๕๗

เมืองยกยาการุต

วันที่ ๔ กรกฎาคม

นอนตื่น ๕ โมงเช้าครั้งหนึ่งเมื่อยเหลือสติกำลังนวดเลยหลับไปอีก จนบ่ายโมง ๑ เขาเอาผ้ากายน์ที่สั่งมาส่ง แลมีคนเอาเครื่องทำด้วยกานพลูมาขายเปนเรือแลที่กาแฟ เรื่องเครื่องกานพลูนี้มีในหนังสือที่เขาแต่งเรื่องมาเมืองชวา ว่าเปนฝีมือช่างชวาอย่างหนึ่ง แล้วรเด่นอธิปติมาหาเปนการแก้ที่เมื่อคืนนี้เจ็บเสียไม่ได้เอาหมวกมาให้เองเราถามถึง ได้ให้ของตอบแทนดูแกเอื้อเฟื้อเปนไมตรีดีมาก เราลืมกล่าวถึงให้ของไปให้สุลต่าน แอสสิสตันเรสิเดนต์รับเปนผู้พาไป ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์แลจมื่นราชามาตย์ไป แต่งตัวเต็มยศ ของที่เอาไปให้นั้นเปนเครื่องถมทั้งสิ้น ประบูอนุมให้ลูกดุมนพเก้าสำรับ ๑ ลูกที่เล่นวายังวองให้นาฬิกาพก ๒ คน นาฬิกาตั้ง ๒ คน พวกหม่อมเจ้าที่เปนเสรมปีให้เข็มเพ็ชร์พลอยเล็ก ๆ คนละอัน แลเราฝากสมุดสำหรับเยี่ยมเยือนไปขอให้สุลต่านเซ็นชื่อ ช่างเปนพระการใหญ่เสียจริง ๆ แกซักถามว่าจะเซ็นทำอะไร ไม่เคยเซ็นให้ผู้ใดนอกจากหนังสือสัญญา ทีจะเข็ดเต็มทีในเรื่องเซ็นชื่อ แอสสิสตันเรสิเดนต์อธิบายให้ฟังถึงเรื่องวิธีเขาเซ็นชื่อในสมุด แกเลี่ยงไปว่าถ้าฉนั้นขอให้เสมียนเขาเขียนเถิด แอสสิสตันเรสิเดนต์ว่าคงจะไม่เปนที่พอใจเราด้วย เราอยากได้ลายมือสุลต่านเอง อึดอัดเต็มที แต่แกรีดเอาจนยอมตกลง แต่ต้องเรียกเสมียนเขามาร่างแล้วอ่านตรวจทีละตัว ขอผัดว่าสัก ๓ วันจึงจะส่ง เขาว่าไม่ได้เปนอันขาด เพราะเราจะออกจากยกยาไปเสียก่อน ๓ วัน แลยังมีคนอื่นจะเซ็นอีกมาก จึงตกลงเซ็นทีละตัว ๆ กว่าจะสำเร็จเบ็ดเสร็จได้ชั่วโมง ๑ เพราะแกไม่เคยเซ็นชื่อเลย เคยใช้แต่ชั่วตีตราเท่านั้น ที่จริงแอสสิสตันเรสิเดนต์ก็ไปเอื้อเฟื้อเกินไปหน่อยหนึ่ง จะให้แกเซ็นให้เต็มชื่อ แกบอกว่าไม่ไหว ชื่อเต็มของแกนั้นคือ สุลต่านฮมังกุภูวโนเสโนปติอังกาลากับอับดุลราหมันปนัตตกามากลีฟาโตลา เวลาบ่ายไปดูทำผ้ากายน์ที่บ้านผู้หญิงฝรั่ง การที่ทำนั้นคือซื้อผ้าขาวมาแต่ยุโรป เวลาจะเขียนซักรีดให้เรียบร้อย แล้วใช้ผู้หญิงเขียนเส้นเหลืองก่อน แล้วจึงเดิรเส้นดำ แล้วถมพื้นย้อมสีตามสีที่จะต้องการ สีที่ทำนั้นคงมีสีแกแลแลครามกับดำเปนพื้น แต้มแดงบ้าง แต่สีเขียวไม่มี ๆ ทำอยู่แต่ที่ปักกันลงงัน ใช้คนถึงร้อยเศษ ทำขายทั่วทั้งเมืองยกยา นอกจากที่ทำในกราตนแล้วไม่มีที่ไหนสู้ ค่าจ้างว่ากันเปนผืน ๆ คนเขียนได้ผืนละ ๔ รูเปีย คนย้อมแลคนต้มค่าจ้างตั้งแต่ ๒๕ เซ็นต์ไปหา ๔๐ เซ็นต์ ขายอยู่ในผืนละ ๒๕ กิลเดอ เขาเร่งให้รีบไปจะค่ำ เจ้าของโรงให้หมอนแม่เล็กใบ ๑ แล้วไปดูสนามแข่งม้า ตั้งแต่เห็นมาสนามนี้เปนดีกว่าทุกแห่ง เขาพาไปที่พลับพลาสุลต่าน ทำอย่างฝรั่งแท้ พนักแลม่านกำมหยี่ ใช้เครื่องเหล็กมาก มีปักกุอาลำรเด่นอธิปติแลพวกเปรสิเดนต์กรรมการในเรื่องแข่งม้ามาคอยรับ ล้วนแต่ติดโรเส็ตมีรูปม้าทั้งสิ้น วิ่งม้าเทศสัก ๖ – ๗ ตัว ม้าแซนเดอวูดสัก ๙ ตัว ๑๐ ตัวเปนแต่ซ้อมเล่น แล้วทหารที่นำตามเราไปเข้าไปซ้อมวิ่งม้าเปนคู่บ้างเปนตับบ้างต่าง ๆ ดูงามดี แต่ที่นั้นหนาวเหลือทน ออกเหนื่อย ๆ เบื่อ ๆ ขี้เกียจ กลับมาค่ำไม่ใคร่สบาย เวลา ๔ ทุ่มเข้าไปในกราตน การรับรองวันนี้ก็เหมือนกับวันก่อน ๆ แต่การเล่นเปนนางรำ ๙ คนเรียกว่ามะโดโย เดิรออกมาจากพระที่นั่งด้วยเพลงช้าเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่วิธีเดิร ๙ คนนั้นคือ เดิรเรียงตัวมาข้างน่า ๓ คนเดิรคู่ ๒ คู่แล้วเรียงตัวมาข้างหลังอีก ๒ คน แต่งตัวก็เหมือนนางรำเสรมปีที่กล่าวแล้ว แต่เหน็บกฤชฝักทองคำทุกคน วิธีที่เหน็บใช้อย่างเหมือนละคอนเราเหน็บกฤช คืออยู่ข้างนั้นเอวข้างซ้าย ได้ถามดูเขาว่าใช้เหน็บกันได้ทั้ง ๒ ข้าง คือเหน็บหลังหรือเหน็บข้าง เดิรออกมานั่งที่เช่นแต่ก่อน แต่ไม่ได้นั่งเปนคู่นั่งเหมือนอย่างเช่นเมื่อเดิรมา มีอ่านยอพระเกียรติแลเล่าเรื่องเหมือนกัน เรื่องที่เล่นนั้นว่าเสโนปติยกไปรบบานัมบาหันเมืองมทยูน บานัมบาหันหนีแต่ลูกสาวตกค้างอยู่ในเมือง เสโนปติไปหาเกี้ยวพานนางนั้นถือกฤชไว้จะคอยแทง แต่ครั้นเมื่อเสโนปติเข้าไปพูดจาเกี้ยวพานในเวลาต่อสู้กัน นางนั้นมีใจรักขึ้นมาจนกฤชพลัดตกจากมือ แล้วก็ยอมเปนเมียเสโนปติ วิธีที่รำก็คล้าย ๆ กันกับเสรมปีนั้นเอง แต่มีเปนนายอยู่คนหนึ่ง คือมีนางทั้ง ๘ คนนั่งล้อมเปนวง นางคนหนึ่งเข้าไปรำกฤชอยู่กลางแล้วจึงแยกกันเปนสองพวก มีคนที่เปนนายโรงยืนอยู่เสียคนหนึ่ง รำกฤชกันเปนคู่ ๆ ภายหลังนางทั้งปวงนั่งเปนแถว ๒ ข้างรำกฤชอยู่กลางวงแต่ ๒ คน รำไปช้านานกฤชพลัดตกลงมา เสียงมันดังโป้กไม่เปนเหล็กเราก็แลดู แกบอกว่าไม่ใช่เหล็กทำด้วยหนัง แล้วต่างคนต่างวางกฤชทั้งสองข้างรำเพลงฝรั่ง นางที่นั่งอยู่อีก ๗ คน นั่งเอามือปิดปากหัวร่อแลอายไปอายมาก็เปนจบเรื่องกันเท่านั้น คนที่มารำซ้ำกับที่มารำเสรมปีทั้ง ๔ คน