๖๑. เรื่องโปตุเกตขอทำสัญญา

ปีมโรงโทศก จุล ๑๑๘๒ พ.ศ. ๒๓๖๓ เมื่อณเดือน ๕ แรม ๑๔ ค่ำ ปีมโรงโทศก จุลศักราช ๑๑๘๒ พ.ศ. ๒๓๖๓ พระเจ้าแผ่นดินโปตุเกตให้เจ้าเมืองโค[1]โครงข้อสัญญาทางพระราชไมตรีจะขอทำกับกรุงสยาม เปนสัญญา ๒๓ ข้อ มอบให้กาลสเดอสิลไวราเข้ามาอิก ขอให้กาลสเปนกงสุลเยเนราลแลขอพระราชทานที่ตั้งบ้านเรือนให้กาลสอยู่ แลให้ได้ปักเสาธงด้วย ข้อสัญญาที่โครงมานั้นขอให้ท่านเสนาบดีพิจารณาดูทุก ๆ ข้อ ข้อไรที่ไม่ชอบใจไทยก็ให้แก้ไขตามเห็นสมควร ในเวลานั้นไทยกำลังต้องการเครื่องสาตรารุธจากต่างประเทศ โปตุเกคได้รับเปนธุระในเรื่องนี้สำเร็จได้เมื่อกาลสเข้ามาคราวก่อน แลตัวกาลสเองก็ได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ช้านาน เห็นจะได้ประพฤติตัวถูกอัธยาไศรยกับไทยไม่มีข้อรังเกียจ จึงโปรดพระราชทานที่ให้กาลสอยู่ที่บ้านองเชียงสืออยู่แต่ก่อน[2] แล้วทรงตั้งให้กาลสเปนที่หลวงอภัยพานิช พระราชทานเครื่องยศเหมือนขุนนางในกรุง[3] แต่หนังสือสัญญานั้นยังหาได้ตรวจไม่ เพราะประจวบเวลาเกิดอหิวาตกะโรคจึงงดอยู่ จนเดือน ๑๒ ปีนั้นความไข้สงบแล้ว จึงได้โปรดให้เสนาบดีประชุมกันตรวจดูข้อสัญญา ข้อใดไม่ชอบใจก็แก้ไขเสียบ้าง แล้วจึงเขียนเปนอักษรไทยฉบับหนึ่ง อักษรโปตุเกตฉบับหนึ่ง เรื่องความต้องกัน ประทับตราส่งออกไปเมื่อณเดือน ๑๒ ขึ้น ๙ ค่ำ

หนังสือที่เสนาบดีทำให้โปตุเกตออกไปครั้งนี้ ฉบับภาษาโปตุเกต เห็นจะเปนแต่คำแปล ไม่ได้ประทับตรา แม้ตราที่ประทับฉบับภาษาไทยนั้น เข้าใจว่าจะเปนตราบัวแก้ว ไม่ใช่พระราชลัญจกร หนังสือที่ทำให้โปตุเกตไปนี้ ที่จริงเปนหนังสืออนุญาตให้โปตุเกตมาค้าขาย ไม่ใช่หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี เพราะเปนหนังสือไทยทำให้ฝ่ายเดียว ไม่ใช่เปนหนังสือซึ่งผู้แทนรัฐบาลทั้ง ๒ ฝ่ายได้ลงชื่อ แลพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ ได้พระราชทานอนุมัติตามประเพณีการทำหนังสือสัญญา การทำหนังสืออนุญาตให้ต่างประเทศไปมาค้าขายเช่นนี้ เปนประเพณีมีมาแต่โบราณ มีสำเนาศุภอักษรซึ่งออกญาไชยาธิบดีผู้สำเร็จราชการเมืองตนาวศรี อนุญาตให้ชาวเดนมาร์กไปมาค้าขายแต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ได้มาจากเมืองเดนมาร์ก เปนตัวอย่างอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ ส่วนหนังสือสัญญานั้น แม้ประเพณีแต่โบราณก็ต้องทำพร้อมกันทั้ง ๒ ฝ่าย ข้าพเจ้าได้เห็นในหนังสือรายงานของข้าราชการอังกฤษ ชื่อแดนเวอส์ ซึ่งรัฐบาลแต่งให้ไปค้นหนังสือเก่าที่เมืองโปตุเกต ปรากฎว่าเมื่อโปตุเกตแรกออกมาค้าขายถึงประเทศทางตวันออก เมื่อทำหนังสือสัญญากับเจ้าที่ครองเมืองทางตวันออกนี้ หนังสือสัญญาจาฤกลงในแผ่นทอง แลทั้ง ๒ ฝ่ายเอาหัวแหวนประทับแทนตราดังนี้ ก็เข้าใจได้ว่าประเพณีทำสัญญาระหว่างพระนครในมัชฌิมประเทศแต่โบราณมา คงจะจาฤกลงในแผ่นทองจึงเปนศัพท์ที่ใช้กันในหนังสือที่แต่งต่อมา ว่าสองพระนครเปนทองแผ่นเดียวกัน หรือใช้เปนอุประมาว่า สองพระนครเปนสุวรรณปถพีอันเดียวกัน ทั้ง ๒ คำนี้เห็นจะเกิดจากประเพณี ที่จาฤกหนังสือสัญญาระหว่างประเทศลงในแผ่นทองนั้นเอง ข้อที่ว่าใช้หัวแหวนประทับแทนตรานั้นก็เข้าใจได้ชัดเจน คือกดหัวแหวนลงบนแผ่นทองห้เปนรอยตามรูปหัวแหวน ก็เปนสำคัญได้เหมือนตรา ประเพณีที่แกะตราบนหัวแหวนสำหรับประทับดินประทับครั่ง จะเนื่องมาแต่ประทับหัวแหวนที่แผ่นทองนี้

หนังสือที่ไทยทำให้โปตุเกตไปครั้งนั้น ไม่ปราฎข้อความว่ามีอย่างไรบ้าง มีเรื่องราวปรากฎต่อมาแต่ว่า เมื่อเดือน ๔ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีมโรงโทศกนั้น เจ้าเมืองหมาเก๊ามีหนังสือให้แงนเดรันโยยิกาบิดามัศลินโน[4] เข้ามาขอต่อกำปั่น ด้วยหาซื้อไม้ในกรุงเทพฯ นี้ได้สดวก ก็โปรดให้ตั้งโรงต่อที่น่าบ้านกงสุลเยเนราลโปตุเกต เรือลำนั้นปากกว้าง ๔ วา ๓ ศอก ครั้นเรือกำปั่นแล้วโปตุเกตไม่มีทุนจะซื้อสินค้าจึงถวายระวางให้บรรทุกสินค้าของหลวงออกไปจำหน่าย แลขอพระราชทานยืมเงินหลวง ๑๒๐ ชั่งใช้ในการต่อเรือ ก็โปรดพระราชทานให้ตามความปราถนา แลยกค่าธรรมเนียมต่อเรือพระราชทานให้ด้วย



[1] ที่เรียกว่าเมืองโคหรือเมืองคัว อยู่ชายแหลมอินเดียข้างตวันตก เปนเมืองที่ตั้งอุปราชบังคับบัญชาหัวเมืองขึ้นของโปตุเกตทางประเทศตวันออกนี้ทั่วไป เจ้าเมืองโค คือตัวอุปราชของพระเจ้าแผ่นดินโปตุเกต

[2] คือ ที่สถานทูตโปตุเกตทุกวันนี้

[3] ได้เห็นหนังสือยอนครอเฟิดทูตอังกฤษที่เข้ามาในรัชกาลที่ ๒ แต่งไว้ กล่าวว่ากงสุลเยเนราลโปตุเกตที่อยู่ในกรุงเทพฯ เวลาเมื่อเขาเข้ามานั้น ดูอาการเปนข้าราชการไทยมากกว่าเปนกงสุลโปตุเกต

[4] ชื่อโปตุเกตที่เข้ามาต่อเรือนี้ ดูทำนองจะเปน ๒ คน ไม่มีอะไรจะสอบ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