกันอย่างนี้มา แต่แรกฝรั่งได้เมืองชวาแอสสิสตันเรสิเดนต์ว่าตัวไม่เห็นควรจะทำเช่นนั้นเลย ราวกับเขาเปนคนโทษ สเตชันอยู่ใกล้กับโฮเต็ลไปประเดี๋ยวก็ถึง คนดูแน่นตั้งแต่สเตชันถึงโฮเต็ล แต่พวกนี้ไม่นั่งจะเปนด้วยไม่มีคำสั่งฤๅธรรมเนียมเขาไม่นั่งกันก็ไม่ทราบ เรสิเดนต์แลปเงรันอธิปติมังกุภูมิน้องสุลต่าน ปเงรันอธิปติกระเปียกลูกสุลต่าน รเด่นมาสกุสตีลูกปเงรันอธิปติปักกุอาลำ ซึ่งเปนเจ้าสืบตระกูล มีเขตรแดนเปนอินดิเปนเดนจากสุลต่านซ้อนอยู่ในยกยากรต ๒ คน ออกมาคอยรับในชื่อสุลต่านแลปักกุอาลำใน ๔ คนนี้แต่งตัวเปนทหารวิลันดาทั้งนั้น ในพวกสุลต่าน ๒ คนคนแรกเปนเอดิกงคอเวอนเนอเยเนราลได้เงินเดือน ๆ ละ ๒๐๐ กิลเดอ แต่ไม่ต้องทำอะไรอยู่กับที่ เคยไปบัตเตเวียครั้งเดียวเท่านั้น ได้ตราชวาลีเยนิกเทอสแลนไลออน กับตรารบฤๅตรารับราชการนานอะไรอีกดวงหนึ่งเหมือนเช่นทหารวิลันดาใส่ รูปร่างผอมดำหน้าตาคมคายคเนว่าอายุจะลัก ๔๐ เศษ เขาบอกว่าอายุถึง ๕๐ กว่าแล้ว ว่าเปนคนฉลาดกว่าใคร ๆ ในเมืองยกยาทั้งสิ้น พี่ชายรักนักให้สำเร็จราชการในกราตนหมดทุกอย่าง จนพี่น้องทั้งปวงพากันอิจฉา คนที่ ๒ ผิวเนื้อดำแดงหน้าออกฝีไม่สู้เข้มเหมือนคนที่หนึ่ง มิใช่ลูกระตู๕๑ แต่พ่อรัก ตำแหน่งปเงรันอธิปตินั้นเปนกรมพระราชวังอย่างใดอย่างหนึ่งถ้าจะเทียบมังกุภูมิเปนมหาอุปโยราช กระเปียกเปนแก้วฟ้าในเมืองเขมรเปนใกล้กว่าอื่น ชื่อที่เรียกนั้นเปนชื่อตำแหน่งมิใช่ชื่อตัว โพกผ้าสีน้ำเงิน แขวนสายนาฬิกาเพ็ชร์ เครื่องแต่งตัวนอกพันเหมือนทหารวิลันดา ลูกปักกูอาลำ ๒ คน ๆ ใหญ่หน้าออกฝีผอม ๆ ผิวเนื้อดำแดง คนที่ ๒ ดำหน้ากล้อพูดภาษาอังกฤษได้มาก แต่สู้ภาษาวิลันดาไม่ได้ เปนคนหนุ่มอายุเห็นจะไม่ถึง ๓๐ ตัดผมเปนฝรั่งทั้งสองคน ไม่โพกผ้าแลไม่ใส่สายนาฬิกาเพ็ชร์ด้วย เรสิเดนต์อายุสัก ๖๐ บอกกับแอสสิสตันเรสิเดนต์ว่าจะพูดอังกฤษชั่วแต่คำต้อนรับคำเดียว นอกนั้นจะให้แอสสิสตันเรสิเดนต์พูด แต่ครั้นเมื่อพบกันเข้าจริงแกก็พูดได้หลายคำ พาขึ้นมานั่งเก้าอี้อย่างเดอบาสนทนากันตามแบบ คนดูอยู่แต่นอกกำแพงเตี้ย ๆ ไม่สะใจ ดันกันเข้ามาทุกทีจนหลุดเข้ามาเต็มแน่นอยู่ในลานน่าโฮเต็ล ซึ่งเปนลอนวงกลมปลูกหญ้าตั้งกระถางต้นไม้ ทีหลังจนทหารม้าที่ยืนกันอยู่น่าโฮเต็ล รับไม่อยู่ คนทลึ่งเข้ามาได้จนรอบหอนั่งน่าโฮเต็ลม้าฬาตื่นตึงตัง โปลิศมาไล่ พอคนออกเห็นกระถางต้นไม้แตกกว่า ๕๐ ใบ ต้นไม้เลยลงกองอยู่กับดินเฉย ๆ ด้านน่าเกลี้ยงไม่มีอะไรเลย
