๒๖

เมืองจันยอ จิปานะ สินันทไลยะ บุยเตนซอก

วันที่ ๓ มิถุนายน

เวลาโมงเช้าไปที่สเตชั่นหวิดเวลาแต่พอทัน ได้พบสนทนากับพวกที่ยังอยู่บัตเตเวียเล็กน้อย๓๙ แล้วขึ้นรถไป ออกจากสเตชั่นไปโมงหนึ่งกับ ๑๕ มินิต ดูเหมือนหนึ่งไปในระหว่างเขาใหญ่สองข้าง คือ เขากิเดอยู่ข้างซ้ายเขาสลักอยู่ข้างขวา ผ่านหรือเลียบลำธารเปนอันมาก เปนลำธารที่ลึกและงามต่าง ๆ ที่เปนเชือกน้ำทำด้วยรางเหล็กทับทางรถไฟก็มี เขตรแขวงบัตเตเวียต่อกับมณฑลเปรียงกา ที่จิกำบงหยุดตามระยะทาง เรื่องเติมน้ำหลายแห่ง แต่ดูเปนพรรณาหาประโยชน์มิได้ มีเข้าถ้ำแห่งหนึ่งสองมินิตจึงตก มีภูมนิเทศงดงามตลอดหนทาง แต่เรียกได้ว่าไม่มีป่าเลย มีบ้านเรือนคนทำไร่นาตลอดทั้งนั้น เปนที่ตำบลใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีบ้านเรือนเปนหมู่หลายตำบล ที่เปนเมืองใหญ่คือ สุขะภูมิ มีแอสสิสแตนต์เรสิเดนต์มาต้อนรับ แต่ฝ่ายข้างยาวานั้น รวมกันกับสเตชั่นน่าที่จะหยุด ถึงเมืองจันยอเวลา ๔ โมงเช้า แอสสิสแตนต์เรสิเดนต์กับรเด่นอธิปติ ชื่อ ประมิราดิเรดยะ คือปรมาธิราชตานยอมารับ แต่งตัวนุ่งกางเกงฝรั่งนุ่งโสร่งแต่จีบน่า ไม่ได้นุ่งเหมือนคนสามัญ สวมเสื้อยศปักทอง เหน็บกฤชฝักประดับเพชร์ทั้งเล่ม หน้าตาท่าทางเหมือนคนไทยที่เปนผู้ใหญ่อย่างมีบรรดาศักดิสูง มีสง่าราศีแลเรียบร้อยมาก พาให้ไปนั่งที่ห้องพักที่สเตชั่น เลี้ยงน้ำชากาแฟแลเรียกอะไรอย่างวิลันดา แต่น้ำต้มไก่คือซุบเรานี่เอง มีพริกไทยกับเกลือสำหรับปรุงด้วย มีกระบอกใส่บุหรี่ทำด้วยขาแรด มีกีบติดอันหนึ่งมาตั้งว่าเปนของทำเอง แล้วบอกให้แต่จะไว้ส่งภายหลังเมื่อผ่านมาทางนี้ ไปที่โฮเต็ลซึ่งอยู่หลังสเตซั่นไม่ต้องขึ้นรถ แบรอนวอนควาลส์ มาจัดไว้สำหรับให้พักแต่งตัว มีห้องใหญ่ ๓ ห้อง วันนี้เปนวันแรกที่ได้เห็น กุหลาบดอกใหญ่ขนาดกุหลาบเย็บอย่างกลาง เขามาปักขวดไว้หลายดอก เปลี่ยนแต่งมอนิงโค๊ต แล้วขึ้นรถสี่ล้อเทียมม้าสี่ของคอเวอนเนอเยเนราล เปนรถอย่างเบา ๆ หลังคาเก๋ง เสาเหล็กใช้ม่านบังสี่ด้าน นั่งได้ ๖ คนทั้งสารถี ยืนหลังอิก ๒ คน นอกนั้นใช้รถ ๒ ล้อเทียมม้า ๓ ตัวเปนของสำหรับโฮเต็ล แต่รถ ๒ ล้อดูคล่องแคล่วกว่ารถ ๔ ล้อมาก