๓๘
จิสรูปัง การุต
วันที่ ๑๕ มิถุนายน
เมื่อคืนนี้หนาวเต็มทีเวลาออกไปอยู่กลางแจ้งเย็น เข้าไปในห้องทำให้หลับยาก แต่งตัวสักหลาดทั้งสำรับดูมันก็หนาเตอะตะเปนการลำบากที่จะเทียบผ้าห่มให้พอดี เห็นจะนอนหลับสัก ๘ ทุ่มเศษ ปรอทจวนรุ่ง ๕๖ ตื่นขึ้นสว่างในห้อง ลืมปิดน่าต่างชั้นนอก ล้างหน้าเกือบจะไม่ทันกินเข้าเช้า เรสิเดนต์กับรเด่นอธิปติมากินด้วย หารือกันด้วยเรื่องจะขึ้นเขา มีความเห็นหลายคนว่าถ้าขาขึ้นไปเก้าอี้เห็นจะสบาย ขากลับจึงกลับม้า เขายกเก้าอี้มาให้ดู ใช้เก้าอี้หวายนั่งมีหลังคาผูกม่านผ้าโปร่งสีชมภูหลังหนึ่ง ม่านผ้าโปร่งขาว ๒ หลัง เห็นเขาจะกะมาสำหรับผู้หญิง ๓ คนทั้งเจ้าถนอม๔๕ แลดูท่าทางก็จะไม่สู้สบายนัก มีผู้เอาม้ามาให้ขี่หลายม้า แต่เลือกสู้ของรเด่นอธิปติไม่ได้ เปนม้าพ่อพันธุ์ม้าอังกฤษ แม่เปนม้าแซนเดลวูด ผ่านเหลืองสูงเกือบ ๓ ศอก ฤๅ ๓ ศอก รูปร่างงามอายุสี่ขวบ เปนม้าลูกผสมพึ่งจะหัดใช้ปากอ่อนอย่างยิ่ง ให้บังเหียนสายเดียว วิ่งยกตีนงามนัก ขี่เดิรเรียบตลอดวิ่งแคนเตอก็สนิทดี เลยรักม้าขึ้นมาต้องขี่ม้า ออกจากประสังคระหันเวลาโมงกับ ๕ มินิตใช้เดิรกันเพราะเปนทางขึ้นเขา ม้าพวกเหล่านี้สนัดเดิรเรียงตัว ถ้าเดิรแซงกันเข้าไปเปนเกิดความ ทำหลบเลื่อมไปต่าง ๆ ยังที่ร้ายมากนั้น คือมีนางม้าหลายตัว ม้าฝักเห็นเข้าปั่นป่วนไปต่าง ๆ แต่ม้าเราไม่มีวุ่นวายอันใด ทางแรกไปตรงลิ่วเปนขั้นยาว ๆ พัวพันบ้านคนแลไร่ แล้วถึงสวนกาแฟของคอนเวอนเมนต์ระขึ้นไปตามทางจนถึงที่ขึ้นสูง ทางในระยะข้างล่างใช้เกลี่ยดินกลบศิลาเปนถนนแต่งใหม่ แต่ตอนบน ๆ ขึ้นไปเปนถนนชันมากไม่ได้กลบดิน เพราะถนนเหล่านี้ถึงน่าฝนปีหนึ่งน้ำล้างลงมาต้องแต่งใหม่ทุกปี ถัดกาแฟขึ้นไปปลูกต้นซิงโกนาแต่ดูต้นย่อม ๆ ตั้งแต่นั้นไปมีขึ้นสูงลงต่ำบ่อย ๆ นาน ๆ ก็ไปมีทางทบไปทบมา ๒-๓ ทบ ขึ้นน่าผาชัน ๆ บางแห่งชันเหมือนขึ้นภูเขาทอง บางแห่งก็ยิ่งกว่า ถ้าม้าเมืองเราแล้วไปได้พอหมดสวนกาแฟได้เปนอย่างดี มิเปิดกลับลงมาก็ไปไม่ไหวทีเดียว ม้าเขาชำนาญขึ้นเขา ตัวอื่น ๆ ที่ไม่สู้มีแรงถ้าถูกที่ชันเดิรเฉียงไปเฉียงมา แต่ตัวที่เราขี่เดิรตรงเรื่อยทีเดียว เกือบจะไม่ต้องถือท้ายย้ายหัว ปล่อยให้เขาไปตามสบายใจ ขาลงก็ย่องเองขาขึ้นก็ถิบขึ้นไปเอง ผ่านน้ำตกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ข้ามลำธารแห่งหนึ่งหรือสองแห่ง นอกนั้นเลียบลำธารไปโดยมาก