๔๐

(ตอนที่ ๗ เสด็จประทับเมืองบันดอง แลสุขภูมิ)

บันดอง

วันที่ ๑๗ มิถุนายน

เมื่อคืนนี้เขียนไดอรีแก้ที่เขียนผิดตัวจนเลอะต้องลบเขียนใหม่ กว่าจะเสร็จสิ้นธุระได้จน ๓ ยาม ตื่นแต่ย่ำรุ่งขอเข้าต้มกินไม่ได้ จนโมงนานแล้วต้องไปกินข้างนอก พอกินได้ ๒-๓ คำโมงครึ่งต้องไปสเตชัน แอสสิสตันเรสิเดนต์กับตระลาการ มิศเตอรมิตเชลอินิศมิศเตอรเยมส์ กับพวกที่จะอยู่การุตไปส่ง รถออกหนึ่งโมง ๓๕ เปนรถตามธรรมเนียมพักที่จิบาตุ ๑๕ มินิต เปลี่ยนเปนเอกสเปรศเตรน แล้วหยุดที่นาเครกแลจิตจาลังการ์แห่งละ ๕ มินิต ถึงสเตชันบันดอง ๔ โมงครึ่ง เรสิเดนต์ปริยังคะ แอสสิสตันเรสิเดนต์บันดอง คอนโทรเลอที่ ๒ สิเกรตารีแอสสิสตันคอนโทรเลอรเด่นตำมหงง กับใครอิก ๒ คนไปรับ หลานสาวเรสิเดนต์ให้ดอกไม้แม่เล็ก ขึ้นรถที่สเตชันมีพวกเวทนาแลเทศาแต่งตัวตามยศขี่ม้าถือธงวิลันดานำเปนคู่ ๆ ประมาณสัก ๑๐ คู่แลดูไกล ๆ เหมือนทหารแลนเซีย มีพวกทหารเสื้อน้ำเงินเรียกว่าประยุเหร็จเปนคนชาวเมืองฝึกหัดแต่พอยิงปืนได้ เปนพนักงารสำหรับคุมเงินของคอเวอนเมนต์ไปมาในหัวเมือง แลรักษาคุก มีทุก ๆ เมือง ๆ ละ ๓๐-๔๐ เช่นการุตก็มี ที่บันดองนี้มี ๗๐ คน มีแตรเชลยศักดิ์วงหนึ่งอยู่ใน ๔-๕ คนรับที่รถ มาตามถนนกำพงจินะเปนต้น ดูถนนใหญ่โตร้านตลาดครึกครื้นมาก ว่ามีเจ๊ก ๒๐๐๐ คน พลเมือง ๔๐๐๐๐๐ มีฝรั่งสัก ๕๐๐-๖๐๐ ที่บันดองนี้แต่ก่อนเปนแต่ตำบลเล็ก เรสิเดนต์ตั้งอยู่ที่จันยอ ต่อเมื่อมีรถไฟแล้วจึงได้ย้ายมา เปนเมืองที่เจริญเร็วแห่งหนึ่ง แต่ยังมีท่าทางจะโตได้อิกมาก เพราะเปนเมืองตั้งอยู่ในท้องทุ่งกว้างใหญ่ยิ่งกว่าที่จันยอ เย่าเรือนที่เปนตึกใหญ่ ๆ มีมาก มีวัดโบสถ์ที่ก่อสร้างใหญ่ ๆ แต่ดูเปนของใหม่โดยมาก ไปอยู่ที่โฮเต็ลโฮแมน ท่วงทีคล้ายกับเรือนที่โฮเต็ลอินเดีย หลังกลางมีห้องอยู่ถึง ๗ ห้อง ๆ รับแขกใหญ่ ห้องกินเข้านั่งได้กว่า ๓๐ เรือนแถว ๒ ข้างหลายสิบห้อง แต่มีคนอยู่มาก การที่ไปไล่ไม่ใช่ง่าย เพราะฉนั้นเจ้าของจึงได้คิดราคาแรง วันแรกไปอยู่เอาถึง ๑๕๐๐ กิลเดอ เพราะกะว่าจะอยู่วันเดียว ครั้นไปเห็นบ้านเมืองแลที่ทางใหญ่โตสบายขอเลื่อนวันออกไปอีก วันที่ ๒ เอา ๑๐๐๐ วันที่ ๓ หรือจะอยู่ต่อไปอีกจะเอาวันละ ๘๐๐ คิดค่ารถต่างหากด้วย วันแรกจะออกอยู่ข้างพื้นว่ามันกวดเอาแรงนัก ไปต่อตามกันเท่าใดก็ไม่ยอมลด แต่ครั้นเมื่อกินเข้าแล้ว ดูเขาหาอาหารให้กินดีแลเปนธุระทั่วไป จะต้องการอันใดได้ทั้งสิ้นก็เปนอันทุเลาเบาไป ตั้งแต่มาเมืองชวาไม่มีอาหารที่จะหาดีเหมือนที่นี่ กับเข้าแขกเปนดีมาก ที่อยู่ก็สบายดีมีห้องถึง ๗ ห้องแต่เตียงนอนสูงเต็มทีจนต้องมีลูกหีบสำหรับขึ้นลง

