๕๙
เมืองโซโล
วันที่ ๖ กรกฎาคม
ตื่นขึ้นแต่งตัวแต่ ๓ โมงเช้า ๔ โมงเรสิเดนต์แอสสิสตันเรสิเดนต์แลพวกบริวารมาก่อน แล้วมังกุโนโกโรกับน้อง ๓ - ๔ คนมา ที่นี่กลับกันไป เรสิเดนต์อยู่ข้างจะช้าอึดอาด สุสุนันแกเร็ว ชั่วแต่จะให้ตรากันก็ไม่ใคร่ทัน เขาบอกว่ากระบวรแห่สุสุนันมาถึงแล้ว เราเดิรไปถึงกลางห้องเห็นลงจากรถ พอโผล่หน้าออกมาจากรถเราใจหายวาบ แลดูมันจะหัวเราะออกมาเสียให้ได้ เห็นแกทาขมิ้นเหลืองผัดหน้าลงฝุ่นเหมือนอย่างละคอน เดี๋ยวนี้ไปขันมากที่เรื่องคิ้ว โกนเสียทีเดียว เขียนหรือติดเอาใหม่ หางคิ้วขึ้นไปเกือบจดหน้าผมพอดี ถ้าโพกผ้าแล้วพอจดกับผ้าโพก ย่อมกว่าคิ้วงิ้วแต่เห็นจะยาวกว่า มีคนเขาเดากันว่าต้นเชื้อวงศ์คนใดคนหนึ่งคงจะมีคิ้วสูงเช่นนั้นอยู่เอง แล้วจะว่าถ้าลูกหลานของเราก็สังเกตได้คิ้วคงเปิดท้ายทั้งสิ้น แต่นั้นมาลูกหลานคนใดคิ้วไม่เปิดกลัวจะเสียไปจึงต้องโกนแก้ จนเลยกลายเปนเห็นงามไป ที่เดาเช่นนี้ก็มีหลักฐานอยู่บ้าง คือมังกุโนโกโรไม่ได้ผัดหน้าทาขมิ้นโกนคิ้วโกนหนวดอย่างใดเลย ชั่วแต่กันข้างล่างนิด ๆ คิ้วก็เปิดขึ้นไปมากพอใช้ หนวดสุสุนันนั้นโกนเสียทีเดียวติดหรือเขียนเอาใหม่ให้เล็กเสมอกันตลอด เราได้พิเคราะห์ดูใกล้ ๆ หนักแล้ว จับไม่ได้ว่าทำอย่างไร เห็นแต่ที่ขอบเปนเส้นดำรอยเขม่า แลพื้นก็เปนรอยเขม่า แต่ทั้งคิ้วทั้งหนวดเราเห็นว่าแกมีขนแท้ ๆ บางคนเขาเห็นว่ามีขนแต่ที่หนวดลางทีตาเราจะไม่เห็นก็จะได้ แต่เจ้าคนอื่น ๆ นั้นเอาเขม่าป้ายเอาดื้อ ๆ เห็นเปนก้นหม้อเปะปะชัด ๆ บางทีก็ชอบโตกว้างเกือบครึ่งนิ้ว แต่ที่ขันอย่างที่สุดนั้นคนหนึ่ง มีหนวดหรอม ๆ แหรม ๆ ที่ลูกคาง เอาเขม่าทาเปนดวงกลมโตเหมือนจับเขม่าหน้าช้างไม่ได้ผิดกันเลย การที่แรกจะพบปะกับพวกนี้มีข้อสำคัญอย่างเดียวแต่ต้องกลั้นหัวร่อให้อยู่ คนที่ไม่ได้แต่งเลยนั้นคือ ประบูวิยาหยา เปนคนที่ไปมาเมืองอื่น ๆ หลายครั้งหลายหน เปนแอดยุแตนคอเวอนเนอเยเนราลเหมือนมังกุภูมิเมืองยกยา อริโยมตารำไม่ผัดหน้าทาขมิ้นแต่เขียนคิ้ว แต่พวกวังน่ามังกุโนโกโรไม่มีใครตกแต่งอันใด แต่งยุนิฟอมทหารทั้งสิ้น สุสุนันแต่งตัวไม่นุ่งโกด๊กทีจะเห็นว่าเร่อร่ารุงรัง เพราะเปนคนหนุ่มไม่ชอบรุ่มร่าม นุ่งกางเกงกำมหยี่ดำพอหุ้มเข่าคล้าย ๆ กางเกงขี่ม้า