แต่เลียบนั้นมิใช่เดิรริมลำธาร ลำธารลึกลงไปตั้งแต่ ๖ วาขึ้นไปหา ๑๐ วา ๑๕ วา ถ้าที่ริมธารเช่นนั้นแล้วต้นไม้ขึ้นทึบจนไม่ใคร่แลเห็นลำต้น ที่ผสมม้าแห่งหนึ่ง กันรั้วแลปลูกโรงยังไม่แล้ว แต่มีม้าปล่อยอยู่หลายตัว ตรงข้ามลำธารตรงนั้นงามนัก ต่อขึ้นไปก็ยิ่งงามขึ้นทุกที เฟินต่าง ๆ ที่เราขายกันในบางกอกราคาแพง ๆ ที่นี่มีเกลื่อนกลาดไปทุกหนทุกแห่ง เฟินตั้งลำต้นที่เรียกว่าธรีเฟิน มีเกลื่อนกลาดไปทุกหนทุกแห่ง ที่เปนลูกพัดปลิวไปตกงอกขึ้นเปนต้นเล็ก ๆ มีเปนกลุ่ม ๆ ลูกสตรอบรีขึ้นเองตามข้างทางมีพอหาไต้ กล้วยไม้ก็มีชุม พวกชาวบ้านเก็บมาคอยยืนส่งให้ตามทาง ขึ้นไปถึงยอดเขาที่ต่ำแล้วขึ้นทางชันไปในกลางลำธาร เขาเปิดช่องให้น้ำเดิรลงเสีย ๒ ข้าง ที่ยังเหลืออยู่เปนน้ำตกมีกำมถันเปนสีเหลืองสีแดงเกรอะกรังอยู่มาก น้ำก็เหนียวเปนสบู่กลาย ๆ ถ้าถูกเครื่องเงินเครื่องทองเหลืองดำหมดทั้งนั้น พ้นจากที่น้ำตกนี้ขึ้นไปเปนที่เขาพังด้วยแรงเขาไฟ ศิลาตามทางขาวเหมือนศิลาที่เผาเปนปูนไม่ใคร่มีน้ำหนัก ตัวเหลี่ยมเขาแลทางที่ทลายลงมาเปนสีขาวทอเหลืองแลดูไม่ใคร่สบายในตา ต้องเลียบขึ้นไปบนชง่อนสูงพ้นทางที่ไฟเดิร มีศาลาพักแห่งหนึ่ง ตกแต่งด้วยใบเฟินเต็มไปทั้งศาลา หยุดม้าที่นั่น แต่จะรอคอยจนกระบวรเก้าอี้มาถึงไม่ได้ เขาตัดกิ่งไม้เปนไม้เท้าวางไว้ให้ถือไม้เท้านั้นเดิรไปสัก ๙ คน ๑๐ คนด้วยกัน เขาทำทางกว้างสักสี่ศอกฤๅ ๕ ศอก เราเดิรไปไม่ให้ถูกที่มีควัน ถึงไม่ใช่ไปในกลางเครตาก็ดี คงมีควันทั้ง ๒ ข้างโดยมาก ที่ข้างทางฟากหนึ่งมีช่องเล็ก ๆ มีควันพ่นออกมาน้ำเดือด อิกข้างหนึ่งเปนแอ่งลึกลงไปมาก ควันเปนสติมพุขึ้นมาเสียงดังกึกก้องเหมือนสติมเรือไฟขึ้นจากเซปตีวัลฟ ต่อขึ้นไปอิกเปนที่ควันขึ้นแอ่งใหญ่ ทางฉเพาะต้องผ่าควันขึ้นไป เวลาลมพัดควันมาถูกเหม็นทนไม่ใคร่จะได้ บางคนก็ไอโขลก ๆ ไป ตามที่ควันขึ้นเหล่านั้น มีลำธารน้ำไหลรินไปหมดทุกแห่ง น้ำกับไฟปนกันอยู่เสมอ ที่สูงพ้นน้ำก็มีกำมถันกองสีเหลืองไปทั้งนั้น ศิลาที่ตกลงมาค้างอยู่เปนก้อนสูง ๆ หุ้มด้วยกำมถันทั้งสิ้น ต่อเข้าไปข้างหลังควันหมู่ใหญ่นั้น มีแอ่งน้ำขังอยู่มากเปนที่มาของน้ำตก ด้านหลังมีเขารอยพังเปนกำแพงอยู่ครึ่งซีก ตอนกลางไม่มีต้นไม้ขึ้นด้วยถูกรมควันอยู่เปนนิตย์ สองข้างมีต้นไม้ขึ้นบนหลังเขา สัณฐานของเครตานี้เหมือนชามแตกครึ่งซีก เราขึ้นไปทางชามที่แตก เขาว่าในบรรดาเขาไฟด้วยกัน