“พันปากพล่อย”

“ประกาศเรื่องตั้งพันปากพล่อย” ของรัชกาลที่ ๔ ฉบับนี้ดูเหมือนจะเป็นประกาศฉบับสุดท้ายที่ค้นพบปรากฏเป็นเอกสารอยู่ ซึ่งมีพระบรมราชโองการประกาศให้ใช้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๑ วันเดือนปีไม่ปรากฏ อ่านแล้วจะได้ความรู้หลายสถานและแสดงให้เห็นพระปรีชาญาณของ “คิงมงกุฎ” ที่ทรงเป็นยอดพหูสูต

ประกาศฉบับนี้เป็นฉบับที่ ๓๔๓ ของพระองค์ ดำเนินเนื้อเรื่องเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า

มีพระบรมราชโองการดำรัสอ่อน ๆ ออด ๆ ว่า ใครว่าในหลวงตั้งอ้ายกรุดปาราชิกเป็นพันปากพล่อยเหมือนขุนหลวงตากตั้งพันสีพันลาดังนี้ ว่าไม่ถูกไม่เหมือนเลย ใครอย่าเชื่อคำนั้นว่าถูกจริง เรื่องที่ว่าตั้งพันสีพันลานั้น คือขุนหลวงตากแต่งให้อ้าย ๒ คน สืบว่าใครมั่งมีแล้วให้หาโจทก์ทนสาบาลได้ฟ้องเท็จ ๆ ว่าเอาข้าวเอาเกลือแลเอาสินค้าต้องห้ามลงสำเภาแล้วพาโลปรับเอาเงินมาก ๆ ใครรับชื่นตา ปรับต่อเดียว โจทก์สาบาลได้ยืนยันแลต้องผูกยกหนึ่งหรือหลายยก ปรับทวีคูณบ้าง ตรีคูณบ้าง จัตุคูณบ้าง พันสีพันลาเป็นพันในราชการอื่น ครั้นรับอาสาเที่ยวใส่ความเท็จแก่คนมั่งมี ได้เงินเบี้ยปรับมามาก มีความชอบ ขุนหลวงตากให้พันสีเป็นขุนจิตรจูล พันลาเป็นขุนประมูลราชทรัพย์ ก็อ้ายกรุตนี้มันพูดไม่เกรงใจใครเหมือนบ้า มันได้ยินได้เห็นอะไร ก็พูดไม่มีประมาณ ในหลวงจึงตั้งให้เป็นอ้ายพันปากพล่อยตามที่มันได้เป็นบ้านั้น แลมันว่าอะไร ในหลวงก็ไม่เอาเป็นจริงนัก เอาแต่ที่มีสลักสำคัญจริง ๆ สำคัญ ๆ เหมือนอ้ายกรุตว่า มหาขำเป็นปาราชิก ในหลวงก็ไม่เอา ว่าพระประดิษฐ์นิเวศน์ทำอะไรพูดอะไรประหลาด ๆ ก็ไม่เอา ว่าใครหยาบช้าต่อในหลวง ก็ไม่เอา ว่าปลัดกรมเปรมดูถูกหม่อมเจ้าเกียรติคุณ ก็ไม่เอา ว่าหลวงพัสดีพึ่งปล่อยเชิงลาคนคุกที่มีบรรดาศักดิ์ ก็ไม่เอา อื่น ๆ อีกหลายเรื่อง ก็ไม่เอา มหาขำแลพระประดิษฐ์นิเวศน์แลปลัดกรมเปรมแลคนอื่น ๆ จะต้องว่าในหลวงไม่เป็นเหมือนขุนหลวงตาก เถียงคนที่ว่าอย่างนั้นบ้าง เรื่องอ้ายผลปาราชิก เรื่องหลวงเสน่ห์สรชิตเข้ากับผู้ร้ายลักพระแสง เรื่องพระมหาเทพเฆี่ยนอ้ายจางวางพม่าว่ามาเข้าเฝ้า เรื่องพระยาศรีสหเทพฉ้ออิฐ สืบได้จริง ได้สลักสำคัญแม่นยำจริงเอาเป็นคดีชำระ ก็พระยาศรีสหเทพ แลพระมหาเทพนี้ ในหลวงยังเห็นแก่หน้า ยังเลี้ยงอยู่ไม่เอาโทษเหมือนอ้ายผลแลหลวงเสน่ห์สรชิตนั้น จะต้องมีความกตัญญูรู้บุญคุณต่อในหลวงบ้างจึงจะเป็นมงคล คนที่นินทาในหลวงผิด ๆ ไม่เป็นมงคลมาหลายท่านหลายนายแล้ว หลวงเสน่ห์สรชิตนั้นทำปืนลั่น ทั้งกระสุนเกือบถูกคนตายถึง ๓ คราว จึงถอดเสีย สืบดูเถิด พระยาศรีสหเทพแลพระมหาเทพนั้นถึงในหลวงจะถอดเสีย หรือจะทำโทษเสีย ก็เห็นจะยังไม่มีกองทัพพระยาสรรค์มาล้อมดอกเป็นแน่ คนเขาจะยังนับถือในหลวงอยู่มาก ไม่วิตก