มียันแถบทอง ๒ ข้าง ปลายขามีดุมเพ็ชร์ข้างละ ๔ หรือ ๕ เม็ด นุ่งผ้ากายน์ตามธรรมเนียม แต่ชักข้างขวาเฟ็ดขึ้นมาให้เห็นกางเกงชายจีบข้างน่าจับขึ้นมาเหน็บ ดูก็คล้ายกับโกด๊กเปนแต่ดูบางกว่าไม่ปุกปุย เสื้อชั้นในเปนน่าอกเสื้อเชิดจีบเปนลวดลาย คาดเข็มขัดมีขอพกเปนงูสีน้ำตาล มีผ้าเช็ดหน้าแพร แต่จะผูกอะไรบ้างไม่ได้สังเกตเห็นเปนพวงโตอยู่ ถ้าไม่ถือก็แขวนไว้ที่งูสีน้ำตาล เสื้อชั้นนอกเหมือนเสื้อซิวิลยุนิฟอมแต่ไม่มีหาง น่าอกใช้ปักแถบกลมเต็มทั้งอก มีดุมเพ็ชร์ ๒ แถวข้างละ ๘ เม็ด เปิดน่าอกแลเห็นเสื้อเชิดน้อย ๆ ติดตราห้าดวง ๆ หนึ่งเปนมรกฎอยู่กลาง รัศมีเปนทับทิมกับเพ็ชร์คั่นกันฝีมืออย่างเตอะตะ เจ้าของแกอวดว่าเปนตราแต่ครั้งอิเหนา อีกดวงหนึ่งรูปร่างเหมือนนพรัตน์เก่า จะเปนอะไรก็เห็นไม่ถนัด อีกดวงหนึ่งนั้นใจกลางโตหน่อยหนึ่ง เปนหงส์หรือราชสีห์ ยังอีก ๒ ดวงไม่ได้สังเกตว่าเปนอะไรแน่ รวมมี ๕ ดวงด้วยกัน ติดคล้าย ๆ กับที่เราติด แต่ดวงย่อมเหมือนตราที่คิดทำเล่นแต่ก่อน ผมเกล้ามวยมีปิ่นคล้ายกับเครื่องประดับฉัตร์ฉลองพระองค์ที่วัดพระแก้ว ต้นปืนมีเพ็ชร์เม็ดใหญ่แล้วมีเพ็ชร์เม็ดย่อม ๆ เรียงกันลงมายาว ที่ปลายเปนเพ็ชร์ทั้งลูกกลมเปนของทำมาแต่เมืองนอกดูงามดี แต่ที่เหนือมวยขึ้นไปมีเครื่องเพ็ชรโตอยู่ แต่จำไม่ได้ว่ารูปพรรณอย่างไร สวมโกลุกเหมือนสุลต่านยกยา สุสุนันนี้เปนคนรูปร่างแบบบางไม่สู้เตี้ยนักแต่เล็กพร้อมทั้งตัว นิ้วมืออ่อน ๆ ไว้เล็บแต่ไม่สู้ยาวนัก ใส่แหวนเพ็ชร์เม็ดเดียวโต ๆ เปนเพ็ชร์บอเนียวข้างละ ๓ นิ้ว หน้าตาทีก็จะสวยอยู่แต่หากเปนคนขี้โรค หลังตาลึกดวงตาบอกว่าไม่สู้สบายนัก แก้มหวำกระดูกหน้าสูง กิริยาเปนคนว่องไวรวดเร็ว แต่มีสั่น ๆ อยู่บ้างเล็กน้อยพอสังเกตเห็น ถ้าดูทั้งหมดประกอบด้วยการแต่งตัว สมเปนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เขาว่าแต่งตัวคราวหนึ่งต้องตั้ง ๒ ชั่วโมงจึงจะแล้ว หากันว่าคนอื่นผัดหน้าให้ แต่เราเห็นว่าแป้งติดอยู่ตามง่ามมือ คงจะผัดของตัวเอง เมื่อเข้าใกล้มีกลิ่นหอมเปนน้ำมัน ๆ เหมือนเจ้าโสกันต์ ฟันดำแลปากเปนรอยกินหมากหรืออมอะไร ๆ ให้แดง เพราะออกหน้าไม่กินหมากเหมือนกันกับสุลต่าน แล้วมีอะไรอมอยู่ในปากสิ่งหนึ่งเปนแผ่นเหมือนอย่างกับเบี้ย