- คำนำ
- ๑. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ สวรรคต
- ๒ ประวัติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๒ เมื่อก่อนเสด็จผ่านพิภพ
- ๓. เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะเมื่อเปลี่ยนรัชกาล
- ๔. เกิดเหตุเรื่องเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิต
- ๕. พระราชพิธีบรมราชาภิเศก
- ๖. พระราชพิธีอุปราชาภิเศก
- ๗. การอันเนื่องต่อพระราชพิธีบรมราชาภิเศก
- ๘. พระราชกำหนดสักเลข รัชกาลที่ ๒
- ๙. เรื่องเดินสวนเดินนา
- ๑๐. พระราชกำหนด ห้ามมิให้สูบแลซื้อขายฝิ่น
- ๑๑. เรื่องศึกพม่า
- ๑๒. อุปฮาดเมืองนครพนมกับพรรคพวกอพยพเข้ามาณกรุงฯ
- ๑๓. เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองญวนเมืองเขมร
- ๑๔. เรื่องทูตญวนเข้ามาครั้งที่ ๑
- ๑๕. เรื่องญวนขอเมืองไผทมาศ
- ๑๖. เรื่องกรมพระราชวังบวรฯ ทรงผนวช
- ๑๗. เรื่องให้เจ้านายกำกับราชการ
- ๑๘. เรื่องทูตไปเมืองจีนครั้งที่ ๑
- ๑๙. เรื่องสถาปนากรมสมเด็จพระพันปีหลวง
- ๒๐. เกิดเหตุเรื่องเมืองเขมรตอน ๑
- ๒๑. งานพระบรมศพ
- ๒๒. เรื่องจัดการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้
- ๒๓. เกิดเหตุเรื่องเมืองเขมรตอน ๒
- ๒๔. เรื่องพระพุทธบุษยรัตน์
- ๒๕. ตำนานพระพุทธบุษยรัตน์
- ๒๖. เกิดเหตุเรื่องเขมรตอนที่ ๓
- ๒๗. พระราชพิธีลงสรง สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ
- ๒๘. ได้พระยาเสวตรกุญชรช้างเผือกเมืองโพธิสัตว
- ๒๙. เรื่องตั้งกรม
- ๓๐. เรื่องปิดน้ำบางแก้ว
- ๓๑. ไฟใหญ่ไหม้พระนคร
- ๓๒. เรื่องสร้างพระมณฑปพระพุทธบาท
- ๓๓. เรื่องพม่าขอเปนไมตรี
- ๓๔. เรื่องสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์
- ๓๕. เรื่องตั้งเมืองประเทศราชมณฑลพายัพ
- ๓๖. เรื่องสมณทูตไปลังกา
- ๓๗. เรื่องเขมรตีเมืองพัตบอง
- ๓๘. เรื่องมอญอพยพครอบครัวเข้ามาพึ่งพระบารมี
- ๓๙. เรื่องจัดการปกครองเมืองนครศรีธรรมราช
- ๔๐. เรื่องตั้งเมืองกลันตันเปนประเทศราช
- ๔๑. เรื่องพม่าแหกคุก
- ๔๒. สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (มี)
- ๔๓. ได้พระยาเสวตรไอยราช้างเผือกเมืองเชียงใหม่
- ๔๔. เรื่องพระราชาคณะต้องอธิกรณ์
- ๔๕. เกิดเหตุเรื่องบัตรสนเท่ห์
- ๔๖. พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ
- ๔๗. ได้พระยาเสวตรคชลักษณ์ ช้างเผือกเมืองน่าน
- ๔๘. เรื่องใช้ธงช้าง
- ๔๙. เรื่องพิธีวิสาขบูชา
- ๕๐. พระราชกำหนดพิธีวิสาขบูชา
- ๕๑. กรมพระราชวังบวรสถานมงคลสวรรคต
- ๕๒. สถานที่ซี่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้ทรงสร้าง
- ๕๓. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชสามเณร
- ๕๔. งานพระเมรุกรมพระกรมพระราชวังบวรฯ
- ๕๕. เรื่องขยายเขตรพระบรมมหาราชวัง
- ๕๖. เรื่องสร้างสวนขวา
- ๕๗. เรื่องบำรุงแบบแลบทลคร
- ๕๘. โปตุเกตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี
- ๕๙. ตั้งสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)
- ๖๐. เรื่องเมืองนครจำปาศักดิ
- ๖๑. เรื่องโปตุเกตขอทำสัญญา
- ๖๒. เกิดไข้อหิวาตกะโรค
- ๖๓. ฉลองวัดอรุณราชวราราม
- ๖๔. ราชทูตญวนเข้ามาบอกข่าวพระเจ้ายาลองสิ้นพระชนม์