เจ้าสี่ตัวเวลาจะขึ้นที่ชันหน่อยหนึ่งต้องเอากระปีอเข้าเทียมหน้าอิกคู่หนึ่ง เวลาจะลงที่ลาดต้องผูกเชือกที่ล้อ มีคนคอยรั้งหลังข้างละ ๙ คน ๑๐ คน ทางที่ไปนั้นมีแต่ขึ้นๆ มากกว่าลง ต้องเฆี่ยนม้าไม่ได้หยุดเลย ใช่แต่เท่านั้นคนที่ยืนไปท้ายรถต้องถือแซ่คนละอัน หวดถนนผัวะ ๆ แลร้อง เอะ เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อ ไปตลอดทาง ลูกล้อรถที่วิ่งหมุนอย่างเร็ว ไม่เคยเห็นรถที่ไหนเดิรเร็วเท่านี้ พัดเอากรวดเล็ก ๆ ขึ้นมาปร๋อ ๆ บางทีก็กระเดนขึ้นมาถูกหน้าออกเจ็บ แต่รถ ๓ ม้าเขาไม่ต้องเอะอะอันใดมาก วิธีเทียมเปนสองอย่าง ๆ หนึ่งถ้าเปนคาน ๆ เดียวใช้เทียมคู่แล้วเติมข้างน่าอีกตัว ๑ ผูกด้วยเชือกเหมือนโยงกระบือ ถ้าเปนคานสองอัน ใช้เทียมกลางตัวหนึ่งผูกข้างสองตัวเปนสามตัวเสมอหน้ากัน ตามทางที่จะต้องเทียมกระบือหรือต้องโยง พวกเวทนาเทศาออกมาคอย มีคนอยู่พร้อมทุกแห่ง มีพวกที่ขี่ม้าตามไปก็มากใส่เสื้อปักเงินบ้าง แถบเงินบ้าง หมวกแก๊บพันแถบเงิน ถ้าพวกที่ทำราชการมานานถึง ๓๐ ปี ได้ตราเปนอามวิลันดาห้อยสายแถบริ้วกลางม่วง เหลือง ๒ ข้าง แจกตั้งแต่ระเด่นอธิปติไปจนกระทั่งถึงพวกเวทนาเทศา พวกดะหมังคือนายโปลิศมีสายตพายสวมด้วยทุกคน เรื่องยุนิฟอมดูเหมือนจะต้องการกันมาก ดูใส่เรื่อยอยู่ยังรุ่งยังค่ำ ครึ่งยศเปนลูกกระดุมตราหมวกแก๊บเงินแต่สวมทับผ้าโพก ไม่ว่าหมวกยศหรือหมวกธรรมดา ที่ใช้แต่พอเปนกระบังข้างน่าตรงเส้าหมวกโหว่ สำหรับผ้าโพกออกมาข้างนอกก็มี ตามทางที่ไปมีบ้านเรือนคนเปนระยะ ๆ ตลอดไป แลไร่นามิได้ขาด ตลอดขึ้นไปจนครึ่งเขาค่อนเขา ถนนไปถึงไหนน้ำมีที่นั่น มีร้านขายของกินเปนระยะ ๆ ตลอดทางที่ไป ทางที่ขึ้นเขากว้าง ๔ วาหรือ ๕ วา ว่าทำมาร้อยปีเศษแล้ว ต้องสรรเสริญเขาอีกในเรื่องถนน ถ้าถนนเช่นเรารถม้าเช่นเรา อย่าพึงหมายเลยว่าจะขึ้นไปได้ ไม่ว่าถึงแห่งใด พวกชวาชาวเมืองพอเจอะรถเข้าแล้วนั่งทั้งสิ้น ถ้าอยู่บนร้านก็หมอบ ที่ยกมือไหว้อย่างข้างไทยโดยมาก ตั้งแต่จันยอขึ้นไปจนถึงจิปานะ การที่ขึ้นไปเขาร้องกันว่าช้ากว่าปรกติ แต่เราก็เห็นเร็วพอใช้ เมื่อใกล้จิปานะมีบ้านเรือนคนแน่นหนา เปนเมืองอย่างเล็ก ๆ แล้วจึงถึงบ้านฝรั่งเหมือนบัตเตเวีย แต่ส่วนน่าบ้านไม่มีต้นไม้อื่น