คแนนฝรั่งสีชมภู จะว่าเปนยาไอก็ไม่ใช่เพราะไม่เห็นละลายลงไปเลย กินอะไรก็กินทั้งอย่างนั้น เวลานั่งอยู่ว่างก็เอาลิ้นเล่นอ้ายแผ่นนั้นเรื่อยอยู่ พวกญาติวงศ์นอกนั้นแต่งตัวก็เหมือนสุสุนัน แต่ไม่มีงูสีน้ำตาล แลเสื้อเปนอย่างน้อยตามแบบเสื้อปเงรันทั้งปวง ผูกจี้เพ็ชร์สายทองทุกคน รตูผิวเนื้อสองสีรูปร่างไม่เล็กหน้าตาก็พอใช้ แต่ไม่สู้ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนรตูเมืองยกยา สวมเสื้อยาวกว่าพวกยกยา กลัดเข็มเพ็ชร์เม็ดใหญ่ ๆ สามอัน มืสร้อยคอเพ็ชร์เม็ดแตงสวมด้วย สวมกำไลงูประดับเพ็ชร์เปนของชาวเมืองทำเอง ต่างหูเพ็ชร์เกล้ามวยมีบุหงาอยู่ข้างใน มีเครื่องเพ็ชร์ประดับ แต่รตูแม่เลี้ยงผิวดำในตาแปลบปลาบท่วงทีเปนนักเลง ใส่ต่างหูเพ็ชร์เม็ดใหญ่เม็ดเดียว เข็มกลัดเสื้อเพ็ชร์ ๓ เข็ม พี่ผู้หญิงที่มาด้วยอีก ๒ คน ก็แต่งตัวมีเครื่องเพ็ชร์เหมือนกันแต่น้อยลงไปกว่า มีน้องชายตามมาด้วยอีก ๗ คน เพราะเขาห้ามไม่ให้มามากกลัวที่จะไม่พอนั่ง แต่กระนั้นก็เต็มห้องจนต้องยืนเพราะห้องรับแขกเล็ก การปราไสยครั้งแรกของสุสุนันนั้น พอนั่งลงก็ดูตราถามว่าดวงนั้นอะไร ๆ แล้วสูดปากว่างามนักทุก ๆ ดวง การที่สอบถามนั้นไม่ใช่ไม่รู้ พอบอกก็อ้อทุกครั้ง เพราะแกเคยเห็นตำราอยู่แล้ว พอเสร็จการปราไสยตรา จึงได้ปราไสยตัวต่อตัวกัน พอเราให้ตราก็ปลดตราดวงที่เปนของอิเหนาออก ย้ายมาติดข้างขวาไม่มีห่วงต้องดันอึดอัดกันอยู่นาน เหน็บลงไปได้กับแถบที่ปักเปนยันต์น่าอก แล้วจึงได้ติดตราดวงใหม่ ดูประดักประเดิดอยู่สักหน่อยหนึ่งกว่าจะสำเร็จ แล้วดูตราผู้อื่น ๆ ที่ได้ การสนทนาปราไสยกันก็เล็กน้อย เพราะเรื่องตราไปกลบกลุ้มเสียหมด จนเวลากลับไปเราตามออกไปส่งถึงที่รถ ไม่ต้องมีผู้หนึ่งผู้ใดจูง ด้วยแกไม่ตั้งท่าจะให้ใครจูงเหมือนสุลต่าน เราก็ยืนดูอยู่ที่น่าโฮเต็ลนั้นเอง พอขึ้นไปบนรถก็คุยกับรตูถึงเรื่องตราชี้โว้ชี้เว้แลทำท่ากลัด เห็นจะเล่าถึงเรื่องกลัดไม่ใคร่จะอยู่ จนเวลารถออกไปก็ดูไม่รู้สึกว่าเราอยู่ที่นั่น ได้เห็นกระบวรนัดเดียวแต่ที่มีคู่เคียงเดิรข้างรถ แลมีกระบวรนำ ๒ แถว แลเห็นไม่ถนัดด้วยคนดูกลุ้มเต็มไปทั้งนั้น คนอื่นที่เขาเห็นเขาว่าถึงมีพระแสงหว่างเครื่อง จนกระทั่งเครื่องยศกลดกระบี่ที่มาก็ไม่ได้เห็น