๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ยส

​กรมสิลปากร

11 พรึสภาคม 2486

ขอประทานกราบทูล ซงซาบไต้ฝ่าพระบาท

ข้าพระพุทธเจ้าอ่านพบเรื่องทำสพไนหนังสืออังกริสเล่มหนึ่ง กล่าวถึงข้อสันนิถานการแต่งสพนั่งว่า ความรู้สึกถึงเรื่องตายไนสมัยดึกดำบรรพ์มีเปนต่าง ๆ กัน ชาวเมลาเนเซียน (ชาวเกาะต่าง ๆ หยู่ตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย มีเกาะนิวกินีเปนต้น) แยกความเปนและความตายผิดกับความคิดของฝรั่ง คือแยกความเปนหรือความมีชีวิตหยู่ด้วยสุขสบายไม่มีโรคภัยไข้เจ็บไว้พวกหนึ่ง กับความเจ็บป่วยและความตายไว้อีกพวกหนึ่ง ความคิดที่แยกหย่างนี้ ว่าคล้ายคลึงกับความคิดของชาวอริยกสมัยพระเวท ซึ่งแยกเปนอมริตกับความตาย อมริต มักแปลกันว่าไม่ตาย แต่ความจริงหมายความถึงความมีอนามัยดีและมีอายุยืนนาน ปราสจากโรคภัยไข้เจ็บอุบัติเหตุและถูกสัตรูทำร้าย ไนหนังสือเล่มนี้กล่าวต่อไปว่า คติของพราหมณ์ถือว่า คนมีความเกิดเปนสามหน หนแรกเกิดจากบิดามารดาโดยธัมดา หนที่สองเมื่อทำพิธีบูชาเปนทวิช หนที่สามเมื่อตายไนเมื่อนำสพเข้าสู่ไฟ นี้คือเกิดครั้งที่สาม ความคิดดังนี้เปนเช่นเดียวกับของชาวอิยิปต์ ชาวเปรูไนอเมริกาไต้ และชาวฮอดเตนตดไนอาฟริกา ซึ่งห่างกันด้วยเวลาและสถานที่ แต่ก็เปนร่วมความคิดกัน ทำไห้คิดเหนว่า วิธีแต่งสพนั่งเมื่อนำไปฝัง ซึ่งเรียกกันว่า นั่งหย่างหยู่ไนครรภ์ (Embryo position) เปนประเพนีที่สืบมาแต่ดึกดำบรรพ์ เมื่อมีความคิดเห็นว่า ตายก็คือเกิด พิธีทำสพก็ละม้ายไปไนทางพิธีเกิดเหมือนกัน การอาบน้ำและจุนเจิมน้ำมันก็มีทั้งไนพิธีเกิดและพิธีตาย แต่ยังไม่เปนที่แจ้งชัดนักว่า พิธีอาบน้ำไนเวลาเกิด จะทำเพื่อประโยชน์ชำระล้างร่างกายไห้สอาด หรือว่าจะอาสัยคติที่ว่าน้ำเปนเครื่องหมายแห่งการหล่อเลี้ยงชีวิต พวกฝรั่งไนทวีปยุโรป ทาง​ตวันตก ก็ยังมีพิธีอาบน้ำสพหยู่ จะว่าเพื่อทำความสอาดก็ไม่สนิธ เพราะผู้ตายอาดจะชำระล้างกายมาตอนเช้าแล้วก็ได้ เห็นว่าการอาบน้ำสพจะเปนทำเพื่อพิธีเท่านั้น การเฝ้าไนเวลาค่ำคืน การเล่นรื่นเริง ก็มีทั้งไนพิธีเกิดและพิธีตาย เด็กเกิดมาก็มีพิธีตั้งชื่อ เมื่อตายก็มีไห้ชื่อกันไหม่ อนึ่ง พึงเข้าไจไว้ว่า การเกิดจึงเกี่ยวกับรูปธัม ส่วนการตายที่ถือว่าเกิดใหม่ เกี่ยวกับนามธัม เพราะฉะนั้น การเกิดทั้งสองหย่างนี้จะมีพิธีพ้องกันทั้งหมดไม่ได้ หย่างไรก็ดีไนอียิปต์ครั้งโบราณถือว่าผู้ตายเท่ากับเปนพระเจ้าแผ่นดิน เพราะด้วยอำนาดแห่งพิธีที่ทำ เพราะฉะนั้น พระเจ้าฟาโรห์จึงมีพิธีแต่งสพ เสมือนเมื่อเปนพระเจ้าแผ่นดิน

ตามที่กราบทูลมาข้างต้นนี้ การแต่งสพนั่งก็ดี การขนานนามใหม่แก่ผู้ตายก็ดี การแต่งเครื่องสพก็ดี ละม้ายคล้ายคลึงมาทางประเพนีไทยและเขมน เรื่องขนานนามใหม่ก็มีทำแต่เฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน คิดด้วยเกล้าฯ ว่า ประเพนีจีนก็เปนเช่นเดียวกัน เมื่อแต่งสพนั่งก็ต้องทำโลงตั้ง จึงได้เกิดมีโกถขึ้น และโกถครั้งแรกอาดเปนรูปมนดบ ดังได้ซงวินิจฉัยไว้ แต่ไทยจะได้ประเพนีมาจากไหน และเมื่อไร ข้าพระพุทธเจ้ายังมืดหยู่ ถ้าจะมีมาจากอื่นก็ต้องเปนชนิดที่ฝรั่งเรียกว่า Anthropological diffusion คือแพร่หลายกะจายมาดังน้ำที่ไหลซึม คือเกิดขึ้นไนที่แห่งหนึ่งก่อน แล้วซึมเข้ามาไนชนชาติไกล้เคียงต่อๆ กันไป จนออกไปห่างไกลที่เดิม ซึ่งจะกำหนดเขตแดนและเวลาที่ซึมไปไม่ได้ ยกตัวหย่างการกำหนดเวลา 7 วันขึ้นเป็นสัปดาหะ ว่ามีกำเนิดมาจากอิยิปต์ แล้วจึงกะจายแผ่ซึมออกไปไนทิสานุทิส ดั่งที่เคยกราบทูลไปแล้ว

ไนหนังสือเรื่องนี้อีกแห่งหนึ่งกล่าวถึงเรื่องการฝังสพสมัยโบรานว่า เดิมเอาหินทับหรือถมดินเปนเนินยาวหย่างฮวงซุ้ย แล้วเปนเนินกลม ยังเหลือต่อมาคือ รูปพระสถูปเนินกลม เปนคติของอินเดียตะวันออก เนินรูปสี่เหลี่ยมหรือสี่ทิส เปนของอินเดียตวันตก แต่ชาวอินเดียถือว่ารูปสี่เหลี่ยมหรือรูปกลมก็เปนหย่างเดียวกัน ปีริมิตของอิยิปต์ก็ถือสถูป สถูปนั้นพื้น​ชั้นยอดถือว่าเปนฟ้า พื้นล่างคือแผ่นดิน ส่วนที่หยู่ไนระหว่างเปนอากาสถานสี่เหลี่ยมบนยอดโดม (บัลลังก์) มักประดับด้วยรูปวงกลม คือ พระอาทิจและพระจันท เหนือขึ้นไปเรียกว่าที่หยู่ของเทวดา เปนอันสแดงไตรภูมิโลกสันถาน ชาวเปอร์เซียก็ทำการก่อส้างเช่นนี้ไว้ไนถ้ำ ไนหนังสือนั้นกล่าวต่อไปว่า หลังคาโคดของโบดฝรั่ง ก็เปนคติเดียวกัน จึงมักเขียนที่เพดานโดมเปนเรื่องสวรรค แล้วมีรูปดาวรายหยู่รอบนอก ตามคำอธิบายนี้ สแดงว่าต้นเค้าพุทธบัลลังก์ที่พระสถูปเจดีย์เปนของแปลงขึ้นพายหลัง อนึ่ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัดถึงเรื่องจิตรกัมต่างๆ ที่มีหยู่ตามวัดต่าง ๆ คือ

1. วัดราชบูรนะ จิตรกัมไนผนังพระอุโบสถ นับว่าเปนที่ 1 เปนฝีมือครั้งรัชกาลที่ 1 แผ่นดินสมเด็ดพระพุทธยอดฟ้า ฯ แม้สมภารวัดที่ปติสังขรน์วัดนั้นต่อ ๆ กันมาก็ปติสังขรน์ดีนัก ไม่แตะต้องภาพจิตรกัมไห้เสียของเดิม ๆ เปนอย่างไรก็คงไว้หย่างนั้น

