๕๒
เมืองยกยาการุต
วันที่ ๒๙ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๕
วันนี้เวโทโนตำบลมาโตโย ซึ่งเอาน้ำชามาเลี้ยงกลางทาง เปนลูกรเด่นอธิปติจักโกรโนโกโร พาเมียมาหา มีส้มมาให้ชลอมหนึ่งกับอะไรอิกเล็กน้อย ได้ให้ของแลจับมือด้วย ช่างดีอกดีใจเสียจริง ๆ เวลาบ่าย ๔ โมงไปดูวังน้ำซึ่งเปนที่ร้าง เพราะแผ่นดินไหวเมื่อปีคฤศตศักราช ๑๘๖๗ คือ ๓๐ ปีมานี้ ที่วังน้ำนี้เปนของสุลต่านคนที่ ๒ ทำขึ้น เอาอย่างฝรั่ง เมื่อจะทำใช้ให้คนลงไปถ่ายอย่างป้อมที่เมืองบัตเตเวียมาดู มีถนนผ่านเข้าไปกลางข้างหนึ่งเปนสระข้างหนึ่งสวน วันนี้ตามทางที่ไปเห็นกำลังขายของ ตลาดที่ในกราตนไม่มีร้านรวงริมถนนหรือเปนบาซา ใช้ขายกันที่ประตูบ้านแลข้างถนน มีผักเปนพื้น คนดูมากเสียจริง ๆ ดูเปนคนผู้ดีพวกข้าราชการมาก สังเกตได้ที่โพกหัวเรียบร้อยแลนุ่งจีบเลื้อย ๆ ปเงรันอธิปติเบี๊ยกรับอยู่ที่ทางขึ้น ไม่ได้ขึ้นทางประตูใหญ่ ไปขึ้นทางขอบเขื่อนสระซึ่งมีกำแพง ประตูกำแพงนั้นเดิรออกไปถึงฝั่งสระ เปนเกยยื่นออกไปหน่อยหนึ่ง ว่าเปนทางสำหรับเรสิเดนต์เข้ามาเฝ้า ถ้ามาถึงประตูนั้น ตีระฆังสัญญา เรือใช้ซึ่งคอยอยู่ในโรงมุมสระข้างหนึ่งก็มารับไปที่พระที่นั่งในกลางน้ำ แล้วเดิรเลียบตามเขื่อนไปขึ้นบันไดที่ลงอุโมงค์ ๆ นั้นทำตั้งแต่ฝังเขื่อนยื่นเข้าไปจนกระทั่งถึงเกาะกลางซึ่งเปนพระที่นั่ง ใช้ก่อรอบให้อุโมงค์ต่ำกว่าน้ำแต่มีปล่องสำหรับเปิดแสงสว่างลงมาหลายปล่อง ในกลางย่านข้างขวามือเจาะประตูออกไปถึงป้อม ๔ เหลี่ยมมีบันไดขึ้นข้างใน ชั้นล่างเสมอหลังอุโมงค์หรือตั้งใจจะให้พอพ้นหลังน้ำ แล้วขึ้นไปข้างบนอิกชั้นหนึ่งเปนดาดฟ้าสำหรับนั่งเล่นในกลางน้ำ ถึงว่าเดี๋ยวนี้น้ำไม่มีในนั้นเลย ในอุโมงค์ก็เปนน้ำแฉะต้องทอดกระดานเดิร ตามหลังคาที่ก่อรอบก็เปนตะไคร่น้ำซึมอยู่ทั้งนั้น เมื่อถึงเกาะกลางน้ำมีบันไดขึ้นอีก ไปถึงชานเกาะ ตัวพระที่นั่งนั้นหลังกลางเปน ๔ เหลี่ยมพื้นสองชั้น แล้วชักมุขยาวไปสองข้าง ปลายมุขทั้งสองข้างมีหลังขวางสองชั้น ท่าทางนั้นเหมือนพระที่นั่งจักรี แต่แคบเล็ก มุข ๒ ข้างแลหลังขวางทั้ง ๒ หลัง หลังคาแลพื้นพังลงมาเสียหมด พื้นยังมีอยู่แต่หลังกลาง แต่พวกวิลันดาช่างกลัวกันเสียจริง ๆ ว่าจะพัง กำชับแล้วกำชับเล่าขอให้ขึ้นคราวหนึ่งอย่าให้เกิน ๒ คนหรือ ๓ คน พากันคร้ามไม่ใคร่มีใครยอมขึ้น แต่เมื่อพิจารณาดูเห็นว่าเปนพื้นก่อรอบยังไม่ชำรุดมากนัก จึงขึ้นกับแอสสิสตันเรสิเดนต์แลแขกอิกคนหนึ่ง เมื่อขึ้นไปถึงบนนั้นก็เห็นแน่ได้ว่าขึ้นสัก ๓๐ คน ๔๐ คนก็ไม่พัง แต่การที่ขึ้นไปนั้นไม่คุ้มค่าเหนื่อย สูงจริงอยู่แต่แลลงมาดูข้างล่างเปนแต่ต้นไม้คลุมไปทั้งนั้นไม่แลเห็นอันใด ฝีไม้ลายมือที่ทำก็เลวเต็มที ลงจากนั้นมาลงปากอุโมงค์อีกแห่งหนึ่งเหมือนทางที่ไป แต่ที่พักกลางย่านทำเปนรเบียงกลมกลางเปิดอากาศว่างมีบันไดขึ้นที่ตรงนั้น ชั้นล่างว่าเปนที่สำหรับพวกกำมลังอยู่ ชั้นบนมีที่พื้นเสมอน้ำ เปนที่สำหรับขับรำบำเรอ เจาะน่าต่างโตรอบ เมื่อพายเรือเล่นในสระแล้วมาจอดดูทางน่าต่างนั้นได้ เมื่อหลุดขึ้นมาพ้นจากอุโมงค์แล้วเดิรมาในระหว่างกำแพงขอบสระแลกำแพงชั้นนอก