วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๑

ทูล สมเด็จกรมพระนริศ ฯ

ลายพระหัตถ์เวรฉบับลงวันที่ ๓๑ ธันวาคมนั้น หม่อมฉันได้รับแล้ว สัปดาหะนี้ไม่มีเรื่องเป็นแก่นสารที่จะทูลจึงจะรวมเรื่องเบ็ดเตล็ด ซึ่งได้คิดจะทูลในจดหมายฉบับก่อนแต่ไม่มีเวลาจะเขียนพอแก้ขัด

ซึ่งทรงปรารภว่าหม่อมฉันคงจะรู้สึกอ้างว้างในเวลานี้ เพราะหลานเข้าไปเยี่ยมพ่อแม่เสียหมด เหลืออยู่ด้วยกันแต่สองสามคน ข้อที่ทรงปรารภนั้นเป็นความจริง คล้ายกับฝรั่งเขาเล่าในหนังสือเรื่องหนึ่ง ว่าพวกที่ไปตรวจทางขั้วโลก Poles นั้นในเวลาที่ขึ้นเดินไปจากท่าเรือจอดต้องเดินลุยหิมะและคุยกันไปทุกวันๆ ครั้นนานวันหมดเรื่องที่จะคุย เรื่องเก่าก็หมดเรื่องใหม่ก็ไม่มีอะไรแปลก นอกจากเดินลุยหิมะอย่างเดียวทุกวันๆ เลยพากันเกิดเบื่อไม่ออกปากพูดจาเหมือนกับโกรธกัน หม่อมฉันอยู่ที่นี่กับลูกถึงวันเมล์มาถึงได้อ่านหนังสือพิมพ์ก็มีเรื่องพอพูดจากันไปวันหนึ่งสองวัน วันต่อไปก็ไม่มีเรื่องอะไร เวลาหลานอยู่ได้ฟังแกพูดจาและเล่นหัวตามประสาเด็กก็พอรื่นรมย์ ไปเสียจึงเงียบเหงารู้สึกว้าเหว่ ถึงสัปดาหะคริสต์มัส พวกฝรั่งเขาเล่นหัวกันครึกครื้น ได้คิดว่าจะไปดูอะไรพอบันเทิงใจบ้าง แต่เมื่อตรวจดูรายการที่เขาลงพิมพ์นัดหมาย ก็เห็นมีความสนุกของเขาแต่ในการแข่งม้า คาเบเรต์ (คือรำเท้ากับนางสาวที่คอยรับจ้าง) เลี้ยงโต๊ะเสพสุราเมรัยกัน ล้วนแต่เป็นการที่หม่อมฉันไม่ชอบ แม้จนหนังฉายในระหว่างสองสามเดือนมานี้ก็มีแต่เลวๆ ได้ยินเขาว่าเพราะเกิดจลาจลระหว่างพวกต่างๆ ที่ทำหนังฉายในอเมริกาไม่มีหนังใหม่ต้องเอาหนังเก่าออกฉายรอบที่สอง เช่นเอาหนังเรื่องกิงกองกลับมาฉายในปีนังอยู่ในเวลานี้ ก็เป็นอันต้องงดดูหนังฉายด้วย มีแต่อ่านหนังสือพอเป็นเครื่องเพลิดเพลิน ถึงกระนั้นหนังสือฝรั่งที่แต่งใหม่ในสมัยนี้ก็มักเป็นแต่ว่าด้วยการคดโกงกันต่างๆ และฆ่ากัน เบียดเบียนกันอย่างน่าอนาถใจ อ่านก็ไม่เพลิดเพลินเจริญใจ ถึงหม่อมฉันหันไปอ่านนิราศลอนดอน และอ่านพระอภัยมณีอยู่บัดนี้ ดูก็สนุกอยู่