- ๖๕. เรื่องสังคายนาสวดมนต์
- ๖๖. เรื่องข่าวศึกพม่า
- ๖๗. เรื่องราชทูตไปเมืองจีนครั้งที่ ๒
- ๖๘. เรื่องตีเมืองไทรบุรี
- ๖๙. เรื่องอังกฤษขอเปนไมตรี
- ๗๐. ลักษณการที่ไทยค้าขายกับต่างประเทศ
- ๗๑. ท้องตราว่าด้วยการค้าขายของหลวง
- ๗๒. เรื่องครอเฟิดทูตอังกฤษเข้ามาขอทำสัญญา
- ๗๓. เรื่องเบ็ดเตล็ดที่ปรากฎในหนังสือครอเฟิด
- ๗๔. เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีสิ้นพระชนม์
- ๗๕. เรื่องสร้างวัดสุทัศน์
- ๗๖. เรื่องสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)
- ๗๗. เรื่องสร้างเมืองสมุทปราการ
- ๗๘. เรื่องขุดปากลัด
- ๗๙. เรื่องพม่าชวนญวนตีเมืองไทย
- ๘๐. เรื่องอังกฤษรบกับพม่าครั้งที่ ๑
- ๘๑. งานพระเมรุเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพวดี
- ๘๒. เรื่องพระยาช้างเผือกล้ม
- ๘๓. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชเปนพระภิกษุ
- ๘๔. เหตุการณ์เบ็ดเตล็ดในรัชกาลที่ ๒
- ๘๕. ผลประโยชน์แผ่นดิน
- ๘๖. พระราชานุกิจ
- ๘๗. สวรรคต
- ๘๘. เรื่องสืบสันตติวงษ์
- ๘๙. พระราชโอรสพระราชธิดา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย
- ๙๐. พระนามพระองค์เจ้าลูกเธอ ในกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
๖. พระราชพิธีอุปราชาภิเศก
เมื่อเสร็จงานพระราชพิธีบรมราชาภิเศกแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งพระราชพิธีอุปราชาภิเศก สถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ พระบัณฑูรน้อยขึ้นเปนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตำแหน่งที่พระมหาอุปราช
ลักษณการพระราชพิธีอุปราชาภิเศก แลเฉลิมพระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรฯ ครั้งรัชกาลที่ ๒ มีร่างหมายรับสั่งเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชแต่งไว้ ว่าทำพิธีตามแบบอย่างครั้งอุปราชาภิเศกเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเปนพระมหาอุปราช เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐครั้งกรุงเก่า[๑] พรรณนาไว้ในหมายรับสั่งเปนเนื้อความดังนี้ :-
ณวันศุกร เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีมเสงเอกศก ฤกษ์เวลาเช้าโมง ๑ กับ ๓ บาท จาฤกพระสุพรรณบัตรที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทำนองการพิธีเหมือนจาฤกพระสุพรรณบัตรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระสุพรรณบัตรจาฤกว่า :-
สมเด็จบรมนารถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาทโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เปนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทีฆายุศมศิริสวัสดิ[๒]
เมื่อจาฤกแลเวียนเทียนสมโภชพระสุพรรณบัตรแล้ว ตั้งพระสุพรรณบัตรไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงวันเริ่มงานจึงเชิญขึ้นพระเสลี่ยงแห่ไปตั้งในพระแท่นมณฑลที่พระราชวังบวรฯ
ที่พระราชวังบวรฯ นั้น จัดที่ทำพระราชพิธี ๒ แห่ง คือ ที่พระที่นั่งพรหมภักตร จะเปนพระวิมานหลังใต้หรือหลังเหนือ เวลานั้นยังเรียกรวมกันหมดทั้งหมู่ว่าพระที่นั่งพรหมภักตร ในห้องที่พระบรรธมจัดตั้งเตียงสำหรับพระสงฆ์ คือ สมเด็จพระพนรัตนนั่งปรกรูป ๑ พระวัดพลับ ๔ รูป สวดมหาไชย
ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์[๓] จัดเปนที่ตั้งพระแท่นมณฑลตั้งเทียนไชย แลเปนที่พระสงฆ์ ๔๕ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเปนประธานเจริญพระพุทธมนต์ พระแท่นมณฑลนั้น ในหมายรับสั่งกล่าวว่า จัดเหมือนพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ สิ่งของตั้งพระแท่นมณฑลตามซึ่งกล่าวไว้ในหมายรับสั่ง มีดังนี้ คือ :-
พระบรมธาตุ พระไชย พระห้ามสมุท พระอุณาโลมทำแท่ง พระสุพรรณบัตร ดวงพระชัณษา พระมหามงกุฎ พระภูษารัตกัมพล พระมาลาเบี่ยง พระชฎา พระนพ พระมหาสังวาลสร้อยอ่อน พระมหาสังวาลพรามหมณ์ พระธำรงค์ ฉลองพระองค์เกราะ ฉลองพระองค์นวม พระมหามงคลย่น เครื่องพระพิไชยสงคราม เครื่องพระมุรธาภิเศก พระมหาสังข์ทักษิณาวัฏ พระมหาสังข์ทอง พระมหาสังข์เงิน พระเต้าเบญจครรภ พระเต้าปทุมนิมิตรทอง พระเต้าปทุมนิมิตรนาก พระเต้าปทุมนิมิตรเงิน พระเต้าปทุมนิมิตรสำริด (ใส่น้ำปัญจมหานที ทั้ง ๔ พระเต้า)
พระแสงที่เข้าพระแท่นมณฑลนั้นคือ :- พระแสงขรรค์ไชยศรี ๑ พระแสงดาบยี่ปุ่น[๔] ๑ พระแสงจักร ๑ พระแสงหอกไชย ๑ พระแสงตรีศูล ๑ พระแสงธนู ๑ พระแสงเขน ๔ พระแสงง้าว ๒ พระแสงทวน ๒ พระแสงหอกคู่ ๑ พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย ๑ พระแสงขอตีช้างล้ม ๑ พระแสงชนักต้น ๑ พระกลด ๑ พระเสมาธิปัต ๑ พระฉัตรไชย ๑ พระเกาวพ่าย ๑ ธงไชยกระบี่ธุช ๑ ธงไชยพระครุธพ่าห์ ๑ ตรงมุขท้ายพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ปลูกพลับพลาเปลื้องเครื่องหลัง ๑ ข้างพระที่นั่งตั้งพระแท่นที่สรงมีเสาดาดเพดาน บนพระแท่นตั้งถาดทองแดง ในนั้นตั้งตั่งไม้มะเดื่อที่ประทับสรงมุรธาภิเศก ตั้งราชวัตรฉัตรทอง, ฉัตรนาก, ฉัตรเงิน ๗ ชั้น รายรอบที่สรง
น่าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ปลูกโรงพิธีพราหมณ์ แลตั้งพนมบัดพลีสำหรับโหรบูชาเทวดา ในโรงพิธีพราหมณ์ตั้งเทวรูป พระอิศวร พระนารายน์ เปนต้น เหมือนพิธีบรมราชาภิเศก แลเครื่องพลีกรรมทำพิธีตามไสยสาตร ทั่วทุกสถานการพระราชพิธีวงสายสิญจน์ล่ามตลอดถึงกัน แลตั้งราชวัตรปักฉัตรเบญจรงค์ ๕ ชั้น รายรอบพระราชมณเฑียร แลราย ๒ ข้างถนนแต่พระราชวังบวรฯ ลงมาจนพระบรมมหาราชวัง ในเวลาทำการพระราชพิธีนั้น เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เข้ามาประทับแรมอยู่ที่โรงลครริมพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านตวันตก[๕]
ถึงณวันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ เวลาบ่าย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จไปทรงเครื่องที่พระนั่งดุสิดาภิรมย์[๖] แต่งพระองค์ทรงสนับเพลาเชิงงอน ทรงพระภูษาจีบโจงหางหงษ์ รัดพระองค์หนามขนุน ทรงฉลองพระองค์กรองทอง ทรงพระมาลาเส้าสูงสีกุหร่า เสด็จขึ้นพระราชยานที่เกยพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ มีกระบวนแห่เสด็จ คือ :-
ตำรวจเลวหรือหวายนำริ้ว ๑๐ คู่ ตำรวจเดินสายนอก ๒ สาย ๘๔ คน มหาดเล็กวังหลวงเดินสายใน ๒ สาย ๘๔ คน กลองชนะ ๒๐ คู่ แตรฝรั่ง ๖ คู่ แตรงอน ๖ คู่ สังข์ ๒ คู่ จ่าปี่ ๑ จ่ากลอง ๑ สารวัด ๒ เครื่องสูงน่า สามชั้น ๕ คู่ ห้าชั้นคู่ ๑ บังแทรก ๔ มหาดเล็กเชิญพระแสงหว่างเครื่องน่า พระแสงดาบใจเพ็ชร ๑ พระแสงดาบคาบค่าย ๑ พระแสงเขน ๒ พระแสงหอก ๒ พระแสงหอกคู่ ๒ พระราชยานมีพนักงานถวายอยู่งานพระกลด ๑ บังสูรย์ ๑ พัดโบก ๑ พระทวย ๑