เพิ่มมาใหม่ ๕ คน แต่ดูจะต้องคัดเลือกรูปร่างกันอยู่มาก เพราะแต่งตัวเปิดหัวไหล่ต้องการคนไหล่ตก ๆ แลที่ไหปลาร้าไม่ขึ้นสูง คนที่มารำดูรูปร่างดี ๆ แต่อายุเห็นจะราว ๒๐ แล้วทั้งนั้นหน้าตาไม่ใคร่จะดี ตามที่ว่ากันว่าบรรดาเจ้านายที่เปนผู้หญิง ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบก็หัดเสรมปีมะโดโยเล่นไปจนอายุ ๑๘ ปีเลิก หรือถ้ามีผัวแล้วเลิก เราไม่เชื่อเลยหน้าตาแก้มคางลดแล้ว แลยังมีปรูฟอีกที่โซโลสุสุนันแกไม่สู้ปิดบังนัก จะได้เล่าต่อไปข้างน่า แต่ลูกสุลต่านที่นี่ไม่ได้เปนเสรมปีแลมะโดโย แม่เล็กสนทนากับรตูด้วยเรื่องลูก ๆ เต้า ๆ วันนี้ให้พาออกมาหา ๔ คน เปนลูกรตูเก่าคนหนึ่ง ลูกรตูเดี๋ยวนี้ ๓ คน อายุ ๑๒ ปี ๒ คน ๆ เล็กอายุขวบครึ่ง ยังมีอีกคนหนึ่งอายุ ๕ เดือนไม่ได้พาออกมา ลูกเด็กที่เอาออกมาใช้ตพายผ้าเหมือนอย่างลูกราษฎรแต่ใช้ผ้าปรังรูสัก สุลต่านแกอย่างไทย ๆ แต่ก่อน ลูกเด็ก ๆ ไม่รู้จักต้องถามว่าใครเพราะไม่ได้เฝ้าแหนกันเลย ต่อโตแล้วจึงขึ้นเฝ้า ชื่อนั้นใครจะตั้งก็ไม่รู้ แกถามว่าชื่อไร กับแม่เล็กเห็นผู้หญิงที่มานั่งหลังรตูมากคน คนหนึ่งหน้าตาดีเกินปรกติ ได้ความว่าเปนลูกงูสีน้ำเงินเตรียมไว้ว่าจะ ให้แต่งงารกับประบูอนุม แต่ยังเปนการไม่ตกลงแน่ ด้วยประบูอนุมมีเมียเลว ๆ ที่รักอยู่ วันนี้เราให้ลูกดุมสุลต่านสำรับหนึ่ง แม่เล็กให้กำไลมือรตูอัน ๑ ต่างคนต่างอวดกัน ประบูอนุมเปนผู้ที่ต้องเดิรต้องคมเสียออกงอมทั้ง ๒ ข้าง พอเสร็จการเล่นมะโดโยแล้ว จัดที่ใหม่เล่นลงึนดริโยต่อไป ลงึนดริโยนี้เปนของมังกุภูมิคิดอ่านเล่นขึ้น ผู้ที่เล่นก็เปนพวกลูกหลานวงศ์วาร ชื่อที่เรียกแปลกไปทั้งนี้ เพราะไม่มีเวลาที่ลุกขึ้นยืนเลย ตั้งแต่ออกโรงก็คลานออกมาจะตรวจพลหรือยกทัพก็คลายเข่ากันทั้งนั้น ใช้ร้องแต่ไม่มีเจรจา เรื่องที่เล่นนั้นจับเมื่อปาเตะเมืองมายาพหิสปรึกษาเรื่องที่จะตั้งเจ้าแผ่นดิน เปนเรื่องพงศาวดารอยู่ในราวศักราชชวา ๑๓๐๐ ปี มาร์ตวิชยเจ้าแผ่นดินตาย มีลูกหญิงคนหนึ่งชื่อกาญจนาอังคะ ลูกชายคนหนึ่งชื่ออังคะวิชยยังเด็กอยู่ ปาเตะจึงได้ประชุมเจ้าประเทศราช ๓ คน คือเมืองบาลัมบางัน ๑ ตูบันคน ๑ โดโฮคน ๑ จะยกเจ้าหญิงกาญจนาขึ้นเปนเจ้า ๆ สองคนข้างหลังยอมเห็นด้วย แต่บาลัมบางันไม่ยอม ยกกลับไปเมืองเปนขบถ ตีเขตรแดนล่วงเข้ามาเปนอันมาก ข้างฝ่ายปาเตะก็ยกนางกาญจนาอังคะขึ้นเปนเจ้าแผ่นดิน เรียกว่าประบูกัญญากาญจนาองยู บาลัมบางันตีเข้ามาเกือบจะรอบพระนครแล้ว มีหนังสือเข้ามาว่าถ้านางกาญจนาจะยอมเปนเมียจะเลิกการรบ นางกาญจนาไม่แต่ไม่ยอมกลับออกประกาศว่าถ้าใครฆ่าเจ้าเมืองบาลัมบางันตายจะยอมเปนเมีย เมืองตูบันแลเมืองโดโฮรับอาษาไปตีพอยกทัพก็เลิก

