๕๓

(ตอนที่ ๑๐ เสด็จประทับที่บุโรพุทโธและเมืองมาเกลัง)

บุโรพุทโธ

วันที่ ๓๐ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๕

การที่จะไปบุโรพุทโธในมณฑลกาดูต้องไปด้วยรถม้า แอสสิสแตนเรสิเดนต์เขาคิดจะไปเอารถสุลต่านมาแล้ว แต่เจ้าของโฮเต็ลรับอาสาจะหาเอง ไปได้รถสี่ล้ออะไรมาที่นั่งเทคว่ำลงไปข้างน่า นั่งช่างไม่สบายเสียจริง ๆ ม้าที่เทียมก็ผอมเต็มทน ในใจนึก ๆ ว่าจะไปไม่ได้เสียร่ำไป เฆี่ยนกันผลุง ๆ ดันจนเหงื่อโซมมันก็ทนไปจนตลอดได้ ออกจากโฮเต็ลอีก ๕ มินิตจะบ่าย ๓ โมง ไปตามทางใหญ่ซึ่งเข้ากราตนแต่ตรงไปข้างขวามือ ถึงเสาก่อทาเหลืองซึ่งหมายเขตรในเมืองยกยาเปนสี่แยก แล้วเลี้ยวไปข้างซ้ายมือ ถนนเลวลงไปกว่าท่อนที่ไปเข้าในกราตน จนถึงที่ตึกร้างแห่งหนึ่งใหญ่โตมากแต่ไม่มีหลังคา ได้ความว่าเดิมเปนตึกเรสิเดนต์คนหนึ่ง ด้วยเรสิเดนต์คนนั้นเปนคนมั่งมีลงทุนทำตึกของตัวเอง ครั้นเรสิเดนต์ผู้นั้นออกจากตำแหน่งแล้วก็รับเซ้งกันต่อ ๆ มา จนถึงเรสิเดนต์ผู้หนึ่งไม่ชอบใจจะอยู่ตึกนั้นเอาไปเวนขายให้สุลต่าน ๆ ก็ไม่อยากซื้อแต่ขัดไม่ได้ จึงต้องจำรับซื้อไว้เปนเงิน ๑๐๐๐ กิลเดอ จะทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะออกไปอยู่นอกเขตรเมืองซึ่งสุลต่านเองจะออกไปก็ไม่ได้ เพราะหลักเหลืองนั้นเปนเขตรของสุลต่านจะไปมาได้เพียงเท่านั้น ไม่ต้องขออนุญาต เปนแต่รักษาองค์ทำรายงารยื่นเรสิเดนต์ ถ้าจะออกไปนอกนั้นต้องลาเรสิเดนต์เสียก่อนจึงจะไปได้ เมื่อซื้อไว้แล้วไม่ได้ใช้อันใดป่วยการเงิน จึงได้คิดเอาสินค้าไปไว้ มาภายหลังการค้าขายก็ต้องห้าม สินค้าอะไรก็ไม่มีจะไว้ จะให้ใครไปอยู่ก็โตเกินประมาณ แลไกลไม่เปนประโยชน์อันใด จะให้ฝรั่งเช่าก็ไม่มีใครเช่า เพราะห่างจากบ้านฝรั่งไปอยู่ในหว่างกระท่อมเล็กระท่อมน้อย ตกลงเปนทอดธุระทิ้งให้ร้างเหมือนตึกวิชาเยนทร์ แอสสิสแตนเรสิเดนต์คนนี้ เราได้กล่าวแล้วว่าเปนคนอยู่ในยุติธรรมบ่นรำคาญมาก ว่าเปนมอนุแมนของการที่ไม่เปนยุติธรรมของวิลันดา เมื่อถึงที่นั้นเลี้ยวไปข้างขวามืออีกตกท้องทุ่ง ถนนผ่านไปในกลางทุ่ง ถนนก็กว้างใหญ่แต่ดูช่างร่องแร่งเสียจริง ๆ ทางที่ทำไว้สำหรับให้รถไปกลางเกวียนเดิรสองข้าง ทางเกวียนก็เปนร่องดีกว่าในป่าสักนิดหนึ่ง ทางรถก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไปกับดินเฉย ๆ ม้าลากไม่ใคร่จะไหว จะแลเห็นหินสักก้อนหนึ่งก็ไม่มี ต้นไม้สองข้างทางเหลือแต่กระโปรงเปล่าจะหาเปนสักต้นหนึ่งก็ไม่มี น้ำก็ไม่ได้รด เปนแต่บางแห่งเปิดให้น้ำไหลอาบมาบนถนน บางแห่งที่รดก็จนโชกจนโคลนกระเด็นเปื้อนไปทั้งนั้น คนทั้งปวงบอกเรามาตลอดทางตั้งแต่ถึงชวา ว่าถนนในเมืองโซโลแลเมืองยกยาไม่ดีเลย เพราะเจ้าเมืองทั้งสองไม่เอาธุระ เราถามลองใจแอสสิสแตนเรสิเดนต์ว่า ทำไมถนนจึงเปนเช่นนี้ ได้ยินเขาติเตียนกันนัก แกว่าเปนด้วยสุลต่านเก็บเงินผลประโยชน์จากราษฎรเสียกึ่งหนึ่ง ราษฎรต้องทำมาหากินมากขึ้นไม่ใคร่มีเวลาจะดูแลถนน สุลต่านเองก็ไม่ได้เอาธุระในการถนนเลย ร้อยวันพันปีก็ไม่ออกจากกราตน เราว่าเอาเถิดข้อนั้นเปนความจริง แต่ก็เจ้าห้ามเขาไม่ให้ออกจากเมืองไม่ใช่หรือ แกว่าข้อนั้นก็เปนความจริง แกพูดต่อไปว่า การเรื่องถนนนี้เปนน่าที่ของคอนโทรเลอซึ่งอยู่ในบังคับแกเอง ตัวแกเองไม่ได้มาตรวจหนทางถึง ๔ ปีแล้ว เปนความผิดอยู่ในตัวแกส่วนหนึ่ง แต่มีอีกอย่างหนึ่ง สุลต่านเปนคนขี้ตระหนี่นัก จะไปเอาเงินแต่ละทีแล้วแสนยาก บางทีก็ต้องถึงหักเงินเดือน เพราะเหตุ ๒ อย่างนี้ทำให้ถนนไม่ดี ไปถึงเดนคุงที่พักม้าแรก ทาง ๖ ปาลเท่านั้นถึง ๔๐ มินิต เมื่อเดิรทางในปริยังคะ ๓ มินิต ๔ มินิตต่อปาล แต่ต้องหักค่าที่เปนรถไปรษณีย์ เขาเดิรเร็วเสียบ้าง แต่กระนั้นก็ยังช้าพอใช้ ที่พักรถมีประสังคระหันปลูกคร่อมถนนเปนโรงหลังคามุงกระเบื้อง ตั้งเก้าอี้พักข้างทาง มีแชมเปน น้ำชา บุหรี่มาเลี้ยง เปนของภูปติแลปันหยีตำบลนั้นมาเลี้ยง รเด่นอธิปติก็ตามไปด้วย เอื้อเฟื้อเปนกำลังเอาน้ำโอดิโคลนมาเที่ยวแจก ใส่ขวดบีบฉีด ๆ แลมายืนสนทนาอยู่ด้วยจนตลอดเวลาที่พัก วันนี้แต่งตัวอย่างไรไปรเวตคือนุ่งผ้ากายน์จีบสวมเสื้อขาวชั้นในเหมือนเสื้อกั๊ก แต่ปิดตลอดคอ มีอูมคอต่ำ ๆ สวมเสื้อดำชั้นนอกเหมือนเสื้อกระบอก โพกผ้าอย่างชวา เวลาเดิรทางใส่หมวกไม่มีส้าวมีแต่แก๊บข้างน่า พอถึงที่ถอดหมวกนั้นออกส่งให้บ่าว ใครทายว่าบ่าวนั้นถือหมวกไว้อย่างไร เปนทายไม่ถูกเลยแน่ทีเดียว คือพอส่งให้ก็ยื่นหัวเข้ามารับ นายเอาหมวกสวมหัวบ่าวลงไปแต่กลับเอาแก๊บไปไว้เสียข้างหลัง นั่นแลเปนความเคารพไม่ได้จบหมวกนายแลไม่ได้ใส่ร่วมกับนายด้วย เปนเช่นนี้ทั่วทุกหนทุกแห่ง ออกจากที่พักนี้ไปอีก ๔๕ มินิต ถึงที่พักอีกแห่งหนึ่งต่อแดนกาดูคนละฝั่งน้ำ แต่ที่พักทั้งสองข้างตั้งห่างแม่น้ำ เมื่อถึงที่พักนี้มีเลี้ยงน้ำร้อนน้ำแชมเปนแลบุหรี่อีกพักหนึ่ง ท่านรเด่นอธิปติมาเอื้อเฟื้อเหมือนสเตชั่นก่อนแล้วลากลับ แต่แอสสิสแตนเรสิเดนต์ตามต่อไปอิก เพื่อจะนำให้รู้จักคอนโทรเลอเมืองมุนติรัง เพราะเมืองมาเกลังไม่มีแอสสิสแตนเรสิเดนต์ แม่น้ำนี้มีตพานข้ามยาวตั้งเสาสูงมุงกระเบื้องตลอดตพาน ทำมั่นคงดี เมื่อถึงฝั่งฟากข้างโน้นแล้ว ต้องขับรถไปประมาณเท่ากับจากที่พักรถฟากข้างนี้ จึงถึงประสังคระหันเปนโรงหลังคามุงครอบถนนเหมือนกัน แต่ใช้เสาแลผนังก่ออิฐถือปูนมีห้องที่กำบัง มีคอนโทรเลอแลรเด่นตำมหงงเมเยอจีนมาคอยรับ รเด่นตำมหงงนุ่งผ้าปรังรุสักทำท่าทางเหมือนสุลต่าน เราถามว่าทาไมจึงได้แต่งเหมือนสุลต่าน เขาว่าเพราะอยู่นอกเขตรแดนสุลต่าน แอสสิสแตนเรสิเดนต์ยกยาเคืองนัก ว่าอยู่ต่อกันเพียงชั่วโมงเศษเท่านี้ไม่ควรจะจองหองดูถูกสุลต่านเปล่า ๆ เราก็เห็นด้วยว่ามันก็ไม่เปนอะไร แต่ดูมันค่อนจะอยู่ข้างเย่อหยิ่งไปสักหน่อยหนึ่ง ความข้อนี้ถึงบอกสุลต่านแกอยู่ข้างจะเหวมาก คำนับแล้วคำนับเล่าเปนหลายหน ข้างจีนนั้นแต่งตัวอย่างขุนนางจีน วิลันดาเขาค่อนกันเองว่าแต่งเกินยศสัก ๓ ชั้น ๔ ชั้น

แอสสิสแตนคอนโทรเลอคนนี้รูปร่างหน้าตาดี ถึงว่าหัวอยู่ข้างจะล้านสักหน่อยหนึ่งก็ยังงามมาก อายุประมาณสัก ๓๐ เศษ เมื่อได้สนทนากันเข้าออกชอบใจเสียจริง ๆ เปนคนที่ฉลาดในโวหารโต้ตอบ ถ้าพูดอันใดที่เห็นด้วยก็ยอมรับโดยง่ายไม่มีดื้อดัน ถ้าไม่เห็นด้วยก็อธิบายชี้แจงในข้อที่ตัวไม่เห็นด้วยเพราะเหตุเช่นนั้นเช่นนี้ เปนการปุจฉาวิสัชนาไม่มีก้าวร้าวหยาบคายเลย สังเกตดูโดยคำพูดก็รู้ได้ว่าเปนผู้มีความรู้ได้เล่าเรียน แลชอบใจที่จะรู้การต่าง ๆ ในเรื่องศาสนาแลของโบราณหรือการบ้านเมืองข้างชวามาก ว่าในเชิงพุทธศาสนาแล้วเขาเข้าใจพอใช้ ไม่เล่นทางปฐมสมโพธิ์เหมือนดอกเตอร์โกรนแมนอย่างเดียว เล่นทางพระสูตรมาก เปรียบพุทธศาสนากับศาสนาพระเยซูน่าฟังหลายข้อ ศาสนาพระเยซูก็ดูรู้มากแต่จะถือจริงหรือไม่จริงคเนยาก เพราะคนที่ชอบในทางความรู้เช่นนี้ ไม่ใคร่จะเชื่อในการมหัศจรรย์ต่าง ๆ ไม่เทศนาเช่นมิชชันนารี แต่ไม่กล่าวลบหลู่เช่นผู้ซึ่งออกหน้าว่าไม่ถือ พูดถึงพุทธศาสนาแลคฤศตศาสนาเสียงเสมอ ๆ กัน ไปตามทางพูดกันสนุกตลอดหนทาง ตำบลที่พักพวกนี้เรียกว่าสราม ตกแต่งใบไม้ธงเทียวแขงแรงมาก ไปอีก ๕ ปาล ม้าอ่อนเต็มทีเดิรถึง ๔๐ มินิตจึงถึงเมืองมุนติรัง มีตึกรามโรงร้านมาก กำพงจีนะก็ยาว มีชาวชวาพลเมือง ๒๐๐๐๐ คน บ้านเรือนฝรั่งมีบ้างแต่ไม่สู้มาก ออกจากมุนติรังไปเห็นเขามราปีแลเขามราปาบูอยู่ข้างขวามือ เขามราปีนี้เปนเขาไฟที่มาแต่ดึกดำบรรพ์ ทำอันตรายใหญ่ ๆ หลายครั้ง