มีศาลากลางทางที่คนรักษาหลังหนึ่ง แล้วไปออกประตูหรือกำแพงพังไปนิดหนึ่งจึงเลี้ยวกลับเข้าในกำแพงกั้นอีกตอนหนึ่งต่างหากเปนเขตรสวนแล้วเข้ากำแพงอีกชั้นหนึ่งลานกว้าง ๘ เหลี่ยมเข้าประตูไปอีกจึงถึงสระ ๒ สระติดกันมีเอ็นกลางกำแพงกั้นล้อมรอบ สระหนึ่งว่าเปนที่สนมกรมในอาบ สระหนึ่งว่าเปนที่สรงมีหลังคาเปนเก๋งเล็กยื่นลงไปในสระ มีช้างหรือนาค ซึ่งดอกเตอร์โกรนแมนเถียงกับเรา พ่นน้ำลงไปในสระ มีเรือนต่อเข้าไปข้างใน ๒ หลังติดกัน มีเหมือนเตียงแต่พื้นโหว่อยู่ในนั้นว่าเปนที่บรรทมของสุลต่าน กลับออกมาเดิรวนไปตามหว่างกระถางต้นไม้จนออกลานแปดเหลี่ยม ด้านหนึ่งเปนประตูที่จะเข้าไปในพระที่นั่ง ด้านหนึ่งเปนประตูที่จะออกไปถนน ประตูนั้นทำใหญ่สู้ส้าอย่างแขก มีศาลาอยู่สองหลังว่าเปนที่สำหรับทหารผู้หญิงอยู่ แวะกินน้ำชาในที่นั้น แล้วออกทางประตูใหญ่มีศาลาสำหรับกรมวังอยู่สองศาลา เดิรมาบรรจบถึงที่ลงจากรถก็ขึ้นรถในที่นั้น เขาว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างรวมทั้งเรือกสวนด้วย แต่เวลาไม่พอ ด้วยสุลต่านมาคอยอยู่ที่อาลูนอาลูน จะริวิ้วทหารให้ดู ผู้ที่เคยเห็นเขาว่าเมื่อยังไม่พังสนุกสนานมาก กระถางต้นไม้ใหญ่ ๆ ยังตั้งเรียงรายอยู่ ว่าเล่นดอกกุหลาบดอกโต ๆ ปลูกรอบไปทั้งนั้น แต่เวลานี้ดูไม่น่าดูเลย ฝีไม้ลายมือไม่น่าจะชม สระเองก็น่าสงไสยว่าจะขังน้ำไว้ได้โดยยาก อุโมงค์ก็คงจะรั่วหยดเผาะแผะอยู่เสมอ เขาว่าเวลาที่เรามานี้เปนหนาวที่สุดของเมืองยกยาซึ่งมีปีละเดือนเท่านั้น แต่แต่งเครื่องขาวทหารแล้วยังร้อนเหลือกำลัง การที่หยุดเสียไม่ให้ดูต่อไปอีกนั้นเปนที่พอใจอย่างยิ่ง
ออกจากนั้นไปทางในกราตนซึ่งจะจำไม่ได้เลยว่าไปทางใดถึงอาลูนอาลูนข้างใต้ ที่ตรงวังออกมามีปรำ สุลต่านแลเรสิเดนต์จูงกันมาคอยอยู่น่าปรำพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์มากยิ่งขึ้นไปกว่าแต่ก่อน ปูพรมตั้งเก้าอี้ลงกับพื้นดินเฉย ๆ ถัดเข้าไปข้างหลังมีแท่นปูนหรือศิลาสูงขึ้นไปกว่าพื้นดินสัก ๕ นิ้ว ๖ นิ้ว ยาวสัก ๖ ศอกกว้าง ๒ ศอกคืบหรือ ๓ ศอก ทีจะเปนที่ประทับของสุลต่านซึ่งจำเปนจะต้องนั่งกับเรสิเดนต์นั่งคนเดียวไม่ได้ ข้อซึ่งไม่ให้เรานั่งบนนั้นจะเปนด้วยเห็นเปนแขกบ้านค้านเมืองไม่ควรจะให้นั่งหรือที่แคบจะไม่พอกันนั่ง อีกอย่างหนึ่งจะห่างจากพวกทหารที่จะเดิรผ่านมาหรืออย่างไร จึงได้จัดที่นั่งริมปรำทีเดียว น่าปรำมีกรรฉิ่งทำด้วยแพรปัก ๒ คู่ บนต้นไทรในกลางอาลูนอาลูนเอาธงช้างขึ้นไปผูกไว้สูง ตั้งพิธีกินน้ำชาตามเคยแต่ไม่มีประโคม พอแล้วเสร็จให้เดิรกระบวรซึ่งรายอยู่รอบสนามผ่านน่าปรำ กระบวรทหารนั้นจะพรรณาถึงเครื่องแต่งตัวยากยิ่งนัก ด้วยมันไม่เปนแบบเปนแผนอย่างไร แต่งเปนหมู่ ๆ หมู่ละ ๔๐ คน ๕๐ คน เหมือนเล่นละคอนหรือแฟนซีเดรสมากกว่าทหาร บางพวกก็แต่งตัวนุ่งกังเกงสั้นสวมสนับน่องขาวใส่เสื้อทหารฝรั่งโบราณตุ้มปี่โต ๆ มีสายอะไรผ่านน่าอก ๒ ข้าง ถือปืนชนวนทองแดงปลายหอก ๒ ตับ แล้วถือหอกเช่นไนต์ฝรั่งโบราณชี้เด่มาข้างน่าอีก ๒ ตับ แล้วถึงทหารปืนอีก ๒ ตับ พิณพาทย์ที่นำน่ามีกลองทหาร ๒ ใบ แตรเดี่ยวคันหนึ่ง ธง ๒ อัน อีกพวกหนึ่งแต่งตัวสวมกังเกงขากว้าง ๆ สวมเสื้อคล้าย ๆ เสื้อยี่ปุนแต่มีคอ คาดเจียรบาต มีเข็มขัดทับนอกไล่หมวกก๊อกแฮตพันแถบทองบ้างหมวกแฮลเมตบ้าง ถือหอกยาวมีกลองชนะ ๒ ใบ ฆ้อง ๒ ใบ ปี่ชวาแลฉาบนำ บางพวกก็แต่งสวมเกือกบู๊ดใส่เสื้อแหวกข้างล่าง บางพวกก็นุ่งกางเกงขาว เสื้อขาวใส่เสือกั๊กหมวกนั้นก็เปนรูปต่าง ๆ เหลือที่จะพรรณา แต่เครื่องที่ถือนั้นเปนปืนกับหอกเปนพื้น พิณพาทย์ก็มีต่าง ๆ ตั้งแต่ปี่กลองมลายูไปจนถึงกำมลังตีสามหามสี่ ธงลายต่าง ๆ สีต่าง ๆ ยอดธงก็เปนอาวุธต่าง ๆ บางพวกก็เดิรก้าวยาว ๆ บางพวกก็เดิรก้าวสั้น บางพวกก็รำเข้าเพลิงพิณพาทย์ กว่าจะเดิรหมดช้าเต็มที ยังมีเครื่องพิณพาทย์ที่เปนเจ้าพระยาแลพระยาพระหลวง ขึ้นคานหามมีกลดกั้นซอ ๒ สายคัน ๑ ซึ่งว่าเปนของสุลต่านองค์ใดองค์หนึ่งโปรดนัก ถึงกับให้กั้นร่มทองเช่นสุลต่านกั้น คนที่มาเดิรนั้นอายุตั้งแต่ ๙ ขวบ ๑๐ ขวบ ขึ้นไปจนอายุ ๖๐-๗๐ จำนวนว่ามี ๘๐๐ คน แบ่งเปน ๑๐ หมู่ แต่มีผู้เขาบอกว่ามี ๖๐๐ เท่านั้น เปนคนประจำหมู่จึงมีเด็กบ้างผู้ใหญ่บ้าง สุลต่านบอกว่าเปนของสุลต่านที่ ๑ จัดไว้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเปนแต่ซ่อมเครื่องแต่งตัวที่ชำรุดให้คงเดิมดังเก่า เสร็จการเดิรทหารแล้วดูพระเสลี่ยงพระวอ พระเสลี่ยงนั้นหาม ๘ แต่ตั้งเสาขึ้นไปจากคานสูงโงนเงน ผูกเปลคล้าย ๆ รถที่เล่นมารีโกเราน์แกว่งโตงเตงได้ อิกหลังหนึ่งเปนตู้ ๔ เหลี่ยมมีหลังคา ที่มุมมีช้างหรือนาค ถามแก ๆ บอกว่า “นาคะ” นั่งได้ ๒ คนสำหรับรตู แต่ถ้าเวลาแต่งงารสำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นนั่งในวันแห่ วันนี้สุลต่านนำให้รู้จักพระญาติวงศ์ต่าง ๆ อีกหลายคน คนหนึ่งนั้นเปนพี่ที่ต้องเนียรเทศพึ่งเรียกกลับมาได้ ๓ ปี แลลูกรตูใหม่อีก ๒ คน แล้วบอกว่าจะเอาของมาให้ กลับเกือบ ๔ ทุ่ม ปักกุอาลำให้ลูก ๒ คนเอาของมาให้ คือสองง่ามที่คันเปนรูปช้าง ว่าเปนของเก่าสำหรับตระกูล แต่ครั้งเมื่อยังถือศาสนาฮินดูอยู่ กับตุ๊กตาแต่งงารสำหรับตั้งน่าเตียงผีคู่หนึ่ง ปิสัย ๒ คู่ จิ๊บึ๊ง ๒ คู่ สองคนนั้นก็ให้พร้าหรือขอโบราณอีกคนละอัน สุลต่านให้ปเงรันอธิปติมังกุภูมิแลเบี๊ยกนำของมาให้ คือกฤชฝักทองข้างในคร่ำเปนนาคกระหวัดกันเล่ม ๑ ว่าเปนของโบราณ กับมีดสำหรับเหน็บเฝ้าด้ามกรามช้างเล่ม ๑ ผ้าโกด๊กอย่างหลวงลายปรังสุลักผืน ๑ เสือชั้นในผ้าขาวตัว ๑ เสื้อชั้นนอกกำมหยี่สีน้ำเงินแก่ตัว ๑ กางเกงปูมตัว ๑ หมวกโกลุกกระดาษใบ ๑ ขนบีเวอร์เลี่ยมทองใบ ๑ ประบูอนุมให้หอกยาวเล่ม ๑ มังกุภูมิให้เครื่องอาวุธโบราณคนละ ๒ เล่ม กับสุลต่านให้สมุดเรื่องอิเหนา ๓ ห่อ ๆ หนึ่ง ๔ เล่มห่อหนึ่ง ๒ เล่มห่อหนึ่งเล่มเดียว แต่เราเห็นว่าจะเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เพราะจะหาล่ามชวาในบางกอกไม่ได้ ถึงจะหาได้ก็คงแปลไม่ออก เพราะเปนคำกาวี แต่เจ้านายเหล่านี้ยังแปลไม่ใคร่จะออก อ่านหนังสือแต่ละบรรทัดตั้ง ๙ มินิต ๑๐ มินิต จึงได้บอกคืนให้เก็บไว้ ด้วยเปนฉบับเขียนด้วยมือ มีจดหมายคัดเรื่องท้าวกุเรปันมาให้ ว่าตรวจดูตามที่มีในหนังสือพงศาวดารเมืองซิงโกโล เจ้าแผ่นดินชื่อประภูฮามิลุธุร์หรือเทวกุสุมา มีเมีย ๗ คน คนที่หนึ่งชื่อเทวเรอราเง็นไม่มีลูกต้องพรากกัน เมียที่ ๒ ชื่อลิกูโรโซ เปนลูกของอาริโยโซวิโต มีลูกสาวชื่อราเกลกุนิง หรือเทวีออนะงัน เมียที่ ๓ ชื่อเทวีอุบลเปนไทย มีลูกชายชื่อปันยีวูลุง เมียที่ ๔ ชื่อเทวีเตโชสวอโร เปนลูกนิจฉะบูโร มีลูกสาวชื่อเทวอัสโมระบางูนตายเมื่อออกลูก เมียที่ ๕ ชื่อเทวีมเหศวโร ทีหลังเลื่อนเปนเตชะสวโร เปนตำแหน่งเมียที่ ๔ มีลูกชายชื่อรเด่นปันหยีสินมประโตโป เมียที่ ๖ ชื่อเทวีกากอนโร มาแต่เมืองไทย มีลูกชายชื่อรเด่นตุงกุลอุลุง เมียที่ ๗ ชื่อเทวีฮบีน้องของเมียที่ ๑ มีลูกชื่อปันหยีปามะจุ๊ด ดูชื่อเสียงเปนอย่างอื่นไป ครั้นจะไล่เลียงต่อไปอีกก็ไม่มีเวลา แต่มังกุภูมิอ่านเท่านี้ก็นานเกือบครึ่งชั่วโมง ตกลงเปนต้องงด ขอให้บอกสุลต่านพรุ่งนี้จะให้คนเอาของไปให้ ไล่เลียงแอสสิสตันเรสิเดนต์ถึงเรื่องจูงกับสุลต่าน ด้วยธรรมเนียมของเราไปถึงเมืองใดไม่ว่าเวลาเย็นค่ำเท่าใดคงจะต้องขี่รถกับแอสสิสตันเรสิเดนต์ เพราะจะได้ไล่เลียงถึงเรื่องราวแลเหตุผลในเมืองให้รู้ตลอด การจะดูแลอันใดก็เปนประมาณ ถ้ารู้เรื่องแล้วรุ่งขึ้นดูอะไรเข้าใจดีกว่า แต่ที่นี่เสียที่ในเรื่องเรสิเดนต์จูงสุลต่าน เพราะไม่ได้นึกได้เห็นเลยว่าจะมีธรรมเนียมเช่นนั้น วันนี้ได้ไล่เลียงได้ความว่า ธรรมเนียมที่จูงกันนี้มีมาช้านาน ผู้น้อยต้องจูงผู้ใหญ่ คือถ้าคอเวอนเนอเยเนราลมาโซโล หรือยกยาสุสุนันแลสุลต่านต้องจูงด้วยแขนขวา ถ้าสุสุนันแลสุลต่านไปที่ที่อยู่คอเวอนเนอเยเนราล ๆ ต้องจูงด้วยแขนซ้าย เปนการให้เกียรติยศ ที่เรสิเดนต์ต้องจูงสุลต่านนั้น เพื่อจะแสดงความนับถือ สุลต่านยกย่องว่าเปนใหญ่กว่า เพราะเหตุว่าเรสิเดนต์ขึ้นไปนั่งอยู่บนโธรนด้วยกับสุลต่านด้วยทุก ๆ เวลาที่ออกงารใหญ่ ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าผู้ใดเปนผู้ใหญ่ผู้น้อย ข้างฝ่ายสุลต่านเวลาจะเขียนหนังสือถึงคอเวอนเนอเยเนราลยกย่องว่าเปนบิดาเรสิเดนต์เปนพี่ชายใหญ่ การที่สุลต่านให้แขนขวาจะจูงเรานั้น เปนการแสดงความนับถือเหมือนคอเวอนเนอเยเนราล ได้ความเช่นนี้จึงรู้สึกว่า ที่เราทำไปแล้วอยู่ข้างไม่เข้าเรื่องทั้งสิ้น การที่ไปให้แขนขวาจูงแกโดยความสนุกกลายเปนไปอ่อนน้อมต่อแก แต่แอสสิสตันเรสิเดนต์บอกว่า สุลต่านดีใจนักที่เราจูงด้วยแขนขวาเปนการยกย่องมาก ชมว่าดีนักไม่ถือตัวเลย แต่ในข้อที่เราไม่ให้แกจูงแกบ่นว่าเรายกย่องแกเกินไป ตกลงเปนเราผิดหมด ไม่มีถูกเลย อย่าว่าแต่เราที่เปนคนแปลกหน้ามา แต่เรสิเดนต์ปสรวนยังแปลเหลวไหลไปได้เหมือนกัน ว่าสุลต่านต้องเอาแขนวางในแขนเรสิเดนต์นั้น แปลว่าสุลต่านไม่สามารถจะปกครองบ้านเมืองเองได้ต้องอาไศรยเรสิเดนต์ การที่จูงกันนั้นเปนทำปฤศนา ครั้นเมื่อมาพบเซอร์ชาลมิตเชล๕๒เล่าให้ฟัง แกบอกว่าที่ไหนวิลันดาขอยืมธรรมเนียมอังกฤษไปใช้ ธรรมเนียมไวสรอยกับเจ้าแขกอินเดียเขาทำกันดังนี้ ธรรมเนียมนี้คงจะเกิดขึ้นเมื่อหลอดมินโตคอเวอนเนอเยเนราลอินเดีย ไปเมืองชวา