ในท้องเรื่องพงศาวดารนั้น ๒ เมืองไปรบก็แพ้ ต่อมีผู้หญิงชื่อธรรมวูลัน เปนลูกพระฤๅษีไปรบจึงชนะ นางนั้นแต่งงารกับธรรมวูลัน ตัวอธิปติบาลัมบางันแต่งทาหน้าแดงเทือกหงเสน ทำท่าเปนคนออกบ้า ๆ หรือมุทลุ พวกที่มาเล่นอื่น ๆ ก็แต่งตัวให้สีตัวผิดกัน แต่ไม่ทา าก ๆ เหมือนงิ้ว เปนแต่เคลือบสีให้เปนสีเนื้อต่าง ๆ นางใช้ผู้หญิง วิธีที่จะนั่งแอบฉากก็ใช้ยกมาตั้งเปนลับแลเหมือนกับละคอนเราเล่น พูดกันถึงเรื่องตำแหน่งยศลูกสุลต่าน ลูกรตูผู้ชายเรียกรเด่นมาสกุสตี ถ้าโตขึ้นเปนกุสตีปเงรัน ผู้หญิงที่เด็ก ๆ เรียกกุสตีรเด่นอายัง โตขึ้นเรียกกุสตีรเด่นอายู ถ้ามีผัวแล้วเรียกกุสตีกันยังรตู พวกนางสนมทั้งปวงเรียกว่าบันดารากลางัน ถ้ามีลูกผู้ชายเรียกบันดารารเด่นมาส ถ้าเปนปเงรัน เปนบันดาราปเงรัน ผู้หญิงเปนบันดารารเด่นอายังแลรเด่นอายู แล้วยังมียศต่อลงไปชั้นลูกเจ้าเช่นหม่อมเจ้าเรา เปนรเด่นมาส

ขากลับ ๘ ทุ่มแล้วพาให้ดูสติงเค็ล ด้วยเขาจะให้มาพรุ่งนี้เช้าเราไม่สมัคกลัวจะนอนน้อยไป ทางที่จะออกไปสติงเค็ลก็คือข้างท้องพระโรงหรือบันดโปที่ได้กล่าวแล้ว แต่ว่าหันหน้าไปทางทิศตวันออก ประตูนี้ก็อยู่ทิศเหนือ ตรงน่าประตูมีศาลาสี่เหลี่ยมเฉลียงรอบหลังหนึ่ง ในประธานยกพื้นปูศิลาแล้วเอาไม้ไผ่ทำตรางกันไว้เพื่อจะไม่ให้คนขึ้นนั่งร่วมที่ศาลานี้ว่าเปนที่สุลต่านเคยมานั่งสำหรับใช้กฤช คือแทงคนด้วยพระหัดถ์เอง ที่หลังศาลานั้นเรียกว่าที่ดินสูง คือก่อเขื่อนรอบถมดินขึ้นไป พื้นสูงกว่าพื้นดินประมาณสัก ๘ ศอก ที่ตรงกลางก่อเปนลับแลรูปร่างเหมือนน่าตึก แลดูข้างหลังเหมือนมีตึกใหญ่เตี้ย ๆ เปนท้องพระโรง ต่อขึ้นไปบนพื้นสูงจึงรู้ว่าเปนแต่ลับแล บนนั้นมีต้นไม้ปลูกมีศาลาสี่เหลี่ยมคล้ายปันดโปยกพื้นในประธานแต่ย่อมกว่าแลไม่มีสลักวาดเขียน กั้นรั้วเหมือนกัน แอสสิสตันเรสิเดนต์บอกว่า เปนที่สำหรับตั้งเครื่องยศ ถามถึงสุลต่านนั่งก็ว่าไม่ได้นั่ง ถามดอกเตอร์โกรนแมนก็ซัดว่ามีในบุ๊กแล้วจะขอให้เล่าอย่างสั้นก็ไม่ได้ ต้องเล่ายาวจนไม่มีเวลาจะฟัง ต้องเข้าใจเอาเองว่า เปนที่สำหรับสุลต่านนั่งเสด็จออกการพิธีเหมือนอย่างกับมุขเด็ดพระมหาปราสาท