๕๐

เมืองยกยาการต

วันที่ ๒๗ มิถุนายน

ตื่นแต่เช้าลุกขึ้นแต่งตัวเอะอะจัดที่ทาง พวกที่อยู่การุตหลายคนขึ้นมาสมทบไม่ทัน ที่นั่งจัดเหมือนอย่างเดอบาในอินเดีย มีเก้าอี้ยาวตั้งกลาง เก้าอี้อามแชร์ตั้งสองข้าง แล้วรายเก้าอี้เล็ก ๆ เวลา ๓ โมง เรสิเดนต์แอสสิตันเรสิเดนต์ สิเกรตารี ล่ามคอเวอนเมนต์ คอนโทรเลอผู้บังคับการทหารมา แต่งเต็มยศทั้งสิ้น แจกตราเสียก่อนชั้นหนึ่งแล้วปเงรันอธิปติ ๒ คน ปักกุอาลำกับลูกมา แต่งเสื้อทหาร ๔ โมงสุลต่านจึงได้มา ขี่รถเก๋งมีพระกลดทองกั้นมาในรถ ทหารม้าแห่น่าหลัง แล้วมีรถตามเสด็จเชิญเครื่องยศกลดกระบี่หลายรถดูไม่ทัน พวกปเงรันหนุ่ม ๆ เก้าคนเข้ามาในกระบวรด้วย ในรถที่นั่งนั้นมีสุลต่านกับรตูประไหมสุรี รเด่นอธิปติอนุม ปเงรันอธิโนโกโรลูกสุลต่าน พอรถถึงน่าโฮเต็ล เรสิเดนต์แลแอสสิสตันเรสิเดนต์ลงไปคอยรับ สุลต่านออกจากรถ อธิโนโกโรถือหางผ้านุ่งตามออกมาก่อน เรสิเดนต์เข้าไปกางแขนจูงมืออย่างเลดี พอแลเห็นนึกว่าแกจะฟกเดิรไม่ไหวจึงต้องจูง ที่ ๒ นั้นรตูตามออกมาไม่มีใครจูง ที่ ๓ ปเงรันอธิปติอนุมหรือจะเรียกสั้น ๆ ว่าประบูอนุมก็ได้ ออกจากรถ แอสสิสตันเรสิเดนต์เข้าไปจูง ช่างพิศวงเสียจริง ๆ แลอดหัวร่อไม่ได้ เพราะผู้หญิงไม่ต้องจูงผู้ชายกลับต้องจูง ยังวิเศษมากที่ต้องมีคนถือชายผ้า เหมือนกับเลดีจะเข้าวัดแต่งงาร เครื่องแต่งตัวนั้นก็กระปุกกระปุยดีด้วย เราเดิรออกไปรับที่กลางห้อง จับมือกันอย่างฝรั่ง พวกที่เชิญเครื่องยศ ตามขึ้นมานั่งอยู่ข้างหนึ่ง พวกปเงรันทั้งปวงขึ้นมา จับมือกันเรื่อยไปเปนกองแล้วจึงถึงรเด่นอธิปติ ปตินายโกแลผู้น้อยลงไปอีก เขาบอกว่าจำเปนจะต้องจับมือแต่รเด่นอธิปติคนเดียวเท่านั้น แล้วพาเข้ามานำเฝ้าแม่เล็กอีกทีละคน ๆ แล้วจึงได้นั่ง สุลต่านนั่งข้างซ้ายเรา แล้วเรสิเดนต์ ต่อไปประบูอนุม แล้วถึงเจ้านายของเรา ปเงรันอธิปติ ๒ คนนั่งปลายแถว ขุนนางของเรายืนอยู่หลังเก้าอี้ พวกมหาดเล็กสุลต่านนั่งหลังเก้าอี้สุลต่าน ข้างขวาแม่เล็กรตูแล้วเมียเรสิเดนต์เมียคอลแนนคอมมานดิง ทหารประจำเมืองยกยา เลดีอินเวตติง ๒ คน แล้วผู้หญิงพี่น้องสุลต่านอีก ๒ คน หลังรตูพวกผู้หญิงเชิญเครื่อง นั่งเหมือนสุลต่านที่ตรงน่าแถวในพวกปเงรัน ๙ คน ต่อออกไปอีกรเด่นอธิปติแลพวกปติต่าง ๆ นั่งขัดสมาธิเรียงเปนแถวทั้งสิ้น ผู้ซึ่งนั่งเก้าอี้ได้มีแต่ที่แต่งยุนิฟอมทหารเท่านั้น นอกนั้นต้องนั่งเก้าอี้กับพื้น ยกเสียแต่ประบูอนุมคนเดียว สุลต่านเปนคนรูปร่างใหญ่แลงามดี อายุประมาณสัก ๕๐ เศษ กิริยาช้า ๆ เปนผู้ใหญ่ แต่แขงแรงไม่กระปลกกระเปลี้ยหน้าเต็มไม่เหี่ยว ผมหงอกบ้างแต่หนวดยังดีอยู่ตัดเรียบสั้น ๆ กันข้างบนลงมาให้เสมอเท่ากันกว้างขนาดสักเท่าปลายพลูจีบ ดูรูปหน้าดวงตาคล้ายเจ้าพระยาศรีพิพัฒแพ รูปร่างก็จะเกือบเท่ากันด้วยฟันดำ จะพรรณาด้วยเรื่องเครื่องแต่งตัวอยู่ข้างจะยากแต่ลองดู นุ่งกางเกงปูมอย่างชวา พื้นแดงลายแย่งใหญ่จดถึงข้อเท้าเชิงปักดิ้น นุ่งผ้ากายน์ลายศิลาเปนลูก ๆ เรียกปรังรุสักผืนใหญ่ยาวตามที่ว่า ๔ เท่า ผ้ากายน์สามัญ เพราะเปนเครื่องต้น ที่ขุนนางนุ่งสองเท่าผ้ากายน์เท่านั้น ชักพบเปนกลีบ ๆ หยักรั้งข้างขวาเห็นกางเกง ข้างซ้ายคลุมลงไปจนระพื้น ชายข้างหลังห้อยยาวออกมาสำหรับคนเชิญ ถ้าไม่มีคนเชิญเช่นประบูอนุม ใช้เกี่ยวไว้กับกฤชที่เหน็บคาดสายแถบทองมีครุย ๒ ชายห้อยมาข้างขวา สวมเสื้อขาวชั้นในอูมคอจดลูกคาง มีดุมเพ็ชร์ที่อูมคอ ๓ เม็ด ต่อลงมาที่อกอีกเปน ๑๒ เม็ดด้วยกัน แขวนตราคอมมานเดอนิเทอแลนไลออน เสื้อชั้นนอกกำมหยี่สีน้ำเงิน ชายคล้ายอย่างน้อย แต่อูมคอสูงถึงลูกคาง ติดดุมอีก ๑๒ เม็ด แต่ขัดดุมชั่วแต่ตอนล่างตอนบนเปิด ติดตราเพ็ชร์ดวงหนึ่งเปนของทำมาแต่นอกเพ็ชร์เม็ดใหญ่ ๆ งามดี กลางเปนตัว W ได้ความว่าตราดวงนี้เปนของอังกฤษให้สุลต่านคนใดคนหนึ่ง บางทีจะเปนฮมังกุภูวโนที่ ๓ แต่ใจกลางเขาเปนอย่างอื่น เมื่อชวากลับตกเปนของดัช จึงเปลี่ยนเอาตัว W ชื่อเจ้าแผ่นดินใส่เปนเครื่องยศสำหรับสุลต่าน ไม่ได้เปนบัตรเปนตราอันใด อีกดวงหนึ่งเปนกางเขนสำหรับคอมมานเดอนิเทอแลนไลออนประดับเพ็ชร์เหมือนกัน ตรานี้ว่าเปนของพ่อสุลต่าน เดี๋ยวนี้ซื้อหาขึ้นเอง เวลาเมื่อสุลต่านยังไม่ได้ตราก็เก็บไว้ เมื่อวิลันดาให้ตราไม่ได้ประดับเพ็ชร์ แต่เห็นไม่งามเอาตราของพ่อใส่ มีสายนาฬิกาสร้อยทองกว้างประมาณสักครึ่งนิ้วสวมคอ หูที่รูดเปนตัว H B หมายความว่าฮมังกุภูวโน แล้วมีมงกุฎฝรั่งอยู่ข้างบน ประดับเพ็ชร์พลอยสายหนึ่ง สายนาฬิกาเพ็ชร์รูปอย่างธรรมดาแต่ใหญ่ขนาดเดียวกันกับสายคล้องคอ ประดับเพ็ชร์เกือบไม่เห็นเรือนติดขวางอกอีกสายหนึ่ง ข้างหลังมีช่องเจาะที่เสื้อเหน็บกฤชด้ามเฉออกมาข้างขวา ผมเกล้ามวยเล็ก ๆ เปนรูปแมลงปอมีหวีด้ามกระคิ้วประดับเพ็ชร์อันหนึ่ง ผีเสื้อเพ็ชร์เกาะที่ปลายมวยตัวหนึ่ง สวมหมวกเรียกว่าโกลุก พื้นเปนขนบีเวอร์ดำรูปร่างเหมือนปลอกนิ้วมือที่เย็บผ้าฤๅมาลาเส้าสูงไม่มีใบบัว มีกรอบทองที่ริมหมวกแลรัดกลาง ข้างบนแยกลงมาเปนแปดสาแหรก