กินเข้า ๕ โมงเช้า แล้วไปที่นอมัลสกูลมีนักเรียน ๖๐ คน สอนภาษาอังกฤษฝรั่งเศสแลเยอรมัน เปนธรรมเนียมเขาต้องให้เราดูภาษาอังกฤษ ให้นักเรียนอ่านให้ฟังแต่ไม่มีชัดสักคนเดียว โรงเรียนนี้สำหรับซ้อมครูอย่างเดียว อีกโรงหนึ่งเปนโรงเรียนพวกชวา กับซุนดาปนกัน เรียน ๓ ภาษา คือ ชวา มลายู ซุนดานี แลหัดเขียนภาษาเหล่านั้นด้วยตัวโรมัน นักเรียนเหล่านี้เก็บเอาพวกเทือกเถาริเยนต์ ต่าง ๆ แลพวกเวทนามาฝึก เซอติฟิเกตที่ได้รับเปนที่แนะนำให้ได้ราชการ แต่ไม่ได้สอนภาษาวิลันดา กลับมาที่โฮเต็ลบ่ายโมงหนึ่ง หาวนอนเต็มทีหลับไปได้หน่อยหนึ่ง

เวลาเย็นไปเที่ยวขี่รถเขาพาไปดูที่สนามแข่งม้า เปนสนามกว้างยาวแต่อยู่ตรงลมพัดมาหนาวเต็มที ที่ดูของพวกฝรั่งทำเปนศาลาโถงหลังหนึ่งมุงกระเบื้องยกพื้นสูง แต่ที่ดูของราษฎรปลูกเปนหลังคาจากเรียงรายกันไปมาก พื้นเห็นจะเก็บไว้เสียไม่มี เขาวิ่งม้าให้ดูทั้งม้าออศเตรเลียแลม้าแซนดัลวูด มีคนมาดูสัก ๓๐๐๐ เศษ กลับมาเลยไปบ้านริเยนต์ ๆ คนนี้ไม่ใช่เปนลูกหลานคนเก่า ลูกหลานริเยนต์คนเก่าว่าไม่มีใครดี มักเปนคนพิการหรือไม่เอาการ เจ้าคนนี้เปนพวกสุมดังพึ่งจะเปนได้สัก ๓ ปี เปนแต่ตำมหงง ดูท่าทางจะคล่องแคล่วมากอยู่ ที่บ้านริเยนต์มีหุ่นที่เรียกวายังกวาเล็ก แต่ไม่เปนอันที่จะดูแลอะไรได้ ให้เข้าไปนั่งที่กั้นห้องอย่างเดอบาร้อนเหลือกำลัง ริเยนต์รำตันดักริเยนต์มนุนยาหยาเปนผู้ให้เหล้า ดูท่าทางที่รำไม่สู้อ่อนโยนดูประเดี๋ยวเดียวก็แล้ว แต่กระบวรที่นำผ้าไปมีระย้าโคมกิ่ง ๒ อัน รำคนเดียวเท่านั้น แล้วเล่นวายังวองต่อไป ละคอนของตัวเองไม่มี รู้ว่าที่การุตเขามีให้ดูแต่ไม่สู้ดี จึงไปหาละคอนของรเด่นอธิปติมนุนยาหยามาเล่น เจ้าคนนี้เปนคนเรียบร้อยดี อาการเหมือนริเยนต์จันยอ แต่ท่วงทีเหี่ยวไปไม่มีภาคภูม ลูกชายตุนาหงันกันกับหลานสาวริเยนต์จันยอ เพราะลูกแกตายเหลือแต่หลานคนเดียว เดี๋ยวนี้เปนปาเตะมนุนยาหยา ที่เล่นละคอนอยู่หลังนอกเปนห้องขวาง แต่ที่นั่งดูอยู่หุ้มกลองหลังยาวดูก็ไม่ใคร่จะเห็น แล้วยังซ้ำเจ้าพวกกรมการเองเดิรไปมาบ้างดูบ้างคุยกันบ้างบังด้วย