วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๘๑

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์เวรลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ได้รับประทานแล้ว

การป่วยของเกล้ากระหม่อม จะหายไปโดยพลันหาได้ไม่ด้วยเกี่ยวกับอากาศ ถ้าอากาศผันแปรไม่ยืนที่ ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาวอยู่ตราบใด ความเจ็บก็จะลากไปอยู่ตราบนั้น ข้อที่ทรงสังเกตได้ว่าหูตึงมากน้อยเป็นเวลานั้น เกล้ากระหม่อมก็สังเกตได้เหมือนกัน เว้นแต่จับเหตุไม่ได้

พระดำรัสอธิบายเรื่อง “พระอุณาโลมทำแท่ง” นั้นดีเต็มที ไม่เสียทีที่ทูลถาม ได้ความเป็นบทเรียนอย่างประเสริฐตามที่สงสัยพาให้ทูลถามมานั้น เพราะเกล้ากระหม่อมเคยเห็นมาในกรมราชเลขาธิการมีพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ไว้เสร็จประจำครั่ง และแท่งครั่งซึ่งประทับพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ไว้เสร็จก็มีอยู่ ไม่รู้ว่าทำอะไรกัน ถามเจ้าพนักงานผู้รักษาก็บอกไม่ได้ จนกระทั่งมาได้ฟังพระดำรัสจึงจับใจต้องทูลซักเป็นการใหญ่มาก ที่ใช้แท่งครั่งแทนพระองค์ แห่ไปแล้วก็แห่กลับด้วย สิ่งที่แทนพระองค์นั้นมีเป็นประเพณีมานานแล้ว แต่ที่พบนั้นไม่ใช่แท่งครั่ง เป็นของอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ล้วนเนื่องในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เช่นพระรามประทานฉลองพระบาทแก่พระภรตไปต่างพระองค์ และพระเจ้าปัสเสนทิประทานผ้าโพกกับพระแสงดาบแก่มหาเสนาผู้ซึ่งให้รักษาพระนครอยู่ต่างพระองค์เป็นต้น

อีกข้อหนึ่ง ตามที่ทรงสันนิษฐานถึงพระพุทธรูปในหอพระน้อยหน้าหอพระสุลาลัยพิมาน จับใจจนต้องวานเขาเข้าไปตรวจได้รายงานมาบอก เห็นควรจะกราบทูลให้ทรงทราบด้วยจึงได้กราบทูลมาตามรายงานที่มาแจ้งนั้นว่า ในหอนั้นมีพระพุทธรูปห้ามสมุทรทรงเครื่องอยู่ถึง ๔ องค์ องค์ล่างใต้มีจารึกพระนามว่า “พระพุทธเจษฎา” พระนามนี้แสดงว่าจะต้องทรงสร้างก่อนได้ราชสมบัติ องค์ล่างเหนือจารึกพระนามว่า “พระพุทธราชาภิเษก” พระนามนี้แสดงว่าจะต้องทรงสร้างเมื่อได้บรมราชาภิเษกแล้ว องค์บนเหนือจารึกพระนามว่า “พระพุทธชินศรี” องค์บนใต้จารึกพระนามว่า “พระพุทธชินราช” สององค์นี้คะเนว่าจะทรงสร้างครั้งปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน เหตุด้วยพระพุทธรูปในพระวิหารทิศก็มีถวายพระนามไว้เช่นนั้น คงจะเฟื่องในพระนามนั้นเอามาตั้งถวายอีก พระพุทธรูปทั้ง ๔ องค์นี้มีขนาดสูงถึง ๑ เมตรกับ ๒๐ เซนต์ (๒ ศอก ๑๐ นิ้ว) ดูจะใหญ่เกินกว่าที่ควรจะเชิญไปตั้งพระแท่นมณฑล พระชัยพิธี (ฉันเวร) สูง ๖๙ เซนต์ (๑ ศอก ๙ นิ้ว) มีพระห้ามสมุทรหล่อด้วยเงินไม่ได้ทรงเครื่องสูง ๘๕ เซนต์ (๑ ศอก ๕ นิ้ว) ไล่เลี่ยกันกับพระชัยพิธี อยู่บนฐานชุกชีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามองค์หนึ่ง ถ้าใช้องค์นี้ตั้งพระแท่นดูก็สมควรแต่ก็มีอยู่องค์เดียว เป็นอันว่าเอาแน่อะไรไม่ได้ ต้องตราไว้พิจารณาต่อไปอีกก่อน

มีข้อจะทูลถามอีก ในหอพระสุลาลัยพิมาน มีพระพุทธรูปห้ามสมุทรทรงเครื่องอยู่ ๔ องค์เหมือนกัน แต่สูงถึง ๒ เมตร (วา ๑) องค์หน้าตะวันออก จารึกพระนามว่า “พระพุทธนฤมิตร” ทราบว่าเป็นพระฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ถ่ายหล่อจำลองไปตั้งไว้ที่หน้าพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามก็องค์หนึ่ง องค์หน้าตะวันตก จารึกพระนามว่า “พระพุทธรังสฤษดิ์” ทราบว่าเป็นพระฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อีก ๒ องค์ซึ่งอยู่เบื้องหลังไม่มีพระนามจารึก ฝ่าพระบาททรงทราบหรือไม่ว่าเป็นพระฉลองพระองค์ของพระองค์ใด