เพราะห้องโฮเต็ลเล็กพวกนั้นอยู่เสียข้างนอก พวกที่มาก็กลับตามกันไปเปนลำดับ เราไม่ได้เปลื้องเครื่องนั่งคอยอยู่จน ๕ โมงเศษ จะเข้าไปในกราตนเรสิเดนต์ยังไม่ได้เข้าไป จนเกือบเที่ยงจึงได้เห็นกระบวรเรสิเดนต์ผ่านน่าโฮเต็ลไป มีพวกข้าหลวงผู้น้อยตามคนละรถ มังกุโนโกโรก็ไปเข้ากระบวรด้วย สักครู่หนึ่งจึงได้เข้าไป มีกระบวรแห่เหมือนเมื่อขึ้นมา มีพิณพาทย์แลคนถือธงรายทางตั้งแต่น่าโฮเต็ลไปจนกระทั่งถึงในกราตน รถเดิรช้าเกือบเท่าเดิรกระบวรแห่โสกันต์ มีกำแพงเข้าชั้นหนึ่งจึงเข้าไปในอาลูน ๆ ที่ประตูนั้นมีซุ้มไม้ปักธง ๒ ซุ้ม อาลูน ๆ ทีจะกว้างกว่ายกยาสักหน่อยหนึ่ง แต่เปนฝุ่นมาก เสียใจที่เห็นต้นวาริงงินทั้งกลางแลที่รายรอบเซียไปกว่าที่ยกยา ต้นก็ต่ำแลไม่ได้ตกแต่งเปนร่มเงาดูไม่งามเลย ที่คนว่ายกยาต้องตัดต้นไทรลงให้ต่ำเพราะกลัวจะสูงกว่าโซโลไปนั้น เห็นจะเปนล้อต้นไทรโซโล ถึงว่าที่ยกยาตัดยอดลงมาแล้วก็จริงยังสูงกว่าที่โซโล แต่ฐานที่นี่ทำเปนอย่างฝรั่งก่ออิฐมีรั้วเหล็กทาสีสันหมดจดดี ประเสบันก็ดูใหญ่ ๆ แลซ่อมแปลงดีกว่าที่ยกยา รถที่ไปต้องเดิรผ่านในหว่างต้นไทรกลางสนาม ไปเข้าประตูข้างขวา วังที่นี่ทำเปนฝารอบขอบชิด คือด้านน่ากำแพงตลอดที่ดินสูงอยู่กลางกำแพง ย่อเข้าไปมีประตูอิกชั้นหนึ่ง ไม่แหว่ง ๆ เหมือนที่ยกยา กำแพงก็ฉาบปูนใหม่ในที่ซึ่งจะแลเห็นทั้งปวง เว้นไว้แต่ด้านหลังซึ่งลอดตาเห็นดำ ๆ อยู่ เปนการตกแต่งพระนครคอยรับจริง ๆ ประตูวังก็ใหญ่น่าตาไม่เปนวังน่า มีเจ้าพนักงารเฝ้าประตูมาคอยรับ ทหารเฝ้าประตูเปนทหารแต่งอย่างยุโรป ไม่แก่กกงกเงิ่นเหมือนยกยา ชลาในประตูเข้าไปกว้างกว่าที่ยกยา มีศาลาที่พักรเด่นอธิปติกับรเด่นนายโกคอยรับอยู่ที่นั่น ทหารยืน ๒ แถวแต่งตัวเสื้อทหารนุ่งกางเกงสั้นนุ่งผ้าโดด๊ดถือปืนชนวนทองแดงปลายหอก ๒ แถว เข้าประตูอีกชั้นหนึ่ง ประบูวิยาหยาอริโยมตารำกับปเงรันอีกสัก ๗ - ๘ คนคอยรับแต่ไม่ได้จูง ชลาชั้นในเรสิเดนต์จูงสุสุนันยืนคอยรับอยู่ข้างปันดโป เขาไม่ได้พาเดิรอ้อมไปด้านน่าเหมือนที่ยกยา นอกจากที่ปูพรมทางอย่างกว้างแล้วไม่มีที่วาง ริมเขื่อนเพ็ชร์รอบ ทหารยืนเปนหมู่ ๆ ประมาณสัก ๘๐๐ คน มีม้าแต่งเครื่องแขกบ้างฝรั่งบ้างอย่างงาม ๆ ๔ ม้า ศาลาที่มีอยู่ในนั้นกี่ศาลามีขุนนางแต่งตัวสวมเสื้อปักนั่งอยู่เต็ม