ตกลงเปนทอดธุระจนมันออกรู้ ๆ กันขึ้นมาจึงหลบหลีก ละคอนวันนี้เล่นไม่มีน่ากาก แต่งตัวเครื่องดีกว่าที่การุต แต่พระเปนผู้ชายนางเปนผู้หญิง ใช้ทาขมิ้นผัดหน้า ทาแก้มแดงเขียนคิ้วเขียนหนวด เครื่องประดับที่เพิ่มใหม่เปนของชอบใจของพวกนี้ คือสายนาฬิกายาวสำหรับผู้หญิงมีหูรูดเพ็ชร์ ใส่แทบจะทุกคนตามแต่จะหาได้ เล่นเรื่องปันหยีแต่จับรอยยังไม่ใคร่ติด สนทนากับรเด่นอธิปติมนุนยาหยาได้ความพอเปนเค้า ว่าเล่นเรื่องมหาภารตะ ชุดเดียวกับที่เล่นที่การุต ไม่ใคร่จะได้ดูไปถามกันเสียด้วยเรื่องปันหยี เขาว่าเมืองกุเรปันนั้น คือ กุราวัน อยู่ในแขวงเมดวน เมืองดาหา อยู่ในแขวงกดีรี เมืองกาหลังคือซิงกาลา เมืองสิงหัดหส่าหรี คือสิงคัดสรี ฟังเล่าเรื่องราวดูเปนอิเหนาใหญ่มาก แต่เวลาไม่พอนัดพูดกันพรุ่งนี้ กลับมาทุ่มครึ่ง กระบวรที่รับวันนี้มีแปลกมาใหม่ คือพวกเวทนาแต่งตัวขึ้นม้านำสัก ๒๐ คนตามเคย แต่ถือธงวิลันดา แรกเห็นนึกว่าทหาร ม้าต่อถามจึงได้ความ เวลาค่ำกินเข้าแล้วลอบขี่รถไปเที่ยวตามถนน เห็นคนขายของกินแวะดูมีเจ๊ก ๒-๓ คน มันเห็นพระยารัษฎาแต่งตัวเปนเจ๊ก๔๖ เข้ามาถามว่าจะกินบ๊ะหมี่หรือไม่ นึกอยากจะรู้ว่าจะเปนอย่างไรกันสั่งให้รับว่าจะกิน มันก็พาไปที่โรงแห่งหนึ่ง นำเข้าไปในโรงแล้วปิดประตูถามถึงบ๊ะหมี่ก็ว่าประเดี๋ยวจะได้ แล้วกระซิบถามพระยารัษฎาว่าจะสูบฝิ่นหรือไม่ เรื่องฝิ่นนี้คนอื่นเขาเล่าให้ฟังว่าในแขวงปริยังคะแขวงเดียวห้ามไม่ให้ใครนำฝิ่นเข้าไปขาย เพราะราษฎรเปนชาวป่ายังไม่มีใครสูบฝิ่น แต่เพราะพวกเจ๊กมาอยู่อดไม่ได้ จึงเข้ากันเปนพวกเรี่ยรายกันคนละกิลเดอหนึ่งบ้างสองกิลเดอบ้าง รวมไว้เปนกลาง ถ้าใครลักฝิ่นเข้ามาหรือสูบฝิ่นเขาจับได้ เปนไม่มีซัดกันเลยรับเสียคนเดียว เขาเอาไปจำคุก ๓ เดือน พวกกงษีก็เสียเงินให้เปนค่าจ้าง เพราะเช่นนั้นการที่จะห้ามฝิ่นไม่หยุดกันได้ เพราะกว่าจะจับได้ก็นาน ๆ จึงพบหนหนึ่ง

  1. ๔๖. เวลานั้นพระยารัษฎานุประดิษฐ (คอซิมบี๊ ณระนอง) ยังไม่ได้ตัดผมเปีย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