วันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๑

ทูล สมเด็จกรมพระนริศ ฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์เวรฉบับลงวันที่ ๔ มีนาคม นั้นแล้ว ส้มจัฟฟายังหาคนฝากไม่ได้จนบัดนี้ แต่ยังคอยสืบอยู่เสมอ กลัวแต่ช้าไปมันจะสิ้นคราวเสีย

ปัญหาที่ ๑ ซึ่งตรัสถามมา ว่าลองประกอบโกศศพกับโกศใส่อัฐิ เดิมจะเป็นของอย่างเดียวกันหรือเกิดขึ้นต่างหากกันนั้น เรื่องนี้หม่อมฉันได้เคยคิดวินิจฉัยแต่เมื่อไปเมืองเขมร ไปเห็นเทวสถานแห่ง เรียกว่า “ปักษีจำกรง” อยู่ใกล้ทางในระหว่างนครวัดกับนครธมข้างซ้ายมือ รูปสัณฐานเหงือนโกศมณฑปตั้งบนชั้นห้าชั้น ก็เลยคิดและพิจารณาที่แห่งอื่นๆ ต่อไป

หม่อมฉันเห็นว่าลองประกอบโกศนั้นมูลมาแต่วิมาน พวกถือศาสนาพราหมณ์เอามาทำทรงพระศพพระเจ้าแผ่นดิน ด้วยถือว่าเทพเจ้าแบ่งภาคลงมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองมนุษย์โลก เมื่อสิ้นพระชนม์พระวิญญาณกลับไปเข้าสู่องค์พระเป็นเจ้านั้นๆ แต่พระสริรธาตุยังค้างอยู่ในมนุษย์โลก จึงทำอย่างพระเป็นเจ้าย่อมอยู่วิมานบนยอดภูเขา คือเขาพระสุเมรุเป็นต้น จึงทำโกศแทนวิมาน ตั้งบนฐานแทนภูเขาประดิษฐานพระศพไว้ แม้เครื่องทรงแต่งพระศพก็แต่งเป็นเทวดา (ให้ผิดกับมนุษย์ด้วยมีทองปิดหน้าท่าที่ศพนั่ง (ตามปัญหาตรัสถามข้อที่ ๒) ก็นั่งขัดสมาธิหรือนั่งห้อยพระบาทอย่างพระเป็นเจ้า เป็นแต่รวบเข้าไปให้สะ ดวกเมื่อเอาลงโกศ เช่นเดียวกับใส่ชฎาศพแล้วเอาฝาโกศบังผลักชฎาให้ตกไปเสีย มิให้ยอดกีดฝาโกศ ฉะนั้น ตามวินิจฉัยที่กล่าวมาสังเกตเห็นเค้าเทวสถาน ถ้าสร้างกับแผ่นดิน เช่น นครวัดสถาบาปวนและสถานพิมานอากาศเป็นต้น มักทำฐานสูงแทนภูเขา ถ้าสร้างบนยอดภูเขา เช่น พนมบาเกง และเทวสถานที่เขาพนมรุ้ง มักทำฐานเตี้ยด้วยอยู่บนภูเขาแล้ว ปราสาทหินทำกับแผ่นดินแต่ฐานเตี้ย เช่น สถานตาพรมที่เมืองเขมรและสถานที่เมืองพิมาย มักสร้างทางพระพุทธศาสนาอย่างมหายาน เพราะมิได้ถือคติอวตารอย่างพวกพราหมณ์ คติที่ใช้โกศใส่ศพไม่มีเค้ามาทางพระพุทธศาสนา นอกจากศพพระชั้นสูงใส่ลุ้งคล้ายกับโกศ เช่นศพอาจารย์จีนวงศสมาธิวัตร และเจ้าอธิการวัดประดู่โรงธรรม ณ กรุงศรีอยุธยาเป็นต้น พระจีนบอกอธิบายว่าพระอาจารย์เช่นนั้น เวลาจะถึงมรณภาพนั่งสมาธิเข้าฌาณไปจนขาดลมหายใจ จะเหยียดศพลงนอนเหมือนศพคนสามัญไม่สมควร จึงใส่ลุ้งให้ศพคงอยู่เหมือนเมื่อสิ้นใจ