สวมรองเท้าสลิบเปอประดับเพ็ชร์ไม่มีถุง แหวนใส่นิ้วชี้กับนิ้วก้อยข้างละ ๒ วงเพ็ชร์ใหญ่ ๆ เปนหมดเครื่องแต่งตัวเท่านี้ ประบูอนุมแต่งเหมือนกันกับสุลต่าน แปลกแต่สายนาฬิกาเปนเพ็ชร์เม็ดใหญ่ ๆ เช่นสายสร้อยคอ พวกปเงรันทั้งปวงนุ่งผ้าปุกปุยที่เรียกโกด๊กอย่างผืนเล็กเหมือนกัน เสื้อชั้นนอกก็เปนรูปอย่างน้อยแต่พื้นสักหลาดปักทองอย่างเสื้อฝรั่งมีนาฬิกาคล้องคอทุกคน เปลี่ยนแต่ตัวหนังสือตามชื่อ แต่กายน์ที่นุ่งนั้น มักใช้ท้องขาวมีลายแต่ที่ขอบโดยมาก รตูแต่งนุ่งกายน์ปรังลูสักสวมเสื้อกำมหยี่สีน้ำเงินยาวเสมอน่าขาขอบเสื้อปักทอง ติดเข็มกลัดเปน ๓ อันเถาเรียงลงมาที่อก ที่แขนเสื้อมีลูกดุมเปนราว ผมเกล้าอย่างไรเห็นไม่สนัด แต่คงมีหวีแลผีเสื้อกลัดเหมือนกัน ตุ้มหูใส่ต่างเพ็ชร์เหมือนลาวแหวนใส่เพ็ชร์เม็ดใหญ่ ๆ แต่อีก ๒ คนสวมเสื้อแพรไม่ได้ปักทอง พวกเชิญเครื่องที่มาวันนี้เห็นแต่ข้างสุลต่านคือเชิญพระแสงดาบไม่สู้ยาวนัก ๔ คน กระบะหมาก ๒ หีบบุหรี่ ๒ กระโถนชุดแลอะไรอีก ๒ คนรู้ไม่ได้ เพราะเครื่องเหล่านี้มีผ้าคลุมทั้งนั้น คนที่เชิญก็มีสายแถบทองคล้องคอ พระแสงก็มีแพรเหลืองพันเสียก่อนจึงจับ เครื่องที่เปนสอง ๆ เหล่านี้ เห็นจะเปนของประบูอนุมสำรับ ๑

พอนั่งเรียบร้อยดังเช่นว่านี้แล้ว ก็เริ่มทักทายปราไสย เราลุกขึ้นยืนนำให้รู้จักเจ้านาย แล้วให้ตราอีกครั้งหนึ่งเวลาลุกขึ้นนั้น ประบูอนุมเลื่อนลงจากเก้าอี้ยกมือขึ้นคมหัวแม่มือเสมอจมูกทุกครั้ง สุลต่านนั้นไม่ถามอะไรเลยเปนแต่คอยตอบ เขาอธิบายให้ฟังว่าเปนการเคารพ เพราะผู้น้อยจะทักผู้ใหญ่ไม่ได้ ตราที่ให้นั้นจุลสุราภรณ์ เพราะเหตุว่าวิลันดาเขาให้คอมมานเดอ แต่แรกไม่ตกลงใจอยู่นานทีหลังพวกวิลันดามาอ้อนวอนขอให้ให้ ที่ไม่ตกลงนั้นใช่จะไม่อยากให้ แต่ไม่รู้ว่าจะจัดชั้นเพียงใด ต่อตกลงกันว่าเปนพอใจจึงได้ให้ นั่งอยู่ประมาณสัก ๓๐ มินิตกลับ เรานึกออกสนุกขึ้นมาว่าเคยจูงผู้หญิงมาหนักยังไม่เคยจูงผู้ชายโดดเข้าไปจูงแกไปส่งที่รถ ดูแกปลื้มเสียจริง ๆ เราก็ยังไม่รู้ได้ว่าเหตุผลต้นปลายเปนอย่างไร พอไปกันหมดสักครู่หนึ่งเราก็ขึ้นรถเข้าไปในกราตน กระบวรแห่เหมือนสุลต่านมาขาดแต่เครื่องยศ แอสสิสตันเรสิเดนต์ขึ้นรถด้วย ไปตามทางที่ไปเมื่อคืนนี้ เข้าประตูไม่มีบานไปสัก ๓ ชั้นจึงถึงประตูวัง น่าตาเหมือนประตูสถานมณเฑียรที่วังน่า มีคนดูแน่นตลอดทาง ประตูนั้นอยู่ด้านเหนือหลังอาลูนอาลูน มีศาลาหลังหนึ่งอยู่ตรงนั้น มีตาแก่เปนฝรั่งดำ ๆ หัวหงอกขาวมาคอยเปิดประตูรถคนหนึ่ง ว่าเปนวิลันดาโบราณอะไรอยู่มานมนาน เปนนายประตูใหญ่ อีกคนหนึ่งแต่งตัวยุนิฟอมทหารวิลันดาแก่คร่ำเหมือนกัน ว่าอยู่กับสุลต่านมากว่า ๕๐ ปีแล้ว เคยรับอาสาไปจับพี่ชายสุลต่านแลลูกของสุลต่านฮมังกุภูวโนที่ ๕ ซึ่งไม่ยอมนอบน้อมต่อสุลต่านเดี๋ยวนี้ ถัดเข้าไปมีทหารเฝ้าประตูถือหอกชวายาว มือซ้ายเหน็บกฤชเชิงงอนนุ่งโกด๊กสวมโกลุกแต่ไม่ได้ใส่เสื้อ ท่าที่คำนับนั้นคือเอนหอกข้างมือซ้ายมือขวาจับเชิงงอนกฤช พอก้าวธรณีประตูเข้าไป มีตาแก่ ๆ หลายคนแต่งเปนทหารฝรั่งโบราณท่าปริเซนอามหัวสั่นหัวคลอนปืนสั่นออกดก ๆ น่ากลัวตก พอออกจากผนังที่กั้นเปนลับแล มีศาลาอยู่ ๒ ข้าง น่าศาลาเปนทหารแต่งตัวต่าง ๆ ถือปืนบ้างถือหอกบ้างมีแตร รเด่นอธิปติแลปตินายะโกคอยรับอยู่ที่นั่น เข้าประตูอีกชั้นหนึ่งมีทหารแต่งอย่างฝรั่งถือปืนชนวนทองแดงมีแตรอีกวงหนึ่ง พวกปเงรันอธิปติแลปเงรันสามัญประมาณสัก ๑๑ คน ๑๒ คนรับอยู่ที่นั่น ต่อเข้าไปอีกถึงกลางพระลานชั้นกลาง ประบูอนุมเดิรกั้นกลดทอง มีเถ้าแก่นุ่งผ้าโกด๊กผ้าซ่าโบะคาดอกมีผ้ากราบแดงพันอีกชั้นหนึ่งเหน็บมีดเชิญเครื่องตามหลังเปนคู่ ๆ ๓ คู่ พอเดิรมาถึงกันก็ซุดนั่งลงคมเราจับมือไห้ลุกขึ้น แล้วกางแขนก้ม ๆ เข้ามาจะจูงเรา เมื่อหัวเราะสุลต่านแกมาสด ๆ จะให้จูงอย่างไรได้เลยนิ่งเสีย ดูแกจะนึกว่าโกรธหรืออะไรอย่างไรดูหน้าไม่ปรกติเดิรเลี่ยงห่างออกไปสัก ๓ วา ไม่เข้าแถวที่เราเดิร นึกออกรำคาญหน่อย ๆ เข้าประตูอีกชั้นหนึ่งถึงลานข้างในเปนพื้นทรายหรือผงเกลี้ยง มีคนนุ่งโกด๊กสวมโกลุกขาวไม่ได้ใส่เสื้อเหน็บกฤช นั่งเปนระเบียบเต็มไปเห็นจะกว่าพันคน มีทหารฝรั่งแลแตรอีกแถวหนึ่ง เรสิเดนต์จูงสุลต่านออกมายืนอยู่ที่น่าลานนอกหลังขวางน่าท้องพระโรง จับมือกันอย่างก้ม ๆ แล้วแกก็กางแขนจะจูงอีก เราก็ดื้อเอาอีก แต่แกไม่เรี่ยเพราะแอสสิสตันเรสิเดนต์บอกว่าไม่ต้องจูง เดิรเคียง ๆ กันเข้าไปในปันดโป คือท้องพระโรงสี่เหลี่ยมยกพื้น ๒ ชั้น ปูศิลาขาว เสาในประธาน ๔ ต้น สลักลายก้านขดปิดทองล่องชาด เพดานปันเปน ๔ ห้อง สลักลายปิดทองล่องสีอย่างชวาดูงามดีกว่าทุกแห่งบรรดาที่ได้เห็นในชวา เว้นแต่ไม่สู้ใหญ่ แขวนระย้าแก้วเรียงรายรอบไปทั้งนั้น ไปนั่งที่แบบเดียวกันกับที่โฮเต็ล พรมที่ปูในปันดโปนั้น โรยบุหงาเต็มไปทั้งนั้น ปันดโปนี้หันน่าไปข้างตวันออก ตั้งเก้าอี้นั่งหันน่าทางตวันออกหันหลังให้พระราชมณเฑียร ตรงน่าปันดโปออกไปเปนหลังขวางพื้นเปนทรายหรือฝุ่นหนาสัก ๒ นิ้ว แปลกกันกับที่โฮเต็ล แต่เพียงบรรดาขุนนางต้องนั่งกับฝุ่นทั้งสิ้น พวกปเงรันนั่งบนชั้นลด ชั้นบนมีแต่พวกนั่งเก้าอี้กับคนเชิญเครื่องเท่านั้น แต่การที่จะขึ้นไปบนยกพื้นเหล่านั้นมิใช่ง่าย ประบูอนุมเองจะขึ้นต้องหยุดนั่งไหว้ทุก ๆ คั่น เราลืมพูดถึงเด็กคนนี้ไป อายุเห็นจะประมาณสัก ๑๘-๑๙ ปี ขาวผิวพรรณงามหน้าตาก็ดี ตาโตรูปร่างอ้วนใหญ่กิริยาเรียบร้อยน่าเอนดู แต่จะเปนธรรมเนียมที่ฝึกหัดกันอย่างไรดูเดิรก้ม ๆ ช้า ๆ ท่าทางเหมือนคนแก่ โตขึ้นก็จะเหมือนสุลต่านนั่นเอง แต่รตูนั้นเปนคนสวยผิวเนื้อดำแดง กิริยาอาการเหมือนผู้หญิงผู้ดี ๆ ของเรา แต่ไว้วางเปนผู้ใหญ่ยิ้มแย้มแจ่มใสพูดช้า ๆ เบา ๆ อายุ ๓๐ เศษเล็กน้อย ข้างด้านหลังปันดโป ผู้หญิงนั่งเปนระเบียบหลายร้อยคนเต็มแน่นไปเหมือนกัน ล้วนแต่คาดอกไม่ได้ใส่เสื้อทั้งนั้น น่าชมเขาอย่างหนึ่งในการที่บังคับผู้คนกันอย่างไร คนตั้ง ๒ พัน ๓ พันไม่ได้มีเสียงกริบกรอบไอจามอย่างไรเลย

การรับรองข้างแขกเปนธรรมเนียมที่เสมอทุกครั้งทุกคราว ที่ควรจะกล่าวเสียครั้งเดียวให้เปนแล้วกัน คือพอแรกไปนั่งมีคนถือถาดถ้วยน้ำชา ๒ ถ้วย ๆ กาแฟ ๒ ถ้วยมีกาแฟน้ำชาน้ำตาลนมมาในนั้น ยืนชูอยู่ที่ตรงหน้าสุลต่านเจ้าของบ้านต้องถามว่าจะกินน้ำชากาแฟหรือไม่ เราต้องตอบว่าจะกินหรือเปนแต่ผงกหัวก็ได้ สุลต่านก็ไม่ต้องสั่งอะไร เจ้าคนที่ถือเข้ามาคุกเข่าชูถาดอยู่ตรงหน้า สุลต่านต้องถามอีกครั้งหนึ่งว่าจะกินน้ำชาหรือกาแฟ เราบอกว่าอะไรแกก็หยิบกาสิ่งนั้นขึ้นรินทั้ง ๒ ถ้วย คราวนี้เปนน่าที่ของแขกที่ไป คือเราต้องเอาคีมคีบน้ำตาลใส่ทั้ง ๒ ถ้วย สุลต่านต้องร้องว่าแต่น้อย แล้วสุลต่านหยิบนมวัวรินทั้ง ๒ ถ้วย เราต้องร้องว่าแต่น้อย แล้วเปนเสร็จพิธีกินได้ ในเวลาที่แต่พอคนยกถาดเข้าไปคุกเข่า แตรก็ต้องเป่าธีมาช กำมลังก็ตีเพลงกินน้ำชา คนใช้รออยู่ พอเห็นสิ้นเพลงก็ยกที่บุหรี่กับชุดทำด้วยก้านมพร้าวบ้างก้านชิดบ้าง เหลาเปนไม้กลม ๆ มัดติดกัน ๓ อันเข้ามายืนอยู่ สุลต่านต้องถามว่าจะสูบบุหรี่หรือไม่ เราพยักหน้าบุหรี่ก็มา พอเราหยิบขึ้นสุลต่านก็รับเอาชุดมาส่งให้ กำลังเราจุดอยู่ เขาก็หยิบของเขา พอเราจุดแล้วก็ส่งให้ คราวนี้พิณพาทย์เปลี่ยนเพลงแต่เขาไม่ได้บอกชื่อ เราเรียกเอาเองว่าเพลงสูบบุหรี่ พอหมดเพลงพิณพาทย์ คนถือถาดกาไหล่ทองมีถ้วยต่าง ๆ ในนั้น คือ ถ้วยน้ำแลถ้วยเหล้าตั้งแต่แชมเปนลงไปจนเหล้าหวานอย่างละ ๒ ถ้วยเปนสำรับละ ๘ ถ้วย มีฝากาไหล่ทองหรือทองจริงก็ไม่รู้ มีชื่อฝรั่งแลมงกุฎอยู่ข้างบนปิดทุก ๆ ใบ ถ้าบรรดาศักดิ์น้อยลงไปก็ลดลงไปตามลำดับ กับกระเช้าใส่เหล้าต่าง ๆ แลไอยบลันดามายืนชูอยู่อิก สุลต่านต้องถามว่าจะกินอะไร ข้อที่จะบอกว่าไม่กินนั้นเปนกิริยาไม่ดีเลย จำจะต้องกินอะไรมิอะไรอย่างหนึ่งสองอย่าง แต่การที่จะบอกชื่อเหล้านั้นยากมิใช่ง่าย ต้องเรียกตามเสียงวิลันดาแล้วแปลเปนชวาอีกชั้น ลองเล่นเสี่ยงทายหยิบถ้วยตามบุญตามกรรม มันมาไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไรซดกันเรื่อยไป แม่เล็กเคยรู้มากครั้งหนึ่งหยิบเอาถ้วยเล็กหมายว่าจะได้กินแต่น้อย มันออกเปนเหล้าหวาน ตกลงต้องเข็ดไม่หยิบถ้วยเล็กอีกต่อไป เวลากินเหล้านี้ก็ตีพิณพาทย์ ไม่ว่าน้ำชากาแฟหรือเหล้า ถ้าเรากินอะไรแกกินเหมือนกัน ธรรมเนียมเช่นนี้ใช่ว่าจะใช้แต่ที่ยกโช แล่นตลอดไปจนกระทั่งเรสิเดนต์แลผู้อื่นโดยมาก จะเปนธรรมเนียมแขกหรือธรรมเนียมวิลันดาไม่รู้แน่ เพราะทั้งสองพวกถ้าได้เคยทำอะไรเสียครั้งหนึ่งแล้วย้ำอยู่นั่น เสียเวลา ๑๕ มินิตเปนอย่างน้อย ลางทีก็เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้เล่นอะไรต่อไป ไปบอลในคลับแห่งหนึ่งแห่งใดก็เช่นนี้เหมือนกัน เสร็จพิธีแล้วจึงได้เปิดบอล การสนทนาปราไสยกันอยู่ในระหว่างนั้น ข้างผู้หญิงมีกินสีรีแทนบุหรี่ แต่พวกสีรีของชาววังนี้ไม่กองพลูมาให้ป้ายปูนเอง ใบพลูตัดก้านอย่างยาว ๆ ให้มีใบอ่อนติดอยู่บ้างเล็กน้อย แล้วซ้อน ๆ กันให้ก้านตรงตัดให้เสมอกันเปนลำดับกัน ถ้าพลูมากนักก็ยักใช้ใบเล็กแซมข้างในให้ได้ ๗ หรือ ๑๑ หรือ ๑๕ ก้านสีเสียดสอดไว้ในพลูใบที่ ๓ หรือที่ ๔ มีหมากดิบอ่อน ๆ ผ่าทั้งเปลือกฝานบาง ๆ ใส่ในไส้พลูแล้วเอาพลูอีกใบหนึ่งห่อนอกพันทางขวางหันน่าใบออกแล้วเอาด้ายผูก ส่วนปูนนั้นเอาพลูขนาดเล็ก ๆ ที่มีใบอ่อนติดเขื่องหน่อยหนึ่ง ทาปูนที่น่าใบพลูแล้วจีบเอาข้างหลังออกเหมือนพลูจีบเล็ก ๆ รัดด้าย ยานั้นห่อใบตองแต่ละคำ ๆ โตเท่าขนมเทียนนมสาว เวลาที่กินกัดทางก้านพลู ก้านเข้าไปเคลอะคละอยู่ในปาก แล้วกัดปูนตาม แต่ใช้กัดข้างปลาย แรกกินเข้าไปดูคับปาก แต่เคี้ยวประเดี๋ยวเดียวก็ละลายหายหมด ควรจะเรียกว่ากินพลูแท้ เพราะมีหมากนิดเดียว พลูออกเปนกอง แต่ยานั้นที่ผู้ดี ๆ ไม่เห็นเขาจุกกัน เอามาเช็ดฟันแล้วก็ทิ้งเท่านั้น