นอกจากกุหลาบแลไปทิศไหนเปนสีต่าง ๆ ครืดไปทั้งสิ้น กุหลาบพวงช่อหนึ่งตั้งสามสิบสี่สิบ ดอกโต ๆ ต้นสูง ๘-๙ ศอก ที่เปนกุหลาบเลื้อยใช้เปนซุ้มมีดอกตั้งแต่ดินขึ้นไปเต็มนับด้วยร้อย ๆ กุหลาบเหลืองดอกใหญ่ ๆ เต็ม ๆ ต้น กุหลาบสีครั่งดอกใหญ่เท่าพุดตาลสีชมภู กลีบซ้อนถี่ กุหลาบสีอื่น ๆ มีเกือบทุกสี ตั้งแต่เกิดมาได้เห็นงามที่นี่แห่งหนึ่ง ที่อาคราในอินเดียแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ที่อาคราใหญ่อยู่แต่ปีแรก ปีที่ ๒ เล็กลงมา ปีที่ ๓ ลงเล็กเหมือนตามธรรมดา เพราะฉนั้นต้นจึงไม่โต เหมือนที่นี่ ที่นี่เขาเป็นเสมอ เพราะอากาศเย็นแลฝนตกเนือง ๆ รพีออกปากว่าถึงในยุโรปก็ไม่งามเท่า เพราะมันหนาวเกินไป ที่นี่เวลากลางวันปรอทไม่เกิน ๗๔ ดีกรี กลางคืนอยู่ใน ๖๐ หรือ ๕๕ เวลาบ่าย ๒ โมง ๓ โมงไม่มีแสงแดด เปนแต่สว่างพระอาทิตย์เข้าเมฆ ดูหายใจโปร่งรู้สึกสบาย แต่เขาว่าน่าฝนชื้นเกินไป คอเวอนเนอเยเนราลขึ้นมาอยู่ปีละ ๓ เดือนในเมื่อสิ้นฤดูฝน เวลาเช้าเวลาเย็นมีหมอกแลลมพัดจัด ตามทางที่ชื้นไปแลเห็นหมอกที่เกาะอยู่ตามเขา สังเกตลูกเขาแลต้นไม้หรือควันไฟไว้ อิกครู่หนึ่งเราก็ขึ้นไปถึงที่ตรงหมอกนั้น ประเดี๋ยวหนึ่งหมอกก็ลงไปอยู่ใต้เราแล้ว ตั้งแต่ขึ้นไปตลอดทางดูภูมนิเทศนั้นพ้นที่จะพรรณาได้ว่างามสักเพียงใด เขาว่าดูไม่เหมือนกับป่าเขาข้างนี้เลย เปนเหมือนประเทศยุโรป บรรดาภูเขาปกคลุมไปด้วยหญ้า ต้นไม้มีเปนแต่หย่อม ๆ แต่ก็ต้องถางเสียโดยมาก สังเกตได้ว่าถ้าที่เขายอดใดมีต้นไม้ ที่เขานั้นมักจะเปนที่ทำไร่ขึ้นไปครึ่งเขาค่อนเขา ถ้าเขาเกลี้ยง ๆ มักจะทิ้งอยู่เปนหญ้าเปล่า ทำนองที่แผ่นดินจะปลูกต้นไม้ไม่งาม เกือบจะเรียกได้ว่านึกอยากดูอะไรดูได้ทั้งสิ้น จะดูลำธารหรือน้ำโจน ภูเขาล้วนแต่งามไปหมด ที่ลึกก็ลึกสุดตา ที่สูงก็สูงจนเมฆหุ้มเปนยอดเขาซับซ้อนกันไป จะว่าเปนคลื่นก็ไม่เชิง ด้วยไม่ได้เปนลูกเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ เช่นสิงคโปร์ จะว่าเปนกำแพงเช่นเคยชมกันเหมือนทางชุมพรไปเมืองกระก็ไม่ได้ ด้วยไม่เปนเขาอัดแอไม่มีเงาอันใดมาบังเลย แลเห็นขอบฟ้าโปร่งรอบ ดูเหมือนตัวเราขึ้นไปใกล้ฟ้าเข้าทุกที เขาที่แลเห็นอยู่พื้นล่างว่าสูงเหลือประมาณที่จะขึ้นได้นั้น