ที่ชายใหม่ไปทูลท่านถึงเรื่องหม่อมฉันเลี้ยงแมวนั้น มูลเหตุเป็นเรื่องชอบกลอยู่ควรจะเล่าถวายได้ ตั้งแต่แรกหม่อมฉันมาอยู่ปีนังชอบไปเที่ยวที่สวนน้ำตก ไปแทบทุกวันก็ว่าได้ ด้วยเป็นที่มีทั้งป่าดงที่บนภูเขาล้อมรอบ และที่ลานสวนซึ่งเขาแต่งระหว่างภูเขานั้นปลูกต้นไม้และไม้ดอกต่างๆ มีทั้งลำธารและสนามหญ้าสำหรับเดินเล่นนั่งเล่นเพลิดเพลินเจริญใจ และในสวนนั้นซ้ำมีลิงฝูงสำหรับคนไปเลี้ยงและดูเล่นจนมักเรียกกันว่า “สวนลิง” แต่แรกหม่อมฉันก็มักชอบซื้อกล้วยและถั่วลิสงไปให้ทานลิงที่ในสวนนั้นราวสัปดาหะละ ๒ ครั้ง ครั้นอยู่นานมามาเห็นความชั่วของลิง ที่เป็นสัตว์อกตัญญูไม่รู้จักคุณของผู้อื่น ดีแต่มันชำนาญการสังเกตรู้ได้ว่าคนในรถใดจะให้ทานหรือไม่ ถ้ารถใดจะไม่ให้ทานถึงแล่นผ่านไปมันก็เฉยเสีย แต่ถ้ารถไหนจะให้ทานมันสังเกตได้แต่ไกลพากันวิ่งตามไป พอรถจอดฝูงลิงก็คอยอยู่ข้างรถ หม่อมฉันลองพิจารณาดูก็ยังจับไม่ได้ว่ามันสังเกตอย่างไร (แต่ว่ามันไม่มีวิสัยที่จะแสดงไมตรีจิตตอบแทนเสียเลย บางทีเมื่อกินแล้วพอออกไปห่างเห็นว่าจะทำอะไรมันไม่ได้ก็หันหน้ากลับมาขู่ให้ แต่แรกมันรู้จักรถหม่อมฉันดี พอเห็นก็พากันวิ่งมาเป็นโขลง ถึงยื่นมือมารับจากมือหม่อมฉันและขึ้นมารับของกินจนบนรถก็มี แต่ก็ไม่พ้นที่มันจะขู่หลอกเมื่อกินของหมดแล้ว มันทำแก่คนอื่นๆ ก็เช่นนั้น หม่อมฉันจึงเกิดขัดใจว่าลิงเป็นสัตว์เนรคุณผิดกับสัตว์อื่น เช่น ไก่ เป็ด หมา แมว ม้า ช้าง แม้ที่สุดจนเสือและราชสีห์ ซึ่งมีวิสัยรู้สึกคุณของคนเลี้ยงลิงไม่มีวิสัยเช่นนั้นเสียเลย อยู่กับคนได้แต่ด้วยกลัว เขาจึงว่าเป็นภาษิตมาแต่ก่อน ว่าลิงถึงจะเลี้ยงเชื่องอย่างไรก็คงกัดเจ้าของ ดังนี้ ตั้งแต่หม่อมฉันขัดใจก็มิได้ให้ทานลิงต่อมา มันก็รู้เดี๋ยวนี้รถหม่อมฉันไปมันไม่มาดูแลทีเดียว อันนี้เป็นมูลเหตุที่จะเลี้ยงแมว ตามบ้านพวกแขกมลายูที่อยู่ริมซินนามอนฮอลมีแมวมาก แต่มักเป็นแมวขโมยลอบเข้ามาลักหากินในเวลากลางคืนต้องคอยไล่ตีกันเสมอ ตั้งแต่หม่อมฉันแรกมาอยู่ ต่อมามีแมวเชื่อง ๓ ตัวเข้าไปประจบประแจงคนทำครัว