พอเสร็จการพิธีรับรองนี้เลิกพรมปูทางซึ่งปูเข้ามาแต่ประตูกราตน แล้วจึงค่อยยกเครื่องกำมลังมาทีละสิ่ง ๆ ต้นบทคนเสียงลูกคู่มานั่งเข้าที่บนพื้นลดปันดโป แล้วพิณพาทย์จึงได้ทำเพลง ทั้งที่ได้จัดที่ทางไว้พร้อมแล้วกว่าจะเสร็จก็ช้า พอพิณพาทย์ขึ้นพวกนางรำเสรมปี ๔ คนก็เดิรเปนคู่ ๆ มีเถ้าแก่กำกับคู่ละ ๒ คน เดิรได้จังหวะพิณพาทย์ก้าวสั้น ๆ พอหัวแม่ตีนจดส้นออกมาแต่ในพระที่นั่ง เมื่อถึงที่เลี้ยวยักหน้าสบัดคอทีหนึ่งทุก ๆ หัวเลี้ยว อ้อมไปตามเฉลียงจนถึงด้านน่าขึ้นมาบนปันดโปแล้ว นั่งอยู่ปลายห้องขัดสมาธิแต่ไม่แบะขาคล้าย ๆ นั่งยองยอง เอาตีนซ่อนไว้ในผ้านุ่งหมด เครื่องแต่งตัวเสรมปีนุ่งกายน์อย่างลายปรงลูสัก ปล่อยชายลงไปลากดินอยู่ยาวสักคืบหนึ่งกว่า สวมเสื้อกำมะหยี่สีเขียวขอบปักทอง ที่แขนสั้นเพียงไหล่เชิดขึ้นต่ำ ๆ เปนอินทธนู หรือเหมือนพระกรน้อยสังเวียนหยัก คาดแพรชายเลื้อยลงไปข้างหน้าถึงพื้น แล้วคาดเข็มขัดทับแพรอีกทีหนึ่ง เหน็บกฤชฝักทองทั้งสิ้น ปลายแขนมีกำไลทองเปนแผ่นกว้าง ๆ ต้นแขนผูกบานพับมีตาบน่าอกซ้อนกัน ๓ ชั้นทองคำประดับเพ็ชร์ หัวใส่กรอบหน้าดูเปนแฉก ๆ เหมือนจำปาครอบหัว กลีบจำปาเปนกำมะหยี่ดำปักเลื่อม ในระหว่างกลีบนั้นจะโกนผมฤๅจะทาขึ้นไปบนผมก็ไม่รู้ เปนสีเหลืองขมิ้นเหมือนกับหน้า ถ้าโกนจริงก็อาการหนักไม่ใช่เล่น เพราะมันเข้าไปครึ่งหัว เขาชอบหน้ากว้าง ๆ มวยนั้นเกล้ากลมที่ท้ายทอย แต่มีหางไก่ห้อยลงไปยาวถึงกลางหลัง สวมถุงตาข่ายดอกมลิทั้งที่กลมแลที่เปนชายห้อย ปักปิ่นเพ็ชร์เปนดอกไม้ไหวห้าดอกเหมือนปิ่นที่ปักเกี้ยวท้ายรัดเกล้าละคอนไม่ได้ผิดกันเลย ตามมวยมีพวงเพ็ชร์จะเปนตุ้มหูหรืออะไรแซกอยู่ในผม บางคนก็มีมากบางคนก็มีน้อย ตุ้มหูใช้ต่างเพราะหูเขาเจาะใหญ่เหมือนลาว นิ้วสวมแหวนหกนิ้วทุกคน เมื่อนั่งอยู่เช่นนั้นแล้ว ผู้ซึ่งเปนต้นบทอ่านคำยอพระเกียรติ สุลต่านบอกเราเองว่าออกชื่อตัวแกหมดตลอดตามยศ คือได้ยินปักกุภูวโนแลอะไรต่อไปอีก มีกลิฟเฟะ ๆ อยู่ในนั้นลงปลายมีไนตคอมมานเดอนิเทอแลนไลออน เจ้าของแกหัวร่อแลสกิดให้เราฟัง เมื่อลงถึงท้ายบอกเหตุผลที่เล่นว่า สุลต่านคนใดคนหนึ่งยกไปตีเมืองแห่งใดจำชื่อไม่ได้เสียทั้งสิ้น เพราะภาษาพึ่งจะเปลี่ยนใหม่มาจากข้างตว้นตกงงเต็มที การที่ไปนั้นมีแต่ทหารผู้หญิง ๔๐ คนก็ตีเมืองได้ อ่านจบแล้วพิณพาทย์ก็ตี ต้นบทก็ร้อง ๆ ลาก ๆ เสียงเปนพระญวนสวดช้า ๆ กลาย ๆ ไม่มีอะไรจะเทียบให้ใกล้กว่า แต่ดีกว่าพระญวนสักหน่อย นางนั้นลุกขึ้นทั้งขัดสมาธิ ไม่รู้ว่าเขาลุกขึ้นอย่างไร ไม่เห็นเอามือเท้า ท่าทีรำนั้นไม่โน้มตัวหรือแอ่นอกใช้รำตัวตรง ถ้าจะเยื้องจะเอนบ้างก็เท่ากับละคอนของเรารำเพลง ใช้มือไม้ก็คล้ายกับละคอนของเรา รำอาไศรยด้วยจับผ้าคาดพุงสองข้างทำท่าต่าง ๆ ชายผ้าที่ลงไปห้อยอยู่กับพื้นเตะเข้าไปไว้หว่างตีน มีบทที่ต้องเตะไปข้างซ้ายบ้างข้างขวาบ้างพร้อมกันกับสบัดผ้า ท่าที่แปลกกับของเราอยู่เรื่องลอยหน้าเปนลอยหัวลอยได้ทุกทิศจริง แต่เขาลอยน้อย ๆ ไม่เหมือนที่การุต นิ้วกระดิกได้ทุกนิ้วรวนไปรวนมา ตีนใช้รำเขย่งแล้วเดิรไปข้าง ๆ ได้อีกอย่างหนึ่ง กระบวรที่รำนั้นปันเปนสองพวก ๆ หนึ่งทำบทพวกหนึ่งเปนแต่ท่าแก้เก้อผลัดกันนั่งผลัดกันยืน อย่างเช่นตาเราดูก็ไม่เห็นแปลกกันนัก แต่เขาเห็นจะเห็นแปลกดูนานหนักหนาจึงได้จบ เมื่อจะจบผลัดกันยิงปืน คู่ที่ยิงปืนยืนอีกคู่หนึ่งนั่งเอามือป้องหน้า ปืนนั้นหันปากบอกลงทางพื้นเสรมปีแลมะโดโยสองอย่างเฉพาะมีได้แต่สองพระนคร คำจะแปลว่ากระไรไม่รู้แน่เขลาไป หาได้ถามที่ยกยาหรือที่โซโลไม่ ไปถามที่บุสโปเขาไม่ยอมบอกเรา ให้คนอื่นเข้าไปถามได้ความหยาบเต็มทีจะพูดจริงหรือพูดเล่นก็ไม่ทราบ

พอเสร็จการเล่นนี้แล้ว พาเข้าไปดูในพระราชมนเทียร ลืมกล่าวถึงข้างปันดโป ทิศใต้มีโรงสังกระสียาวจดกับเฉลียงปันดโปเปนที่สำหรับเลี้ยงโต๊ะ ข้างเหนือมีชลามีตึกสูงสองชั้น หลังหนึ่งอย่างฝรั่งเปนตึกรับแขกเมืองอย่างวังน่า หลังปันดโปเข้าไปมีท้องพระโรงในกั้นสกัดกับปันดโปด้วยกระจกแผ่นใหญ่ ๆ เข้ากรอบเปิดปิดได้เหมือนน่าถัง พื้นต่ำจากชั้นลดปันดโปลงไป เมื่อเดิรผ่านหลังนั้นเข้าไปแล้วขึ้นชั้นลดพระราชมนเทียรโดยด้านรี เปนพื้นปูศิลา ในประธานพื้นปูกระดาน ตรงกลางมีเตียงนอนใหญ่ยาวสัก ๑๐ ศอกหรือ ๓ วา กว้างสัก ๘ ศอกหรือ ๑๐ ศอกในนั้นปูที่นอนหนาสัก ๑๘ นิ้ว มีหมอนหนุนหัวแลหมอนข้างลูกโต ๆ สักอ้อมหนึ่งซ้อนกันขึ้นไปข้างหัวจนจดเพดาน หมอนข้างสูงครึ่งเตียงส่วนยาวนั้นเท่าเตียงทั้งหมอนหนุนหัวหมอนข้าง เรานึกว่าจะเปนโธรน ถามก็ว่ามิใช่ เปนที่สำหรับแต่งงารใหม่ขึ้นไปนอน แต่ดูโตเหลือโตแลมืดแลอยู่กลางห้องด้วย เจ้าพวกฝรั่งนั้นเชื่อเสียว่าเปนแต่เครื่องประดับเรือน วานให้ช่วยถามก็ไปเลือน ๆ เสีย แกก็ไม่อยากบอกอยู่ด้วยกันพอดี ต่อไปที่วังน่าลูกชายแกมาเปนล่าม ถามได้เองจึงได้ความว่าเปนที่สำหรับผีเรือน เรียกว่าพหูรักษา ตำราเขาต้องมีตุ๊กตาเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งอยู่น่าเตียง มีเตียบ ๒ ใบใส่ของกินตั้งอยู่เสมอ ถ้าคนในเรือนนั้นแต่งงารใหม่ต้องขึ้นไปนอนอยู่บนนั้นคืนหนึ่งจริงดังว่า แต่ที่ในวังนี้เก็บตุ๊กตาแลเครื่องเส้นหมด แกเห็นจะอายฝรั่ง