โกศใส่อัฐินั้น หม่อมฉันเห็นว่ามูลเดิมไม่เกี่ยวกับเรื่องโกศศพเลยทีเดียว มีหลักฐานเก่าที่สุดซึ่งจะอ้างได้ เช่นพระบรมธาตุ “สะลิละ” อันกษัตริย์สักยวงศ์บรรจุไว้ในพระสถูป ณ เมืองกบิลพัสดุ์ก็ใส่ผะอบ น่าจะมาเปลี่ยนเป็นใส่โกศในประเทศสยามนี้แต่เมื่อใดไม่ทราบ ขุดพบโกศอัฐิที่กรุงศรีอยุธยา ๒ ใบ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ทรวดทรงอ้วนเตี้ยเหมือนอย่างโกศศพเป็นรูปลองแปดเหลี่ยม ฝายอดเกี้ยวใบ ๑ รูปลองกลมฝาทรงมัณฑ์ใบ ๑ ยังอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานในกรุงเทพฯ บัดนี้ในเรื่องโกศใส่อัฐิมีวินิจฉัยเป็นข้อสำคัญอย่าง ๑ คือ เมื่อก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ย่อมบรรจุอัฐิ แม้จนพระบรมอัฐิของพระเจ้าแผ่นดินไว้ในพระสถูปที่วัดทั้งนั้น ประเพณีรักษาอัฐิไว้ในบ้านยังหามีไม่ โกศพระบรมอัฐิพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาอาจจะทำด้วยทองคำ แต่คงไม่ทำอย่างงามวิจิตรเท่าใดนัก โกศอัฐิที่พบในกรุงศรีอยุธยา ๒ ใบ น่าจะเป็นโกศพระอัฐิเจ้านายที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ก็เห็นได้ว่า เพราะจะบรรจุในพระสถูปจึงไม่ทำให้วิเศษกว่านั้น จึงเกิดความสงสัยว่าโกศอัฐิที่ทำอย่างประณีตถึงประดับด้วยเครื่องมหัครภัณฑ์ ทั้งที่แก้ไขรูปทรงจะเป็นของเกิดขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง เพราะเหตุที่รักษาอัฐิไว้ในบ้านได้เห็นอยู่เสมอ

ปัญหาข้อที่ ๓ เรื่องนุ่งขาวนุ่งดำในงานศพนั้น หม่อมฉันสันนิษฐานว่า ชั้นเดิมจะเป็นแต่เว้นแต่งเครื่องประดับเท่านั้นเอง ชาวอินเดียนุ่งผ้าขาวกันเป็นปกติในพื้นเมือง เปลื้องเครื่องประดับก็คงแต่ผ้าขาว ผู้หญิงโดยปกตินุ่งห่มแพรพรรณสีต่างๆ อันนับเป็นเครื่องประดับ เปลื้องเครื่องประดับก็ได้แต่นุ่งขาว ที่จีนนุ่งผ้าป่านก็หมายความเปลื้องเครื่องประดับนั่นเอง ในการที่ไทยเรานุ่งขาวนุ่งดำเปลี่ยนมาเป็นชั้นๆ อย่างไร หม่อมฉันเคยเขียนอธิบายถวายไปแต่ก่อนแล้ว

รู้สึกว่าทูลความในจดหมายฉบับนี้อยู่ข้างลวกไปสักหน่อย เพราะกำลังแต่งเรื่องประวัติเจ้าพระยายมราชยุ่งอยู่

สัปดาหะนี้มีหนังจีนมาฉายเล่นที่ปีนัง เป็นเรื่องสามก๊กตอนตั๋งโต๊ะกับนางเตียวเซี่ยน หม่อมฉันได้ไปดู เขาทำสำหรับจีนดูมีหนังสืออังกฤษบอกพอเป็นเค้าบ้างเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องที่เรารู้ซึมทราบอยู่แล้ว ทำดีพอดูได้ เสียแต่เป็นหนังเก่า เล่นในเมืองจีนมาเสียนาน รูปเลือนไปสักหน่อย หม่อมฉันถวายใบแถลงการณ์มาถวายทอดพระเนตรกับจดหมายนี้

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