๖๗
(ตอนที่ ๑๔ เสด็จประทับที่เมืองปสรวนและเขาโตสารี)
เมืองปสรวน
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม
บ่าย ๒ โมง ๔๐ มินิต ขึ้นรถไฟออกจากสุรบายา ข้าหลวงเจ้าเมืองกรมการมาส่งพร้อมกัน มาตามทางสังเกตได้ว่าขึ้นสูงเล็กน้อย เพราะมีเนินบ่อย ๆ ถึงบังคิลเวลาบ่ายเกือบ ๔ โมง แอสสิสตันเรสิเดนต์แลรเด่นตำมหงงมารับ รเด่นตำมหงงคนนี้เปนคนสืบเชื้อสายมานาน มีปุษากะมากพาเอามาอวดด้วย ปุษากะอย่างวิเศษนั้น คือฝาชีหุ้มกำมหยี่ดำ ไม่ต้องอธิบายอันใดต่อไปอิก บอกแต่เพียงว่าเขาสำหรับใส่ต่างหมวกยศ ถ้าใครรู้เท่านี้แล้วคงนึกถูกทั้งสิ้นว่ารูปร่างจะอย่างไร มีเลี้ยงน้ำชาบุหรี่ พักอยู่ ๕ มินิตออกจากนั้นมาถึงปสรวนบ่าย ๕ โมง เรสิเดนต์กับสิเกรตารี แลรเด่นมาสตำมหงงมาคอยรับ มีบุเคดอกกุหลาบมาให้ ๒ ช่อ ช่อหนึ่งเหลืองช่อหนึ่งแดง เปนดอกไม้มาแต่โตสารีเห็นเข้าชื่นใจเต็มที แต่ละดอกละดอกโตเกือบเท่าดอกบัวหลวงขนาดย่อม ๆ เปนดอกตูมทั้งนั้น การตกแต่งสเตชันแลทำซุ้มหลายซุ้มใหญ่ ๆ แลฝีมือทำดีกว่าที่อื่น ๆ ตามถนนทุกสายทุกทางปักธงรายเปนระยะผูกน่าเรือนบ้าง เปนธงต่าง ๆ ตามแต่ใครจะทำ อยู่ในธงสามสีวิลันดาบ้าง ธงช้างบ้าง แต่ธงช้างไม่ต้องกำหนดแน่นักว่าจะใช้พื้นอะไร เหลืองก็ได้เขียวก็ได้ เรสิเดนต์คนนี้ก็รับรองแขงแรง เปนพี่หรือน้องมิศเตอร์ซาลมอนซึ่งมาเปนกงสุลวิลันดาในเมืองเราแล้วเปนบ้า รเด่นมาสตำมหงงคนนี้เปนพี่ปเงรันอธิปติมังกุโนโกโรเมืองโซโล ท่าทางเปนคนฉลาด กิริยาเปนพวกนั้นแท้ ว่าเดิมมากับเรสิเดนต์ตำบลใดตำบลหนึ่ง ครั้นปเงรันอธิปติเมืองนี้ตาย ลูกชายได้เปนรเด่นตำมหงงแทน รับสินบลเจ๊กต้องถูกถอด จึงเปลี่ยนเอาผู้นี้มาเปน แต่เรสิเดนต์บ่นว่าเปนคนชอบประพฤติตัวอย่างฝรั่ง กำมลังแลวายังวองก็ไม่มีได้เถียงกันยืดยาว เราถามว่าธรรมเนียมฝรั่งไม่ถือว่าเปนการดีหรือ แกก็รับว่าดี เราว่าก็เขาหยากจะดีบ้างทำไมจึงว่าไม่ดี แกตอบว่าธรรมเนียมวิลันดาห้ามไม่ให้คนชาวเมืองแต่งอย่างฝรั่ง ความประพฤติอันใดของชาวเมืองให้คงอยู่ เหมือนอย่างริเยนต์เช่นนี้ ถ้าไม่มีละคอนไม่มีพิณพาทย์ราษฎรก็ไม่มีใครมาหา ถ้ามีพิณพาทย์มีละคอนแล้วคนอยู่ถึงไหน ๆ ก็พากันมา เราว่าจ่ายเงินค่าเล่นละคอนให้เขาหรือเปล่า ก็ว่าไม่ได้จ่าย ได้เดือนละ ๑๔๐๐ เท่านั้น เราว่าจะต้องไปใช้จ่ายค่าเล่นละคอนเสียเงินก็จะไม่พอใช้ ข้อนี้ข้อนจะอยู่ข้างจะยอม พูดต่อไปถึงเรื่องริเยนต์ ว่าคนมาแต่ต่างเมืองเช่นนี้สู้ริเยนต์ที่สืบพืชพันธุ์มาในเมืองนั้นไม่ได้ เพราะราษฎรมีความนับถือ การที่จะกะเกณฑ์ให้ทำอันใด ถึงว่าริเยนต์จะเปนเด็กหรือว่าเปนคนอ่อนไม่แขงแรงราษฎรก็เต็มใจที่จะช่วย ถ้าเป็นริเยนต์ต่างเมืองแล้วคนกลัวแต่เวลาที่มีร่มปยงกั้นอยู่ ถ้าไม่มีปยงแล้วก็เปล่า การที่จะกะเกณฑ์อันใดริเยนต์ต้องเหนื่อยมากจึงสำเร็จ ริเยนต์คนนี้เปนลูกเขยประบูวิยาหยา ว่าได้รับหนังสือบอกมาจากน้องชายแลพ่อตาทั้ง ๒ แห่ง ในการที่รับรองเราที่นี่เปนครั้งแรกที่เรสิเดนต์ขึ้นรถ เพราะพูดอังกฤษอยู่ข้างจะดีกว่าเพื่อน ยกเสียแต่เรสิเดนต์บัตเตเวีย พักที่โฮเต็ลชื่อว่ามารินกว้างขวางสบาย จัดตกแต่งก็ดี เสียแต่โฮเต็ลลงไปจมอยู่กว่าถนน แลเรือนสองข้างที่เจ้านายข้าราชการอยู่ไม่สอาด ว่าข้างโคมไฟแล้วไม่มีที่ไหนสู้ สว่างแลหมดจดอย่างยิ่ง
เวลาเย็นไปขี่รถดูเมืองบ้านเรือนมากจริงแต่เงียบ มีบ้านเจ๊กโต ๆ มาก เพราะการไร่แลโรงหีบอ้อยตกอยู่ในมือพวกจีนมาก เล็ฟเตอรแนนจีนคนหนึ่ง เปนเจ้าของที่แผ่นดินกว้างใหญ่ มีบ้านเรือนใหญ่โตทำอย่างวิลันดา แต่อย่างไร ๆ ก็รู้ว่าบ้านเจ๊ก มิใช่จะโดยสังเกตเรื่องปิดกระดาดเจ๊ก ตามข้างตวันออกนี้กระดาดก็ไม่ปิด เหลียนตุ๊ยอะไรก็ไม่มี ตัวก็ไม่แต่งเปนเจ๊กนุ่งกางเกงฝรั่งใส่เกือกใส่ถุงตีน ชั่วแต่เชิ๊ดเปนกุยเฮงลูกกระดุมก็รังจีน แต่ชั้นนอกใส่ฟรอกโกตติดลูกดุมเพ็ชร์ หางเปียควั่นเล็กใส่หมวกฝรั่งพูดจีนไม่ได้โดยมาก ผู้หญิงที่เปนเมียก็เปนลูกจีนหลานจีน อยู่ปรกติแต่งเปนชวา ต่อออกหน้าออกตาจึงแต่งเปนจีน แต่งสเกิ๊ดคล้ายฝรั่งสีก็ใช้สีฝรั่ง เรสิเดนต์พาเข้าไปดูในบ้านนั้นเห็นจะมั่งมีมาก บานประตูใช้กระจกสีเจียรไนเหมือนอย่างขวดปการา มีเครื่องเงินใส่ตู้มากแต่เปนของฝรั่งทั้งนั้น เรือนก็จัดอย่างฝรั่ง มีเปนจีนอยู่แต่ชั้วตู้ป้ายแลโต๊ะที่รอง เครื่องตั้งบนโต๊ะนั้นก็เปนของฝรั่งทั้งสิ้น เมียแลลูกสาว ๒ คนออกมารับด้วย พาลงไปดูสวนหลังเรือน มีส้มแลดอกไม้ต้นไม้จีนหลายอย่าง กลับมาตามถนนใหญ่ ข้างหนึ่งเปนบ้านคนข้างหนึ่งเปนไร่อ้อย ที่เมืองนี้ไร่อ้อยเข้ามาจนถึงหลังบ้าน พบเขาหามคนเจ็บมากลางทางว่าเกือบจะตายแล้ว ด้วยถูกพวกมะถุระแทง ทั้งที่สุรบายาแลที่นี่ กล่าวโทษพวกมะถุระนักว่าเกะกะเต็มที