เพราะในเรือนนั้นเรสิเดนต์เปนต้นไปมาอยู่เท่าใดต่อเท่าใดไม่มีใครเคยเข้าเลย ดอกเตอร์โกรนนาแมนเปนหมอของสุลต่านมากว่า ๒๐ ปีก็ไม่เคยเข้าไปในนั้น การที่ปล่อยให้เราไปดูเพราะลือกันนักในชวา ว่าเราเปนคนขี้ซัก แลอยากรู้ธรรมเนียมเก่าแก่ของชวา แลเปนผู้รู้เรื่องสาสนาฮินดูหรือถือสาสนานั้นด้วย แลลือจนเกินไปว่าเรารู้ธรรมเนียมชวามาก อาไศรยด้วยเอาเรื่องอิเหนาออกไล่อย่างหนึ่งแปลชื่อต่าง ๆ ที่เปนภาษาสังสกฤตออกดีกว่า พวกชวาเองมักไม่ใคร่รู้ว่าคำใดแปลอย่างไร ที่เปนที่สุดนั้นคือพวกวิลันดาเองน้อยตัวที่จะเอาใจใส่ในเรื่องเหล่านี้ ธุระแต่ในเรื่องทำมาหากินเสียโดยมาก กลายเปนบูชาเราเสียจริง ๆ ท่านพวกแขกก็สั่นหัวกลัวจะปิดอะไรไม่มิดแลอยากจะให้เปนที่พอใจ จึงตีคอว่าปู่ย่าตายายถือสาสนาเดียวกับเรา สำแดงความรู้หรือวิธีอะไรต่าง ๆ ที่เนื่องจากธรรมเนียมฮินดูให้ฟังทั่วทุกแห่ง เปนพิศวงกันที่เรื่องเราจำแม่นในชื่อเสียงต่าง ๆ ซึ่งเขาจำยากอย่างยิ่ง แต่ที่จริงไม่อัศจรรย์อะไรเลย เพราะเราใช้อยู่ในภาษาของเราทีเดียวทำไมจะจำไม่ได้ เช่นคำว่าพหูรักษาเด็ก ๆ ก็เข้าใจ

จะจับเรื่องต่อไป ข้างเตียงนี้มีหีบขาสูง ๆ เหมือนม้ารองสลักลายลูกฟักก้ามปูอย่างไทย ๆ เรานี่เองปิดทองล่องชาด เปนที่เก็บกฤชสำหรับตระกูล บรรดาสิ่งไรซึ่งเปนของสำหรับตระกูล สืบมาแต่ปู่ย่าตายายเรียกว่าปุศบากะ กฤชนี้นับเปนปุศบากะอย่างหนึ่ง ๕ ตู้ด้วยกัน มี ๓๐๐ เล่มเศษ กฤชที่สำคัญ ๆ ผู้อื่นจะชำระไม่ได้สุลต่านต้องชำระเอง ใครจะอยู่ในที่นั้นด้วยไม่ได้ กฤชแต่ละเล่ม ๆ มักจะมีเรื่องพงศาวดารยืดยาว คงต้องมีชื่อผู้ทำแลมีชื่อผู้ที่ถูกแทง มีปาฏิหารต่าง ๆ เช่นกับชักออกต้องกินเลือดเปนต้น กฤชที่ชื่อเสียงโด่งดังอย่างยิ่งนั้น เช่นกฤชของสุนันคิรีที่อยู่บนหลังที่ฝังศพอันเปนที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่เดี๋ยวนี้ มีเรื่องราวยืดยาวต่าง ๆ กัน ฟังดูตามที่พูดนั้น ว่ากฤชเกิดใช้ขึ้นเมื่อครั้งปันหยีสุริยอมิเสสาวงศเมงดังกามูลัง ศักราชชวา ๑๐๐๐ ปีเศษ ศักราชชวานั้นคือมหาศักราชนั่นเองมากกว่าจุลศักราชอยู่ราว ๕๖๓ ปี ปันหยีคนนี้คืออิเหนาวงศเมงดังกามูลังคือวงศสี่กษัตริย์ แต่จะเล่าเรื่องนั้นยังไม่ได้เพราะสอบเรื่องยังไม่ใคร่ลงกันเรียบร้อย กฤชครั้งนั้นเรียกว่ากฤชฮินดูมักจะใช้ด้ามเปนเทวรูป กฤชในชวาชั้นถือสาสนามหหมัด ก็ใช้ด้ามเลียนเทวรูปนั้นเอง แต่ยักให้รูปร่างไม่เปน เรื่องเช่นกับหุ่นหรือหนังเพราะสาสนาห้าม แต่ข้อซึ่งจารึกชื่อในกฤชไล่เลียงดูแล้วไม่มีธรรมเนียมที่ได้จารึกกันเลย ใช้ตีกฤชลายผุดขึ้นมาพอประกอบเปนตัวหนังสือไต้ ถ้าถูกชื่อเจ้าของแล้วกฤชนั้นเปนขลัง หรือนัยหนึ่งเด็กเกิดมาตีกฤชให้ ลายในกฤชนั้นผุดเปนตัวหนังสือ อ่านได้ว่ากระไรก็ตั้งชื่อเด็กตามนั้น เหล็กที่ทำกฤชนั้นตามสุสุนันบอกว่า เปนเหล็กตกมาจากสวรรค์ ยังรักษาอยู่ในตระกูลสำหรับทำกฤช กฤชที่ให้เราเล่มหนึ่งชื่อมังกุหรัด เปนชื่อของเจ้าแผ่นดินในต้นวงศปัตตารำหลายคน ว่าทำด้วยเหล็กสวรรค์นี้เหมือนกัน จะมาแต่สวรรค์หรือไม่ใช่ก็ดี แต่เหล็กนั้นดีกว่าเหล็กสามัญที่จะพึงหาได้ในชวา ทำนองเรื่องประตารกาหลาจารึกกฤชนี้คงจะมาแต่เรื่องเหล่านี้ แต่ที่จริงการที่จะตีเหล็กให้เปนตัวหนังสือผุดขึ้นไม่ต้องผีสางเทวดาอะไรไทย ๆ เราก็ตีได้ กฤชที่ดีนั้นมีอีกแห่งหนึ่งก็ที่เกาะบาลี เพราะเมื่อพวกมหหมัดมาทำลายพระราชอาณาจักร์มายาพหิสซึ่งเปนปลายวงศฮินดู พวกช่างเหล็กที่เปนกำลังใหญ่ของอังควิชัยหนีไปอยู่เกาะบาลี เพราะไม่ยอมถือสาสนาแขก ในกฤชชั้นหลังนี้ นับถือกฤชเกาะบันตัมแลแม่นางกระเบา ซึ่งมีเรื่องราวฤทธิ์เดชในพงศาวดาร ถ้าสนทนาถึงเรื่องกฤชแล้วดูพวกชวาชอบพูดนักจนเหลือที่จะจดจำ ยังอาวุธต่าง ๆ ด้ามยาว ๆ ปักราวเรียงเปนแถวไป สวมถุงผ้าปูมปากถุงแดงราวละ ๖ เล่ม ๗ เล่ม ออกสพรั่งไป อาาธเหล่านี้เรียกว่า ตุมพ ได้ถอดถุงแลถอดฝักให้ดูบางเล่ม คือเล่มหนึ่งนั้นเปนตรีสามแหลมรูปร่างคล้ายฉมวก เรียกว่าตรีศุลชัชยอง อีกเล่มหนึ่งเปนห้าง่าม เรียกนังระโชปโร อีกเล่มหนึ่งรูปร่างเหมือนขอจีบ เรียกนังโคโล อีกเล่มหนึ่งเปนรูปจักรทีเดียว ชั่วแต่มีเปลวยื่นออกไปจากที่คมอีก ๓ แห่ง เรียกว่าจักระ อีกเล่มหนึ่งรูปเหมือนปลายหอกหรือชนัก หยักเปนเงี่ยงข้างหนึ่งโอนออกไปจากด้ามมีคมเหล็กติดอิก ๒ คม เรีย่กว่านังคาละ อิกเล่มหนึ่งรูปร่างเปนหอกใบเข้าแต่หยักเข้าไปเหมือนชนัก มีขอคมอิกข้างหนึ่ง เรียกจังปูเลง อิกเล่มหนึ่งเปนตรีสามง่ามข้างไทยทีเดียว เรียกว่าตรีศุละ หอกอิกเล่มหนึ่งมีรูปหนอนติดอยู่ข้าง ๆ เรียกว่าจะเจงกาเนล จะดูอิกก็ไม่มีเวลา แต่ละเล่ม ๆ ล้วนแต่เหล็กดี ๆ น่ารักแลคร่ำทองยิบไปทั้งนั้น ถ้าให้ดูจนหมดก็รับดูได้ด้วยความยินดี เรื่องวิชาของเราที่เขาถือว่ารู้มากนั้น เรื่องอาวุธนี้อย่างหนึ่ง เมื่อถอดถุงออกมาเราเห็นว่ามันตรีศูลเราดี ๆ มันจักรเราดี ๆ ก็ทักว่าตรีศูลว่าจักร ฮากันลั่น ๆ ไปว่ารู้มาก แต่ที่แท้อ้ายของเรามันมีเท่านั้น