๔๓
เมืองสุขภูมิ
วันที่ ๒๐ มิถุนายน
เวลาเช้า ๓ โมงเศษออกจากบันดอง กรมการตั้งแต่เรสิเดนต์เปนต้นมาส่ง กลับตามทางเดิมนั้นเองไม่ต้องพูดอะไรอีก มีแต่ตำบลจิมหิถัดบันดองไปหน่อยหนึ่ง ในทุ่งนั้นเองที่เปนสร้างเมืองใหม่ ได้ความว่าเปนค่ายทหารจะยกมาไว้ที่ตำบลนั้น ๖๐๐๐ คน ทำตึกออฟฟิเซอขึ้นไว้แล้วหลายหลัง โรงทหารกำลังทำอยู่มาก อีกฟากทางรถไฟข้างหนึ่งเห็นจะเปนคุก มีกำแพงแลเปนเรือนหลังยาว ๆ กำลังทำถนนอยู่ เขาว่าต้องพูนดินสูงมากในที่เช่นนี้ เพราะเปนทุ่งราบในท้องนาทั้งนั้น บางแห่ง ๒ ศอกบางแห่ง ๓ ศอก กลางใช้ถมด้วยก้อนศิลากลม ๆ แล้วถมดินโรยกรวด ข้างถนนตั้งเปนคันขึ้นมาสูงศอก ๑ บ้าง ๒ ศอกบ้าง ปลูกต้นไม้รายไปทีเดียว ท่อน้ำไม่ใช่ท่อก่อเลยทั้งที่ในบัตเตเวียแลที่นอก ทำแต่ถนนให้นูนกลางแล้วรางข้าง ๆ พอให้เปนทางน้ำเดิร ถ้าเปนที่น้ำไหลแรงก็เอากรวดลำดับพอไม่ให้น้ำเซาะดิน ถ้าน้ำไม่สู้แรงโรยแต่กรวดก้อนย่อม ๆ พอที่น้ำจะไม่พาไปได้ ถ้าน้ำไม่แรงไม่ต้องใช้อันใดเลย ตามคันนั้นเจาะช่องให้น้ำตกลงไปข้างถนนถี่บ้างห่างบ้าง ดูทำง่ายแลแข็งทุกหนทุกแห่ง ถ้าจะว่าโดยงามตามบ้านนอกเปนพอดี แต่ถ้าในเมืองดูไม่สู้งามหน่อยหนึ่ง แต่ถึงดังนั้นดีกว่าที่จะทำในที่อื่น ๆ เช่นสิงคโปร์หรือเมืองเราที่มีตึกออกมาตั้งอยู่ชิดถนน ที่นี่เขามีคลองหรือลำรางเปนพื้นดูไม่น่าเกลียด
เวลาเที่ยงถึงจันยอ แอสสิสตันเรสิเดนต์กับคอนโทรเลอ ๒ คน รเด่นอธิปติแลปาเตะมาคอยรับ ขึ้นรถของอธิปติตัวเขาขึ้นด้วย ไป ทางกำบงจีนะถึงที่บ้าน มีสวนกว้างใหญ่ปลูกต้นไม้งดงามเหมือนบ้านฝรั่งโต ๆ มีกระโจมแปดเหลี่ยมเปนพลับพลาสูงแลหอโถงสี่เหลี่ยมแทนหอคำ๕๐ เรือนอย่างวิลันดาแต่ใหญ่กว่าที่อื่น ๆ ใช้ฝากระดานหลังคามุงกระเบื้อง การตกแต่งอยู่ข้างจะครึกครื้น เล่นต้นไม้มากมีเฟินเต็มไปทั้งน่าเรือน ดูเหมือนจะเปนนักเลงชอบของเปิดมาก ๆ ปิดมาก ๆ ดูแต่สายนาฬิกาที่แกแขวนก็เห็นได้ มีอะไรห้อยพวงโตทีเดียวเปนเครื่องเปิด ๆ ปิด ๆ ทั้งนั้น ที่หอโถงมีกำมลังแลคนแต่งตัวเปนละคอนรำอยู่ คนหนึ่งท่าทางเปนละคอนชาตรีแกมงิ้วเรียกว่าโตเป็ง สำหรับเล่นกับพิณพาทย์ เอาหุ่นมาตั้งไว้ให้ดูด้วย รเด่นอายูดูเหมือนจะสาวกว่าทุกคน อายุจะสัก ๓๐ คอยรับอยู่ที่น่าเรือน ขึ้นไปนั่งโยกวิลันดากินแชมเปนกินกาแฟตามแบบ ในเมืองนี้เรื่องน้ำชาอยู่ข้างจะห่างเหิน ถ้าไปที่ไหนที่เจ้าของเขารู้ว่าเรากินน้ำชาจึงจะหาน้ำชามาเลี้ยงแต่เปนน้ำชาอย่างฝรั่งทั้งนั้น ที่สุดจนเจ๊กเองก็ไม่รู้จักกินน้ำชาจีน ถ้าจะกินใช้นมไม่ได้ก็คนกับน้ำตาล กินเข้ากลางวัน ในห้องที่กินนั้นแต่งของกระจุกกระจิกมาก กับเข้าอย่างฝรั่งทำดีไม่มีเข้าอย่างแขก เราจูงรเด่นอายูแม่เล็กรเด่นจูง เรือนเปนของคอเวอนเมนต์ทำให้เปนฝากระดานทาขาว แกทำเองหลังหนึ่งยังไม่แล้ว สำหรับจะให้หลานเขยแลหลานสาวอยู่ ทำอย่างเดียวกับเรือนแกเอง มาได้ความว่าแต่งกันแล้วมิใช่แต่ตุนาหงัน แต่ยังเด็กอยู่ยังไม่ได้ส่งตัว ปีน่าจึงจะให้อยู่ด้วยกันต่อไป พาไปดูโคป่าที่เอามาเลี้ยงไว้ข้างเรือน รูปร่างโตใหญ่สูงเกือบ ๓ ศอกดูท่าทางดุเต็มทีผสมกับโคบ้านมีลูกแล้ว ออกจากจันยอรเด่นอธิปติตามมาด้วย เพราะเมืองสุขภูมิอยู่ในบังคับแก มาตามทางเห็นอมหมาก แต่อุส่าห์ที่จะซ่อนเต็มกำลัง ครั้นแม่เล็กทักขึ้นแกเข้าใจ เลยบอกว่าตัวเคยเสียแล้ว ถ้าอดกินหมากจนวันหนึ่งก็เปนลมเต็มที พอเราบอกว่าเรากินเหมือนกัน ดูแกสบายขึ้นมากถึงกลับกล้าเคี้ยว เราชวนให้ไปรถเดียวกัน จะต้องกล่าวไว้เสียแต่ในที่นี้ว่าเรื่องปล่องฤๅถ้ำใต้เขานั้นเราได้ผ่าน ๓ ครั้ง ดูช้าลงไปทุกที ๆ เปนด้วยสังเกตมากขึ้นฤๅประการใดไม่รู้ ถึงสุขภูมิแอสสิสตันเรสิเดนต์มาคอยรับแต่เมียเจ็บ การแห่แหนเหมือนบันดอง แต่คนดูมากเสียจริง ๆ นั่งบนเนินจนเต็มไม่แลเห็นพื้น แลเชียกันเซงแซ่ไปเช่นกับบัตเตเวีย คนพวกนี้แต่งตัวนุ่งห่มสีต่าง ๆ กันดูงามดี พวกจีนอยู่ข้างมีส่วนในการรับรองมาก บรรดาทางที่ไปปักธงแดงทั้งสิ้น มีแต่งสเตชันแลซุ้มใบไม้ดูครึกครื้น ขึ้นรถตรงไปที่ที่อยู่ทีเดียว แต่ไม่ได้อยู่โฮเต็ล เพราะคนอยู่เต็มไปทั้งนั้น อยู่เรือนที่เรสิเดนต์บาลีอยู่ก่อน เดิมเขาเปนอินสเปคเตอการภาษี อยู่เรือนนั้นมาช้านานแล้ว พึ่งได้รับตำแหน่งเปนเรสิเดนต์ เขาสัญญากับเจ้าของที่ไว้จนสิ้นเดือนยูน แต่เมื่อรู้ว่าเราไม่มีที่อยู่ก็ขนของออกไปอยู่โฮเต็ลทันที ควรที่เขาจะได้รับขอบใจเรายิ่งนัก ไม่ทันที่จะดูที่อยู่ทั่ว เวลาบ่าย ๕ โมงแล้ว พรุ่งนี้จะต้องออกแต่เช้า จึงรีบขึ้นรถไปดูบ้านเมืองเสียก่อน ลักษณพื้นที่คล้ายบุยเต็นซอกเปนที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ มาก เราดูแต่ฉเพาะ ในเมืองเห็นสู้บุยเต็นซอกไม่ได้ แต่ก็ดูพอใช้อยู่ ถนนใหม่ตัดในแผ่นดินประจุบันนี้สายหนึ่ง เขาให้ชื่อวิเลียมนา แต่เปนทางชั้นที่ ๒ ในชวานี้ เขาแบ่งถนนเปน ๔ ชั้น ๆ ที่หนึ่งกว้าง ๑๒ เมเตอร์ ชั้นที่สองกว้าง ๘ เมเตอร์ ชั้นที่สามกว้าง ๔ เมเตอร์ ชั้นที่สี่กว้าง ๓ เมเตอร์ครึ่ง เปนทางเข้าบ้านตพานก็มีขาดเหมือนกัน บ้านที่นี่แปลกกว่าที่อื่น ทำเปนวิลารูปเรือนแลทาสีต่าง ๆ ไม่เปนเรือน ๒ หลังฤๅ ๓ หลังต่อ ๆ กัน หรือหลังยาวมีเฉลียงน่าเหมือนที่อื่น ๆ มักจะเหมือน ๆ กันไปหมด ใช่ว่าเรือนเช่นนั้นจะไม่มี แต่ไม่หมดทั้งเมือง เรือนร้างก็มีบ้าง แต่ข้างจีนนั้นเหมือน ๆ กับที่ไหนทั้งหมด ดูมีโรงเข้าแกงชุม เรือนที่เราอยู่ตั้งอยู่ขอบสนามใหญ่บนเนิน ด้านหนึ่งเปนบ้านเรสิเดนต์ ซีก ๒ ด้านเปนโฮเต็ล แปลกที่ชื่อว่าวิกตอเรีย ดูอังกฤษจริง ๆ ได้ความว่าแต่ก่อนเปนของคนอังกฤษ ถึงเรือนที่เราอยู่ก็แปลกเหมือนกัน จะกล่าวได้ว่าตั้งแต่มายังไม่เคยรับ เรือนที่น่าต่างไม่ใคร่วิลันดาเช่นนี้ ชั้นเดียวเหมือนกัน แต่ห้องปูศิลาแลดูสอาดดี สวนก็ทำงามไม่มีที่ดินกว้าง ๆ หญ้าหรอม ๆ แหรม ๆ เหมือนที่อื่น ดูแต่ต้นไม้แปลก ๆ ด้วย ในพวกต้นไม้ทั้งปวงมีต้นฮีลีโอตรบงามนัก มีซุ้มกุหลาบเลื้อยซุ้มหนึ่ง กุหลาบเหลืองทั้งนั้น ๘ ต้นขึ้นร้านยาวกว่า ๓ วา มีต้นไม้อย่างหนึ่งดอกคล้าย ๆ กระบอกพลำ มีกลิ่นหอมคล้ายมณฑา เขาเรียกว่าซัมปูระ เปนภาษาอะไรไม่รู้ แต่ว่าเปนยาพิษด้วย ดอกไม้ที่เขาจัดไว้แลที่เขาส่งมาแต่เมียแอสสิสตันเรสิเดนต์ มีกุหลาบโต ๆ มาก แลมีดอกไม้ฝรั่งหลายอย่างจัดงามดีอย่างยิ่งด้วย ดูเปนดอกไม้เมืองหนาวมาก เพราะที่นี้สูงเท่าที่การุต