คู่เคียง ๔ คู่ คือ :- คู่ที่ ๑ พระยากำแพงเพ็ชร พระยาโชฎึก คู่ที่ ๒ พระยาพิศณุโลก พระยาพิพิธโภไคย คู่ที่ ๓ พระยานรินทร จมื่นเสมอใจราช คู่ที่ ๔ พระยานครสวรรค์ พระยาเทพมณเฑียร
กระบวนหลัง มหาดเล็กเชิญเครื่อง ธารพระกร ๑ พัชนีท้ายพระที่นั่ง ๑ ฉลองพระบาท[๗] ๑ เชิญตามเสด็จ พานพระขันหมาก ๑ พระสุพรรณศรี ๑ พระเต้าพระสุธารศ ๑ เครื่องสูง ห้าชั้นคู่ ๑ สามชั้น ๕ คู่ บังแทรก ๔ มหาดเล็กเชิญพระแสงหว่างเครื่อง พระแสงง้าว ๑ พระแสงตรี ๑ พระแสงหอกง่าม ๑ มหาดเล็กวังน่าเดินสายใน ๖๐ คน ตำรวจเดินสายนอก ๔๐ คน ม้าจูง ๔ (หัวพัน) มหาดไทย กลาโหม เปนผู้ตรวจ รวมกระบวนแห่ ๒๖๘ คน[๘]
แห่เสด็จไปจากพระบรมมหาราชวัง จนถึงพระราชวังบวรฯ ประทับเกยพลับพลาเปลื้องเครื่องที่มุขท้ายพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เปลื้องเครื่องผลัดทรงพระภูษาลายพื้นทอง ทรงสพักฉลองพระองค์ครุยกรองทอง เสด็จเข้าในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ทรงนมัสการพระศรีรัตนไตรย สมเด็จพระสังฆราชจุดเทียนไชยแลถวายศีลแล้ว ทรงพระมหามงคลประทับสดับพระปริตจนจบแล้ว[๙] จึงแห่เสด็จกลับคืนมายังพระบรมมหาราชวัง
รุ่งขึ้นณวันพุฒ เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ เวลาเช้า สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จทรงพระเสลี่ยง มีแต่ตำรวจนำไม่มีกระบวนแห่ เสด็จขึ้นไปทรงประเคนเลี้ยงพระสงฆ์ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เวลาบ่ายวันนั้นแลวันรุ่งขึ้น แห่เสด็จขึ้นไปทรงสดับพระปริตเหมือนวันแรก เวลาเช้าในวันคำรบ ๒ ก็เสด็จขึ้นไปทรงประเคนเลี้ยงพระเหมือนวันแรก
ครั้นณวันศุกร เดือน ๑๐ แรม ๖ ค่ำ เวลาเช้า เสด็จโดยกระบวนแห่ขึ้นไปยังพระราชวังบวรฯ เสด็จเข้าที่สรงสนานเวลาเช้าโมงกับบาทหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระพนรัตน พระธรรมราชา พระญาณสังวร ถวายน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระเต้าปทุมนิมิตร[๑๐] พราหมณ์ถวายน้ำกรดน้ำสังข์แลใบมะตูม แล้วทรงเครื่องเสด็จมาทรงประเคนเลี้ยงพระสงฆ์ ครั้นเลี้ยงพระแล้ว เสด็จยังพลับพลาทรงเครื่องพระภูษาลายเขียนทองจีบโจงหางหงษ์ ทรงฉลองพระองค์กรองทอง ทรงพระมาลาเส้าสูงสีแสด ขึ้นทรงพระราชยานแห่ลงมาพระบรมมหาราชวัง เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวณพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน รับพระราชทานพระสุพรรณบัตร และทูลเกล้าฯ ถวายเทียนทองธูปเงินเข้าตอกดอกไม้ (แล้วแห่เสด็จกลับขึ้นไปยังพระราชวังบวรฯ) ครั้นเวลาบ่าย เจ้าพนักงานตั้งบายศรีเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรฯ เปนเสร็จการพระราชพิธีอุปราชาภิเศกตามโบราณประเพณี