มีจดหมายเหตุการณ์มาได้พันปีแล้ว เปนเขาซึ่งอิเหนามาหยุดเมื่อจะไปเมืองมันหยา ในเวลานั้นก็เปนเขาไฟอยู่แล้ว มีแม่น้ำย่อม ๆ แม่น้ำหนึ่งเรียกว่าเบรา แปลว่าแม่น้ำตาย มีเรื่องเล่าว่ารตูผู้หนึ่งไปแต่งงารกลับมาแวะขึ้นทำการบูชายัญที่เขามราปี ฝ่ายปันหยีสุริยอมิเสสาก็มาทำการบูชายัญเหมือนกัน (เขามราปีนี้พวกชวานับถือว่าศักดิสิทธิ ยังบูชาติดต่อกันมาจนทุกวันนี้ดังจะได้เล่าต่อไปข้างน่า) รตูกับปันหยีเกิดรบกันขึ้น รตูต้องอาวุธตายเมียฆ่าตัวตาย ตามธรรมเนียมฮินดู เมื่อเผาศพแล้วกวาดกระดูกลงในน้ำจึงได้เรียกแม่น้ำตาย แม้มันช่างโดนกับเรื่องรตูบุศสิหนาแลนางอรสาเสียจริง ๆ แต่จะถามเอาชื่อรตูกับนางไม่ได้ความไม่มีใครจำได้ เขามราปีแลเขามราปาบูนี้อยู่ข้างสูงใหญ่มาก เมฆคลุมยอดอยู่เสมอ ต่อเมื่อใดเมฆเคลื่อนไปจึงได้เห็นควันขึ้นพลุ่ง ๆ สัก ๒ คราว พอตกพลบเมฆบังหมดจนเกือบไม่แลเห็นตัวเขา รูปร่างเขาทั้ง ๒ นี้เปนเขาไฟแท้ คือยอดแหลมเหมือนพระทรายยอดด้วน แต่พื้นล่างมีเอ็นเปนรากเดียวถึงกัน แต่มราปีสูงกว่ามราปาบูหน่อยหนึ่ง ไฟที่ติดอยู่ฉเพาะที่มราปี ลาวาอาบลงมาเกือบครึ่งเขา เปนทางดำโต ๆ มราปาบูก็พลอยถูกลาวาอาบไปหมดเหมือนกัน บรัมบานันแลบุโรพุทโธก็ชำรุดซุดโซมมาก เพราะเขานี้เปนเขาปันแดน ๓ มณฑล คือกาดูยกยากะรตะสุรกะรตะ ข้างซ้ายมือเทือกเขาไม่สูงนัก ตั้งแต่มุนติรังไปจนกระทั่งถึงบุโรพุทโธ เรียกว่าเขามโนแระ ด้านน่าแลเห็นเขาสุมเปงสูงตระหง่านไปเท่าใด ๆ คงเห็นเหมือนกันเท่านี้จนถึงบุโรพุทโธ ข้ามแม่น้ำ ใหญ่ ๒ แห่ง คือแม่น้ำปาเบรันแลแม่น้ำโปรโด มีตพานเหล็กใหญ่ยาวมากเหมือนตพานรถไฟ เมื่อถึงแม่น้ำโปรโดค่ำแล้ว ตั้งแต่พอตกเย็นก็ให้หนาวขึ้น ๆ พอพลบลงถึงเปิดน่าอกเสื้อไม่ได้ ออกเสียใจว่าไม่ได้มีโอเวอร์โค๊ดไป ตกลงเปนต้องปิดม่านครึมครำทั้งสี่ด้าน คอยแต่แหวกมอง พอข้ามตพานไปก็ขึ้นเขาชันขึ้น ๆ พอถึงบ้านบุโรพุทโธมีเรือกสวนต่อ ๆ กัน แลผู้คนจอแจเหมือนท้ายพิกุลที่พระบาทหรือลานพระฉาย คราวนี้ต้องขึ้นเขาที่ตั้งบุโรพุทโธชันมาก รถที่มาข้างหลังเกิดความกันกลุ้มไป รถคันหนึ่งขับลงไปเอาไว้ไม่อยู่อย่างไรไปโดนรถที่ขึ้นมาหัก นายสุจินดากระเด็นลอยไปอยู่ข้างทางทั้งๆ ที่บรรทุกของมารอบตัว เดชะบุญคอไม่หัก ที่ประสังคระหันทำอยู่บนเนินเขาอันเดียวกันกับบุโรพุทโธ ปราบลาดมาเปนลานนั่งดูได้ที่น่าเรือนเปนเรือนชั้นเดียวฝาแตะแต่ทาขาว ข้างในบุผ้าขาวมีปรำแลตกแต่งห้องงดงามเหมือนจะอยู่สัก ๔ คืน ๕ คืน ปลูกโรงยาวแถวหนึ่งสำหรับเจ้านายแลข้าราชการอาศรัย ตามน่าประสังคระหันแลโรงยาวเหล่านั้นตั้งรูปศิลาต่าง ๆ ดีน้อยแต่ชำรุดมา เรสิเดนต์กาดูมาคอยรับได้สนทนากัน แต่แกอยู่ข้างระวังตัวในเรื่องภาษาจัดเต็มที ฟังภาษาอังกฤษไม่ใคร่เข้าใจอยู่ข้างจะหนักอกหนักใจมาก ถ้าไม่จวนตัวก็ไม่พูดเลยคอยหาล่ามอยู่เสมอ ๆ ดูท่วงทีจะเปนคนมีสติปัญญาอยู่ แต่พูดกันไม่ได้เองจึงไม่ใคร่ได้รู้ใจกันมาก พอเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสำหรับหนาวแล้ว เหลือที่จะงดเว้นอยู่ได้ หมายว่าจะไปดูแต่ล่าง ๆ เพราะมืดแล้วเดิรไปดูไปยิ่งเพลินหาไฟได้ดวงหนึ่งส่องโน่นส่องนี่ เลยขึ้นไปจนถึงยอดยามหนึ่งถึงได้กลับลงมากินเข้า เวลาแรกเห็นออกเสียใจว่าเล็กกว่าที่นึกว่าจะโต ต่อขึ้นไปถึงบนโน้นจึงรู้สึกว่าไม่ใช่เล็กเลย เท่ากับขึ้นยอดพระปรางค์วัดอรุณทีเดียว กลับลงมาออกเพลีย ชวนให้เรสิเดนต์อยู่กินเข้าด้วยก็ไม่ยอมอยู่ เพราะบอกว่าพรุ่งนี้อยากจะไปมาเกลัง เพราะเปนเมืองที่สบายแลมีโรงพยาบาลอย่างดีโรงทหารอย่างดี แกหนักจะขอลาไปจัดการรับ แต่ออกไปแล้วก็ยังไปปรึกษาการงารกับคอนโทรเลออยู่จน ๔ ทุ่มจึงไป ถึงมาเกลัง ๒ ยาม แปลว่าแกอดเข้าด้วยมาคอยอยู่บ่าย ๓ โมง