๓๓
เมืองการุต
วันที่ ๑๐ มิถุนายน
วันนี้ไปอาบน้ำตามเวลาเช่นเคย ตามทางยังจับปลากันเรื่อยอยู่ วันนี้อาบน้ำ ๓๐ มินิต แต่ทนไปไม่รอดต้องงดเสีย ๓ มินิต อ่อนใจแลง่วงหลับได้สองชั่วโมงตื่นขึ้นกินน้ำชา เรียกอังกลุงมาดู มันเล่นได้ ๓ เพลง เพราะมันเหลือที่จะแก้ไขอย่างไร สังเกตดูเสียงมันมีสี่เสียงเท่านั้น ทำแต่อันเดียวสองอันก็ไม่เปนเรื่องต้องหลาย ๆ อัน เวลาย่ำค่ำไปดูวายังที่บ้านรเด่นอธิปติ เล่นที่หอโถงน่าเรือน มีชื่อแต่จำไม่ได้ ว่าเปนแบบสำหรับมีทุกแห่ง กั้นฉากเปนซุ้มเข้าไปห้องหนึ่งเปนเตียงสำหรับท้าวพระยานั่ง มีประตูเข้าออกสองข้าง ที่ซึ่งจัดให้นั่งดูกั้นเปนซุ้มย่อเข้าไปอย่างเดียวกันกับข้างโรงละคอน ตั้งเก้าอี้ยาวมีกระจก บนนั้นมีโต๊ะแลเก้าอี้ตั้งรายสำหรับคนไปดู แม่เล็กนั่งแล้วเราจับให้รเด่นอายูไปนั่ง เล่นเรื่องมหาภารตะตอนหนึ่งเขาตัดเปนนิทาน เรียกว่านิทานค้นหาดูเหมือนจะเปนเรื่องรู้แล้ว พออ่านเรื่องก็จำได้ แต่จะบอกแก้เรื่องราวให้ถูกเรื่องเดิมก็เกรงจะไม่ถูกต้องแท้ด้วยอ่านนานมาแล้ว เอาเปนเล่าตามเรื่องที่เขาเล่นเสียทีหนึ่ง มีเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งชื่อทุรปาทะ (ทรุปทะ) พระเจ้ากรุงปัญจาลาธิราช มีธิดาสององค์ชื่อทุรปาที (เทราปที) แลสิริกันที (ศิขัณฑินี) เปนศิษย์ของเจ้าคันทมา ซึ่งเปนลุงหรืออาว์ แลเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ของเจ้าแผ่นดิน ด้วยเหตุว่านางนั้นมีรูปโฉมงามยิ่งนัก จึงมีเจ้าเมืองต่าง ๆ มาเกี้ยวพานแต่หาได้เปนเมียสมปราถนาไม่ ด้วยคำแนะนำของเจ้าคันทมา เจ้าแผ่นดินจึงตกลงว่าเจ้าแผ่นดินองค์ใดอาจจะต่อสู้เจ้าคันทมาตัวต่อตัวฆ่าเจ้าคันทมาตายจึงจะให้ลูกสาว ต่อนี้ไปแบ่งเปนตอน ๆ ที่ ๑ เจ้าแผ่นดินนั่งปรึกษาพร้อมด้วยลูก ๓ คน แลคันทมาปรึกษาการที่จะหาคู่นั้น เมื่อตกลงแล้วสั่งให้ลูกชายออกไปประกาศ ตอนที่ ๒ เจ้าเมืองต่าง ๆ ซึ่งมาประชุมพร้อมกันอยู่ที่ประสังคระหันเรือนที่พักแขก เมื่อเทสตะทยุมเมนะ (ชื่อนี้เข้าใจกันว่า ธฤษฏ-ทยุมนะ) ที่เปนลูกเจ้าแผ่นดินไปประกาศ ก็ต่างคนต่างอวดดีว่าเปนผู้ชนะ ตอนที่ ๓ เมื่อถึงเวลากำหนดคันทมารบกับเจ้า ๓ คน ฆ่าตายเปนลำดับกันทั้ง ๓ คน ในทันใดนั้นทยากะปิตะงะเจ้ากรุงอัสติงะ ชื่อเมืองนี้ได้ความชัดว่าเปนหัสตินาปุระ เมืองหลวงของพวกษตริย์เการวะ แต่เจ้าแผ่นดินคนนี้ชื่อไรจำไม่ได้ จำได้แต่ฉายาที่พวกไม่ชอบเรียกว่า ทุรโยธนะ เปนลูกคนใหญ่ของเจ้าแผ่นดินที่ตาบอดมาชวนรบ ตอนที่ ๔ เมื่อขณะกำลังรบกันอยู่ มีเจ้าอื่น ๆ มาอิกหลายคน ในพวกเจ้าเหล่านั้น มีเจ้าชาย ๒ คนมาแต่เมืองบันเยียปัตโธรมัน กับเจ้าชายอิก ๒ คนมาจากเมืองอามาตะ เจ้า ๒ คนข้างหลังนี้คนหนึ่งเรียกว่าอาทยุนะ (คือ อรชุน) แลทยายุเตนะ ได้ความอธิบายด้วยปากว่าคือภีมเสนะ เปนน้องที่ ๒ ในพวกกษัตริย์ ปานฑว มีบ่าวมาด้วย ๒ คนชื่อ เสมาเปนธาลก อินคนหนึ่งชื่อ เทวลา เพื่อจะให้เห็นชัดเจน อรชุน จึงได้ขึ้นบนบ่าพี่ของตัวที่ชื่อทยายุเตนะ ข้างฝ่ายเจ้าหญิงเมืองบันเยียปัตโธรมัน ชื่อสมพัดรา (สุภัทรา) ก็ขึ้นบนบ่าพี่ชายที่ชื่อมัทระ ตาอรชุนกับสุภัทราสบกันก็มีความรักใคร่ อรชุนจึงเอาดอกไม้ขว้างนางสุภัทรา แต่ดอกไม้นั้นไม่ถึงอาชวรณ (เห็นจะเปนพี่อิกคนหนึ่ง) เงยหน้าขึ้นดูเห็นอรชุนรู้ว่าเปนผู้ขว้างดอกไม้ก็โกรธเปนกำลัง ด้วยสามารถแห่งโทโษ วิ่งเข้าไปจะลงโทษอรชุน แต่ผเอิญไปตีถูกเจ้ากรุงหัสตินะล้มด้วยกำลังแรง คันทมาเห็นก็โกรธอาชวรณเปนกำลัง ร้องบอกว่าให้มารบกับตัวแทนเจ้ากรุงหัสตินาปุระ อาชวรณก็ยอม แต่จะขอผัดฆ่าอรชุนเสียก่อน แต่การรบในระหว่างอรชุนกับอาชวรณยังไม่แพ่ไม่ชนะกัน ด้วยต่างคนต่างมีกำลัง มีฤๅษีชื่อเทวนราท (เทวราตะ) ลงมาห้าม ด้วยเหตุว่า ๒ คนนั้นเปนพี่น้องกัน เรื่องฤๅษีมาห้ามนี้ในมหาภารตะ ชักเรื่องชักวงศ์เสียหลายปรวะ ภายหลังคันทมารบกับอาชวรณ อาชวรณเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ จึงขอให้อรชุนเข้ารบแทน อรชุนฆ่าคันทมาตาย แล้วก็แต่งงารกับนางสิริกันที เปนจบเรื่องกันเท่านั้น ต้องว่าด้วยเรื่องแต่งตัวต่อไป ละคอนเหล่านี้สวมหน้ากากทั้งสิ้น หน้ามนุษย์ใช้คางยื่น ๆ หางตาสูง ทาสีขาวเหลืองชมภู ตามที่เปนคนสวยฤๅคนปานกลาง ตัวดีใช้หน้าขาวทั้งสิ้น ที่เปนเจ้าแผ่นดินใช้มงกุฎ เรียกมกุฎตรง ๆ รูปเหมือนมงกุฎละคอนฮินดู ที่พวกกาลิงเล่น ถ้าเปนเจ้านายชั้นสูง ๆ ใช้เปนกรอบหน้าท้ายงอนขึ้นไปเหมือนหางแมลงป่อง บางทีก็เปนกาบซ้อน ๆ ขึ้นไปงอนเหมือนกัน ถ้าพวกดุ ๆ มักจะใช้เปนกาบคล้าย ๆ หงอนนกกระตั้ว แต่คันทมากับภีมเสนะทำหน้าเปนยักษ์แต่ไม่ใช่ยักษ์อย่างเรา