เปนธรรมเนียมที่รับมาจากแขกเขาจูงกันด้วยมือ แต่จูงอย่างฝรั่งเข้าแขนง่ายกว่าหรืองามกว่าจึงได้ใช้จูงกันเช่นนี้ คราวนี้เข้าใจเรื่อง ตั้งใจว่าจะยอมให้แกจูง พอเวลายามหนึ่งเข้าไปในกราตน การรับรองเหมือนวันแรกเข้าไป ยกเสียแต่พวกทหารหรือกาลบาตรายทางเลิก คงแต่พวกเฝ้าประตูแลมีคบไฟรายทางตลอด เมื่อถึงประบูอนุมแกเข็ดไม่อาจมาให้แขนอีก แอสสิสตันเรสิเดนต์ต้องไปเอะอะอยู่เปนนานจึงเข้าใจ ครั้นเมื่อจูงกันเดิรไปดูแกรื่นเริงสบายดี แกพูดแขกเราพูดไทยบ้างอังกฤษบ้าง ไม่รู้ว่าเข้าใจกันอย่างไรแต่ดูก็พอรู้กันได้ เห็นจะเปนเรื่องชมนกชมไม้ แลปราไสยรู้กันได้ด้วยอาการ เมื่อเข้าไปถึงสุลต่านไม่สู้ต้องเอะอะกันมาก เพราะแกเห็นลูกจูงมาแล้ว ดูเปนที่พอใจเสียจริง ๆ เมื่อวันแรกจัดที่นั่งลึกเข้าไปดูเสรมปีไกลนักไม่ใคร่เห็น วันนี้ย้ายออกมาตั้งที่กลางปันดโป สองข้างตั้งเก้าอี้ข้างละ ๒ แถว ข้างขวาเปนพวกผู้หญิงทั้งสิ้น แถวน่าถัดรตูไปเมียมังกุภูมิแลน้องสาวสุลต่าน ๒ คน กันยิงรตูเปนลูกสุลต่านคนใหญ่ที่เกิดด้วยเมียคนแรกเปนเมียลูกมังกุภูมิสรวยมากแต่เปนผู้ใหญ่อายุกว่า ๓๐ กิริยาคล่องแคล่วคมคาย แถวหลังมีกุสตรีรเด่นอายิง ๒ คน คนหนึ่งเปนลูกรตู คนที่ ๒ พึ่งรุ่นสาวอายุสัก ๑๕ ปี ๑๖ ปี เรสิเดนต์บอกว่าคนนี้เปนคนที่งามอย่างยิ่ง เรียกว่าดอกไม้ที่งามของเมืองยกยาเปนกุสุมายกยา รูปร่างเขางามจริงขาวผิวบาง อีกคนหนึ่งเปนลูกรตูเดี๋ยวนี้ รุ่นเดียวกันแต่ขาวกว่าคนแรก หน้าเสี้ยมหน่อยหนึ่ง แต่ดูหูตาคมคายกว่าคนแรก รูปร่างเอวเล็กเอวบางกว่า บางคนว่าคนหลังนี้งามกว่า บางคนว่าคนแรกงามกว่า เห็นต่าง ๆ กัน แต่ดูท่วงทีเหมือนจะเหมือนแม่ด้วยกันทั้ง ๒ ข้าง ยังพวกลูกพระสนมอีก ๗ คน ๘ คน คนเดิรหลังลูกรตู ประมาณอายุตั้งแต่ ๒๕ ลงมาจนถึง ๑๕ ปี ๑๖ ปี บางคนก็มีสรวยมากบ้างน้อยบ้างแต่ขาว ๆ ทั้งสิ้น ที่บางคนในพวกเราเห็นว่าขาวจนจืดไป หน้าตาผิวพรรณใกล้ข้างจีนมากกว่าข้างมลายู แต่งตัวเสื้อแพรม่วงเหมือนกันติดเข็มเพ็ชร์ ๓ อันเถา รูปร่างเหมือน ๆ กันหมด เว้นไว้แต่ลูกรตูติดเปนผีเสื้อ ต่างหูก็ใช้อย่างเดียวกัน เว้นไว้แต่ลูกรตูเปนมงคลเพ็ชร์สลับทับทิมหรือมรกฎ พ่อนำให้จับมือทุกคนฉเพาะแต่เราแลผู้หญิง ดูเหมือนอย่างจะไม่สู้คุ้นเคยกับผู้ชายมากนัก ดูกิริยาประหม่าทุกคน บางคนจะออกกลัวฝรั่งมังค่าอย่างไรถึงมือเย็นเหงื่อออกโซม ไม่มีใครยิ้มแย้มแจ่มใสเลย ต่อไปวันหลัง ๆ จึงดูหายตื่นมือไม้ไม่เย็นแลไม่หดมือ เร็วยิ้มแย้มแจ่มใส ดูสรวย ๆ ขึ้นกว่าเมื่อยังไม่ยิ้ม เลี้ยงน้ำชาเต็มตามแบบอีก เสร็จการพิธีกินน้ำชาแล้วจึงได้เลิกพรมทางยกเครื่องพิณพาทย์มาตั้งแลพวกลูกคู่ลูกคีมมานั่ง กว่าจะแล้วช่างช้าเสียจริง ๆ จนนั่งอยู่ไม่ได้ต้องลุกขึ้นไปดูเครื่องพิณพาทย์ การที่ช้านั้นเพราะว่าตามจริงเครื่องพิณพาทย์อยู่ข้างจะหนัก รางแลราวที่สำหรับรับนั้นแต่ละอัน ๆ โตเกือบเท่าเรือชล่า ล้วนแต่สลักปิดทองล่องชาดทั้งสิ้น ฆ้องรางที่ใช้แทนฆ้องวงแต่ละลูก ๆ โตตั้ง ๒ กำ ๓ กำ ได้จดจำนวนไว้ คือซอ ๒ สายที่กั้นร่มทองคัน ๑ ขิม ๑ ขลุ่ย ๔ เลา ฉาบเล็ก ๑ ไม้เคาะจังหวะ ๑ รนาดไม้ ๒ รนาดทอง ๒ รนาดทองขัดจังหวะ ๓๐ ราง กลองมลายู ๓ กลองใหญ่ ๑ ฆ้องราง ๖ ฆ้องใหญ่ ๒ ฆ้อง พิณพาทย์ ๖๕ ชิ้น พอเราจับอะไรเคาะอะไรเข้าอ้ายคนดูฮากันลั่น เพราะคนดูตั้งแต่ปันดโปไปจนจดกำแพง ๓ ด้านไม่มีที่ว่างเลย เขาว่าประมาณ ๕๐๐๐ คน แปลว่าคนที่อยู่ในกราตนทั้งปวงมาดูครึ่งหนึ่งด้วยจำนวนคนมีหมื่นหนึ่ง เปนอัศจรรย์ที่ไม่มีเสียงอื้ออึงเลยดูเงียบเหมือนคนน้อย พอพรักพร้อมแล้วลงมือเล่น การที่เล่นนั้นไม่มีฉาก เอาศาลา ๒ หลังให้ต้นมขามน่าท้องพระโรงเปนในโรง ออกฉาก ๒ ข้างเข้ามาเล่นในหลังขวาง เล่นเรื่องมหาภารตยุทธ แต่มิใช่มหาภารตยุทธในอินเดีย ต้นวงศ์ของพวกชวานี้เขามีเรื่องราวเหมือนมหาภารตเหมือนกัน จับแรกลูกรตูคนเก่าน้องเคราน์ปรินซ์เปนประบูอะไรจำชื่อไม่ได้ รบกับทหารผู้หนึ่ง ท่าทางไม่อิพร่องอิแพร่งเหมือนดูที่การุต แล้วต่อไปลูกรตูเดี๋ยวนี้หน้าตาคล้าย ๆ น้องสาว อายุ ๒๐ แล้ว รุ่นเดียวกันกับลูกรตูคนเก่าเปนประบู อีกคนหนึ่งออกปรึกษาการศึก ลูกสุลต่านอีก ๓ คนที่เปนผู้ใหญ่ ๆ เปนปเงรัน แล้วกับลูกมังกุภูมิอีกคนหนึ่ง แต่งเปนรายาเมืองขึ้นมีเสนามาก การที่เล่นนั้นประสงค์จะให้ดูให้เห็นเปนแขงแรงจริง ๆ ประบูนั้นออกฉากพิราพรอนเปนงิ้วแกมโขน ทำตัวสั่นเมื่อโกรธแลปรึกษาไม่ถูกใจก็เต้นโลด ที่ถูกใจก็แสดงความยินดีอย่างรุนแรง พวกรายาแลเสนาถ้าเวลาประบูนั่ง ก็นั่งทับขาชันเข่าข้างหนึ่งเหมือนท่าหนังของเรา ถ้าเวลาประบูลุกขึ้นยืนก็คุกเข่าข้างหนึ่งยกก้นขึ้นจากขา มีคำเจรจาเสียงต่าง ๆ ตามลักษณพูดเปนภาษากาวีทั้งนั้น เขาว่าที่อื่นเล่นไม่ได้เพราะไม่รู้ภาษา แต่เพื่อที่จะให้คนเข้าใจมีคนเจรจาคนหนึ่งสำหรับมาเล่าเรื่องดัง ๆ พอปรึกษาการศึกแล้วยกเข้าโรงออกฉากคราวนี้ก็รบกันทีเดียว การที่รบกันนั้นเห็นจะเหน็ดเหนื่อยมิใช่เล่น มีตลกออกมาเจรจาน่าทับเหมือนอย่างเช่นเล่นหนังของเรา ดูสุลต่านแกเบิกบานเสียจริง ๆ ถ้าลูกทำอะไรที่แขงแรงหรือที่ขันหัวร่อแล้วตโกนเรียกรตูให้ดูลูกแน่ รตูก็อมยิ้มยกมือขึ้นคมเปนหลายหน แต่ชื่อเสียงดูแกจำไม่ใคร่จะได้ ถ้าไต่ถามมักจะหันไปถามเคราน์ปรินซ์บ่อย ๆ เคราน์ปรินซ์ทูลแล้วยกขึ้นคมทุกครั้ง แต่ดูเข้าใจดีนักในกระบวรที่จะติเตียน เพราะแกเคยเปนมาก่อน เขาว่าถ้าใครทำบทผิดแล้วไม่ได้เว้นเลยถูกกริ้วเสมอ ถ้าลูกคนใดสิ้นบทแล้วเรียกขึ้นมาลูบหน้าลูบหลังให้มาหาเราทุกคน เราก็ไปจับมือลูบหน้าลูบหลังดูเครื่องแต่งตัวถามถึงเหน็ดเหนื่อย บรรดาคนที่ดูเฮออนุโมทนาทุกครั้ง ลูกรตูเดี๋ยวนี้เปนคนมีบทสำคัญแลเหนื่อยมากกว่าเพื่อน เวลาขึ้นมาเหงื่อตกเปนเม็ด ๆ หายใจแขม่ว ๆ แต่ว่าที่จริงก็ทำดีกว่าทุกคนด้วย แต่งตัวก็ดีกว่าเพื่อน อาดิโนโกโรซึ่งเปนลูกรักอีกคนหนึ่งก็ทำดี แต่ไม่ใช่เปนตัวสำคัญ การที่จะเลือกตัวละคอนนั้น เป็นอันเลือกตามยศด้วย แต่คู่ที่จะรบไม่ต้องกำหนดยศรบกับคนเลว ๆ ก็ได้ การที่เล่นนั้นไม่ได้เล่นประสงค์จะเอาเรื่อง เล่นดูท่าทางเปนท่อน ๆ เหมือนอย่างจะเกิดรบกันขึ้นก็จับเอาปรึกษาการศึกทีเดียว ไม่ต้องมาจัดพลยกทีเดียว ยกแล้วไม่ต้องกราวไม่ต้องเชิด ไม่ต้องถึงแลไม่ต้องมีไพร่พลรบ ตัดไปจับเอาเมื่อรบกันตัวต่อตัวทีเดียว