วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๔๘๑

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์เวร ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ได้รับประทานแล้ว

การทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะนั้น เป็นไปทางเดียวกับที่ทรงพระดำริ คงจะได้ทรงทราบรายละเอียดอันได้กราบทูลสวนมา ในหนังสือเวรลงวันที่ ๒๖ นั้นแล้ว

ต่อนี้ไปจะกราบทูลขวางโลก การแสดงตนเป็นสัปปุรุษพุทธมามกะได้อ่านหนังสืออันกล่าวถึงเรื่องนั้น ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงประพันธ์ไว้ยกตัวอย่างครั้งพุทธกาลมากล่าว คิดดูเห็นว่าความเป็นไปในเวลาโน้นกับเราเวลานี้ผิดกัน ครั้งโน้นพระพุทธศาสนายังไม่มี พระพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ธรรมอันวิเศษขึ้น เพิ่งจะตรัสสอนธรรมอันวิเศษนั้นแก่สาธุชนทั้งปวง ใครได้ฟังเกิดความเลื่อมใสในธรรมซึ่งพระองค์ตรัส แม้จะนับถือคำสอนของใครอยู่ก่อนก็สละไปสู่พระองค์หรือพระสงฆ์ผู้เป็นสาวกของพระองค์ ประกาศว่าตนถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เหมือนหนึ่งคำที่ฝรั่งเขาพูดว่า Convert ก็บัดนี้เราถือว่าพระพุทธศาสนาเป็นของเรา เรารู้กันอยู่แล้ว ว่าพวกเราย่อมอยู่ในพระพุทธศาสนา จะตรัสประกาศว่าพระองค์ทรงนับถือพระพุทธศาสนาซ้ำเข้าอีก จะมีประโยชน์อะไร แม้ประกาศพระองค์ว่าจะทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างที่ฝ่าพระบาทตรัสนั่นแหละจะสมควรมีค่าเป็นที่สุด แต่ดูแบบพระดำรัสประกาศ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชตีพิมพ์แจก ก็หาได้มีความไปถึงเช่นนั้นไม่ การกระทำอันไม่จำเป็นมีจะกราบทูลอีก แต่ไม่ใช่เกล้ากระหม่อมคิดเห็นเอง เป็นความเห็นของพระมหาเถรองค์หนึ่งซึ่งท่านได้ตริตรอง ท่านว่าการรับศีลนั้นเป็นปฏิญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้น ก็คนที่ประพฤติตนไม่กินเหล้าอยู่แล้ว ปฏิญญาว่าจะไม่กินเหล้าจะมีประโยชน์อะไร คิดตามท่านว่าไปก็รู้สึกเห็นขัน

พระยาอรรถการยบดี (ชุ่ม อรรถจินดา) ตายเสียแล้ว เมื่อวันที่ ๑๙ เดือนนี้ วันที่ ๒๖ ทำบุญเจ็ดวันที่บ้าน รุ่งขึ้นวันที่ ๒๗ ก็ชักศพไปรับพระราชทานเพลิงที่สุสานวัดเทพศิรินทร์ ติดไปทีเดียว ดูก็ดี เป็นอันแล้วเสร็จไปโดยพลัน เห็นหีบศพอันประกอบตั้งไว้บนตาราง เป็นหีบทองลายก้านขด ตำแหน่งยศพานทอง ในงานนั้นแจกหนังสือ ๒ เล่ม ชื่อว่า “พระราชบัญญัติบางอย่าง” เล่ม ๑ เป็นของเจ้าภาพทำ พระยาอรรถการีย์นิพนธ์เป็นผู้เลือกคัดจัดมาเรียบเรียง กับอีกเล่ม ๑ ให้ชื่อว่า “เตรียมตัวก่อนตาย” เป็นของหลวงอมรแมน (จันทร คันธาร์ทิพย์) จัดตีพิมพ์ช่วย ในนั้นมี ๓ เรื่อง คือ “ศราทธพรตคาถา” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสกับ “อธิฏฐานธรรม” สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ) แต่งกับ “วิปัสสนานัย” สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ปัจจุบันนี้แต่ง เห็นว่าเป็นเรื่องไม่เข้าระบอบที่จะเอาพระทัยใส่ จึ่งไม่ได้พยายามที่จะจัดส่งมาถวาย