อาบน้ำแล้วไปเที่ยวกับแอสสิสตันเรสิเดนต์ เขาพาไปตามถนนใหญ่สายที่จะเข้าไปกราตน เปนตึกเจ๊กตึกฝรั่งแน่นหนาดูสนุกดีกว่าที่คาดว่าจะเปน บ้านงูสีน้ำเงินอยู่ข้างซ้ายมือขาไป กำแพงยาวใหญ่ริมถนน ที่ประตูเข้าบ้านเปนกำแพงซ้อนกันหลายชั้นสี่ฤๅห้า แลออกลิ่วแล้วยังไม่มีเรือน แต่ประตูนั้นไม่มีบานเปนกำแพงอย่างลุ่น ๆ ต่อไปอีกถึงบ้านเรสิเดนต์อยู่ข้างขวามือมีสวนใหญ่อยู่น่าบ้าน ตรงกันข้ามนั้นเปนป้อมวิลันดาทำไว้แต่เมื่อแรกตั้งเมือง เปนป้อมสี่เหลี่ยมมีลูกป้อมที่มุมสี่ด้านวางปืนใหญ่ แต่เห็นจะเปนปืนอย่างโบราณ ในป้อมมีโรงเรือนที่ทหารอยู่ แต่เรือนออฟฟิเซอร์อยู่นอกป้อม ถัดไปอีกถึงคลับใหญ่โตมาก มีคนนั่งอยู่กลางชลากลางแจ้งแน่นทีเดียว ต่อไปอีกหน่อยหนึ่งถึงกำแพงคั่นไม่มีบ้าน เขาว่าเปนเขตรกราตน แต่ดูเรือนฝรั่งมังค่าก็ยังมีอยู่ในนั้น พวกเจ๊กอยู่ใกล้ข้างสเตชัน ตอนข้างกราตนเหล่านี้เห็นเปนฝรั่งมากกว่าแขก เข้าไปอีกหน่อยหนึ่งเปนกำแพงหนา มีต้นหมากรากไม้ขึ้นรกว่าเปนตัวกราตนคือกำแพงเมือง ข้างในถนนแคบ ๓ วา ๒ ศอก ฤๅ ๔ วา เปนกำแพงริมถนนตลอดไปทั้งนั้น แลเห็นแต่ปั้นลมเรือนอยู่ข้างในเปนเรือนจากรุง ๆ รัง ๆ จำไม่ได้ว่าไปทางไหนต่อทางไหน เลี้ยวไปเลี้ยวมาก็เปนกำแพงทั้งสิ้นดูแจ๊ก ๆ เหมือนบ้านกรมนฤบาล ไปหลุดออกอาลูน ๆ ด้านเหนือคือสนามโรยทรายขนาดสนามหลวงจะย่อมกว่าสักหน่อยหนึ่ง มีต้นไทรที่เรียกว่าวาริงงิน อยู่กลางสนาม ๒ ต้น รายรอบสนามอีกรอบหนึ่ง ตัดใบรูปเหมือนกรรฉิ่ง ยอดก็ตัดให้แบนด้วย กลาง ๒ ต้นงามกว่าที่รายรอบ แต่เมื่อเข้าไปใกล้เห็นข้างในโหว่เหมือนร่มไม่มีเพดาน ก่อกำแพงแขก ๆ ล้อมทุกต้น ว่าเปนของอามังกุภูวโนที่ ๑ สุลต่านคนแรกปลูกไว้ ๑๕๐ ปีมาแล้ว มีชื่อฉเพาะทุก ๆ ต้น เขาว่าเปนฮิสไฮเนสบ้างเปนฮิสแอกซแลนซีบ้างทุกต้น อาลูน ๆ นี้เปนธรรมเนียมข้างชวามาแต่โบราณ ถ้าจะสร้างเมืองแล้วต้องสร้างอาลูน ๆ ปลูกต้นไทรก่อน เพราะเปนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ผีสิง ต้นไทรในเมืองชวานี้ผู้ใดจะตัดไม่ได้ ถือกันว่ามักให้มีอันเปนต่าง ๆ ถ้าเปนเมืองหลวงที่ตั้งกราตนมีอาลูน อาลูนทั้งข้างเหนือข้างใต้ วังอยู่กลาง ๆ อาลูน ๆ ปลูกต้นไทร ๒ ต้น ถ้าเปนกาภูปตินทร์มีอาลูน ๆ ได้แต่ด้านเดียวปลูกต้นไทรได้แต่ต้นเดียว แต่ที่จะปลูกรายรอบนั้นไม่ห้าม มีหัวเมืองที่ปลูก ๒ ต้นอยู่แห่งเดียวแต่ที่สมารัง เพราะได้เปนสุสุนันที่นั่นคนหนึ่ง ถ้าใครจะเดิรในอาลูน ๆ นี้ห้ามไม่ให้กั้นร่มใส่เกือก เว้นไว้แต่อุ้มเด็กอ่อน ถ้าฉนั้นมีโทษต้องติดคุก วิลันดาก็ลงโทษจีนให้เหมือนกัน แต่เขาใช้ปรับคราวละ ๒ เหรียญ แต่ฝรั่งขี่รถได้ไม่ห้าม การถือต่ำสูงถือกันแขงแรง รถที่นั่งจะใช้ชาวชวาขับไม่ได้เพราะนั่งสูงต้องใช้ฝรั่งมาแต่ไหนแต่ไร จะเปนแกถือเองหรือฝรั่งช่วยให้ถืออย่างทหารรักษาพระองค์ไม่รู้ หลังต้นไทรรายรอบนั้นเปนเรือนหลังคามุงกระเบื้องย่อม ๆ มีใหญ่อยู่สักหลัง ๑ หรือ ๒ หลัง เรียกว่าประเสบันทั้งสิ้น แต่หลังใหญ่เรียกประเสบันอากง สำหรับพวกเจ้านายที่มาต่างเมืองหรือภูปติที่เข้ามาเฝ้าในการพิธีปีละครั้งใช้เปนที่พัก
ออกจากสนามนี้เลี้ยวไปเลี้ยวมาในกำแพงเช่นนั้นไปทลุออกสนามอีกแห่งหนึ่ง คืออาลูน ๆ ใต้ เหมือนกันกับข้างเหนือเว้นแต่เล็กกว่าไม่มีประเสบัน แล้วไปทางอื่นอีกไม่ได้ดู มัวซักไซ้ไล่เลียงแอสสิสตันจนกลับมาบ้าน ผลที่ไล่เลียงได้นั้นคือ ในเมืองยกยานี้มีเจ๊กหลายพันคน นับว่าเปนคนต่างประเทศอยู่ในบังคับวิลันดา มีฝรั่งพันเศษ บันดาชวาอยู่ในบังคับสุลต่าน เว้นไว้แต่ถ้าผู้ใดรู้ภาษาวิลันดา ประพฤติตัวเหมือนฝรั่งจะขอมาอยู่ในบังคับวิลันดาก็รับ แต่น้อยคน คนเช่นนั้นถ้าเปนถ้อยความหรือมีโทษต้องรับโทษอย่างวิลันดา ไม่ต้องถูกเกณฑ์เหมือนชาวชวา การที่ว่าอยู่ในบังคับหรือไม่อยู่ผิดกันนอกจากที่ว่ามานี้ก็เล็กน้อย คือสุลต่านไม่มีอำนาจที่จะชำระความนครบาลได้ วิลันดาว่าทั้งนั้น ชั่วแต่ความแพ่งจึงได้ตกอยู่ในศาลรเด่นอธิปติ ถึงดังนั้นรเด่นอธิปติก็ต้องฟังบังคับวิลันดาอยู่นั้นเอง การที่จะตั้งรเด่นอธิปติ สุลต่านเปนผู้แนะนำ แต่ต้องเห็นชอบพร้อมด้วยเรสิเดนต์จึงจะตั้งได้ ถ้ารเด่นอธิปติประพฤติราชการไม่เปนที่ถูกใจวิลันดาจะถอดเสียเมื่อไรถอดได้ เหมือนอย่างรเด่นอธิปติเมืองโซโลก่อนน่าคนนี้ วิลันดาก็ถอดเสีย จึงกล่าวกันว่าตำแหน่งอธิปติใน ๒ เมืองนี้ยากที่จะเปนได้ เพราะต้องประพฤติให้ถูกใจนายทั้ง ๒ คน น่าที่นั้นคือเปนผู้รับหนังสือที่เรสิเดนต์จะมีไปมา แล้วนำขึ้นทูลสุลต่าน