แต่มีศิลารูปรี ๆ กว้างสัก ๒ ศอกคืบ ยาวสัก ๔ ศอกหรือ ๕ ศอก ยกพื้นสูงขึ้นมาจากพื้นดินสัก ๔ นิ้วหรือ ๕ นิ้ว ว่าเปนที่สุลต่านนั่งกับเรสิเดนต์ ตั้งเก้าอี้เคียงกัน เราเข้าใจเอาเองว่า แต่ก่อนสุลต่านคงนั่งบนศาลา แต่ครั้นเมื่อมีเรสิเดนต์มานั่งเคียง ไม่อยากจะให้เรสิเดนต์ขึ้นไปบนศาลา จึงเอาแผ่นศิลามาตั้งเปนที่นั่ง เวลาที่จะออกงารออกการเรสิเดนต์ก็มาเสียทุกครั้ง สุลต่านก็เลยไม่มีเวลาขึ้นศาลาจึงไม่มีใครเห็น การคงจะหลายชั่วมาแล้ว สุลต่านคงจะรู้เรื่องแต่ปิดเสียหรือเลยไม่รู้ทีเดียวก็เปนได้ ต่อนั้นไปเปนบันไดที่ลงพื้นดินในปรำ เสาก่ออิฐแต่หลังคาเปนปรำดาดใบมะพร้าวโปร่ง ๆ พื้นประกอบไปด้วยเท่าธุลี เบื้องขวาแห่งสุลต่านมีศิลาอิกแผ่นหนึ่งเปนที่ประบูอนุมนั่งอยู่น่าปเงรันแลพวกฝรั่งข้างฝ่ายซ้ายเปนที่รเด่นอธิปติแลภูปติต่าง ๆ มาเฝ้า การที่เฝ้านั้นกำหนดในพิธีเทือกตรุษสารทปีละ ๒ ครั้ง มีทหารพวกสิบเหล่าแห่เครื่องไทยทานไปแจกคนจนที่มัสชิด เปนคราวที่มีเสรมปีแลมโดโยเหมือนอย่างที่ต้อนรับเราเปนงารปี คนที่มาประชุมในที่เฝ้าประมาณอยู่ใน ๗๐๐-๘๐๐ คนถึงพันคน ต่อปรำออกไปก็เปนอาลูน ๆ ด้านเหนือมีศาลาอยู่ข้างขวามือว่าเปนที่พักว่าการของรเด่นอธิปติ เทือกศาลาลูกขุน ประเสบันหลังหนึ่งที่อยู่ริมทางออกจากอาลูน ๆ ด้านน่าว่าเปนที่รเด่นอธิปติหรือผู้หนึ่งผู้ใดมาหยุดรถในที่นั้น ที่จะเข้าในกราตนต้องเดิรเข้ามาอยู่ในประมาณสักวังน่ามาวังหลวง ดูแล้วเลยขึ้นรถที่น่าอาลูน ๆ มาตามทางแอสสิสตันเรสิเดนต์บอกว่าสุลต่านกระซิบกับตัวว่า มีความวิตกมากนัก ทราบข่าวว่าสุสุนันจะจัดการรับรองทุ่มเทใหญ่ เขาเปนคนมั่งมีคงจะทำได้ดีกว่าสุลต่าน สุลต่านเองเปนคนจน การที่รับรองนี้ทำโดยน้ำใสใจจริงที่ยินดีต่อแท้ ได้ทราบข่าวว่าสุสุนันว่ากับแบรอนเดอกวาลให้ช่วยมาคิดอ่านให้ได้ตราสูงกว่าสุลต่าน ๆ มีความหวาดหวั่นนักกลัวจะน้อยหน้า เราว่าแบรอนเดอกวาลหาได้พูดอันใดไม่ เราก็ไม่ได้คิดที่จะให้สุลต่านน้อยหน้าสุสุนัน ความเรื่องนี้คงจะจริง ด้วยสองเมืองนี้สันทัดแต่งคนไปสืบกันแลกัน สุสุนันคงได้พูดกับกวาลจริง แต่กวาลเปนคนดีกลับแนะนำให้ ๆ ตราเท่ากันเสียอิก หากแอสสิสตันเรสิเดนต์ยกยาสงสัยกวาลเกินไป กลับมาถึงบ้านราว ๓ ยาม วันนี้อยู่ข้างจะเหน็ดเหนื่อยบอบช้ำ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