ในเรือนหลังนี้มีรูปรตูคนที่ ๒ ซึ่งเปนแม่ประปูอนุม ดูหน้าตาสวยมาก แต่เขาว่าขึ้หึงอย่างยิ่งจนกินยาตาย เพราะสุลต่านรักรตูเดี๋ยวนี้ เมื่อยังเปนรเด่นอายูอยู่ รตูคนเก่ามีลูก ๙ คน ชาย ๕ หญิง ๔ คนใหญ่เปนประบูอนุมแล้วตาย คนที่ ๒ เปนบ้า ประบูอนุมเดี๋ยวนี้เปนที่ ๓ สุลต่านไม่ใคร่จะสบายด้วยเรื่องลูกนี้มาก ฝรั่งเขาว่ารตูคนเก่าเปนคนจองหองและกิริยาหยาบคายไม่สมกับที่สวย แต่คนนี้ดีนัก มีลูก ๑๒ คน ลูกคนใหญ่อายุถึง ๒๐ ปีแล้ว เวลาเข้าไปดูพระราชมนเทียรนี้ พวกผู้หญิงนั่งเต็มแน่นไปทั้งนั้น ไม่รู้ว่าใครเปนใครสาวก็มีแก่ก็มี เห็นจะมีคนดี ๆ อยู่ในนั้นมาก บางคนเขาเห็นเดิรมายกมือไหว้ก็มี แต่เรามัวดูอาวุธเสีย จะถามก็ไม่ดีเลยงด พอดูที่นี่แล้วพาไปที่พระที่นั่งราชฤดี เปนตึกอย่างบลันดาเตี้ย ๆ แต่งอย่างฝรั่งเหี่ยว ๆ มีรูปใครต่อใครเปนอันมาก คือพระบิดาพระมารดาแลพระองค์เอง ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ มีประตูบานทำด้วยกระจกไม่มีเงา เปนทางที่เข้าไปที่อยู่ของสุลต่าน เห็นเจ้าจอมหม่อมหมัดหรือพนักงารอะไรคลานเดิรกันต้วมเตี้ยมอยู่ข้างใน น่าเรือนนั้นปลูกต้นไม้กระถาง ตรงทางที่ออกมีลับแลกระจกแผ่นใหญ่กว้างสัก ๓ ศอกสี่เหลี่ยม มีหนังสือตัว H B มีมงกุฎว่าเปนสำหรับกันฝุ่น เราลืมพูดถึงพระที่นั่งหลังที่ไว้อาวุธ มีฝาเปนน่าถังช่องโต ๆ เปิดขึ้นไปมีโซ่เหนี่ยวกับเพดาน ตัวบานนั้นสลักลูกฟักก้ามปูปิดทองล่องชาดลายเดียวเต็มทั้งบาน ดูท่าทางจะไม่ใคร่ได้เปิดจริง เห็นมีใยแมงมุมแลพื้นเพคร่ำพึ่งล้างใหม่ ๆ ที่หลังน่าถังขึ้นไปมีหนังสือสลักในไม้ บอกกำหนดที่สร้าง ประบุอนุมเปนผู้อ่าน จำได้แต่ว่าสร้างเมื่อศักราช อาทิโสโก ๑๖๙๔ ตรงกับคฤศตศักราช ๑๗๖๘ ในการที่จะกลับนั้นลาแล้วก็มาไม่ได้ ต้องพาไปที่ปันดโป ตั้งพิธีกินน้ำชาสูบบุหรี่กินเหล้าอย่างเช่นกล่าวแล้วอีกครั้งหนึ่ง ต่อเสร็จพิธีแล้วขุนนางผู้น้อยออกก่อน รเด่นอธิปติเดิรหลังพวกหนึ่งแล้วปเงรันทั้งปวงออก ปเงรันอธิปติเดิรหลังอีกพวกหนึ่ง คราวนี้ถึงประบูอนุมออก กว่าจะไปได้ไหว้กันเสียจริง ๆ พวกนี้ไปยืนตามที่เมื่อแรกรับทั้งสิ้น แล้วเอาพรมทางปูจึงได้ออกมา สุลต่านก็มาส่งตามแบบ ใครใครก็รับตามแบบกันต่อ ๆ มาจนถึงตาแก่เปิดรถ กว่าจะหลุดออกมาได้บ่าย ๓ โมงช่างดีใจเสียจริง ๆ ร้อนก็เหลือทนหิวก็พ้นกำลัง

กินเข้าแล้วอาบน้ำไม่ทันจะพักได้สักกี่มากน้อยต้องแต่งตัวครึ่งยศดำไปบ้านเรสิเดนต์ ตั้งแต่มาชวาไม่ได้เคยไปเยี่ยมตอบเรสิเดนต์เลย แต่ครั้งนี้แกบอกตามตรงว่าขอให้ไปเหยี่ยมตอบสักหน่อยหนึ่งเพราะพวกแขกจะดูถูก เมื่อไปถึงเรสิเดนต์แลเมียมาคอยรับอยู่ที่ถนนในบ้านพร้อมด้วยข้าหลวงผู้น้อยทั้งปวง พาเข้าไปในห้องกลางที่มีโธรน กว้างขวางใหญ่โต โธรนนั้นสำหรับถ้าคอเวอนเนอเยเนราลมาก็ได้นั่ง ถ้ามีงารประจำปี คือปีใหม่ครั้งหนึ่ง วันเกิดกวีนครั้งหนึ่ง มีการเต้นรำที่บ้านเรสิเดนต์ สำหรับสุลต่านกับเรสิเดนต์นั่งด้วยกัน แต่เก้าอี้ที่สุลต่านนั่งต้องยกออกมาจากในวัง ในห้องข้างน่า ๒ ห้องเปนห้องพักสุลต่านห้อง ๑ ห้องรับแขกเรสิเดนต์ห้อง ๑ ข้างหลังเข้าไปห้องซับเปอร์ไม่มีผนังกว้างใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่าห้องข้างน่า เรือนโตจนไม่ใคร่มีอะไรแต่ง เรื่องแต่งเรือนนี้เรสิเดนต์หรือแอสสิสตันเรสิเดนต์บรรดาที่ได้พบแล้วแลพบต่อไปข้างน่า บ่นกันทุกคนว่าฉิบหายเหลือกำลัง ถ้ายิ่งเลื่อนที่บ่อย ๆ ยิ่งฉิบหายมาก เพราะต้องซื้อแต่งเอง เวลาจะไปอยู่ที่อื่นขนเอาไปก็เสียค่าบรรทุกมาก เลหลังไปซื้อใหม่ก็ขาดทุน ลงแต่งด้วยของถูก มีเครื่องยี่ปุ่นเปนต้น แต่เรสิเดนต์คนนี้เมียค่อนจะอยู่ข้างมั่งมี เรือนแต่งเครื่องเงินหลายตู้ การรับรองตั้งเก้าอี้ที่น่าโธรน เปนพิมพ์เดียวกับที่ในกราตน แลตั้งพิธีกินน้ำชามีแตรประโคมเหมือนกันด้วย ต่อเสร็จการพิธีแล้วนำให้รู้จักลูกเมียเก่า เพราะเมียคนนั้นตายจึงมีใหม่ลูกยังอ่อน เมียคนนี้กิริยาอาการดีนัก เปนอย่างที่เรียกว่ารู้ขนบธรรมเนียมดีแท้ นอกจากมิศซิสวันดาไวก์เมียคอเวอนเนอเยเนราลแลมิศซิสกาลเวลส์เมียไวสเปรสิเดนต์ออฟดิเคาน์ซิลแล้วจะหาใครเสมอยาก แม่เล็กรักนัก แล้วพาลงไปเที่ยวเดิรดูรูปศิลาในสวน ๆ กว้างใหญ่รักษาดีพอใช้ มีพระเจดีย์องค์หนึ่งเปนแปดเหลี่ยม แต่เขาว่าผิดยอดผิดถาน เปนของอาชิโอโลยิแลโซไซเอติให้แก่ที่เรสิเดนต์ หาไม่เราก็เอา มีพระพุทธรูปตั้งเรียงรายเปนแถวไป กั้นร่มทุกองค์ ปางต่าง ๆ ดีบ้างชำรุดบ้าง แต่สัปดนทาสีขาวและพระศกทาสีดำเสียโดยมาก เทวรูปที่ดี ๆ เก็บไว้ที่ในเรือนแห่งหนึ่ง ที่ชำรุดแลที่มีมากรายตามต้นไม้ติด ๆ กันเต็มไป มียักษ์ใหญ่ตัวหนึ่งก็โตเกินประมาณ เปนแต่เลือกกะไว้ว่าถ้าไม่ได้ที่บุโรพุทโธจึงจะเอามาที่เรสิเดนต์ แต่เขาบอกว่าที่โน่นชำรุดมากคงจะหาได้ยาก จะลากลับบ้านต้องไปนั่งตั้งพิธีอีกครั้ง จะของดก็ไม่ได้ว่าธรรมเนียมเช่นนั้น