การที่เล่นวันนี้หมดชุดเพียงรบกับชะนะโก แล้วเวลานั้นกินเข้ายังไม่เสร็จจับอีกชุดหนึ่งใครกับใครรบกันไม่ได้ถาม เรื่องแต่งตัวนั้นใช้โกนหัวเข้าไปลึก ๆ ให้หน้าโตเหมือนงิ้ว ตัวแลหน้าผัดตามสี ที่ขาวก็ใช้ฝุ่นมากทาแดงแต่ที่แก้ม ตัวที่ดุ ๆ ร้าย ๆ ก็ทาแดงมากขึ้น หรือให้ดำก็ทาสีดำพอเสมอเนื้อคนดำ แต่ข้างหลังตาแลขอบตาให้แลดูเหมือนตาใหญ่ทุก ๆ คน แต่งก็ใช้นุ่งกางเกงแลผ้าโกด๊ก ชักหยักรั้งทางโน้นบ้างทางนี้บ้างคาดผ้าต่าง ๆ แต่เข็มขัดแลตาบน่าอกต้นแขนปลายแขนมงกุฎแลชฎาที่ใส่ล้วนแต่ทองคำประดับเพ็ชร์
การเลี้ยงวันนี้ลงมือตั้งแต่เล่นละคอน มีของตักใส่จานมาเสร็จ จัดลงในถาด ๆ ละ ๒ ที่ มีผ้าเช็ดมือซ่อมช้อนมีดมาด้วย ถ้าพอมาถึงต้องถามว่าเสวยหรือไม่ ถ้าตกลงแล้วก็หยิบกันคนละจาน มีโต๊ะเล็ก ๆ มาตั้งข้างน่าสำหรับวาง ถ้าเรากินอะไรแกก็กินด้วย ถ้าเรางดอะไรแกต้องพลอยงดด้วย เพราะผิดจังหวะหรือจะเปนกิริยาไม่ดีไป เรารู้อยู่ว่าแกยังไม่ได้กินเข้า ข้างเรากินไปแล้วก็ต้องทนกินให้แกทุก ๆ สิ่ง ของเลี้ยงนั้นเปนกับเข้าฝรั่งอย่างเลี้ยงโต๊ะตามเคย แต่ไม่มีเข้ากับแกงหรือกับเข้าแขก แม่เล็กกินคู่กับรตูก็ต้องตั้งพิธีอย่างเดียวกัน ข้างประบูอนุมกินคู่กับปักกุอาลำเห็นแต่ย่อ ๆ เอียง ๆ เข้าไปหา ทีจะถามว่าเสวยหรือไม่เสวย ข้างปักกุอาลำก็ก้ม ๆ ย่อ ๆ บอกว่ารับประทาน ไม่เห็นมีท่าอื่นนอกจากนั้น คนอื่น ๆ ที่กินไม่มีคู่มีคีมเขาเว้นได้บ้าง บรรดาเจ้านายผู้หญิงก็กินหมดทุกคน ตลอดจนพวกขุนนางดูกินซ่อมกินช้อนคล่อง เห็นจะเลี้ยงกันอยู่เสมอ ๆ แต่ข้างผู้หญิงมีเครื่องดื่มอีกอย่างหนึ่งเห็นเปนสีชมพู ๆ อยู่ในถ้วยเขาเอามาให้แม่เล็กกินก็ไม่ได้กินเสีย แต่ถามได้ความว่าเปนดอกกุหลาบกับนมวัวน้ำตาลแลใส่กลิ่นฝรั่งในนั้น เห็นดื่มกันอยู่เสมอตลอดเวลา คนที่สำหรับตั้งเครื่องเปนพระญาติวงศ์ที่มาเลี้ยงเราไม่ใช่คนเลวเลย ลูกมังกุภูมิที่เปนลูกเขยสุลต่านนุ่งโกด๊กใส่หมวกโกลุกมีแถบพาดคอทุกวัน วันนี้ได้พูดกับสุลต่านเรื่องธรรมเนียมชวาแลพงศาวดาร แกบอกว่ามีสุลต่านมัตตารำคนหนึ่งได้ไปกรุงสยามประมาณ ๒๐๐ ปีมาแล้ว เห็นจะเปนปักกุภูวโนที่ ๓ เปนคนที่มีอำนาจมากแผ่เข้าไปจนกระทั่งถึงเมืองมลายู แลเปนคนชอบเที่ยว เราก็เห็นด้วยว่าจริง คงจะเปนเวลาพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระหรือพระเจ้าบรมโกษฐ์ ซึ่งเรื่องอิเหนาของเราก็กล่าวว่าแต่งในแผ่นดินนั้น แลมีแขกบ้านค้านเมืองไปมามาก ดูแกช่างรู้จักไทยซึมทราบเสียจรัง ๆ แลรู้ว่าเขาเปนเมืองใหญ่เมืองโต เคยคบค้ากันมาเก่าแก่ วันนี้เวลานั่งดูวายังวองช้านาน ได้เดิรไปดูที่ตึกพักเรสิเดนต์ มีเฝ้าที่อยู่ที่นั่นหลายคนมีขนมไว้สำหรับให้กินด้วย ในห้องนั้นติดล้วนแล้วไปด้วยรูปต่าง ๆ มีรูปปเงรันอาทิโนโกโร เมื่อรับที่ปเงรันยังไม่มีหนวดด้วย มีช่องที่ได้สนทนากันกับแอสสิสตันเรสิเดนต์เขาว่าที่นี่ชั้นบนเปนคลัง มีผู้ร้ายลักของไปเปนอันมากครั้งหนึ่ง เครื่องต้นเครื่องทรงถึง ๗ สำรับ ว่าเปนบ่าวของภูปติตำบลใดตำบลหนึ่งจำชื่อไมได้ อนึ่งในเวลาที่สุลต่านประชวรมากจนกระทั่งถึงตาย