ๆ ไป ยังมีพนักงารอะไรอิกแต่งตัวเสื้อสีเขียวแดงฉูดฉาดนั่งเปนกอง ๆ นอกนั้นก็คนนุ่งผ้าโดด๊ดสวมโกลุกขาวนั่งเต็มไปทั้งลาน คนเห็นจะหลายพันมากกว่าที่ยกยา ในปันดโปกว้างขวางกว่าที่ยกยามากอยู่ แต่ลายสลักไม่สู้งามเหมือนที่ยกยา แขวนรย้าแก้วใหญ่ ๆ กว่า ๒๐ รย้า ที่นั่งรับหันน่าข้างทิศเหนือ ปูพรมใหญ่โรยด้วยบุหงาหนา หลังเก้าอี้มีท้าวนางแลคนเชิญเครื่องนั่งเต็ม ที่ยกยาไม่เห็นมีท้าวนางออกมานั่ง ที่เปนหัวน่านั้นเรียกรเด่นอธิปติ ผิวพรรณงามขาวสวยอายุราวสัก ๕๐ ใส่ต่างหูเพ็ชร์แลแหว่นเพ็ชร์หัวโต ๆ อย่างโบราณหกนิ้ว สุสุนันบอกว่าเปนเมียคนโปรดของพ่อ ที่เปนท้าวนางรอง ๆ ไปก็หน้าตาหมดจดเปนผู้ดี ช่างพูดประจ๋อประแจ๋เหมือนคนแก่ไทย ๆ มีการเลี้ยงน้ำชาเลี้ยงบุหรี่แลเหล้าตามธรรมเนียม การสนทนากับสุสุนันก็ถามเรื่องตราแลเปนที่หนึ่ง พวกเราที่ติดตรามาก ๆ หรืองาม ๆ เรียกเข้าไปลูบคลำทักทายปราไสยทุกคน หลวงสุนทร
เวลาบ่าย ๕ โมงไปบ้านเรสิเดนต์ อยู่ต่อกับโฮเต็ลทีเดียว ออกมานั่งรับที่เฉลียงประชุมพวกแอสสิสตันเรสิเดนต์ต่าง ๆ ที่อยู่ในบังคับทั้ง ๕ คน แลผู้อื่น ๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เลี้ยงน้ำชาตามแบบแล้วดูเรือน ๆ ที่นี่เล็กกว่าที่ยกยา ด้านน่าก็ไม่มีสวนไปมีอยู่ด้านหลัง พาลงไปเดิรในสวนไม่สู้มีอันใดนัก มืแต่สายน้ำไหลมาขังในสระแต่มีโคลนเสียมาก ตัวสวนนั้นเองดูกว้างขวางดีอยู่ แต่แลไปดูโดยรอบข้างเปนกำแพงหัก ๆ ลัน ๆ แลสวนร้าง ๆ ดูไม่ใคร่จะน่าสบายสู้ที่ยกยาไม่ได้ ไปนั่งกันที่ใต้ต้นไม้จนเกือบพลบจึงได้กลับ เลยไปที่มังกุโนโกโร ตามทางที่ขึ้นมาที่นี่เขาไม่เรียกกราตนเหมือนที่ปักกุอาลำ เรียกว่ามังกุโนโกรน พอเข้าแดนมังกุโนโกโร ก็มีทหารยืนถือไต้รายทางตลอด เพราะดูเหมือนจะไม่มีไฟในถนน เห็นแต่ไฟตามร้านตลาดแลที่ประตูบ้านคนสว่างไปทั้งนั้น บ้านน้องของมังกุโนโกโรคนหนึ่งทำเหมือนบ้านฝรั่ง การรักษาพาใจก็ทำให้เห็นได้ว่าเปนบ้านฝรั่ง ต่อถามจึงรู้ว่าไม่ใช่ ที่บ้านมังกุโนโกโรมีซุ้มไฟที่ประตูบ้าน เข้าไปอีกไกลจึงได้ถึงประตูชั้นใน มีถนนใหญ่คั่นเสียถนนหนึ่งด้วย บ้านพวกญาติพี่น้องตั้งอยู่เหล่านั้นเปนอันมาก ใกล้กำแพงชั้นในมีบาแรกทหารทำเปนตึกหลายหลัง