เมื่ออยู่ที่ยกโยเรสิเดนต์บอกว่าตัวลาออกยังไม่รู้ว่าใครจะมาแทน ครั้นมาวันนี้เรสิเดนต์กาดูบอกว่าตัวได้เลื่อนที่ไปเปนเรสิเดนต์ยกยา การที่เรสิเดนต์ยกยาลาออกนั้น ใช่ว่าจะกลับไปบ้าน ตามที่แกบอกเองว่าคนราชการวิลันดาในอินเดียนี้น้อยตัวที่จะได้อยู่นานกว่า ๓๐ ปี ตัวเองรับราชการมา ๓๔ ปีแล้ว เปนสหายกับคอเวอนเนอเยเนราลร่วมโรงเรียนกัน แต่คอเวอนเนอเยเนราลคนนี้เปนคนที่เด็ดขาดนัก แต่ถอดเรสิเดนต์มากว่า ๓๐ คนแล้ว เลือกเอาคนหนุ่มที่ทำการว่องไวมีความรู้เข้าทำการแทน ถ้าเปนคนที่เคยดีมาก็บอกให้ลาออก แกกลัวจะต้องบอกให้ลาออก จึงได้ลาอย่างตกบันไดพลอยโจน แต่จะกลับไปบ้านก็ยังไม่ได้ ด้วยลูกพึ่งได้ขวบเดียว จะคิดไปอยู่บัตเตเวียเสียสัก ๓ ปีจึงจะกลับ เรสิเดนต์เปน ๒ ชั้น ๆ ที่ ๑ ชั้นที่ ๒ เงินเดือนผิดกัน เรสิเดนต์ชั้นที่ ๑ คือบัตเตเวีย สุระบายา สมารัง ยกยาแลโซโล นอกนั้นเปนชั้นที่ ๒ เพราะฉนั้นเรสิเดนต์กาดูจึงได้เลื่อนไปเปนเรสิเดนต์ยกยา

วันนี้จะยกเรื่องบุโรพุทโธไว้ จะว่าด้วยเรื่องอื่นๆ ซึ่งดูประชุมเรื่องกันเข้าหลายอย่าง คือเรื่องเขามราปีแลเรื่องทเลทิศใต้ จำจะต้องกล่าวถึงพงศาวดารตั้งแต่สี่กษัตริย์มา ซึ่งยังมิได้กล่าวไว้พอให้รู้เรื่องตลอด ด้วยในตอนนี้เปนตอนที่พวกเรามีความพอใจที่จะรู้กันอยู่ ได้กล่าวไว้แต่ก่อนแล้วว่า เรื่องอิเหนาเปนเรื่องเก่าเหมือนพงศาวดารเหนือ แลมีผู้เอาไปแต่งเล่นละคอนมาก เนื้อความต่าง ๆ กันไปจะเล่าให้เปนเรื่องเดียวติดกันไปเหมือนเล่านิทานก็จะได้ฟังแต่เสียงเดียว จึงต้องจำเทียบเคียงบ้าง คงรัวกว่าชั้นมายาพหิสแลไม่เลอียดได้เหมือนชั้นมตารำ เรื่องที่จะกล่าวเดี๋ยวนี้คือเขามราปีแห่ง ๑ ทเลทิศใต้แห่ง ๑ เขาโบรโมแห่ง ๑ แลเขาอะไรอีกเขาหนึ่งจำไม่ได้ ว่าเปนเขาไม่สูงใหญ่ ทั้งสุลต่านแลสุสุนันต้องจัดของไปเปนบรรณาการทั้ง ๔ แห่ง แต่ที่ทเลทิศใต้ส่งสิ่งของมากกว่าที่อื่น คือมีเครื่องนุ่งห่มแลอาหาร ถ้าเอาไปแล้วต้องทิ้งในทเลมีคนคอยค้ำสิ่งของนั้นไม่ให้กลับขึ้นบนฝั่ง แปลว่าส่งลงไปถวายนางพระยาทเลใต้ นับถือกันว่าเปนนับเนื่องในวงศเดียวกันแลมีอานุภาพใหญ่โตมาก แลนัยหนึ่งว่าเปนเมียของสุลต่านฮมังกุภูวโนที่ ๒ ไปมาหาสู่กันที่ฝั่งทเล เพราะสุลต่านที่ ๒ คนนั้นชอบไปที่ฝั่งทเลข้างทิศใต้ ทางจากเมืองยกยา ๓ ชั่วโมงเท่านั้น ฝั่งทเลนั้นไม่มีอ่าวมีท่าเปนคลิฟสูง ๆ ตลอดไปทั้งนั้น ที่ห่างจากฝั่งทเลเข้ามาก็เปนเขา ไม่เปนที่ทำมาหากินอันใด จึงไม่ใคร่มีผู้คนอยู่ ไปสร้างเรือนไว้ที่นั้นหลังหนึ่ง ราษฎรพากันเชื่อว่าออกไปอยู่ด้วยนางทเลใต้ จะเปนด้วยสุลต่านนั้นแกล้งกล่าวให้เปนที่นิยม หรือจะเปนด้วยราษฎรนิยมกันไปเอง เชื่อถือกันว่าเปนความจริง วังน้ำที่สร้างในเมืองยกยาก็ว่าสร้างขึ้นสำหรับนางทเลใต้ขึ้นมาอยู่ด้วยสุลต่าน ด้วยอาศรัยเหตุสุลต่านเชื่อเอง หรือโดยคนนิยมมากขึ้น สุลต่านนั้นได้เกิดวิวาทขึ้นกับวิลันดา จนถึงรบพุ่งกัน วิลันดาถอดสุลต่านนั้นออก ตั้งลูกชายมังกุภูวนาที่ ๓ ขึ้นเปนสุลต่านแทน ภายหลังอังกฤษได้เมืองชวา เห็นว่าคนนิยมฮมังกุภูวโนที่ ๒ มากยกขึ้นให้เปนเจ้าอีก เพราะมังกุภูวนาที่ ๓ ยังเด็กอยู่ ก็เกิดวิวาทกันหรือจะเรียกว่าเปนขบถ ตกมาถึงชั้นหลังเมื่อเมืองยกยาเกิดขึ้น เพราะตัดเอาเขตรแดนสุรการตะ สุสุนันมีความน้อยใจหนีออกจากเมืองโซโลไปนอนอยู่ที่ฝั่งทเลทิศใต้ เพื่อจะขอฝันให้นางทเลทิศใต้ขึ้นมาบอกการที่ควรจะทำอย่างไร แต่เรสิเดนต์ไหวขึ้นมาตามไปจับได้ตัวเนียรเทศให้ไปอยู่เสียเคบออฟคุตโฮป เพราะเหตุเช่นนี้จึงไม่ยอมให้สุลต่านสุสุนันไปข้างไหนนอกจากที่ลาก่อน แต่ที่ทเลทิศใต้นั้นห้ามขาดเจ้านายจะไปไม่ได้ เพราะเกศาสุลต่านที่ทอนออกจากมวย เพราะเขาไว้มวยกันเล็ก ๆ หรือพระนักขาที่ตัดออกก็เก็บไว้ไปฝังที่ริมทเลทิศใต้ปีละครั้ง ถ้าสุลต่านหรือสุสุนันตายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ไปทิ้งทเลทิศใต้ทั้งนั้น แต่มีเขามราปี เขาโบรโม แลที่ตำบลใดอิกแห่ง ๑ มีแต่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มไปลาดปูบูชาทุกปี นางทเลทิศใต้คนนี้นับว่าเปนหลานของอิเหนา มีเรื่องราวอยู่ในพงศาวดารตอนวงศสี่กษัตริย์ คือเมื่อเทวกสุมา หรือเทวกสุโมแบ่งเขตรแดนให้ลูก ๔ คน ลูกคนใหญ่ชื่ออามิลูฮูร์ ให้ครองเมืองจิงกาลาหรือเมืองกาหลัง ลูกที่ ๒ ชื่ออามิอาหยา ให้เมืองจิเกลังหรือสิงคคิริ ลูกที่ ๓ ชื่อเลมบูมงารังให้เมืองนครวัน หรือโบรเวรโน ลูกที่ ๔ ชื่อเลมบูอามิลุตให้เมืองดาหา หรือกดิรี เพราะฉนั้นเมื่อตายแล้วจึงปันออกเปนสี่พระราชอาณาจักร์ ในแผ่นเลมบูอามิลูฮูร์ เปนการปรากฎโด่งดังในเรื่องที่ได้ค้าขายกับต่างประเทศ แต่ที่เปนการสำคัญนั้นคือในการที่ลูกชายผู้ชื่อว่าปันหยีอิเหนากรตปติได้ไปเที่ยวรบรอญเมืองต่าง ๆ เปนอันมาก ในที่นี้เรียกอิเหนาปรากฎชัดเจน แต่คำที่เรียกว่ารเด่นมนตรีไม่ได้พบแห่งใดเลย ส่วนชื่อนอกจากนั้นบางแห่งเรียกว่าปันหยีสุริยอามิเสสา บางแห่งเรียกปันหยีกรตปติ บางแห่งเรียกปันหยีอามิเสสากรตปติ บางแห่งเรียกว่าปันหยีสุริยอามิเสสากรตปติ ถ้าจะเอามาลองย่นดูกับชื่อที่เราเรียกมิสาระน่าจะเปนอามิเสสาได้ สุกาหราน่าจะเปนสุรการตะ แต่ในหนังสือทั้งปวงเปนอันมากย่อมกล่าวว่า อิเหนาอยู่เมืองจิงกาละหรือสิงคาละ ไม่ได้อยู่ในนครวันหรือกุราวัน ลูกคนใหญ่ของเทวกสุโม ไม่ได้กล่าวว่าอยู่เมืองนครวันเลย คงจะอยู่เมืองสิงคาละทั้งสิ้น เมืองที่ออกชื่อว่ากุริปันเมืองหนึ่งก็เปนอยู่ในเขตรจิงโกโลหรือจิงกาละ ถ้ามีผู้ซึ่งตั้งใจจะสืบจริง ๆ ไม่มีธุระที่จะต้องไปมาเหมือนเรา คงจะสืบเอาจริงได้ แลในที่นี้ได้กล่าวว่าปันหยีเปนลูกของเจ้าหญิงเมืองอินเดีย ทีก็จะเปนที่สุลต่านคัดมาให้ว่าเปนลูกคนไทย มีเรื่องราวเล่าต่อไปว่า เมื่อรุ่นหนุ่มขึ้นได้เมียคนหนึ่งชื่ออังเกรเนหรือเสการลายี เปนลูกของเตปติรักใคร่ลุ่มหลงมาก ข้างพระบิดาอยากจะให้แต่งงารกับลูกสาวเจ้ากรุงกดิรี ซึ่งเปนลูกพี่ลูกน้อง จึงได้เอาผู้หญิงที่รักนั้นไปฆ่าเสีย ปันหยีจึงได้ลงเรือหรือแพไปกับศพเมียที่ตาย เกิดพยุใหญ่ขึ้นบรรดาเรือที่ไปสูญหายไปหมด ตัวปันหยีเองก็เข้าใจกันว่าจมน้ำตาย แต่ไปถึงเกาะแห่งหนึ่งชื่อว่าตนาบังไม่มีอันตรายก็เผาศพนางอังเกรเนในที่นั้น แล้วพาไพร่พลไปที่บาลี เปลี่ยนชื่อใหม่ว่ากราหนายาหยังสาหรี เจ้าเมืองบาลีชื่ออันดราปูปรนา ต้อนรับอุดหนุนให้ลูกสาวซึ่งตามธรรมเนียมว่าบุตรีเมืองบาลีเปนเมีย แล้วข้ามจากเกาะบาลีกลับมาขึ้นที่บาลัมเบงกัน เปนเมืองที่อยู่ข้างฝ่ายตวันออกที่สุดของเกาะชวา คือในปริยังคะ แล้วเดิรจากที่นั้นไปทางทิศตวันตกหมายเมืองกดิรี เพราะมีข่าวเล่าลือว่าลูกสาวนั้นสวยนัก แต่ชื่อหาเปนบุษบาไม่ เปนจันทรกิรานะ เพราะเชื่อกันว่าปันหยีจมน้ำตายเสียแล้ว จึงได้เข้าใจว่าเปนรายาสบรังที่อยู่คนละฝั่งเปนคนมีฤทธิ์มาก เข้าอยู่กับท้าวดาหาลอบลักเปนชู้กับลูกสาว

ในเรื่องที่เล่นละคอนบางเรื่องว่า มีเจ้าเมืองนุสากาญจหนาหรือเกาะทองยกรี้พลมากับเจ้าหญิงเมืองนุสารัตนา ๒ คน เมื่อถึงเมืองจิงกาละแล้วบอกว่าตัวเปนปันหยีที่หาย พ่อก็ต้อนรับแลว่าเจ้าคนนี้เปนลูกพราหมณ์มีวิชาอาคม มีรายาเมืองต่าง ๆ ขึ้นมาก ออกชื่อเปนหลายเมือง มีน้องสาวคนหนึ่งชื่อ เองเกรุนาสวารา มากับพี่เลี้ยงแลเมียของพี่สี่คนแลนางกำนัลเปนอันมาก ในขณะนั้นกราหนายาหยังสาหรีกลับเปนปันหยีตามเดิม พ่อก็ยกไปที่เมืองดาหาพาปันหยีปลอมไปด้วย ปันหยีจริงเห็นปันหยีปลอมเกิดรบกันขึ้น จึงได้ปรากฎว่าผู้ใดเปนปันหยีแท้ อิกฉบับหนึ่งว่าเมื่อปันหยีต้องพยุนั้น นางอังเกรนียังไม่ตาย พลัดไปขึ้นเมืองบาลีแปลงตัวเปนผู้ชายเจ้าเมืองบาลีเอาไปเลี้ยงไว้ ภายหลังได้เปนเจ้าเมืองบาลีชื่อยาหยาอังกลิงดาระ ส่วนปันหยีนั้นพลัดไปขึ้นฝั่งเกาะชวา แล้วพ่อใช้ให้ไปรบเมืองบาลีพบกับนางอังเกรนี อีกฉบับหนึ่งต่างหากนั้น ว่านางจันทรกิรานะเองเปนรายาบาลี ชื่อว่ากุดานารอังคะ ยังมีอย่างมลายูบ้างอย่างอะไรบ้างแปลก ๆ กันไป แต่ย่อมกล่าวว่าอิเหนานั้นเปนพระนารายณ์อวตาร นางจันทรกิรานะเรียกเทวีการุ คือพระศรีแบ่งภาค เรื่องราวมักจะกล่าวให้วิเศษไปต่าง ๆ จนจะจับเปนเค้าพงศาวดารไม่ใคร่จะได้ แต่เปนอันได้ความแน่ว่าปันหยีนั้นมีอำนาจใหญ่ไม่แต่ฉเพาะในเกาะชวา ทั่วไปตามเกาะที่ใกล้เคียงตลอดจนถึงสุมาตรา มีสิ่งซึ่งเปนสำคัญคือภาษาแลการก่อสร้างแลอาการกิริยาของผู้คน กฤชก็ว่าเกิดขึ้นเพราะปันหยี เมืองใดที่ใช้กฤชเมืองนั้นอยู่ในบังคับปันหยี บรรดาการเล่นทั้งปวงซึ่งเปนของชวาเล่นอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ว่าเปนของปันหยีริอ่านเล่นขึ้นทั้งนั้น แต่การที่ปันหยีจะได้เปนเจ้าแผ่นดินสืบตระกูลกล่าวต่าง ๆ กัน บางแห่งกล่าวว่าเมื่อพ่อตายแล้วปกครองบ้านเมืองอยู่หลายปี อีกฉบับหนึ่งว่าตายเสียแต่หนุ่มเมื่อพ่อยังอยู่ มีเรื่องราวเล่าว่า เจ้าแผ่นดินเมืองมถุระเวลานั้นเรียกว่านุสาอันตาระ เกาะหว่างกลาง มีความริศยาเมืองจังโกโล มีครูพราหมณ์กานฑะเปนอาจารย์ปรึกษาว่าจะมาตีเมืองนั้น อาจารย์ห้ามว่าถ้าเทวกสุมาอยู่อย่าเพ่อให้ไปตี ครั้นรู้ว่าเทวกสุมาตาย อาจารย์ยอมให้มาตีแต่ให้มีหนังสือไปว่ากล่าวโดยดีก่อน ครั้นเมื่อคนถือราชสาส์นมาถึง พบเจ้าแผ่นดินชื่ออังกรามะวิชย เห็นจะเปนสังกรามะวิชยนั่งอยู่บนสติงเกที่เสด็จออก มีปาเตะเฝ้าอยู่ ๒ คน คือนวารสากับปชานาตะ กำลังปรึกษาที่จะยกอิเหนาการตปติขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินยังไม่เปนที่ตกลง เจ้าแผ่นดินไม่ยอมอ่านหนังสือเอง ให้ประชานาตะอ่าน ได้ความว่าให้เมืองจิงกาละไปอ่อนน้อม ประชานาตะโกรธฉีกหนังสือนั้นทิ้งใส่หน้าทูต แล้วไล่ให้กลับไป พออิเหนามาถึงทราบความก็ลาพ่อที่จะปลอมตัวไปเมืองนุสาอันตาระ เมื่อทูตไปถึงเจ้าเมืองนุสาอันตาระก็ยกกองทัพออกจากเมือง อิเหนาก็ลักเอาเมียของชยลังการ ชื่อเทวีสินาวดีพามา ครั้นกองทัพมาเหยียบแดนเมืองจังกาละ เจ้าแผ่นดินให้ไปขอกองทัพเมืองนครวันแลเมืองสิงคสารีมาช่วยได้รบกัน พวกเมืองนุสาอันตาระเสียท่วงทีนายทัพนายกองตายมาก ชยลังการปลอมตัวเปนไพร่มาเที่ยวหาปันหยีกรตปติ พบเข้าก็เอาธนูยิงตายสมกับคำทำนายแต่แรกว่า อิเหนาจะไม่ตายด้วยอาวุธอื่น เว้นไว้แต่อาวุธของชยลังการ ครั้นพ่อรู้ว่าอิเหนาตายก็ยกทุ่มเทไปรบพวกนุสาอันตาระ เจ้ากรุงจังกาลแทงชยลังการด้วยกฤชถึงแก่ความตายแล้ว ยกลูกอิเหนาซึ่งเปนหลานชื่อไมสาลาเลียนขึ้นเปนเจ้าในศักราชชวา ๙๒๗ ปี ไมสาลาเลียนนี้นัยหนึ่งเรียกว่ากุดาลาเลียน เมื่อเปนเจ้าแผ่นดินแล้วปราบปรามพวกเมืองบาโรเวโน เมืองสิงคศิริ เมืองกดิรี มาอยู่ในอำนาจเมืองจังกาละ เมื่อไมสาลาเลียนเปนเจ้ายังเปนเด็กหนุ่มอยู่ เสนาบดีคนหนึ่งชื่อบากะเปนคนโกง ไปคบคิดกับพวกพี่น้องของเจ้าแผ่นดินจะชิงราชสมบัติ ในขณะนั้นเขากรุ๊ตกำเริบขึ้นเสียงร้องเหมือนยังกับฟ้าลั่น เท่าถ่านพลุ่งขึ้นมาตกไปทั่วทั้งเมือง มืดไม่มีแสงสว่างไข้เจ็บชุกชุม คนหนีไปจากเมืองเปนอันมาก ไมสาลาเลียนก็พานางจันทรกิรานะแม่ออกจากเมืองไป ถึงตำบลโบรราก็ตั้งเมืองให้ชื่อเมงดังกามูลัง อยู่ไม่นานบากะก็คิดขบถอีก ต้องหนีไปอยู่กับฤๅษีองค์หนึ่ง จนเจ้าเมืองกลิงคเวสีชื่อเปรราชาตอมาช่วยจึงได้รบชนะ แล้วยกกองทัพไปถึงเมืองกลิงคเวสีซึ่งอยู่ข้างทิศใต้ในหมู่เขาจิดามา