ขึ้นไปจนกระทั่งเห็นเขาต่ำ ๆ ลงมาได้หมด มีทหารแก่คนหนึ่งเอาดอกไม้มาให้แม่เล็กที่กลางทาง ติดตราออฟฟิเซอช้างเผือกว่าได้แต่คราวก่อน อิกบ้านหนึ่งนั้นเปนผู้หญิงทั้งกอง เอาดอกไม้มาให้มีก๊าดเขียน แปลความว่าดอกไม้จิปานะซึ่งเปนมิตรกับดอกไม้สยาม ไปถึงที่วังคอเวอนเนอเยเนราล มีเจ้าพนักงารรายกระได แบรอนคนหนึ่งกับเอดิกงลงมายืนอยู่ที่พื้นดิน คอเวอนเนอเยเนราลอยู่บันไดคั่นล่าง รับแขนแม่เล็กพาขึ้นไปบนเรือน อีกสองคนรับแขนเลดีอินเวตติงแลมดัมชลยุทธขึ้นไปพบมิชซิสวันเดอวิก ได้พูดกันเล็กน้อย เขาจัดห้องไว้สำหรับที่จะให้แต่งตัว แต่เวลาบ่ายมากเสียแล้ว จึงได้ไปนั่งโต๊ะทีเดียว โต๊ะกินเข้าอาจจะเรียกได้ว่าโต๊ะกุหลาบ นั่งสัก ๓๐-๔๐ คน แต่งด้วยดอกกุหลาบแลดอกไม้ประเทศยุโรปต่าง ๆ ซึ่งปลูกเปนที่นั้นทั้งสิ้น แต่มีกลิ่นหอมฟุ้งไปผิดกับกุหลาบที่ไปปลูกบ้านเราเปนอันมาก เมนูทำกรอบด้วยกิ่งไม้แห้งรูปต่าง ๆ ซึ่งเก็บได้ตามที่เหล่านั้น เรือนนี้ไม่สู้โต แต่ตั้งอยู่ในที่ป๊ากแลสวนกว้างใหญ่ ที่สวนนั้นดาดาษไปด้วยดอกกุหลาบสีต่าง ๆ ถ้าจะเก็บแล้วก็นับด้วยกระบุงเปนอันมาก ได้สนทนากันแรกไปถึงหน่อยหนึ่ง แลเวลากินเข้ากับทั้งเมื่อลุกจากโต๊ะก่อนกลับ อยู่ไม่ถึงชั่วโมงต้องพูดจ้ำไม่มีเวลาจะหยุดปากได้เลย แต่กระนั้นก็ไม่หมดเรื่องด้วยไปวันนี้ราวกับบิน เวลา ๓ โมงเศษแล้ว จำเปนต้องกลับ ต่างคนต่างเสียดายกันเปนอันมาก เมียคอเวอนเนอเยเนราลพูดอังกฤษดีนัก เปนคนใจดีต้อนรับแขงแรง คอเวอนเนอเยเนราลสวมเสื้อเดรสโค๊ดติดตรามหาสุราภรณ์ เปนอันได้ความว่า ที่พวกบัตเตเวียติดตราในวันหลัง ๆ ได้อนุญาตจากคอเวอนเนอเยเนราลโดยถือวินัยกรรมว่า ที่ใดเราไปอยู่ที่นั้นเปนอาณาเขตรสยามติดตราได้ ดูเราไปไหนทำอะไรแกรู้ทุกอย่าง มีรายงารกันทุกวันเสมอไม่ขาด ในการที่จะทำให้ถูกใจนั้น คอเวอนเนอเยเนราลรู้ว่าเราชอบฝีมือช่างโบราณต่าง ๆ รับจะจัดหารูปแลเรื่องราวส่งให้ ข้างฝ่ายเมียก็รับสัญญากับแม่เล็กจะส่งดอกไม้มาให้ที่การุต วันนี้มีลูกสตรอเบอรีเลี้ยง เขาปลูกเปนได้มาก ๆ มีอยู่เสมอที่นั้น