เรสิเดนต์ต้องไปประจำอยู่ที่ห้องนั้น สุลต่านตายแล้วก็อยู่ต่อไปกว่าจะได้ตั้งสุลต่านคนใหม่ ลางที่ ๑๕ วัน ๒๐ วันหรือเดือน ๑ เราได้ถามว่าก็สิมีประบูอนุมแล้วเหตุใดจึงต้องรอช้าอิกเล่า เขาว่ารอท้องตรามาแต่บัตเตเวียอย่างหนึ่ง รอสำหรับผู้ซึ่งจะเปนสุลต่าน ต้องเซ็นอะครีเมนต์สัญญาใหม่ทุกครั้ง บรรดาสัญญาที่ปู่ย่าตาทวดได้ทำไว้กี่ร้อยปีมา ถ้าไม่เปนข้อที่ยกเว้นต้องทำใหม่หมดทั้งสิ้น ถ้าไม่ทำใหม่เปนไม่ยอมให้เปน เหมือนครั้งหนึ่งนานมาแล้วสุสุนันมังกุรัตมาส มีแต่หนังสือบอกข่าวพ่อตายแลตัวเปนเจ้าไม่มีคำรับว่าจะทำสัญญาเท่านั้น วิลันดากลับไปเข้าด้วยเจ้าอีกคนหนึ่งมารบมังกุรัตมาสจนต้องล่มจม วันนี้สุลต่านให้ดูเครื่องยศที่เปนปุศบากะสืบมาแต่โบราณ มีคนเชิญทุกสิ่ง คนที่เชิญนั้น ต้องแต่งตัวมีแถบทองคล้องคอใช้ผู้หญิงเชิญทั้งสิ้น นอกจากอาวุธต่าง ๆ มีเครื่องทองคำเปนรูปนาคสวมมงกุฎตัว ๑ ห่านตัว ๑ ไก่ตัว ๑ กวางตัว ๑ โคมหิ้วอย่างพระราชทานเพลิงของเรา แต่ทำด้วยเงินเครื่องกาไหล่ทองใบ ๑ หีบหมากบนแคบอย่างแขกใบ ๑ กรวยสี่เหลี่ยมปลายแหลมเหมือนลุ้งชฎาสำหรับใส่บุหรี่ใบจากตัวยาวลุ้ง ๑ ยังมีกระบะหมากรูปเหมือนรางรนาดเปนทองเครื่องในประดับเพ็ชร์ เหมือนพระรัตนการัณฑ์ของทูลกระหม่อมหลายใบ แลพระสุพรรณศรีทองคำประดับเพ็ชร์พลอยมีเสาเงินตั้งเทือกทวยรับพระสุพรรณฟรีบัวแฉก แลหีบบุหรี่หีบอะไรอิกมีผ้าคลุม ๆ อ้ายตัวสัตว์ทั้งหลายที่เชิญนั้น หมายว่าจะมีอะไรในนั้น ขอเปิดดูไม่มีอะไรเลย ถามว่าสำหรับใส่อะไรก็ไม่ได้ความ จะเปนด้วยแกอายฝรั่งหรือฝรั่งที่เปนล่ามไปถามรัว ๆ ก็ไม่ทราบ เครื่องเป็ด ๆ ห่าน ๆ เหล่านั้นไม่ได้เชิญตามเสด็จ เปนแต่มาตั้งให้ดู แต่กระบะหมากนั้นตามเสด็จ ถ้าต่อน่าฝรั่งแล้วชวนให้กินหมากก็ไม่กิน สั่นหัวสั่นหูเปนทีเหมือนไม่เคยกิน แต่ที่จริงฟันแกก็ดำปากแกก็เปนรอยกินหมาก ข้างรตูนั้นมีข้าหลวงเชิญเครื่องออกมานั่งกองโตอยู่ข้างหลัง เชิญกระบะทองสี่เหลี่ยมมีหีบประดับเพ็ชร์วางในนั้นใบหนึ่ง กั้นห้องมีพลูยาสีเสียดแลหมากอ่อน นอกหีบมีพลูจีบปูนสำหรับกินกับหมากตามที่ได้กล่าวแล้วกรวยหนึ่ง มีผ้าเช็ดปากแพรขนาดใหญ่ผืน ๑ มีผอบทองใส่ถ้วยน้ำใบ ๑ กระโถนปากแตรทองใบ ๑ หีบพัดด้ามจิ้วหีบ ๑ เหล่านี้ล้วนเปนสำรับ ๑ แล้วยังมีอิกสำรับ ๑ จะเปนรางรนาดหรือหีบแลมีเครื่องอะไร ๆ เหมือนกัน จะเปนของรตูอีกสำรับ ๑ หรือของใครไม่ทราบ แต่มานั่งอยู่กองเดียวกัน บรรดาเจ้านายผู้หญิงตั้งแต่รตูเปนต้นไปกำผ้าเช็ดปากคนละผืน ที่มุมขอดไม้ควักหูไม้จิ้มฟันตลับขี้ผึ้งลูกกุญแจทุก ๆ คน เปนเครื่องประดับเพ็ชร์ประดับพลอยต่าง ๆ กัน เราไปขอหมากรตูกินอยู่ข้างยิ้มแย้มแจ่มใสมาก พวกผู้หญิงเหล่านั้นก็เห็นเปนการขบขัน แอสสิสตันเรสิเดนต์แกบอกเราภายหลังว่าเราช่างทำให้เปนที่พอใจพวกผู้หญิงชวานัก เขาได้รู้มาจากกราตนว่าคนเหล่านั้นพากันลุ่มหลงชมเราว่าดีนัก การซึ่งเปนที่พอใจของเขามากนั้น คือเรื่องกินหมากเพราะผู้หญิงชวาไม่ชอบคนไม่กินหมาก แกถามว่าเรากินอร่อยจริงหรือ เราบอกว่าก็ดีอยู่ กลับจากกราตนเวลา ๒ ยาม
-
๕๒. เจ้าเมืองสิงคโปร์ ↩