เขาสงสารให้ทานเศษอาหารกินก็เลยอยู่กับพวกบ่าว ต่อนั้นมาจะเป็นสักกี่เดือนก็ไม่ได้จำไว้ วันหนึ่งมีแมวลายสีหมอกตัวหนึ่งจะเป็นของใครหรืออยู่ที่ไหนก่อนก็ไม่มีใครทราบ รูปพรรณสัณฐานก็ไม่งดงามอย่างไร แต่มันแปลกที่เป็นแมวมีอัชฌาศัย แรกเข้ามาก็มาอย่างสุภาพในเวลาบ่ายวันหนึ่ง เวลานั้นหม่อมฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะกินของว่างที่ชั้นล่าง มันตรงเข้ามาหาหม่อมฉัน เอาศีรษะและตัวเสียดสีที่ขา ตามกิริยาแสดงไมตรีจิตของแมวทำนองอยากจะถวายตัว หม่อมฉันก็เกิดเมตตาให้นมโคมันกินจาน ๑ แต่วันนั้นถึงเวลามันก็มา และแสดงอาการสามิภักดิ์ยิ่งขึ้น มาถึงก็โดดขึ้นหมอบบนตักหม่อมฉันก็ให้กินนมเรื่อยมา ทีนี้มันสังเกตรู้ว่าหม่อมฉันกินกลางวันเวลาบ่ายโมง ๑ กินเวลาค่ำ ๒ ทุ่ม ถึงเวลาก็เข้ามาเฝ้าที่โต๊ะกินข้าว หม่อมฉันให้หญิงเหลือเป็นผู้คลุกข้าวให้กินก็เลยไปติดหญิงเหลือด้วยอีกคน ๑ แต่ประหลาดอยู่ที่ “อีแมว” นั้นเป็นแมวอิสลามไม่กินหมูเหมือนแมวตัวอื่น เดี๋ยวนี้ยังมีความรู้หนักยิ่งขึ้น ถึงเวลามานอนคอยอยู่ พอได้ยินเขาตีฆ้องสัญญาเวลากินอาหารกลางวัน หรือเวลาค่ำก็ขึ้นมาที่ห้องหม่อมฉันบนเรือนร้องแง้วๆ เที่ยวหาหม่อมฉันจนพบ พอพบก็เอาเท้าหน้าของมันกอดปลายเท้าหม่อมฉันเอาหัวเกลือกที่เท้า ถ้าเผอิญพบเวลาหม่อมฉันเคลิ้มอยู่บนเก้าอี้นอนอ่านหนังสือ มันก็เอาหางปัดตีจนตื่น แล้วตามหม่อมฉันลงไปห้องกินข้าว ไปถึงก็โดดขึ้นหมอบบนตักหญิงเหลือเตือนให้คลุกข้าวให้กิน แต่เมื่อกินอิ่มแล้วเวลากลางวันมันออกจากห้องหายไป เห็นทีจะไปถ่ายมูล ถ้าเป็นเวลาค่ำมันนอนคอยอยู่ที่ข้างโต้ะจนหม่อมฉันออกจากห้องกินข้าวมันวิ่งตามส่งจนถึงเชิงบันไดแล้วจึงกลับไป ถ้าหญิงเหลือยังนั่งอยู่ที่โต๊ะไปขึ้นตักแสดงความขอบใจหญิงเหลืออีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงหลีกไปหาที่นอน มันสามิภักดิ์แปลกอย่างนี้จึงได้รักมัน แล้วคิดเห็นอีกอย่างหนึ่งว่า มันมาให้เจริญพรหมวิหารก็เป็นคุณในทางธรรมด้วย จึงเลี้ยงแมวด้วยประการฉะนี้