ออกจากบ้านเรสิเดนต์ไปกราตนปักกุอาลำ ที่ประตูน่าแต่งไฟเปนซุ้มสว่าง เข้าไปอีก ๒ ชั้นจึงถึงน่าปันดโป ที่ปันดโปหลังนี้ใหญ่กว่าในกราตนสุลต่านมากแต่เกลี้ยง ๆ ไม่มีลวดลาย เสาลอกไม้ทาสีปิดทอง บรรดาพวกลูกหลานพี่น้องสัก ๑๔ คน ๑๕ คนแต่งตัวเปนทหารวิลันดาทั้งนั้น ล้วนแต่ได้ไปทัพอาจินเกือบทุกคน มีเหรียญรบติดน่าอกคนละอันหนึ่งบ้างสองอันบ้าง เสนาเสไร่ก็มีเหมือนที่สุลต่านแต่อย่างน้อย ๆ ไปนั่งเก้าอี้ตีพิมพ์แลเลี้ยงน้ำร้อนพิธีเหมือนกัน พอเสร็จพิธีแล้วเล่นโตเปงใช้ผู้ชายแต่งตัวคล้ายวายังวอง รำดาบโล่ห์ ๒ คู่ โล่ห์นั้นคือที่บรรณาการแขกเรียกว่าปิสัยหวาย ดาบใช้กระบี่ฝรั่งฝักเหล็กใช้ท่ารำดาบอย่างฝรั่งปนมากแลเปนพื้น เรียกโปนโดโปโยอีก ๒ คู่รำเสน่าห์กับเขนเรียกกุนุงสารี รำดาบกับตาแมงรูปงอ ๆ สวมในมือเหมือนไม้สั้น มีกระบังเขียนเปนรูปวายังอะไรต่ออะไรถือตาแมงเหมือนกัน มือข้างหนึ่งถือกฤชเรียกว่า จิ๊บึ๊ง เราต้องบอกกล่าวว่าการเล่นทั้ง ๓ สิ่งนี้ได้แลดูน้อยนัก เพราะเห็นว่ามันเปนอย่างฝรั่ง แลออกกวน ๆ โมโห เราเปนน้อยกว่าคนอื่นเสียอีก ดูออกปากทั่วน่ากันว่ามันช่างวังน่าเสียจริง ๆ ถิ่นฐานบ้านเรือนแลท่าที่แข่งกับวังหลวงแลการที่เล่นก็เหมือนกับวังน่า เอาท่าดาบฝรั่งมาปลอมว่าตัวคิดเองหรือพระปิ่นเกล้าคิด แต่อิกอย่าง ๑ เปนข้อสำคัญนั้นคือไปเจอลูกแกพูดภาษาอังกฤษได้ ซักอะไรต่ออะไรมีสำมโนครัวเปนต้น เพลินไปจนเขาแล้วกันเมื่อไรไม่รู้ เรื่องวังน่านี้ขันอยู่ชื่อแกก็ปิ่นเกล้าด้วย ปักกุอาลำแปลว่าปิ่นหรือเข็มตรึงโลก สุลต่านชื่อฮมังกุภูวโน แปลว่ากอดโลกหรืออุ้มโลกไว้ ปเงรันอธิปติอนุมชื่อมังกุนคโร แปลว่าอุ้มพระนครไว้ รเด่นอธิปติน้องชายชื่อมังกุภูมิ แปลว่าเอาโลกขึ้นนั่งไว้บนตัก เปนเรื่องโลก ๆ เมือง ๆ เช่นนี้ทั้งสิ้น พอเสร็จการเล่น ๓ ชุดนี่แล้วพาเข้าไปในเรือน อ้ายท้องพระโรงน่าก็ยาวสาหัส เหมือนเรือนสมเด็จเจ้าพระยาหลังยาว ชั่วแต่พื้นชั้นเดียว แต่เรือนไม่สูโต มีเตียงพหูรักษาเครื่องเส้นครบบริบูรณ์ มีปุศบากะต่าง ๆ เรียบเรียงไว้เหมือนอย่างเช่นสุลต่าน เปนแต่อย่างละน้อย ๆ ลง เครื่องยศตั้งตู้กระจกไว้ก็เปนเครื่องเงินมาก มีของวิเศษคือสมุด ๒ เล่มของปักกุอาลำคนแรกเขียนเอง (เดี๋ยวนี้คนที่ ๕) ใบปกหุ้มทองคำประดับพลอยเล่มหนึ่ง หนาสักคืบหนึ่ง กว้างสัก ๑๖ นิ้ว ยาวสัก ๑๘ นิ้วหรือ ๒๐ นิ้ว ใช้กระดาษฝรั่งอย่างโบราณหยาบ ๆ หนา ๆ หนังสือเขียนเปนอักษรชวา แต่เปนคำกาวี คือกาพย์ภาษาสังสกฤตโดยมากทุก ๆ น่า มีกรอบเขียนสีแลทองลายเลอียดเปนเรื่องพงศาวดารเชื้อวงศ์ บอกว่าเขียนแต่เมื่อปีคฤศตศักราช ๑๗๙๕ แต่งเอง เจ้าลูกคนใหญ่ปักกุอาลำอ่านทำทำนองให้ฟังดูทำนองก็เพราะดี อิกเล่มหนึ่งเปนคำโก้หร่านแปลเปนชวา เล่มบางกว่าแรกสักครึ่งหนึ่ง ปักกุอาลำคนแรก คงเปนคนมีสติปัญญาแลความรู้มาก แต่คนนี้อยู่ข้างงึมงำไม่ใคร่จะพูดจาอะไรดูหน้าไม่สบายเสียจริง ๆ รูปร่างก็ไม่งามเปนคนแก่สามัญ นั่งอยู่ในกราตนวันยังค่ำก็ไม่พูดอะไรกับใคร ดูไม่มีใครเขาพูดด้วย จับดาบงงอยู่เฉย ๆ วิธีคำนับกันในระหว่างปักกุอาลำกับสุลต่าน ๆ ยื่นมือขวา ปักกุอาลำยื่นทั้งสองมือ สวมมือสุลต่านแล้วมาจูบหรือลูบหน้า กับประบูอนุมต่างคนต่างยื่นมือสองข้างประสานกัน แต่เวลาเจอกันแล้วต่างคนต่างก้ม ๆ ย่อ ๆ กัน ที่นั่งนั้นต่อประบูอานุม พอเสร็จการดูทั้งหลายนี้ กลับออกมานั่งตั้งพิธีใหม่อิกเล่า กว่าจะได้กลับมาถึงบ้านอิก ๑๕ มินิตจะยาม เขาเชิญบอลยาม ๑ เข้าก็ยังไม่ได้กิน แม่เล็กคลั่งเต็มทีจะต้องอดเข้าแต่งตัว ทีหลังต้องตกลงแต่งตัวไปพลางกินไปพลาง ได้ไปที่คลับเกือบ ๔ ทุ่ม เวลาไปกลางทางสนทนาถึงเรื่องปักกุอาลำกับเรสิเดนต์ จึงได้ความว่าแกง่วงงึมงำเพราะไม่สบายใจด้วยเจ้าลูกชายคนเล็ก ซึ่งแอสสิสตันเรสิเดนต์เขาเรียกว่าล่ามของเรา ลักฝิ่นเข้ามาขายเขาจับได้มีสลักสำคัญ สงสัยว่าตาพ่อจะรู้เห็นเปนใจด้วย จึงได้ถอนทหารที่ควบคุมอยู่ ๖๐๐ คนนั้นเสีย เงินเดือนที่เคยได้อยู่ ๔๐๐๐ ก็เลยงดไปด้วย พวกลูกหลานพี่น้องล้วนแต่เปนออฟฟิเซอร์ได้เงินเดือนใน ๔๐๐๐ นั้นทั้งสิ้น พลอยขาดผลประโยชน์ด้วย เลยจนกรอบแกรบไปตามกัน ทั้งเสียเกียรติยศแลขาดผลประโยชน์เช่นนี้ แกจึงยิ้มไม่ออก เราออกเสียใจเปนอันมากที่เด็กคนนั้นเห็นว่ามันคล่องแคล่วดี แลรู้ภาษาอังกฤษพูดกันได้ด้วย เพราะเจ้าพวกวิลันดาหนุนแขกให้มันเปนแขกอยู่เช่นนั้น แลไม่ชอบในการที่จะให้เปนคนอย่างฝรั่ง ก็ส่งท้ายเข้าด้วยเลยเสียคน เรื่องไม่อยากให้แขกเปลี่ยนจากที่ประพฤติอยู่เดี๋ยวนี้ จะได้กล่าวต่อไปข้างน่า