มีเขานี้แห่งเดียวในโลกที่อาจเดิรเข้าไปเล่นในเครตาได้ที่เปนช่องเล็กช่องน้อยพ่นควันสู้น้ำอยู่ น้ำก็เดือดจับดูก็ร้อนด้วย ถ้าเอาก้อนศิลาจนขนาดเท่าไข่ไก่โยนลงไปก็พ่นกลับขึ้นมาในทันทีไปได้ไกล ๆ เอากลักขีดหรือไฟกาถัง แลเงินตราไปรอที่ควันประเดี๋ยวก็ดำหมดได้ถ่ายรูปสองรูป หมอไรตเตอร์นึกสนุกขึ้นมาปีนขึ้นไปบนเขากำมถันสูงสัก ๔ ศอกเศษนั่งถ่ายรูปได้ดี แต่ครั้นขาลงพังครืนครานลงมาเกือบจะทับเอาตัวแก ทางที่เดิรนั้นก็ดูไกลอยู่ แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยด้วยหนาวแลอยากดูด้วย เสื้อที่สวมถึง ๕ ชั้นทั้งผ้าบาง กางเกง ๓ ชั้นไม่รู้สึกร้อนเลย ดูอากาศโปร่ง ๆ เบา ๆ ผิดกันกับอยู่ที่ต่ำ ที่นี่สูง ๖๕๐๐ ฟิต เดิรกลับมาพักที่โรงพักเสียคราวหนึ่งพอแม่เล็กไปถึง เรามาม้า ๓ โมง ๒๐ มินิต เก้าอี้มาถึง ๔ โมง ๔๕ ช้ากว่ากันอยู่ชั่วโมงกับ ๑๕ มินิต รับอาสาพาไปเที่ยวอิกครั้งหนึ่ง ดูก็ไม่เหนื่อย แต่ม้าที่มาช่างเหนื่อยเสียจริง ๆ เหงื่อเปนฟองขาวไปทั้งตัว ถ้าม้าที่อายุมากหน่อยถึงที่ชัน ๆ ดูท่าทางมันตรองจริง ๆ ว่าจะขึ้นทางไหน เดิร ๆ ขึ้นไปแล้วถอนใจใหญ่ กางเกงที่ใส่มาวันนี้เปื้อนเหงื่อม้าเสียเปนอันมากจะใช้อีกไม่ได้เพราะไม่มีเครื่องหุ้มน่อง ไม่ได้คิดถึงเรื่องจะขี่ม้า ถ่ายรูปกันอิก ๒-๓ รูปแล้วกลับมากินเข้ากลางวัน รื้อเอาใบเฟินที่เขาแต่งโรงมาทำพวงมาลัยสวมตัวกันทุกคน แล้วขึ้นม้ากลับออกเวลาเที่ยง ๒๕ มินิต มาถึงจิสรูปังเวลาบ่ายโมง ๕๐ เพราะทางที่ราบ ๆ ขับม้าวิ่งลงมาได้ถึงข้างล่างร้อนจนเหงื่อออกแลออกเมื่อยด้วย ต้องไปนอนพังพาบอยู่บนเตียง ชั่วแต่ถอดเสื้อชั้นนอกประเดี๋ยวเดียวเหงื่อแห้ง ลืมกล่าวถึงข้างทางมีเขาสูงสองข้าง เขาใหญ่ที่อยู่ใกล้เรียกชื่อเจียรีมี อีกเขาหนึ่งเรียกจรีบอง เขาที่มานี้เรียกปะปันดะยัง แต่พวกวิลันดาเรียกปัปปั้นด๋ายัน ประสังคระหันตำบลจิสรูปังนี้ไม่ได้อยู่ในแขวงแอสสิสแตนเรสิเดนต์การุต เปนแขวงของจิตจะลังการ์ กินอะไรอิกเล็กน้อยแล้วกลับมาด้วยรถออกเวลาบ่าย ๔ โมง ๒๐ มาผลัดม้าที่บ้านเวทนา เวลาบ่าย ๕ โมง ๕๐ มีพิณพาทย์ มาถึงโฮเต็ลที่การุตเวลาย่ำค่ำ ดูตามทางช่างงามเสียจริง ๆ ในเวลาพระอาทิตย์ตก มาถึงน่าเขากระจักหนาวอีก
วันนี้เหนื่อยอ่อนเต็มที เมื่อยเปนกำลัง เพราะเปนวันแรกขึ้นม้า
-
๔๕. หม่อมเจ้าหญิงถนอม ในกรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ เปนตำแหน่งผู้รับสั่ง ↩