ซึ่งเปนแขวงสุขบุระ (คือแขวงมนุนยาหยา) ซึ่งเปนที่ตั้งเมืองแต่โบราณ เรียกว่า ตุกุหนุง พบปืนใหญ่ ๒ บอก เห็นว่าเปนนิมิตรมงคลจึงได้สร้างเมืองใหม่ตั้งกราตนในที่นั้น ให้ชื่อว่า ประชาชรัน ตั้งชื่อตัวว่า โบรวิชยไมสาตันทรามัน เปนเอาธุระในการเพาะปลูก ในคำที่เล่าว่ากระบือป่ามาเข้าแอกเองพวกชุนดานับถือมาก คำที่เรียกว่าไมสา แปลว่ากระบือเปนคำชวา ลูกชายชื่อมุนดิง แปลว่ากระบือเหมือนกันแต่เปนภาษาซุนดา ลาเลียนมีลูก ๒ คน พี่ชายชอบเที่ยวน้องชายเปนเจ้าแผ่นดินต่อไป ชื่อประบูมุนดิงสารี ในศักราช ๑๑๑๒ เจ็ดปีบ้านเมืองจึงได้เปนปรกติ ฝ่ายพี่ชายไปอยู่ในอินเดียแล้วเข้ารีดแขกกลับมากับสยัดอาบัก เกลี้ยกล่อมน้องชายจะให้เข้ารีดโดยดีก็ไม่ตกลง แล้วคิดทำกลอุบายต่าง ๆ จนบ้านเมืองไม่มีความสุขจึงต้องย้ายไปตั้งในแขวงบุกอซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับบุยเตนซอกเดี๋ยวนี้ ที่ตำบลนั้นเดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกประชาชรัน หยีปุรวคิดการไม่สำเร็จต้องหนีไปอยู่ที่แขวงเมืองจริบอน ซึ่งในขณะนั้นเปนป่าอยู่ เจ้าแผ่นดินประชาชรันต่อมาชื่อมุนดิงวังคีได้เปนเจ้าในศักราช ๑๑๗๙ มีลูกด้วยพระมเหษี ๔ คน ๆ แรกเปนผู้หญิงไม่ยอมมีผัว พ่อโกรธขับไล่เสีย จึงไปเที่ยวอยู่ในป่าช้านานแล้วไปโดดน้ำตายที่ฝั่งทเลข้างใต้ คนทั้งปวงนับถือกันว่าไปเปนเจ้าอยู่ในทเล เรียกว่ารตูกิดุล คนนี้ซึ่งยังนับถือกลัวเกรงกันจนบัดนี้ ลูกที่ ๒ เกิดมาขาวเองแต่มีโรค จึงได้เนรเทศให้ไปอยู่เกาะน่าเมืองยักกัตรา เพราะฉนั้นเกาะนั้นจึงชื่อว่าปุลูบุตรี คนที่ ๓ เปนผู้ชายตั้งให้เปนรายากาลู คนที่ ๔ ชื่อตันดูรันจะให้เปนเจ้าแผ่นดินต่อไป มีลูกด้วยพระสนมอีกคนหนึ่ง เมื่อกำลังมีครรภ์อยู่นั้น มุนดิงวังคีฆ่าพราหมณ์ผู้หนึ่งโดยไม่เปนยุติธรรม พราหมณ์นั้นแช่งให้ลูกในท้องฆ่าพ่อ ครั้นเมื่อลูกคนนั้นเกิดมาก็เรียกเอาตัวมาจะฆ่าด้วยมือตัวเอง แต่เพราะเด็กคนนั้นงามนักฆ่าไม่ได้ จึงได้เอาใส่หีบลอยไปในแม่น้ำกราวัง ชาวประมงคนหนึ่งพบเอามาเลี้ยงไว้เปนลูก ครั้นอายุ ๑๒ ปีแล้วส่งไปให้อยู่กับน้องชายที่เปนช่างเหล็กอยู่ในเมืองประชาชรัน ให้ชื่อว่าประเนี๊ยกเวทิชำนิชำนาญในการช่างเหล็ก กล่าวกันว่าอาจจะดัดเหล็กที่เผาแดงให้เปนรูปต่าง ๆ ได้ด้วยนิ้วมือ ไม่นานนักก็ได้เปนนายปานทิ คือช่างเหล็กหลวงเปนที่สนิทสนมมาก จึงคิดทำห้องเหล็กเปนซี่กรงล่อให้พระเจ้าแผ่นดินเข้าในกรงนั้นได้แล้ว นัยหนึ่งว่าทิ้งน้ำนัยหนึ่งว่าเผาไฟเสีย แล้วประเนี๊ยกเวทิตั้งตัวขึ้นเปนเจ้า ตันทุรันพี่ชายไม่ยอมรบกัน พี่ชายแพ้หนีไปกับบ่าว ๓ คน ประเนี๊ยกเวทิตั้งตัวเปนโบรวิยาชองวารน รเด่นตันทุรันไปอาศรัยอยู่ในบ้านแม่หม้ายแห่งหนึ่ง พบกับพี่สาวที่เขาชไมยในแขวงจริบอน นางนั้นบอกให้ตามนกไปจนถึงตำบลวิรสภา เห็นต้นไม้เลื้อยอย่างหนึ่งชื่อว่ามายาพันต้นไม้ใหญ่อยู่ อยากจะใคร่กิน ครั้นเอามากินก็ขมจึงได้ทิ้งเสีย บ่าวคนหนึ่งชื่อกดีวิรบอกว่าได้ทราบมาว่า ที่นี้ต้นพระวงศ์ของพระองค์ได้ทำศึกแก่กันเรียกว่าภารตยุทธ เจ้านั้นจึงว่าถ้ากระนั้นเราตั้งเมืองหลวงที่นี้เถิด จึงได้ตั้งเมืองขึ้นให้ชื่อว่ามายาพหิส มายาแลพหิสทั้ง ๒ คำแปลว่าขมนัยหนึ่งเรียกว่ามสัตพหิส เห็นจะมาจากมสัตปติ อันเปนเมืองหลวงของอรชุนวิชย ซึ่งพวกชวาถือกันว่าเปนนารายณ์อวตาร พวกคนทั้งปวงรู้ว่ารเด่นตันทุรันเปนเชื้อวงศ์เจ้าก็พากันเข้าหามาก จนพวกประชาชะรันที่ได้ความเดือดร้อนก็พากันหนีมาอยู่มายาพหิส พวกประชาชรันยกมาตามจวนจะรบกันขึ้น แล้วตกลงแบ่งปันเขตรแดนกันปักเสาหินซึ่งยังปรากฎอยู่เดี๋ยวนี้ในแขวงตุ๊กกู ห่างเมืองสมารังสัก ๒ ไมล์ ๓ ไมล์ สัญญาที่ได้ทำเมื่อศักราชชวา ๑๒๔๗ เขตรแดนข้างตวันตกเปนของประชาชรัน ข้างตวันออกเปนของมายาพหิส แต่สัญญานั้นไม่อยู่นาน พอชองวารนตาย พวกประชาชรันก็มาอ่อนน้อมต่อมายาพหิสแลยอมให้ปืนไงสโตมีอันเปนบุศสากะของเมืองประชาชรัน ซึ่งเจ้านายเมืองชวานับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวนี้ตั้งอยู่ในกราตนของสุสุนันเมืองโซโลเราได้ไปเห็น เจ้าแผ่นดินมายาพหิสคนที่ ๒ ชื่อโบรกะมาระหรือโบรวิยาหยาที่ ๒ เปนเจ้าอยู่ไม่นานนัก มีเรื่องวิเศษในกระบวรกฤช แล้วอาทิวิชยเปนเจ้าคนที่ ๓ มีชื่อเสียงในการที่มาตีเมืองสิงคปุระที่แหลมมลายู กล่าวกันว่าบ่าวเปนสลัด แล้วฆ่าเสนาบดีคนหนึ่งซึ่งไม่มีความผิด ลูกเสนาบดีคนนั้นฆ่าตาย เจ้าแผ่นดินที่ ๔ ชื่อเมรตวิชยตีเมืองอินทคิรี คือสุมาตราได้ เจ้าที่ ๕ นัยหนึ่งว่าชื่อรเด่นอาลิต นัยหนึ่งว่ารเด่นอาลิตแลอังควิชยเปนคนเดียวกัน อังควิชยคนนี้เปนเจ้าแผ่นดินแต่เด็กด้วยสติปัญญาของตัวเองแลเสนาบดี ซึ่งชื่อว่าคชามาทะ แผ่อาณาเขตรใหญ่กว้างยิ่งกว่าแต่ก่อน แต่เปนที่สุดวงศ์ของเจ้าแผ่นดินที่ถือศาสนาฮินดูอันจะไว้กล่าวต่อไปภายน่า

ในฝั่งทเลทิศใต้แขวงยกยาการตแลสุรการต เปนที่มีรังนกตามถ้ำแลโพรงต่าง ๆ ถึง ๓๓ ตำบล แต่ที่เปนถ้ำใหญ่นั้นคือรองก๊อก ๑ ตูรี ๑ การัง ๑ ใน ๓ ถ้ำนี้รองก๊อกเปนมีมากกว่าอื่นอยู่ห่างเมืองยกยา ๕๒ ปาล ถ้ำนั้นอยู่ในหมู่ภูเขาที่เปนฝั่ง ปากถ้ำต่ำกว่าหลังน้ำทเล ต้องผูกบันไดทำด้วยหวายลงไปจากหลังเขายาว ๓๖ เมเตอร์ ที่ปลายบันไดนั้นสูงกว่าน้ำอยู่ ๖ เมเตอร์ครึ่ง แล้วขึงตาข่ายเรียกว่ารัตยุดยาว ๑๕ เมเตอร์ ปลายร่างแหนั้นเข้าไปในถ้ำ แล้วมีบันไดหวายอิกตอนหนึ่งเรียกว่าอังครันติ ปลายบันไดนั้นลงถึงน้ำในถ้ำ แล้วต้องมีเชือกขึงสำหรับให้คนยึดว่ายน้ำไปจึงจะถึงปากถ้ำได้ ปากถ้ำทางที่เข้ากว้าง ๑๕ เมเตอร์ ส่วนสูงของถ้ำถ้าประมาณอยู่ใน ๑๐ เมเตอร์ ถ้าเวลาน้ำขึ้นเต็มที่ ท่วมเข้าไปในถ้ำ ๒๐ เมเตอร์ ถ้าเวลาคลื่นจัดแล้วปากถ้ำจมอยู่ในน้ำทีเดียว รังนกที่ได้ในถ้ำตามฝั่งทเลเหล่านี้ จำนวนปีนี้เปนภาษี ๑๘๗๗๗ กิลเดอ พวกชวาถือกันว่าถ้ำนี้เปนที่อยู่ของไงยโลโรเกดุล คำที่เรียกว่าไงยนี้ถ้าใครขลัง ๆ หรือสิ่งใดขลัง ๆ ใช้เรียกว่าไงย เหมือนกับคนโบราณเรียกว่าไงยอุมาซึ่งจะเล่าต่อไปข้างน่า ปืนสโตมีก็เรียกว่าไงยสโตมีซึ่งได้ออกชื่อมาแล้ว โลโรเปนคำแปร่งจากรตู เหมือนโลโรยองแกรงก็ควรจะเรียกว่ารตูยองแกรง เกดุลเปนชื่อทิศใต้ นางคนนี้คือคนเดียวกับรตูเกดุลที่ออกชื่อมาแล้ว พวกชวาถือว่าถ้ำนั้นเปนที่อยู่ของนางเกดุล มีเรื่องราวเล่าว่าผู้หนึ่งชื่อคดีบโตเตโช อยู่ในแขวงเมดยูน เห็นนกกระตั้วตัวหนึ่งใส่กำไลทองก็ไล่ตามจับ นกกระตั้วนั้นก็บินโผหนีไปจับต้นไม้ต้นอื่นเจ้าคนนั้นก็ตามจับ นกนั้นจับต้นไม้แห่งใดก็คอยจับที่ต้นไม้นั้น แต่ตามไป ๆ เปนหลายวันจนกระทั่งถึงเขารองก๊อก ขณะนั้นเปนเวลาค่ำพเอิญคดีจับนกได้แล้วหาวนอนก็นอนหลับไป ฝันว่านกนั้นมาบอกว่า ถ้าไม่ทำอันตรายปล่อยไปจะหาที่ซึ่งบังเกิดทรัพย์สมบัติให้ ในฝันว่าคดีมีความอยากได้เปนกำลัง จึงรับสัญญาว่าจะปล่อย นกก็บอกทางที่ไปเข้าถ้ำนั้นให้ ครั้นคดีตื่นขึ้นก็เที่ยวหาทางลงไป พบร่องรอยก็อุส่าห์ลงไปจนถึงที่รังนกสมดังฝันแล้วก็ปล่อยนกนั้นเสีย ในว่า ๆ รอยตีนที่ตานั่นเดิรยังเปนรอยอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ เพราะเพื่อจะให้ประกอบกับในเรื่องพงศาวดารแลให้รู้เรื่องที่ว่ามีรังนกเหมือนเมืองเราด้วย

วันนี้เขามีหนัง มาตั้งจอที่น่าประสังคระหัน เขาบอกว่าเปนของเมเยอจีนมามีให้ นั่งอยู่ที่จอแต่ไม่ได้ดูเพราะดูมาหนักแล้ว ไม่รู้ว่าเล่นเรื่องอะไร พูดกันจน ๕ ทุ่มแล้วก็นอน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