ที่คลับเรสิเดนต์แลแมมเบอร์มาคอยรับที่บันได เรสิเดนต์จูงสุลต่านออกมารับที่ประตู จับมือกันแล้วเราจูงแม่เล็กเลยขึ้นไปนั่งบนโธรนที่เขาทำขึ้นใหม่ นั่งเรื่องเดียวกันกับในกราตน แต่วังน่าไม่ได้ขึ้น พิธีเรื่องกินตามแบบ แล้วยกเปียโนมาตั้ง มีพวกผู้หญิงมากด้วยกันมายืนร้องเพลงสรรเสริญบารมี ซึ่งมีผู้หนึ่งแต่งขึ้นเตรียมสำหรับจะเล่นคอนเสิด ชื่อมีอยู่ในโปรแกรมขอตัดเสีย เอาวันไปเพิ่มที่บุโรพุทโธอิกวันหนึ่ง เพลงนั้นแต่งเปนภาษาดัช แต่แปลเปนอังกฤษร้องดูเพราะดี พอร้องเสร็จแล้วขอบใจ ยกเปียโนไปแล้ว ยังเอะอะกันเรื่องจะเปิดบอลหรือไม่ เพราะไม่ได้จัดการเตรียมไว้ก่อน ตกลงเปนเปิด เราจูงแม่เล็ก สุลต่านจูงเมียเรสิเดนต เรสิเดนต์จูงเลดีอินเวตติง ประบูอนุมจูงเมียนายทหาร นายทหารจูงเมียพระยาชลยุทธ เดินรอบหนึ่งแล้วไปนั่งที่ ลงมือเต้นรำต่อไป พูดกับสุลต่าน เราถามถึงเรื่องประบูอนุมว่ามีเมียแล้วหรือยัง เปนมูลเหตุบอกว่ายังไม่มีแต่มีลูกแล้ว ๒ คน ตัวยังอยู่ที่ในกราตน ที่วังสำหรับประบูอนุมเปนวังใหญ่อยู่นอก เดี๋ยวนี้มังกุภูมิอยู่ ถามว่าได้ตุนาหงันแล้วหรือยัง แกว่าคำตุนาหงันนั้นเปนภาษามลายู ข้างชวาใช้ว่าปัจจาหงัน ยังไม่ได้ปัจจาหงัน ธรรมเนียมการแต่งงาร ต้องทำฝ่ายผู้ชายข้างเดียว คือการที่ไต่ถาม ๆ แต่ข้างผู้ชาย ข้างผู้หญิงบิดามารดาบอกแทนได้ ต่อเมื่อตกลงแล้วผู้หญิงจึงมาจูบตีนผู้ชาย เว้นไว้แต่ถ้าผู้หญิงแก่กว่าผู้ชาย ไม่ต้องจูบ แล้วต้องขึ้นวอด้วยกันแห่แล้วนอนบนเตียงพหูรักษา มีงารต่าง ๆ ต่อภายหลัง การพิธีสำหรับเจ้านายที่ทั่วไปทุกคน คล้ายโสกันต์แลตั้งกรมนั้น คือสุหนัดอย่างหนึ่ง ตั้งเปนปเงรันอย่างหนึ่ง สุหนัดนั้นกำหนดอายุอยู่ใน ๘ ขวบ ๙ ขวบ อธิบายวิธีที่สุหนัดถ้วนถี่ งารที่จะมีต้องมี ๔๐ วันล่วงแล้ว มีบอลมีเสรมปีมะโดโยติด ๆ กันหลายวัน แต่ในเวลาพิธีสุหนัดเองนั้นบรรดาผู้มีบันดาศักดิ์ใหญ่หรือที่คุ้นเคยกับสุลต่านก็เชื้อเชิญไปด้วย เช่นเรสิเดนต์แลแอสสิสตันเรสิเดนต์ก็เคยเข้าไป อิกพิธีหนึ่งนั้นคือตั้งปเงรันก็มีงารเหมือนกัน ในการตั้งประบูอนุมเปนการใหญ่ต้องได้รับตราตั้งจากคอเวอนเนอเยเนราล แล้วมีการประชุมใหญ่ที่ในวัง อ่านประกาศทั้งภาษาชวาแลภาษาวิลันดาแล้วตั้งกระบวรแห่ประบูอนุมกับแอสสิสตันเรสิเดนต์ขึ้นรถไปเที่ยวเลียบเมืองประกาศให้ราษฎรรู้ทั่วกันทุกตำบลบ้านในแขวงยกโช ต่อเสร็จการเลียบเมืองแล้วจึงจะได้มีงาร ๆ นั้นก็เสรมปีมะโดโยจริงอยู่แล แต่ยังมีพระการใหญ่เรื่องวายังวอง การที่จะซ้อมนั้นไม่ใช่การเล็กน้อย ต้องลงทุนเลี้ยงคนวันละ ๒๗๐ คนทุกวัน แลต้องจัดหาเครื่องแต่งตัวกว่าจะพรักพร้อมได้ที่ได้ถึง ๔ เดือน ถ้าเปนงารของเคราน์ปรินซ์ ตัวต้องลงเล่นเองด้วย เล่นหมักหมมกันไปหลาย ๆ วัน ครั้งประบูอนุมคนแรกได้มีงารเต็มบริบูรณ์ แต่คนที่ ๒ สุลต่านเห็นอาการไม่สู้ปรกติแต่แรกตั้ง จึงไม่ได้มีงานการอันใดหน่อยหนึ่งก็เปนบ้า คนเดี๋ยวนี้เปนมาได้ปีหนึ่งแล้วยังไม่ได้มีงารอันใด ลงมือตระเตรียมซักซ้อมวายังวองอยู่แล้ว พอกำหนดว่าเราจะมา ก็ไปเร่งซักซ้อมสำหรับที่จะให้เราดู งารนั้นต่อว่าง ๆ เมื่อใดจึงจะได้มี

ต่อนั้นไปสนทนากันถึงเรื่องอิหนาสอบสวนชื่อเสียงสุลต่าน บอกต้องกันกับภูปติมนุนยาหยาโดยมาก ที่แปลกกันก็แต่ในเรื่องชื่อเมือง ๆ สี่กษัตริย์ กุเรปันเรียกนครวัน หรือเรียกสั้น ๆ ว่ากุราวัน (ควรจะสันนิษฐานได้ว่าเหมือนเมืองนครสวรรค์เรียกสั้น ๆ ว่าครสวรรค์) อยู่ในแขวงมุกตรัน มณฑลมัธยูน หรือมัธยม ซึ่งเราจะผ่านไป ดาหา หรือโดโฮ คำเดียวกันอยู่ในมณฑลกดิรี กาหลัง จังโกโล หรือชังโกโล เรียกไม่สู้ชัดอิกนัยหนึ่ง จิงกาลา หรือชิงกาลา ว่าเปนคำสังสกฤตแปลว่าหมาป่า ก็เปนอันเข้าใจได้ว่าเปนสิงคาละ อยู่ในแขวงสิทรัชโช มณฑลสุรบายะ ที่เรารู้ไปว่ากาหลังบางทีจะเปนท้ายคาละขาดสิง เห็นจะพอเชื่อได้ว่าเปนเมืองนั้น ถ้าจะว่าโดยภูมิประเทศการที่ไปเล่นทเลทรายคราวหลัง จะไปเล่นอย่างเก็บหอยเก็บปูก็ใกล้ทเลมาก หรือถ้าจะไปทเลทรายโบรโม ก็พอไปได้แต่อยู่ข้างจะลำบาก เมืองสิงหัสสาหรีนั้น เดี๋ยวนี้เรียกว่า สิงโดสารี แต่ชื่อที่แท้ว่าสิงหคิริ แปลว่าเมืองราชสีห์ หรือ สิงโต อยู่ในมณฑลปัสรวน พิเคราะห์ดูก็เห็นจริง เมืองสี่เมืองนี้อยู่ข้างท่อนท้ายเกาะชวาข้างตวันออก ระยะทางไม่สู้ห่างก้น เมืองกุเรปัน อยู่ข้างตวันตกห่างจากทเลทุกด้าน นับว่าเปนอยู่กลางเกาะชวาข้างตวันออก รถไฟเดิรเลียบหมู่เขาซึ่งเรียกว่า วิลิศมาหรา ไปจนหมดเขตรเขาแล้วเลยไปอีกจนถึงกาโตโสโน เลี้ยวลงมาข้างใต้จึงถึงกดิรี ซึ่งอยู่ใกล้กันกับดาหา ทางรถไฟอยู่ใน ๓ ชั่วโมง ถ้าจะไปจากดาหาถึงเมืองกาหลังทางก็อยู่ใน ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ตั้งแต่กาหลังไปถึงสิงหัสสาหรีก็ราวกัน ถ้าเปนทางเดิรอย่างด่วน ๆ อยู่ใน ๗ วัน ๘ วัน ถ้าเดิรสบาย ๆ คงอยู่ใน ๑๒ วันขึ้นไปหา ๑๕ วัน ดูยุติด้วยเรื่องราว แต่จะต้องสอบสวนต่อไป สุลต่านรับว่าหนังสือมีอยู่จะช่วยหาให้ เรารับจะจดเรื่องราวเปนภาษามลายูไปให้ แต่เสียทีที่จำอิเหนาใหญ่ไม่ได้ หาไม่จะได้เค้าดีขึ้นมาก แต่ข้อที่จะตัดสินว่าอิเหนาใหญ่ผิด หรืออิเหนาเล็กผิดเปนว่าไม่ได้ เพราะเรื่องที่แต่งเล่นวายังวองมีมากหลายฉบับ เนื้อความไม่ใคร่ต้องกันเพราะเปนเรื่องเก่าเหมือนพงศาวดารเหนือ รู้ว่าพระร่วงมีจริงแน่ แต่เปน ๒ เรื่องอิทธิปาฎิหารต่าง ๆ กัน อิเหนามีจริงเปนแน่แต่เรื่องต่าง ๆ กันไป อยู่ที่คลับจน ๒ ยามกลับ เหนื่อยอ่อนเพลียกำลังทีเดียว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