เปนผู้รับคำสั่งสุลต่านตอบเรสิเดนต์ และเปนผู้รับคำสั่งเรสิเดนต์บังคับการงารทั้งปวง สุลต่านเองเปนอันอยู่เฉย ๆ การที่ทำเช่นนี้เพราะจะหลีกไม่ให้ต้องลงโทษ สุลต่านเอารเด่นอธิปติเปนหนังน่าไฟ เพราะผู้ซึ่งจะเปนตำแหน่งนี้สุลต่านคงจะเลือกเอาคนซึ่งเปนที่รักที่วางใจ ถ้าต้องถอดถอนเมื่อไรก็เปนที่เดือดร้อนอย่างยิ่ง เหมือนงูน้ำเงินนี้ก็เปนพี่ของระตูเดี๋ยวนี้ รเด่นอธิปติโซโลเปนลูกเขยสุสุนันคนเก่าพี่เขยสุสุนันเดี๋ยวนี้ แต่งูน้ำเงินเรสิเดนต์ว่าไม่มีพิษสงอันใด แต่เปนคนที่พูดโนไม่เปน อย่างไรก็ตกลงได้ทั้ง ๒ ข้าง แต่ที่โซโลนั้นว่าเปนคนฉลาดอย่างยิ่งในคนชวา ที่แผ่นดินในเขตรแดนยกยาได้ชื่อว่าเปนของสุลต่านทั้งสิ้น บรรดาเจ้านายในเชื้อวงศ์แลขุนนางในตำแหน่ง ตั้งแต่รเด่นอธิปติเปนต้นไป ได้ที่แผ่นดินเปนส่วนแบ่งปันตามอัตราที่เรียกว่ายุง โดยกำหนดเปนส่วน ๆ แต่ยุงหนึ่งบางทีก็เปนที่ดีบางทีก็เปนที่เลวราคาผิดกันมาก ๆ ถ้าคนที่โปรดปรานก็ได้ที่ดี ๆ ที่ไม่โปรดปรานก็ได้ที่ไม่ดี แต่กำหนดว่าได้เท่ากันโดยนับยุง ผู้ที่ได้มากอย่างยิ่งนั้นคือรเด่นอธิปติ นอกจากที่ดินยังได้เงินเดือนจากวิลันดาเดือนละ ๑๐๐๐ กิลเดอ สุลต่านให้อีกเดือนละ ๕๐๐ กิลเดอ นอกจากนั้นพวกรเด่นอธิปติได้ตั้งแต่ ๔๐ ขึ้นไปหา ๖๐ ยุง เงินเดือนตั้งแต่ ๓๐๐ ขึ้นไปหา ๖๐๐ ปเงรันทั้งปวงประมาณอยู่ใน ๒๕ ยุงได้เงินเดือนต่างหากบ้างไม่ได้บ้าง ภูปติ ๘ คนได้ ๒๕ ยุงประมาณว่าเปนเงิน ๖๐๐ กิลเดอ แต่พวกนี้มีวิเศษที่เมื่อผู้ใดได้ที่แผ่นดินเก็บผลประโยชนไม่ได้ ๖๐๐ กิลเดอ สุลต่านจ่ายเงินให้พวกลูกหลานอื่น ๆ ได้ลงไปเสมอรเด่นมาศปันหยี จนอย่างต่ำที่สุดก็แจกเงินอยู่ในประมาณสัก ๒๐ บาท ถ้าจะเทียบอำนาจภูปติบังคับเมืองในเขตรแขวง ๒ เมืองนี้ ที่ดินแลคนซึ่งอยู่ในบังคับเท่ากันกับเวทนาในมณฑลปริยังคะ ปันหยีซึ่งใช้แทนลูลาเทศาเท่าเทศาเท่านั้น ยังมีภูปติซึ่งไม่ได้บังคับเมืองเรียกว่าปตินายะโก ๘ คน เปนที่ปฤกษาของรเด่นอธิปติ มีปติเปล่า ๆ ๘๐ คน แลขุนนางชั้นอื่น ๆ อีกพันเศษ ทหาร ๑๐ เหล่า อีก ๘๐๐ คน ไม่ได้เงินเดือนแต่ยกส่วยสาอากรเทือกตราภูมให้ ฝ่ายข้างผู้หญิงมีรเด่นอธิปติแลปติเปนลำดับกัน พวกนั้นได้ที่ดินเหมือนกัน ผู้หญิงอื่น ๆ ได้เงินเดือน ที่แผ่นดินเหลือจากนี้เปนของสุลต่าน ว่าไม่ใคร่จะได้ผลประโยชน์มาก