เรื่อเบญจคัพย์ซึ่งทรงปรารภมานั้น หม่อมฉันเห็นว่าหลักเดิมอยู่ที่โคมัย ๕ อย่าง หรือจำนวน ๕ เป็นหลัก ถึงจะใส่ภาชนะอย่างใดถ้าโคมัยครบ ๕ อย่างก็เป็นเบญจคัพย์อยู่นั่นเอง แต่ไทยเราทนโคมัยไม่ได้ต้องใช้น้ำมนต์แทนจึงย้ายหลักไปอยู่ที่ภาชนะ เมื่อถือภาชนะเป็นสำคัญจึงเอาธาตุที่ทำภาชนะ หรือแม้แต่ทำเป็นแผ่นยันต์วางไว้ในภาชนะเป็นหลัก ถึงกระนั้นถ้าเพิ่มหรือลดจำนวนภาชนะให้ผิด กับ ๕ ก็เป็นผิด แต่การที่ถือประเพณีเก่าเลือนมาคงเหลือแต่จำนวนเป็นหลัก เช่น พระเต้าเบญจคัพย์หรือถือแต่ชื่อเป็นหลัก เช่นผ้าบังสุกุล แล้วมากลายห่างไกลไปต่างๆ เห็นจะมีมาก

เรื่องข้าวพระนั้นหม่อมฉันก็ได้เคยคิดว่าถวายทำไมกัน พระพุทธรูปท่านก็ไม่ฉัน มีใครเคยบอกหม่อมฉันว่าเขาเจตนาสำหรับจะให้ข้าวพระหรือพวกที่ยกสำรับคับค้อนกินเมื่อเลี้ยงพระแล้ว แต่เคยทราบว่ามีคำภาษามคธสำหรับสวดถวายข้าวพระ แต่หม่อมฉันก็ไม่ได้เอาใจใส่ไต่ถามต่อไป จนมาเห็นกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชาท่านโปรดทำพิธีนอกรีตต่างๆ ท่านตรัสบอกว่าตำราลังกาก็มีพิธีทำพระพุทธอุปถากหลายอย่าง ตั้งแต่ถวายโภชนาหารและปฏิบัติด้วยอย่างอื่นอีกหลายประการ ล้วนมีคำภาษามคธสำหรับสวดโดยเฉพาะอย่าง ท่านได้ถ่ายแบบลังกามาทำในกระบวนพิธีของท่าน แต่หม่อมฉันไม่เลื่อมใสก็ไม่เคยเห็น แต่พิเคราะห์ดูก็มาแต่ประเพณีเซ่นผีดังที่ทรงปรารภถูกต้องแล้ว และยังมีพิธีอื่นในพระพุทธศาสนาซึ่งเกิดแต่สมัยเมื่อแข่งกับศาสนาพราหมณ์อีกหลายอย่าง อยากจะนับแต่พิธีตรุษซึ่งให้พระสวดอาฏานาติยสูตรและยิงปืนไล่ผีเป็นต้นไป

เจ้าพระยายมราชถึงอสัญกรรมนั้นหม่อมฉันมีความอาลัยมากอยู่เพราะเป็นสหชาติและเคยรับราชการร่วมกันมาช้านาน ว่าโดยฐานที่เป็นมิตรเขาก็เป็นมิตรซื่อตรงมาเสมอไม่ด่างพร้อย หม่อมฉันไว้ทุกข์ให้ทางนี้ด้วย

ที่หม่อมฉันทูลอธิบายเรื่องพระพุทธรูปในหอพระน้อยไปในจดหมายเวรฉบับก่อนยังขาดความอยู่หน่อยหนึ่ง แต่บางทีทำนองจะทรงนึกได้เองแล้ว คือพระพุทธรูป ๔ องค์นั้นสร้างเป็นชุด องค์ทรงพระนามว่า “พระพุทธเจษฎา” เป็นของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ องค์ทรงพระนามว่า “พระพุทธราชาภิเศก” เป็นของสมเด็จพระศรีสุราลัย ๒ องค์ทรงพระนามว่า “พระพุทธชินราชและพระพุทธชินศรี” อุทิศต่อพระเจ้าน้องเธอพระองค์เจ้าหญิงป้อม และพระองค์เจ้าชายดำครบจำนวนพระญาติใกล้ชิด

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