มีความเรื่องแทงกันไม่ใคร่จะเว้นวัน ที่โฮเต็ลแต่งไฟสว่าง แต่ไม่เห็นมีคนดู พอตกพลบลงก็เข้าเรือนเงียบหมด เดิรอยู่แต่ฝรั่ง ๆ ก็มีน้อย ถ้าเปนชาวเมืองจะเดิรต้องมีไต้เพลิง เวลายามหนึ่งแล้วเปนเรียกว่าขาดคนสนิทได้ กินเข้าแล้วลองออกเดิรไปกลางถนนเพราะไม่มีคนเลย จึงจะมานั่งก็นั่งริมถนน เดิรเซอะซะไปเจอเซอคัสเข้าแวะเข้าดูไม่มีใครรู้จักรู้แต่ว่าไทย เว้นไว้แต่เรสิเดนต์สงไสย ต่อจวนจะกลับมาจึงได้พบกัน กลับเวลา ๕ ทุ่ม
เมืองปสรวนนี้ เปนเมืองหนึ่งซึ่งเรียกว่าโซมลงไปในชวา ยิ่งขันไปกว่านั้นด้วยเหตุที่โซม คือโซมลงเพราะมีทางรถไฟ ด้วยที่ในเมืองนั้นตามพื้นราบเปนไร่อ้อย ไร่คราม ตามภูเขาเปนไร่กาแฟ แต่โรงหีบไฟหรือน้ำทั่วทั้งมณฑลมีถึง ๘๐ เปนเมืองที่ได้สร้างมากว่าพันปีแล้ว ที่ก็อุดมดีทั่วทุกแห่งเสียแต่ท่าเรือไม่ดี เดิมสินค้าจำต้องลงทางเท่านั้น ริมทเลก็จัดเปนท่ามีตพานแลโกดังพรักพร้อม ตั้งแต่มีรถไฟเรือก็ไม่มีมาจอดเมืองเลยเงียบเหงาไป เพราะสินค้าตกลงไปเมืองสุรบายาหมด รถไฟบันทุกสินค้าเดิรถึงวันละ ๔๐ เที่ยว ข้างริมทเลมีที่เลี้ยงปลามากยกดินเปนคัน ๆ ขังปลาทเล เดี๋ยวนี้จำหน่ายขึ้นไปถึงหัวเมืองที่ดอน ๆ ด้วยมีทางรถไฟก็ยิ่งทำมากขึ้น แต่ก่อนมาเมืองในดอนไม่มีปลาสดกินทีเดียว ด้วยเหตุดังกล่าวมา ถึงเปนเมืองที่บริบูรณ์ดีเมืองหนึ่งในเกาะชวา คนก็ยังออกจากเมืองไปเสียมาก ไม่มีพ่อค้ามีแต่คนทำมาหากิน ฝรั่งก็เปนฝรั่งสมถะจึงจะสมัคอยู่ ถ้าคนที่ชอบสนุกก็ไม่เต็มใจอยู่ที่นี่ จนสิเกรตารีก็ได้ออกปากกับเราเอง ว่าเดิมอยู่สุรบายาต้องมาอยู่เมืองนี้ไม่สนุกแลไม่สบายเลย พูดกันถึงเรื่องโตสารีพบใครมาทุก ๆ เมืองบอกแต่ว่าหนาวนักทนไม่ได้ แลมีอุปเทห์แก้ไข้เจ็บมีผู้ไปหายมาได้พบกันเปนอันมาก แต่เรสิเดนต์นี้เมียเปนคนขี้โรค ปีหนึ่งต้องไปอยู่โตสารี ๒-๓ เดือน แรกที่จะไปนั้นว่าเจ็บจนเดิรไม่ได้มาประมาณสัก ๖ เดือน มีผู้มาแนะนำให้ไปโตสารี ก็ตกลงจะไป แกได้ทัดทานเปนหลายครั้งก็ไม่ฟังให้คนหามขึ้นไป เขาก็ปลงใจแน่ว่าไปครั้งนี้เปนไม่ได้รอดกลับมา ครั้นไปอยู่ ๒ เดือนกลับลงมาอ้วนท้วนบริบูรณ์ เมื่อก่อนจะกลับเดิรได้ตามภูเขาวันละ ๓ – ๔ ปาล ตั้งแต่นั้นต่อมาก็ไปเสมอทุกปี แต่ตัวเรสิเดนต์เองไปอยู่ไม่ได้เกิน ๕ วัน ถ้าอยู่เกิน ๕ วันคราวใดก็เจ็บ เพราะเปนคนขี้หนาวเคยอยู่เมืองร้อนเสียนานแล้ว