แต่จะเอาแน่ไม่ได้ ฝรั่งคงว่ามากแกคงว่าน้อย แต่น่าเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง ที่แอสสิสตันเรสิเดนต์คนนี้อยู่ข้างเปนคนมียุติธรรมมาก บอกว่าไม่ได้มากจริง ๆ แต่ข้างโซโลเขากล่าวว่าแกเก็บเงิน ข้างนี้ว่าโซโลได้มากกว่า นอกจากที่แผ่นดิน สุลต่านแลสุสุนันได้จากคอเวอนเมนต์วิลันดาเดือนละ ๖๔๐๐ กิลเดอเท่านั้น วิธีเก็บเงินจากที่แผ่นดินผิดกันกับวิลันดา คือที่แผ่นดินเปนของใคร ไม่ว่าคนที่อยู่ในนั้นทำมาหากินอย่างใด คงเก็บเอาประโยชน์ซึ่งเปนส่วนกำไรกึ่งหนึ่งทั้งสิ้น ไม่ต้องเกณฑ์เก็บเงินทำถนน แต่ภาษีที่วิลันดาเก็บต้องเสีย แลต้องรักษาถนนปัดกวาดน้ำเติมศิลาด้วย แต่ก่อนต้องเกณฑ์ไปให้วิลันดาใช้อีกชั้นหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้งดเสียแล้ว ข้างฝ่ายคนของวิลันดาเสียแต่ค่าที่ตามดีแลชั่ว ๓ ชั้น กับต้องเกณฑ์ทำถนนรักษาถนนไม่ต้องเสียภาษี เรียกอะไรคล้ายอินคำแต๊กส์ จึงได้เบากว่าพวกแขกในบังคับสุลต่าน พวกจีนที่มาทำมาหากินต้องเสียค่าเรี่ยรายทำถนน ค่าภาษีอินคำแต๊กส์ แต่เปนของวิลันดาชั่วแต่เงินค่าทำถนนจ่ายทำการ ถ้าไม่พอหรือการที่ต้องทำซ่อมแซมสุลต่านต้องออก ที่แผ่นดินในชวานี้ทั้งหมด ผู้อื่นจะซื้อหรือจะเปนเจ้าของไม่ได้นอกจากชาวชวาเองกับวิลันดา พวกเจ๊กที่มาอยู่ยอมให้ซื้อที่ได้แต่ฉเพาะบ้านเรือนแลสวนเล็กน้อย จะเปนเจ้าของที่ให้คนเช่าถือเหมือนพวกแขกไม่ได้ กันไว้เปนพวกที่ทำการค้าขาย ถ้าฝรั่งจะเปนเจ้าของที่ก็ได้ แต่เช่าผูกจากคอเวอนเมนต์เช่นที่โยมาสในแขวงบุยเตนซอก ส่วนที่ยกโชนี้เปนอย่างอื่น คือที่ซึ่งแบ่งแจกกัน พวกฝรั่งมาขอผูกจากผู้ที่เปนเจ้าของที่ แต่ต้องได้อนุญาตจากเรสิเดนต์ก่อนคือว่าเรสิเดนต์ขอนั้นเอง มีกำหนดเงินผูกขาดเปนปีตามแต่จะตกลงกัน ฝรั่งมีอำนาจเต็มที่จะแบ่งกึ่งเงินผลประโยชน์ของราษฎรเหมือนเจ้าของที่ แต่เขายกให้แทนราคาสิ่งที่เกณฑ์ให้ปลูกเช่นเข้าและคราม ทำได้เท่าใดซื้อเอาทั้งสิ้นด้วยราคาเปนกำหนด แต่ถ้าเปนอ้อยที่ต้องลงแรงมากใช้จ่ายเงินเติมให้บ้าง ที่นั้นไต้ประโยชน์ดีขึ้นกว่าเจ้าของให้เช่า เพราะฝรั่งเปนผู้ที่คิดการค้าขายตรวจตรา อุดหนุนหรือผ่อนปรนเอาใจคนทำงาร ถ้าพวกแขกแล้วมีแต่รีดเอาเงินอย่างเดียว แต่ที่จะเรียกว่าฝรั่งพวกนี้ทำมาหากินอย่างฝรั่งนั้นไม่ได้ ที่แท้ก็เปนผลัดมือกันรีด ข้างหนึ่งรีดเบา ๆ ได้เงินมาก ข้างหนึ่งแรงได้เงินน้อยผิดกันเท่านั้น บรรดาต้นไม้ไม่ว่าอย่างไรสุดแต่เปนต้นไม้แก่นในเกาะชวานี้แล้วเปนของวิลันดาหมด รับมรดกอังกฤษที่สัญญาไว้แต่ก่อน ราษฎรจะปลูกมากี่สิบปีก็ตาม จะปลูกขึ้นใหม่ก็ตาม จะตัดเองไม่ได้เปนอันขาดต้องขออนุญาต แลไม้ต้นนั้นก็เปนของคอเวอนเมนต์ด้วย จนไม่มีใครปลูกต้นไม้ คอเวอนเมนต์ต้องเกณฑ์ให้ปลูกและปลูกไม้สักในป่ามาก ด้วยตัด ๆ กันเสียจนเกือบหมดเกาะแล้ว ข้อขัดสนของเมืองชวานี้ มีเรื่องไม้แลกลัวว่าจะไม่มีฟืนต่อไปอีกด้วย การที่จะซ่อมแซมกราตนด้วยไม้เปนการใหญ่มิใช่น้อย สุลต่านต้องทำหนังสือยื่นเรสิเดนต์ ว่าจะต้องการไม้มากน้อยเท่าใด เรสิเดนต์ต้องแต่งให้แอสสิสตันเข้าไปตรวจตลอดในรั้วในวังเรือนข้างน้ำข้างในเที่ยวเสียพลอนประมาณว่าควรจะให้เท่าใดจึงให้ เปนการประดักประเดิดมาก ขากลับผ่านทางวังปักกุอาลำ ใหญ่โตมาก แลเรียกกราตนเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปมาหาสู่กันกับสุลต่านเลย เว้นไว้แต่ไปกับเรสิเดนต์ กลับมาถึงโฮเต็ลทุ่มเศษ วันนี้แบรอนกวาลซึ่งล่วงน่ามาจัดการที่ยกโช ที่โซโลมาคอยรับอยู่ที่สเตชัน เล่าเรื่องที่จะมีการรับรองทุกแห่ง เดิมสุสุนันรังเกียจการที่จะไปหาเราที่โฮเต็ล ข้อซึ่งแกยกขึ้นขัดขวางนั้นว่าตั้งแต่ปู่แต่ทวดมาไม่เคยเข้าโฮเต็ล เขาตอบว่าคอเวอนเนอเยเนราลได้บอกว่า ที่นั้นต้องนับว่าเปนอาณาเขตรสยาม เราอยู่ที่โฮเต็ลปักธงช้างก็นับว่าเปนพระที่นั่งจะขัดขวางอันใด สุสุนันพอใจเพราะความอยากที่จะพบเรานั้นยิ่งนัก เรสิเดนต์บอกว่า ถามเกือบทุกวันว่าจะไปโซโลหรือไม่ คิดจะให้ลงไปเชิญพอรู้ว่าจะมาก็ดีอกดีใจ ให้คนลงไปสืบหลายสื่อหลายสวนหนักแล้ว เขาเชื่อว่าจะเปนการดีเรียบร้อยตลอด โฮเต็ลนี้มีหอนั่งอยู่ข้างน่าคล้ายปันดโป เรือนข้างในก็อย่างเรือนบลันดา แลมีเรือนแถว ๓ ด้านเรียกว่าโฮเต็ลตูกดู แปลว่าเสาหิน เพราะมีเสาอยู่ใกล้โฮเต็ลนั้น จัดการเรื่องที่จะรับสุลต่านพรุ่งนี้ ดูเรสิเดนต์แกช่างเปนการใหญ่เสียจริง ๆ เดิมสุลต่านว่าจะแต่งตัวเปนเมเยอเยเนราล เราบ่นว่าจะไม่ได้ดูเครื่องแต่งตัวชวา แลอยากให้รับรองอย่างชวา ตกลงเปนแต่งอย่างชวา บอลที่สุสุนันก็ยอมเลิกให้ คงมีแต่ที่เปนของฝรั่ง เปนอันพรุ่งนี้แต่งเต็มยศ
-
๕. ระตู คือ พระมเหษี ↩