2. วัดพระแก้ว ไนพระอุโบสถทางด้านหน้าเรื่องมารผจน ด้านหลังเรื่องไตรภูมิ เปนฝีมืออาจารย์นาค ไนรัชกาลที่ 1

ที่หอราชพงสานุสรน์ และหอราชกรันมานุสรน์ฯ เขียนเรื่องนเรสวรชนช้าง เปนฝีมืออาจารย์อินโข่ง

3. ไนพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ วังหน้า เปนฝีมือเขียนครั้งรัชกาลที่ 1

4. ไนวัดสุทัสน์ วัดโพธิ วัดราชประดิถ ก็มีจิตรกัมที่ดีๆ

5. พระอุโบสถวัดสะเกส และ วัดสุวรรนาราม ไนคลองบางกอกน้อย ฝีมือเขียนครั้งรัชกาลที่ 3

6. พระที่นั่งไพศาลทักสิน กอปี้เรื่องสวรรคจาก............ผีมือครั้งรัชกาลที่ 3

7. วัดราชประดิถ เขียนเปนรูปพระราชวังก่อนริ้อเสียมากไนรัชกาลที่ 4

8. ​ไนพระอุโบสถ วัดบวรนิเวสน์ เขียนไนรัชกาลที่ 4 ฝีมืออาจารย์อินโข่ง เขียนเรื่องสงครามสมัยใครเมีย และรัชกาลที่ 4 ซึ่งผูกปัหาไห้เขียนไว้เปนรูปหย่างฝรั่ง ๆ ที่ผนังตอนบน เหนือกรอบหน้าต่างขึ้นไป

9. ที่หอพระคันธารราถ ไนโบดพระแก้ว เปนผีพระหัถสมเด็ดเจ้าฟ้ากรมพระนริสรานุวัดติวงส์ เมื่อยังหนุ่ม ๆ

10. จิตรกัมที่วัดไหย่ เมืองเพชรบุรี เปนฝีมือสมัยแผ่นดินสมเด็จพระบรมโกส ครั้งกรุงเก่า

ตรัดว่าจิตรกัมเหล่านี้ ควนจะมีคนจัดทำขึ้นบัชีไว้ว่าหยู่ที่ไหน มีเครื่องเขียนเรื่องอะไร ฝีมือครั้งไหน คีหย่างไร ทำทเบียนรักสาไว้และกราบทูลขอไห้ได้ฝ่าพระบาทซงช่วยตัดสิน ขอขึ้นทเบียนไว้ ขอควบคุมห้ามเขียน ห้ามลบ ห้ามซ่อม และถ่ายแบบลงพิมพ์ไว้ไนหนังสือ บอกฝีมือครั้งนั้นๆ ไว้ดังนี้

ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกหนักใจ เกรงพระบารมีเปนล้นเกล้า ฯ ไม่กล้ากราบทูลขอพระเมตตา ไห้เป็นที่รำคานและขุ่นเคืองพระทัย แต่ด้วยความห่วงไยถึงความรู้ที่อาดต้องสูไป ซึ่งจะหาอีกไม่ได้ กะทำไห้ข้าพระพุทธเจ้าต้องหักไจกล้ากราบทูลมาขอพระเมตตา เพียงขอประทานความซงจำ ไนเรื่องจิตรกัมเหล่านี้เก็บรักสาไว้ก่อน แม้จะรู้สึกด้วยเกล้าฯ ว่าที่กราบทูลมานี้ อาดเปนที่ขุ่นเคืองพระทัย เพราะเปนการรบกวนและตัดพระสำรามากหยู่ ซึ่งข้าพะพุทธเจ้าไม่บังควนจะทำ แต่ด้วยความห่วงไยไนความรู้ จึงนำข้าพระพุทธเจ้ากล้าฝ่าความขัดข้องและหนักไจ ทั้งนี้จะผิดพลั้งอย่างได ขอรับพระบารมีปกเกล้าฯ เปนที่พึ่ง แล้วแต่จะซงพระเมตตา

​ข้าพระพุทธเจ้าได้หนังสือเกี่ยวกับสิลปของยี่ปุ่นมาหลายสิบเล่ม จึงขอประทานถวายมาพร้อมกับหนังสือนี้

ควนมิควนแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ

ข้าพระพุทธเจ้า ยง อนุมานราชธน

  1. ๑. “Death Customs” in Encyclopaedia of The Social Sciences

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