มีทหารยืนแถวท่วงทีเหมือนทหารชวาของวิลันดา ดีกว่าของสุสุนันเปนอันมาก ปืนก็ใช้ปืนบรรจุท้าย มีปืนใหญ่ด้วย ๔ บอก เข้าประตูชั้นในไปมีซุ้มไฟอีก มีไฟฟ้าจุดที่ประตูด้วย รถเข้าไปเทียบถึงน่าปันดโป ตัวมังกุโนโกโรแลญาติวงศ์มาคอยรับ มีคนหนึ่งหรือ ๒ คนได้เคยไปยุโรป ข้าไทยที่มานั่งอยู่หรือที่ใช้สอยล้วนแต่สวมเสื้อทั้งสิ้น ตัวมังกุโนโกโรเองอายุปีเดียวกันกับเรา ผิวเนื้อดำรูปร่างอ้วนใหญ่หน้าตาไม่สู้งาม แต่กิริยาอัชฌาไสยดีนักเปนคนเรียบร้อยอย่างยิ่ง บรรดาชาวชวาเห็นจะไม่มีใครสู้ เรียบร้อยเหมือนคนไทยที่อย่างเรียบร้อย ไม่โก้งเก้งอย่างฝรั่งแลไม่งกเงิ่นเร่อร่า เข้าได้ทั้งไทยทั้งฝรั่ง ถ้าต่อหน้าเราแสดงความเคารพอ่อนน้อม แต่มิใช่แป้น ถ้าลับหลังพูดจาเล่นหัวท่วงทีเปนนักเลง แต่เขาว่าเปนคนหน้าใหญ่มาก เงินพ่อเก็บไว้ถึง ๑๐ ล้านใช้ ๓ ปีหมด การที่ใช้นั้นเปนเรื่องทำมาหากินขาดทุนบ้าง แผ่เผื่อเจือจานต่าง ๆ บ้าง บรรดาคนในพวกนั้นนับถือรักใคร่มาก ถึงพวกน้อง ๆ ก็เลียนอาการกิริยา อย่างเดียวกัน พอเห็นกิริยาก็รู้ว่าเปนพวกมังกุโนโกโร ปันดโปที่นี่ใหญ่ยิ่งสาหัส เขาว่าไม่มีที่ไหนเท่าทั้งแว่นแคว้นแดนชวา ถ้าจะยกเอาปันดโปของสุสุนันมาตั้งลงข้างในก็เกือบจะตั้งไต้ ประดับด้วยโคมรย้าเปนอันมาก แต่เปนรย้าพวงลังสาดใช้น้ำมันปิโตรเลียม ดูเหมือนจะทำเอง การตกแต่งลวดลายไม่งามเลย ทาสีลอกไม้ปิดทองเล็กน้อย ลายเพดานเขียนมีโมโนเกรมของพ่อ แต่เปนลายก้านขดฝรั่ง นั่งกินน้ำชาสนทนากันตามธรรมเนียม ให้ลูกสาว ๒ คนเอาดอกไม้มาให้เราช่อ ๑ แม่เล็กช่อ ๑ เมียตายแล้วไม่ได้มีใหม่ มีแต่เมียที่ไม่ได้รับแขก ลูกเด็ก ๆ มานั่งอยู่ข้างหลังออกกองโต เล่าถึงเรื่องที่ลงไปสมารังเมื่อคราวรับเรา ตัวพึ่งเข้าเปนทหารเปนสกันเล็ฟเตอร์แนนได้พบเราด้วย แล้วพาเข้าไปดูในเรือนที่หลังต่อกันกับปันดโป มีพวกถือเครื่องยศคือปุษากะนั่งอยู่เปนอันมาก ในเครื่องปุษากะทั้งปวงมีดาบฟักทองซึ่งเราได้ส่งไปให้พ่อแต่คราวก่อนถืออยู่เล่ม ๑ เขาว่าเปนของที่ใช้สำหรับยศเสมอมา เก็บไว้ในที่นอนซึ่งเปนที่ตัวอยู่ เรือนซึ่งเปนพระวิมานไม่ได้อยู่จริง ๆ นั้น เปนหลังใหญ่เกือบเท่าของสุสุนัน แต่ปลูกขวางตามยาวยกพื้นสูงขึ้นกว่าเรือนชวาทั้งปวง มีรูปพ่อแม่แลคนอื่น ๆ มีเตียงแลผีเครื่องอาวุธ ของตกแต่งเย่าเรือนดีกว่าปักกุอาลำ แต่งค่อนจะอยู่ข้างเปนฝรั่งมากขึ้นสักหน่อย ตู้ที่ใส่เครื่องยศทั้งปวงเหมือนกันกับที่เราซื้อมาแต่ที่สมารังคราวก่อน เขาบอกว่าซื้อพร้อมกันกับเราคราวนั้น กลับลงมาที่ปันดโปดูวายังวอง บรรดาวายังวองในชวาสรรเสริญกันว่าไม่มีที่ไหนสู้ เปนเจ้านายญาติวงศ์เขาเล่นทั้งนั้น ข้อที่เอาเจ้านายลงเล่นนั้น เพราะเล่นเรื่องปู่ย่าตายาย ตัวปู่ย่าตายายต้องเอาลูกหลานเปน ท่าทางแต่งตัวแข็งแรงแต่ไม่ได้ทันถามเรื่องราวอันใด แต่ดูก็ไม่ใคร่จะเห็น เพราะเล่นห่างมากแลมืด ทั้งเวลาก็หมดด้วย กำหนดเชิญดินเนอร์ที่ในกราตน ๒ ทุ่มครึ่ง เกือบ ๒ ทุ่มแล้วต้องรีบกลับสั่งแอสสิสตันเรสิเดนต์ให้ไปบอกสุสุนัน ขอผัดยามหนึ่งจึงจะเข้าไปได้เพราะแม่เล็กแต่งตัวไม่ทันเจ้านั่นไม่ยอม เราว่าได้บอกแต่เมื่อไปที่มังกุโนโกโรแล้ว ให้บอกมังกุโนโกโรของดวายังวองก็ไม่บอกให้ เมื่อไม่บอกสุสุนันก็ตามใจ แต่เราคงจะเข้าไปได้ต่อยามหนึ่งด้วยไม่ทันจริง ๆ มันยังขวางไปขวางมาอยู่ ต้องให้แบรอนกวาลไปจัดแจงจึงเปนที่เรียบร้อย
เวลา ๒ ทุ่ม ๓ ส่วนเข้าไปในกราตน แต่งตัวเต็มยศทหารมหาดเล็ก ยามเศษจึงได้ถึง ที่แท้ก็สักแค่บ้านกรมหลวงเทวะวงศเข้ามาในวังเท่านั้น รถเดิรกระดิบ ๆ จึงได้ช้า รถหลังนี้เปลี่ยนใหม่เปนไม้ดำทั้งรถ ต้องไปตั้งพิธีกินน้ำชาตามแบบ ที่เมืองโซโลสู้ส้ากว่าที่ยกยามาก บรรดาเจ้านายทั้งผู้หญิงผู้ชายที่ไม่เจ็บไข้แล้วให้มารับทั้งสิ้น เจ้านายผู้หญิงพี่ป้าน้าอาว์น้องเกือบ ๓๐ คน ผู้ชายก็เปนอันมาก เข้าไปถึงแล้ว ต้องจับมือไม่ต่ำกว่า ๕๐ คน ที่นั่งวันนี้เปลี่ยนนั่งหันหลังเข้าทางเรือน ด้านข้างช้ายเปนที่เจ้านายผู้หญิงนั่งหมู่หนึ่ง ข้างขวาเปนที่พวกฝรั่งนั่ง ตรงกลางเจ้านายแลขุนนางนั่งกับพื้น เหมือนอย่างออกขุนนาง รเด่นอธิปตินั่งกลาง กินน้ำชาแล้วยังต้องจัดเลือกคู่ใครจะจูงใครต่อใครอีก เปนการใหญ่มิใช่เล่น กว่าจะแล้วเอะอะกันเปนนาน ประวิตรเคราะห์ร้ายถูกเขาจัดให้จูงยายแก่ เปนแม่อริโยมตารำ เราเรียกกันว่าพระองค์แม้นเขียน อายุเห็นจะเกือบ ๘๐ ในว่า ๆ แกเคยนอนแต่เวลาพลบทุกวัน วันนี้ต้องอดนอนเต็มงอมทีเดียว ตกลงเปนเราจูงแม่เล็ก สุสุนันเรสิเดนต์จูง กรมดำรงจูงรตูใหม่ นายทหารจูงรตูเก่า