ออกจากวังคอเวอนเนอเยเนราลไปสินันทไลยะ และที่โฮเต็ลเขาจัดแซนิตะเรียมหลัง ๑ ตกแต่งขึ้นใหม่งดงามให้เปนที่พัก ในที่นี้เรียกว่าอยู่ในดงกุหลาบ แลมีดอกไม้ฝรั่งต่าง ๆ เต็มไปทั้งนั้น มีฝรั่งอยู่มากล้วนแต่กิริยาอัชฌาสัยดีทั้งผู้หญิงผู้ชาย เปลี่ยนเสื้อไม่ใคร่จะทันต้องโดดลงไปอยู่ที่ต้นกุหลาบ ทั้งผู้หญิงผู้ชายเก็บได้คนละหอบบรรจุหีบใหญ่ แต่กระนั้นไม่ได้เห็นเบาบางลงไปเลย เวลาก็เร่งให้กลับ แต่เหลือที่จะจากมาได้พวักพะวนราวกับติดผู้หญิง ข้างพวกผู้หญิงแล้ว ว่าตั้งแต่เกิดมาเห็นมาไม่มีที่ไหนสนุกแลสบายเท่าเท่าที่นั้น จนเกิดไม่ยอมกลับกันขึ้น ไปรู้สึกตัวทั่วหน้ากันว่า การที่คิดไปเหมือนบินเช่นนั้น เปนความคิดที่ผิดแท้ไม่มีทางแก้ ยิ่งไปเดิรดูเห็นเรือนว่างอยู่อิกสองหลังเปนสามทั้งที่เขาจัดไว้รับ ยิ่งเกิดความเสียดายหนักขึ้น เพราะเมื่อคอมมานดอริชลิว๔๐ขึ้นมาตรวจ ว่าไม่มีที่ว่างแลไม่มีอะไรด้วย มีแต่เรือนสองสามหลัง เปนด้วยตาแกเคยดูแต่ทเลแลเรือ ห้วยเขาต้นไม้ใบหญ้าแกไม่แลเห็นหมดทั้งสิ้น จำเปนจำต้องกลับเพราะไม่ได้จัดอันใดล่วงน่าไว้เลย แต่ที่จริงถึงจะอดเข้าสักมื้อหนึ่งก็ทนได้ เดี๋ยวนี้ไปน่าเกลียดที่ถ้าเราอยู่นั้น คอเวอนเนอเยเนราลจะนิ่งอยู่เปล่าไม่ได้ จะต้องไปเกิดเลี้ยงดูอะไรกันขึ้นในเวลาค่ำหรือเวลารุ่งขึ้นก็ดูน่าเกลียด เพราะไม่ได้บอกให้เขารู้ตัว เวลาที่จะกลับนั้นใจคออยู่ข้างเศร้าหมองอยู่แล้ว แต่ความเบิกบานยังเลี้ยงใจอยู่ไม่สู้เดือดร้อน จนผู้หญิงไป ๘-๙ ชั่วโมงแล้วที่ยังรื่นเริงไม่เหน็ดเหนื่อยเหมือนอื่น ๆ ขากลับนั้นมีแต่ขึ้น ๆ ทุกทีวิวมันยิ่งงามขึ้นทุกที เขาก็ยิ่งเตี้ยลงไปเตี้ยลงไปหาเวลาที่ปลดกระบือยาก จนถึงเขาปันยิกซึ่งเปนทางสูงที่สุดข้ามเขา เปนพรมแดนบัตเตเวียกับเปรียงกา มีศาลาสี่เหลี่ยมหลังหนึ่งเปนที่พัก แลลงไปดูจิปานะต่ำแลเห็นลิบ ๆ เรือนเปนเรือนตุ๊กตาทีเดียว แลเห็นได้สุดสายตา เมฆเดิรอยู่ใต้ตีนเกลื่อนไป ระยะที่มาวันนี้ถึงจันยอนั้นสูงกว่าทเล ๔๕๙ เมเตอร์ จิปานะสูง ๑๐๓๒ เมเตอร์ ตำบลปันยิกนี้สูง ๑๔๓๒ เมเตอร์ น่าพิศวงด้วยเรื่องรถที่ใช้ขึ้นเขาสูงถึงเพียงนี้ เดิรเร็วกว่าที่บางกอกใช้เดิรอยู่ตามถนนสองเท่า เร็วกว่าที่สิงคโปร์เท่าหนึ่ง ยังไม่ทันพลบ แต่ที่นั่นดูสู้ที่จิปานะหรือสินันทไลยะไม่ได้ โดยจะอยู่ก็คงไม่สบายเพราะแผ่นดินชุ่มชื้นเหมือนน้ำค้างตกฤดูหนาว เวลาดึก ๆ รู้สึกเย็นเฉียบ ความรู้สึกเหนื่อยเปนแรกบังเกิดขึ้นในที่นั้น มีคอนโทรเลอกับฝรั่งผู้ดีที่หนุ่ม ๆ อิก ๓ คนขี่ม้ามาจัดน้ำชาขนมคอยเลี้ยงในที่นั้น ผู้คนแน่นหนาแต่ไม่มีบ้านเรือนเลย เกณฑ์มาคอยอยู่ทั้งสิ้น ต้องเปลี่ยนรถใหม่เพราะม้าอ่อนเต็มทีแล้ว น่าสงสารแต่ม้าได้ยินเสียงแต่เฆี่ยนผัวะ ๆ ไม่ได้ขาดเหื่อหยดเผาะ ๆ หยุดลงแห่งใดหอบโครงกาง ๆ เดิมเขาคิดจะทำรถไฟทางนี้ แต่เพราะทางขึ้นสูงเหลือประมาณ แลที่จะเจาะนั้นเปนอันไม่สำเร็จ ด้วยไม่ใช่เขาขวางหน้าเปนรถเดิรไต่ไปบนหลังเขาที่ติดเนื่องกันหลายพันเส้น ถ้าโดยเจาะได้ก็จะเปนอันเดิรในอุโมงค์ไม่มีทางหายใจสักครึ่งวัน ตกมาตอนนี้มีป่าไม้ราย ๆ เปนละเมาะงดงามนัก เฟินต้นสูงถึง ๓-๔ วา เปนหมู่โต ๆ ที่แซกอยู่ในหว่างต้นไม้ก็ยิ่งงามมาก ไม่พักจำต้องกล่าวว่า ไม่มีถ้อยคำจะพรรณาให้สมกับที่ว่างาม เพราะไม่มีจะพรรณนาได้จริง ๆ รถที่จัดใหม่นี้มีเติมโซ่ล่ามล้อน่ากับล้อหลังติดกันเสียข้างหนึ่ง ๆ ซ้ำมีเชือกมนิลาขนาดใหญ่โยงล้อทั้ง ๒ ข้าง ปล่อยให้ม้าลากรถกรูด ๆ ลงมาเฉย ๆ เหมือนเลื่อนคนที่สำหรับฉุดข้างหลังสัก ๓๐ คนไปได้ เขาจะเห็นเราซนสาหัสที่จะมาทางนั้น เพราะเขาไม่เดิรกันเสียแล้ว ตามข้างถนนก็มีต้นไม้แลต้นหญ้าเล็ก ๆ ขึ้น แต่เขาเกณฑ์เจ้าพนักงารมาถากถางเหมือนกับแต่งคลองรับเสด็จตลอดทาง แต่ถึงว่าทิ้งแล้วเช่นนั้น ถนนเขาไม่ได้เสียเลยสักนิดหนึ่ง บ้านเรือนคนก็ไม่มีสักหลังเดียว ต้นไม้ทึบเปนป่าแจ๊กทีเดียว การที่ลงมานั้น เขาโกรกเรื่อยจนถึงบุยเตนซอกไม่มีที่ต้องใช้กระบือเลย ใช่แต่เท่านั้น ยังไปแต่งที่ทเลน้ำจืดบนยอดเขา เรียกตระตะวรณะ แปลว่าทเลมีสีต่าง ๆ ซึ่งอยู่ริมยอดเขานั้น ห่างทาง ๔๐ เส้น ตัดทางถางป่าเข้าไปเหมือนที่เกาะลังกาวี เวลาอยู่ข้างจะจวนมืด แต่ครั้นจะไม่ไปก็เกรงใจ ด้วยเขาลงเรี่ยวลงแรงไว้ ถูกนั่งมา ๑๑ ชั่วโมงเดิรไม่ไหว เขาเอาเก้าอี้ไปหามแต่เรากับพวกผู้หญิงหิ้วเอาดื้อ ๆ ไม่มีคาน พอเข้าไปถึงที่นั้นก็พอมืด แต่ยังพอแลเห็นเล็กกว่าที่เกาะลังกาวีสักสามเท่า มีลักษณะอันเดียวกัน แต่เพราะขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสูงนัก เขาล้อมอยู่ไม่สูงเหมือนที่ลังกาวี แลมีเขาอ้อมอยู่สักส่วนหนึ่ง มีต้นไม้ล้อมเสียสักสามส่วน น้ำนั้นรสไม่ใคร่จะสนิท เขาว่าเปนเครตาคือที่เขาไฟลุกแต่ก่อนดับมาช้านานแล้ว น้ำขังอยู่ไม่มีทางที่จะไหลชั่วแต่ซึมไปแลงวดไป ถูกไปที่นี้ประจวบกับเวลาพลบ พวกที่ไปต่างหิวโหยโรยแรงรู้สึกว่าอาหารที่กินเข้าไปเมื่อบ่ายหายไปหมดเปนเรื่องที่จะสิ้นสนุก ไปนึกถึงคำที่เมียคอเวอนเนอเยเนราลตักเตือนว่าจะไปทางนี้ให้ระวังตัว ทางชันนัก รถกลิ้งลงไปหลายคันแล้ว ก็ยิ่งออกเดือดร้อนมาก แต่ไปชื่นใจที่พวกเขาจัดการยิ่งกว่าเปนบ่าวของเราเอง มันไม่ต้องตักเตือนร้องขอหรือสั่งเสียอันใดเลย พอเวลาเย็นลงคนถือคบมาเปนแถว พอมืดก็จุดคบนำน่ารถออกแดงไป รถขับวิ่งเท่าใดคนถือคบก็วิ่งทัน พวกฝรั่งก็ลงเดิรโดยมาก พวกเวทนาสัญญาสังขารเดิรเกาะรถรอบ ถ้าคนถือคบเดิรไม่ทันหรือดับ มีคบหลังมาตามส่องอิก การที่ไปเห็นพวกกาลิงหามเราขึ้นเขาที่ปินังว่าเปนอัศจรรย์ ที่มันทนเหนื่อยได้ มาเห็นวันนี้สิ้นอัศจรรย์คนที่นี่มันทนเหลือประมาณ ไม่มีหกล้มสักคนเดียว พวกฝรั่งที่ทำแขงไปแขงมาหกล้มกันบ่อย ๆ ยิ่งมืดยิ่งนั่งรถเขย่าปวดนั้นเอวยิ่งพื้นเสียหนักเข้าทุกที แรงก็ยิ่งหมดหนักเข้าทุกที จะหาที่พักกลางทางแห่งใดก็ไม่มีที่จะหยุดได้สักครู่หนึ่ง เพราะเปนป่าทึบ จนสองทุ่มจึงได้พ้นจากเขาที่ชันมาก ถ้ารถจะกลิ้งลงไปคอหักก็ไม่เปนอัศจรรย์อันใดเลย ได้แวะที่บ้านเจ๊กซึ่งมากำกับรถครู่หนึ่ง แล้วไปต่อไปอิก เมื่อตกเชิงเขาสูง ๆ นี้แล้ว ก็อยู่บนเขานั้นเองคือมีแต่ลง ๆ ทั้งนั้น แต่สองข้างเปิดโปร่งไม่เปนป่าทึบ แลเห็นเขาที่เมฆคลุมอยู่ไกล ๆ โดยรอบ ท่วงทีจะงามมากแต่มืดไม่เห็นถนัดต้องเปลี่ยนรถอิกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงบ้านใดคนบ้านนั้น ๒๐-๓๐ คน ออกมาคอยรับเปลี่ยนรั้งท้ายรถ เวทนาเทศาก็มาเปลี่ยนกันเปนหมู่ ๆ จนตลอดทาง มีเครื่องบรรเลงพวกกมลันตีกลองเป่าปี่ชวา แห่หน้าแห่หลังตามไปข้าง ๆ กองโตผลัดเปลี่ยนกันไปจนตลอด แต่เสียงไม่ได้เกรียวกราวเอะอะโวยวายตามที่น่าจะเปน ข้อที่จะได้ยินเสียง เฮ้ย เฮ้อ อย่างเช่นเราจะทำอะไรนั้นเปนอันไม่มี พอมาถึงนอกเมืองบุยเตนซอกยามหนึ่งแล้ว มีบ้านฝรั่งแห่งหนึ่ง