พระเต้าห้าห้อง ซึ่งคาดว่าจะทำเป็นพระเต้าเบญจครรภนั้น ด้วยคำ “ครรภ” แปลว่าห้อง ส่วนพระเต้าห้ากษัตริย์ซึ่งคาดว่าจะทำเป็นพระเต้าเบญจครรภเหมือนกันนั้น คิดว่าจะมาแต่ที่พราหมณ์เขาทำพิธีแต่งภัทรบิฐโรยแป้งตั้งเบญจครรภ เบญจครรภของพราหมณ์ที่เขาตั้งนั้น เป็นถ้วย ๕ ใบทำด้วยโลหะต่างๆ อะไรบ้างจำไม่ได้ มีทองเงินสัมฤทธ์นั้นแน่ เขาใส่น้ำมนต์ทุกถ้วย พราหมณ์ศาสตรีที่หอพระสมุดซึ่งรู้ประเพณีพราหมณ์นอกได้อธิบาย ฝ่าพระบาทจะได้ทรงทราบแล้วหรือยังไม่ทราบ ว่าเขียน “เบญจครรภ” หลง ที่แท้เป็น “ปญจควฺย” ควรจะเขียน เบญจคัพย์ คำ ค วฺ ย มาแต่ คาวี เป็นสิ่งดีของแม่โค ๕ อย่าง คือ นมสด นมส้ม เนย กับ มูตร คูถ ติดจะดีเกินไป เรารับไม่อยู่ จึงกลายเป็นใช้น้ำมนต์แทน

ธงกระบี่ธุชครุฑพ่าห์ ซึ่งจำหลักไว้ที่พระระเบียงพระนครวัดก็มีธง แต่เป็นผิดกันไปกับของเรา มีรูปเป็นดังนี้ ค่อนไปทางทิว คันธงจะมียาวขึ้นไปจนถึงยอดธงหรืออย่างไรไม่ทราบ ถ้ามีก็ต้องเป็นของอ่อน ถ้าไม่มีตลอด เวลาไม่มีลมธงก็จะต้องห้อยพับลงมา เรารู้ไม่ได้ด้วยธงชนิดนั้นเราไม่ได้ใช้

<img>

เรื่องสวนเจ้าเชตซึ่งทูลมานั้น ทูลด้วยเห็นขันที่ว่าเราผู้ตั้งชื่อสวนนั้นเองยังนั่งโดนโด่อยู่ ก็มีผู้เอาตำนานแปลชื่ออันผูกขึ้นด้วยไม่รู้อะไรเลย มาเล่าให้เราฟังเป็นตุเป็นตะไม่ต้องนานเท่าไรเลย

เรื่องไฟไหม้พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรนั้น กราบทูลตกความไปเสียหน่อยหนึ่ง พระที่นั่งองค์นั้นกำลังซ่อมแซม ดูเหมือนตั้งใจจะรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำรอกสีเก่าทาสีใหม่ ความร้ายจึงเป็นที่สงสัยอยู่แก่เจ๊ก ซึ่งใช้ไฟฟู่เผาสำรอกสีเก่าออก

เมื่อวันที่ ๒๒ ชายใหม่กลับเข้าไปหา เล่าว่ามีแมวมาสามิภักดิ์ต่อฝ่าพระบาท ทำให้นึกถึงเมื่ออยู่ที่บ้านสุคนธหงส์หาดใหญ่ ที่นั่นเขาเลี้ยงแมวไว้ ๒ ตัว ตัวหนึ่งไปสามิภักดิ์ต่อฝ่าพระบาท อีกตัวหนึ่งมาสามิภักดิ์ต่อเกล้ากระหม่อม ดูก็ประหลาดหนักหนา ความสามิภักดิ์ของมันแก่เกล้ากระหม่อมนั้น เวลาเมื่อนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้ยาวมันก็ขึ้นไปนอนทับอยู่บนขานั่นไม่เป็นไร อีตอนเขียนหนังสืออยู่นั่นแหละสำคัญ มันกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ แล้วก็เข้าหมอบทับกระดาษซึ่งกำลังเขียนหนังสืออยู่นั้นเสีย เขียนไปไม่ได้ จับเอามันลงมามันก็ทำซ้ำดังนั้นอีกนึกก็ฉุน แต่ก็สงสาร มันทำไปด้วยไม่รู้หนเหนือหนใต้อะไรต้องให้อภัย แต่ไปคราวหลังมันตายเสียแล้ว ไม่มีแมวมาสามิภักดิ์ ออกคิดถึงมัน

วันที่ ๒๓ หม่อมเจิมกับหลานแมวไปหา หลานแมวโตมาก หม่อมเจิมบอกว่าเวลานี้ฝ่าพระบาทเสด็จอยู่แต่กับลูกสามคนเท่านั้น หลานๆ พากันไปไหนต่อไหนหมด ด้วยโรงเรียนปิด เมื่อทราบเช่นนั้น นึกก็สงสารฝ่าพระบาท เห็นจะทรงรู้สึกเงียบเหงาเต็มที

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