พูดถึงเอาพระทัยใส่ อยากจะกราบทูลเรื่องสรีสำรวยต่อไปอีก เพราะเกล้ากระหม่อมเอาใจใส่ในศิลปะอันนั้นอยู่มากเท่าที่กราบทูลมาก่อนแล้วนั้นรู้สึกว่ายังไม่พอ ก่อนที่จะแต่งหน้าใครต้องพิจารณาให้เห็นเสียก่อน ว่าหน้าผู้นั้นมีอะไรเสียอยู่ที่ตรงไหนบ้าง เมื่อเห็นเสียอยู่ตรงไหนก็เขียนแก้ที่ตรงนั้น เป็นต้นว่าตาเล็กไปเสริมสีหม่นเข้าที่ขอบตา จะเห็นตาโตขึ้น หรือถ้าคิวก่งมากไปก็เขียนสีเสริมเข้าใต้คิ้ว ถ้าคิ้วซื่อไปก็เขียนสีเสริมขึ้นบนหลังคิ้ว แม้ไม่รู้ที่ได้ที่เสียเขียนไปตามอวัยวะเดิมแล้วจะสวยขึ้นไม่ได้เลย อีกประการหนึ่งนั้นเป็นสำคัญที่สุด ละครเขาแต่งหน้านั้นได้ผลดีที่อยู่บนเวทีห่างคนดูตั้งสี่ห้าวาขึ้นไป ถ้าเขียนแต้มเติมอนุโลมไปตามธรรมชาติที่ตรงไหน ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเห็นได้ คนสามัญไปเอาอย่างละครมาเขียนหน้าบ้าง แล้วก็มาประเชิญหน้ากับเพื่อนฝูงแขกเหรื่อ อยู่ห่างกันเพียงศอกเดียว จะเขียนจะแต้มเติมเข้าไว้ที่ไหนก็เห็นหมด ไม่ต้องให้ล้างดูก็เห็นว่าเขียนไว้ที่ไหนบ้าง คงสำเร็จผลอย่างเดียวแต่ว่าเขาเขียนหน้ากัน ถ้าไม่เขียนกับเขาบ้างก็เปิ่น เป็นการกระทำเพื่อให้เป็นคนเท่านั้น

ความจริงการแต่งหน้านั้นมีมานมนานแล้ว พวกเล่นละครคงจะทำมาก่อน งิ้วเป็นเอก แต่งหน้ามากกว่าชาติใดๆ หมด ละครไทยก็ผัดหน้าเขียนคิ้ว ปากไม่ได้ทา แต่ลางคนก็ใช้คาบซองธูปซึ่งย้อมสีแดง ให้น้ำลายละลายสีที่ย้อมซองธูปอาบออกย้อมริมฝีปากก็เหมือนกับปากนั่นเอง แต่จัดว่าฉลาดมากที่สีแดงอันปรากฏที่ปากนั้นประสานกันเป็นในแก่นอกอ่อนดูงามพอใช้ ที่ทาไม่เป็นนั้นเปรอะปรึงดูไม่ได้ ไม่ทาเสียดีกว่า ถัดจากพวกละครก็มีคนสามัญเอาอย่างมาทำบ้าง เช่นเด็กโกนจุกของเรานั่นเป็นครึ่งละคร เจ้าแขกในเมืองชวาก็เขียนหน้าจนเราเห็นขัน หญิงชาววังของเราแต่ก่อนกันหน้ากันคิ้วจับเขม่า นั่นอะไรแต่งหน้าใช่ไหม ฝรั่งสมัยนี้คนสามัญก็มาแต่งหน้าเอาอย่างละคร ที่เขาคิดทำแป้งผัดทำสีเขียนให้ผิดแผกไปเป็นหลายอย่างขึ้นนั้น ก็ด้วยความเจริญแห่งความคิดเพื่อยักย้ายให้ต้องตามผิวของคน จัดว่าดีขึ้นมาก แต่ที่ฝรั่งเขายักย้ายทำเขาก็คิดทำสำหรับพวกฝรั่งซึ่งมีผิวขาว เราเอาของฝรั่งมาใช้แลมาทำตามเขาเห็นไม่ไหว ฝรั่งเขาทาแก้มแดงๆ เราก็ทาบ้าง แก้มไทยมันแดงเหมือนฝรั่งเมื่อไร อย่างคนที่กระชุ่มกระชวยบริบูรณ์ด้วยเลือดฝาด สีแก้มก็เป็นสีลูกมะปราง จึ่งได้เรียกแก้มว่าปราง ไม่ใช่เป็นสีกุหลาบ ที่แท้ศิลปะแต่งหน้าเป็นวิธีที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้วหากเราคิดกันไปไม่ถึงจึงสำคัญว่าเป็นของใหม่

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