มังกุโนโกโรจูงเลดีอินเวตติง แต่ใครจะจูงใครต่อไปอีกสังเกตไม่ได้ เพราะคนมากด้วยกันถึงร้อยเศษ กลุ้มกลั้นกันไปทั้งนั้น ระเบียบที่นั่งฟากข้างขวาเรากับแม่เล็กนั่งกลางด้วยกัน ฟากข้างซ้ายสุสุนันกับเมีย ข้างซ้ายเรารตูเก่าต่อไปนายทหาร ข้างขวาแม่เล็กมังกุโนโกโรแล้วเลดีอินเวตติง ข้างฟากโน้นข้างขวารตู กรมดำรง ข้างซ้ายสุสุนันเรสิเดนต์ จูงแลนั่งเคียงกันหมดตลอดไปจนชั้นนายสุจินดาก็ได้จูง เครื่องโต๊ะที่ใช้เปนเครื่องเงินกาไหล่ทองบ้างเงินเปล่าบ้าง เครื่องตั้งกลางโต๊ะใหญ่ สุสุนันบอกว่าเปนของปุษากะได้สืบต่อมาแต่ครั้งบิดา ซ่อมช้อนที่เราแม่เล็กแลที่ตัวแกใช้เองเปนเครื่องทองคำทั้งสิ้น การสนทนาในโต๊ะก็อยู่ในเรื่องเปรียบกับยกยาเปนพื้น แต่ตั้งพิธีท่องชื่อเรามาวันยังค่ำ สอบถามร่ำไปว่าถูกหรือไม่ ครั้นเวลากินเข้าพอถึงของหวานมีคนเอารฆังบีบมาตั้งที่เราใบหนึ่ง ที่สุสุนันใบหนึ่ง กริ่งก็ไม่ค่อยจะดังลุกขึ้นพูดเปนการต้อนรับในภาษาชวา แล้วเรสิเดนต์แปลเปนภาษาอังกฤษเกือบจะเสียท่าเสียด้วยเรื่องจำชื่อไม่ได้ ถ้าไม่ออกชื่อที่จะไม่ต้องใจ พเอิญมองไปเจอะโมโนแกรมในโถนึกขึ้นได้ ๆ ออกชื่อเต็มยศเปนที่เรียบร้อยสบายกันไปได้ เราชั่งวิตกว่าเรสิเดนต์แกจะไม่เข้าใจเสียจริง ๆ แต่ครั้นสอบถามคนเราที่รู้ภาษามลายู ก็บอกว่าได้ความพอใช้อยู่ เราลืมกล่าวถึงโรงที่สำหรับเลี้ยงนั้น มีอยู่ด้านขวาแห่งปันดโปเหมือนกัน ทั้งยกยาแลโซโลเปนโรงหลังคามุงสังกสียาวใหญ่ แต่ที่ยกยาไม่มีฝาที่โซโลกว้างกว่า แลมีฝากระจกเรียบร้อยงดงามดีกว่ากันมาก ถ้าจะเลี้ยงสัก ๔๐๐ คน เห็นจะเลี้ยงได้ วันนี้ก็ตั้งโต๊ะ ๒ โต๊ะสำหรับชั้นที่ ๑ แลที่ ๒ แต่โต๊ะที่ ๒ ยังไม่เห็นใครนั่ง เห็นจะเปนสำหรับขุนนาง พอเลี้ยงแล้วลุกขึ้นจูงกันกลับ พอถึงประตูโรงเลี้ยง สุสุนันสบัดมือเรสิเดนต์มาจูงเรา กลายเปนจูงสามต่อกันขึ้นอีก พาไปดูกำมลัง แม่เล็กทนลากไม่ไหวลาออก ตกลงเปนจูงกันไปแต่กับเรา ท่วงทีเครื่องพิณพาทย์จะมากกว่าที่ยกยา แต่ไม่ได้นับเพราะติดจูงกันอยู่เสีย ดูพิณพาทย์แล้วกลับไปนั่งที่ใหม่เลี้ยงน้ำชาแล้วมีเสรมปี มีคนหนึ่งหน้าตาเปนผู้ชายอายุสัก ๕๐ ได้แล้ว แต่ไม่มีหนวดแต่งตัวเปนผู้หญิงห่มผ้านั่งอยู่ในพวกเถ้าแก่ ทำกิริยาเปนผู้หญิงคลานกระด้วมกระเดี้ยม