คือหน้ายู่ยี่หน่อยหนึ่งแลมีเขี้ยว ฤๅษีหน้ายู่ยี่แต่ไม่ดุ ท้ายผมคล้ายชฎาฤๅษี แต่ดอกลำโพงข้างบนไปอยู่ที่ท้ายทอยงอนกลับขึ้นมา ผู้ชายแต่งนุ่งกางเกงขาคับเพียงเข่าเหมือนกางเกงขี่ม้า ถ้าหน้าขาวใช้ถุงตีนขาว เสื้อยืดยาว ทักแกว่าอย่างใหม่แกไม่ยอม พวกหน้าสีใช้หุ้มแข้งเหมือนลิงสีเหมือนหน้าแต่ใส่เสื้อยืดเหมือนกัน มีผ้าโสร่งห้อยข้างหลัง หยักรั้งมากบ้างน้อยบ้างตามดุไม่ดุ มีเจียรบาดเหมือนเจียรบาดเราคาดเข็มขัดทองเหลืองเช่นซื้อที่ร้านเจ๊ก มีแพรแถบสีต่าง ๆ พาดที่เอวแต่ไม่คาด ใช้ข้างขวาพาดกับกฤช ซึ่งเหน็บอยู่หลังข้างซ้ายเหน็บกับเข็มขัด ผ้านี้ใช้ในกระบวรรำมาก ที่คอมีกรองคอแลสายสร้อยอะไรรุง ๆ รัง ๆ ใส่ นางนุ่งโสร่งใส่เสื้อเพียงอก เปิดไหล่เปิดแขนเหมือนสเต มีผ้าห่มผืนเล็ก ๆ ห่มโอบบ่าซ้ายผืนหนึ่ง ทำนองที่เล่นนั้นเปนเล่นโขนแท้ คือมีดาหลังคน ๑ พากย์เปนคำกาวี (คือกาพย์) ใช้ภาษาสังสกฤตเลือน ๆ ตัวละคอนฤๅคนดูไม่เข้าใจ แต่มีเจรจาเปนภาษาซุนดาสำหรับให้เข้าใจ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ตรงหน้า ถือไม้ค้อนเล็ก ๆ ข้างละอันสำหรับเปนสัญญาสิ้นบทฤๅพิณพาทย์ เคาะโปกเดียวสองโปกบ้าง หลาย ๆ โปกก็มี แต่ท่าทางที่ทำนั้น เดิรแลหยุดแต่ตัว ใช้มือเปนท่าต่าง ๆ ไม่มีรำเลย แต่ถ้าเจรจาแล้วใช้มือขวามือเดียวชี้เหมือนหนังแขก มือซ้ายเกาะเอวแน่น พิณพาทย์ใช้กัมลัน ตัวสำคัญที่เปนนายโรงแลนางใช้ผู้หญิง ถึงว่าจะเปนพระก็มีนม แต่เห็นจะไม่ใช่จริง ทีจะเปนคนอย่างรัก ๆ ของแก ใส่ตุ้มหูเพ็ชร์แหวนเพ็ชร์ แต่เวลารบกันอิล่อยป้อยแอเต็มที ไปแขงแรงอยู่แต่ยักษ์ ถ้าออกโรงก็มีหลบฉากแลก้าวยาว ๆ เต็ม ๆ อ้าขา ดูไม่ได้ออกสนุกสักนิดเดียว ตลกก็สังเกตไม่ได้ว่าเปนตลกที่ตรงไหนดูมันออกมาเฉย ๆ แต่อย่างไร ๆ คงดีกว่าฝรั่งดูสักหน่อยหนึ่ง แต่พวกแขกนั้นหัวร่อยิงฟันกันแห้ง มีเลี้ยงขนมแลแชมเปนน้ำชา เอากำไลไปรางวัลให้รเด่นอายูอันหนึ่งอยู่ข้างจะปลื้มขึ้นมาก ราชามาตย์๔๔กลับไป ภายหลังเห็นนั่งอยู่ในกองบ่าวประมาณสัก ๓๐ ถือกำไลส่งกันไปมาเปนเวียนเทียน กลับมาเวลายามหนึ่ง วันนี้มิสซิศวันดาไวด์ เมียคอเวอนเนอเยเนราลฝากดอกกุหลาบเหลืองแลลูกสตรอเบอรีมาให้แม่เล็ก ได้เลี้ยงพวกที่ไม่ได้ไปจิปานะ
-
๔๔. จมื่นราชามาตย์ (เชียร บุนนาค) เดี๋ยวนี้เปนพระยามนตรีสุริยวงศ์ ↩