ทำประตูป่าปลูกโรงคร่อมถนนปักธงเทียว มีเครื่องประโคม ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กผู้หญิงผู้ชายออกมาคอยอยู่แน่น เด็กผู้หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งเอาดอกไม้มาให้แม่เล็ก แล้วเชียกึกก้องผ่านตพานยาวๆ มีข้ามแม่น้ำซึ่งกระทบหินด้งกึกก้อง ๒-๓ แห่ง ไปถึงตพานที่จะเข้าเขตรบุยเตนซอก ไปอิกสักครึ่งชั่วโมงจึงถึงโฮเต็ลที่อยู่เกือบ ๔ ทุ่มหมดสิ้นเรี่ยวแรง เดิรอย่างมนุษย์ไม่มีใครเดิรเหมือน เหมือนกับแตกทัพ ระยะทางที่ไปวันนี้ คือตั้งแต่บุยเตนซอกถึงสุขะภูมิ ๒๑ ไมล์ครึ่ง (ไมล์อังกฤษ) ตั้งแต่สุขะภูมิถึงจันยอ (๒๐) ไมล์ กับส่วนหนึ่ง ๔๑ ไมล์ สามส่วนนี้ไปโดยรถไฟ ตั้งแต่จันยอถึงจิปานะ ๑๑ ไมล์ครึ่ง ตั้งแต่จิปานะถึงสินันทไลยะ ๑ ไมล์กับส่วนหนึ่ง ตั้งแต่สินันทไลยะถึงปันยิกขึ้งเปนที่สูงที่สุด ในทางไปวันนี้ ๔ ไมล์กับหนึ่งส่วน ตั้งแต่ที่นั้นกลับลงไปบุยเตนซอก ๒๑ ไมล์กับหนึ่งส่วน รวมเปนทางเดิรด้วยรถม้า ๖๘ ไมล์กับหนึ่งส่วน ทางเหล่านี้เดิรด้วยรถม้าทั้งสิ้น รวมเปนทางถึง ๑๐๒ ไมล์ต้องวิ่งตลีตลานไปกินเข้าทั้งอ่อน ๆ ใจ ตกลงเปนเสียหมดตั้งแต่ต้นจนปลาย คือควรจะมีช่องที่ได้พักอยู่ดูภูมฐานบ้านเรือน แลได้สนทนากับคอเวอนเนอเยเนราล พอได้มีความคิดเห็นในการปกครองชัดเจนขึ้น ก็ขาดทุนทั้งสองอย่าง แลขากลับครึ่งทางไม่ได้เห็นอะไร ไม่สมกับที่ถ่อร่างสพายกายลงมาโดยความยากลำบาก ใช่แต่เท่านั้นกลับขาดทุนอิก ได้ความลำบากเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ถ้าไม่เจ็บเปนอย่างดี แลรู้สึกตัวว่าจะไปมรืนนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้น่าที่จะลุกไม่ขึ้น การที่จะเที่ยวต่อไปในเมืองนี้ก็จะไม่ไหว ขยับจะต้องนอน ใคร ๆ ที่ได้ยินโปรแกรมการเที่ยววันนี้พิศวงงงงวยอยู่ทุกคน ดูวิ่งระเสิดระสังเหมือนบ้า ถ้าจะตั้งหนึ่งใหม่ก็เปนบ้าแลเหนื่อยอิกครั้งหนึ่งด้วย สงสารคนที่จะต้องรับส่ง สั่งให้เอาเงินไปแจกแล้วนวดก็ทนไม่ได้ อ่อนเต็มที ต้องนอนหลับเหมือนราวกับจับไข้

  1. ๓๙. คือพวกกระบวรใหญ่ที่ตามเสด็จไป

  2. ๔๐. น้องพระยาชลยุทธโยธินทร์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