อากาศเย็นแลร้อนก็ราวเดียวกัน ถ้าคนที่ชอบเงียบแลชอบเที่ยวไปอยู่ที่การุต คนที่ไม่ต้องการเที่ยวแลชอบใกล้บัตเตเวียอยู่ที่นี้ มีโรงพยาบาลใหญ่ เพราะเปนที่อากาศดีคนมากขึ้นทุกที มีเจ๊กอยู่เกือบ ๒๐๐๐ คน ฝรั่งราว ๓๐๐ คน ราษฎรถึง ๒๘๐๐๐๐ คน ที่จันยอซึ่งเปนเมืองใหญ่แต่ก่อนมีคนแต่ ๒๐๐๐๐๐ คน จีนประมาณ ๑๐๐๐ คน ฝรั่งเหลือสัก ๕๐-๖๐ คนเท่านั้น สิเกรตารีเยเนราล ที่ไปอยู่จิปานะกับคอเวอนเนอเยเนราล เมื่อเราไปเจ็บไม่ได้พบนั้น เดี๋ยวนี้เจ็บมากไปลงมารักษาตัวอยู่ที่นี้ มีเวลาแต่เฉพาะอาบน้ำแต่งตัวเท่านั้น พอถึงเวลาดินเนอเรียกเรสิเดนต์บาลี กับแอสสิสตันเรสิเดนต์ แลภูปติจันยอมากินเข้าด้วย เรสิเดนต์บาลีพูดอังกฤษดีนัก เล่าถึงเมืองบาลีที่ว่าคนถือพระพุทธศาสนา แต่ไล่เลียงดูขยับจะเปนศาสนาฮินดูเท่านั้น อยากให้เราไปเต็มทีแต่ไม่ไหว กินเข้าแล้วเขาขอมีการรับรองที่เรือน เพราะคลับที่อยู่ข้างเรือนถึงโตมากก็จริงแต่เปรสิเดนต์เจ็บ แมมเบอวิวาทกัน การที่จะรับไม่ตกลง แอสสิสตันเรสิเดนต์อยู่ข้างจะเสียพื้น เอากำมลังมาตั้งที่น่าเรือน พวกเวทนาทั้งปวงนั่งรายในห้อง รเด่นอธิปติจันยอรำตันดัก แต่แกไม่ยอมให้แอสสิสตันเรสิเดนต์ให้ผ้า เรารับให้เอง แกถือผ้าเต้นเข้ามารำเปนภาคภูมิงามนัก เสียแต่เข่าฟกปลกเปลี้ยไป ยกตีนไม่ใคร่จะขึ้น เราให้เหล้า แล้วคนอื่นร่ำต่อไปอีกหลายคน ดูไม่มีดีสักคนเดียว รำแล้วมีพวกจีนมาแห่ไฟ แลมีคนขึ้นไปบนแก่นเหล็กแล้วจุดดอกไม้สี แต่พเอินควันเข้ามาทางเรือนทนไม่ใคร่ไหวต้องห้าม แต่มันไม่ใคร่ยอมหยุด คนมาตอมน่าเรือนแน่นอยู่ไม่ขาด แต่เด็ก ๆ ฝรั่งกว่า ๒๐๐ คน มาอยู่แต่เย็นจนเวลากินเข้า ค่ำแล้วทั้งฝรั่งเจ๊กแขกจน ๕ ทุ่มฝนตกจึงได้เลิก ฝนหายไปเดิรเล่นแล้วขี่รถไปดูตามทางที่ยังไม่ได้ไป แวะดูโรงทำขนมปังแลเห็นเขาเล่นรองเกงกันตามถนนดูมันสนุกกันจริง ๆ ดึกด้วยหนาวด้วย มีผ้าเล็กน้อยก็ทนได้ ที่คลับคนเต็มทีเดียว ร้องบ้างเต้นรำบ้างไม่ได้หยุด จนหลับไปแล้วตื่นขึ้นยังได้ยินเสียง พวกแขกมันบอกว่าโรงละคอนฝรั่ง
-
๕๐. หอคำเปนชื่อเรียกเรือนที่อยู่ของเจ้าครองเมืองในมณฑลภาคพายัพ ↩