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งปรากฎพระนามในภายหลังว่า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์นี้ ประสูตรณกรุงธนบุรี เมื่อณวันจันทร์ เดือน ๕ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมเสงเบศจศก จุลศักราช ๑๑๓๕ พ.ศ. ๒๓๑๖ เปนพระราชโอรสพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี เปนสมเด็จพระชนนี เมื่อในรัชกาลที่ ๑ เปนสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เปนเจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ แล้วได้เลื่อนพระเกียรติยศขึ้นเปนกรมหลวง แลเปนพระบัณฑูรน้อย เมื่อปีเถาะนพศก พ.ศ. ๒๓๕๐ ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสวรรคต ๒ ปี เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ได้อุปราชาภิเศกนั้น พระชัณษาได้ ๓๖ พรรษา
[๑] ที่จริงพระราชพิธีอุปราชาภิเศกครั้งรัชกาลที่ ๒ ไม่เหมือนครั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต เพราะไปทำพิธีที่วังน่า น่าจะเหมือนครั้งอุปราชาภิเศกสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐเอง การพระราชพิธีอุปราชาภิเศกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยเมื่อในรัชกาลที่ ๑ นั่นแล เหมือนครั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ด้วยทำพิธีในพระราชวังหลวง
[๒] คำจาฤกพระสุพรรณบัตรกรมพระราชวังบวรฯ ครั้งรัชกาลที่ ๒ ไม่ปรากฎในหมายรับสั่ง แต่เหมือนกันทุกรัชกาล ข้าพเจ้าจึงลงตามแบบครั้งอุปราชาภิเศกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย
[๓] พระที่นั่งองค์นี้ ในหนังสือเก่าบางแห่ง เรียกพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ บางแห่งเรียก พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เหตุที่เรียกเปน ๒ ชื่อ ข้าพเจ้าจะอธิบายไว้ที่อื่นในหนังสือเรื่องนี้
[๔] พระแสงดาบยี่ปุ่นนี้ ของพระราชทานสำหรับพระเกียรติยศกรมพระราชวังบวรฯ
[๕] โรงลครนี้ สร้างแต่ในรัชกาลที่ ๑ ไม่ใช่สำหรับเล่นลครอย่างเดียว เปนโรงใหญ่สำหรับใช้ราชการอื่นๆ ในพระบรมมหาราชวังด้วย พึ่งรื้อปราบที่เปนสนามหญ้าเมื่อในรัชกาลที่ ๕
[๖] พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ ครั้งนั้นเรียกว่าพระที่นั่งเย็น ไม่มีในหมายรับสั่งอุปราชาภิเศกครั้งรัชกาลที่ ๒ ว่าเสด็จไปทรงเครื่องที่นั้น แต่มีชัดในหมายรับสั่งอุปราชภิเศกครั้งรัชกาลที่ ๓ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่าคงจะเหมือนกันกับเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๒
[๗] ธารพระกร พัชนีท้ายพระที่นั่ง แลฉลองพระบาท สิ่งนี้ในหมายรับสั่งว่าให้เชิญถวาย
[๘] ในหมายรับสั่งอุปราชาภิเศกครั้งรัชกาลที่ ๒ ไม่ปรากฎริ้วกระบวนแห่ บอกไว้แต่ชื่อผู้เปนคู่เคียง ริ้วกระบวนแห่ข้าพเจ้าเอาริ้วครั้งอุปราชาภิเศก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยมาลง ด้วยเชื่อว่าคงเหมือนกัน
[๙] ที่ประทับทรงสดับพระปริต ถ้าเอาแบบอย่างวังหลวง ควรจะเสด็จไปประทับทรงสดับพระสงฆ์สวดภาณวาร ในห้องที่พระบรรธม ณพระที่นั่งพรหมภักตร แต่ในหมายรับสั่งไม่ได้กล่าวความไว้ให้เข้าใจเปนอย่างนั้นได้ ข้าพเจ้าจึงลงไว้ว่าทรงสดับพระปริตที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ อันถูกต้องตามแบบของการตั้งกรมในครั้งนั้น
[๑๐] เข้าใจว่าเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานน้ำมนต์ ในพระเต้าเบญจครรภ แต่หากไม่กล่าวในหมายรับสั่ง