ข้าราชการอิจฉาฤษยากันหงอง ๆ แหงง เพ็ดทูลออด ๆ แอด ๆ กล่าวโทษกันบ้างแก้ตัวบ้าง เล่นบ้าง จริงบ้าง ทรงพิเคราะห์ดูเห็นว่า ความไม่เป็นถ้อยหมอยไม่เป็นขน เป็นแต่คนหงอง ๆ แหงง ๆ กันก็ไม่ทรงชำระ กระแสพระราชดำริเพียงเท่านี้ อนึ่งความพระกระแสรับสั่ง ว่าได้ยินว่าคนนั้นทำอย่างนั้น คนนั้นทำอย่างนี้บ่อย ๆ นั้น เกิดขึ้นในพระราชหฤทัยโดยประตูสองอย่าง อย่างหนึ่งมีผู้กราบทูล ๆ นั้นเล่า ลางทีก็กราบทูลตรง ๆ ลางทีก็กราบทูลถลากไถลไป แต่มักมาแต่การเล่น ๆ โดยมาก ลางทีพูดกันงึมงำรับสั่งถามว่าอะไร ก็กราบทูลว่าได้ยินเขาว่าอย่างนี้อย่างนั้น ลางอย่างก็ทรงคะเนเอาตามระหว่างถ้อยระหว่างความที่เกิดขึ้นแล้ว หรือตามของที่มีอยู่ที่เห็นอยู่ อย่างเรื่องพระยาศรีสหเทพแลอื่น ๆ แลรับสั่งโกน ๆ ถามไป ก็มีผู้พลอยบ้าง แต่ถึงได้ยินก็ไม่เป็นความ โจทก์จับยืนยันมั่นคงก็ทิ้งเสีย ไม่ได้รับสั่งว่าอะไรต่อไป ครั้นนานมาสิ่งไรได้ความทราบมาแต่ไหน ก็ทรงสืบไปเสีย เหมือนตาฟักเหมือนกัน ทรงสืบ แต่ที่ไม่ต้องการเพราะมากกว่ามากนั้นสำคัญ ๆ ลืมเสีย ที่เรื่องกองพม่าคอกกระบือนั้น แต่เดิมทราบว่าอยู่ในสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย ความถ้อยเกี่ยวข้องที่โรงศาลท่านก็ไม่ส่ง พวกพม่าก็สมคบกับผู้ร้ายลักเรือทำวุ่นวายมาก ชาวต่างประเทศเขาก็นินทา ครั้นสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยถึงแก่พิราลัยแล้ว ในหลวงได้มอบกองพม่าให้ใน (พณ) สมุหพระกลาโหม ได้ยินว่า (พณ) สมุหพระกลาโหมมอบให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ว่า แต่ใครจะกล่าวก็ลืมไปเสียแล้ว แต่เมื่อพระยามนตรีสุริยวงศ์ถึงอนิจกรรมแล้ว ในหลวงได้สั่งแต่พวกโขนให้อยู่ในพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ เพราะเห็นว่าพวกโขนเป็นหมู่มหาดเล็กโดยมาก พระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์เป็นจางวางมหาดเล็ก ได้นึกอยู่ว่าจะเอาพวกโขนมามอบให้เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เห็นว่าพวกโขนโยกเหยกชุม จะเป็นอันเอามาลับให้ดุเอามายุให้ก๋าไป แต่ที่กองพม่าแลกองมอญโรงเรือแลกองมอญช่างต่อเรือกำปั่น แลญวนฝีพายแจวนั้นไม่ได้ส่งให้ใคร หรือใครจะมาว่าอย่างไรอ้อ ๆ แอ้ ๆ ก็พยักพเยิดไป ก็ลืมไปเสียแล้ว ไม่ได้เอาใจใส่ แต่คนพวกนี้จางวางแลเจ้ากรมปลัดกรม เป็นพระเป็นหลวงตั้งเบี้ยหวัดเข้ามาแรง ๆ เห็นบัญชีเข้าเมื่อไรแล้วก็บ่นแทบทุกปี ว่าอ้ายเหล่านี้ไม่เห็นน้ำหน้ากลาหัวมัน ใครเอาไปใช้ทำอะไรมันทำอะไรอยู่ ถึงคนหัวเมืองอยู่ไกลแล้ว เมื่อไรเขาลงมาเขาก็เข้าเฝ้าบ้าง งานพระศพเขาก็เข้าเฝ้าหน้าพลับพลา เหมือนยามแห่กฐินหรือถือน้ำ เขาก็มาเฝ้าในปะรำ อ้ายเหล่านี้รับเบี้ยหวัดทำราชการแก่ใคร ไม่ได้เข้ามาเฝ้าแหนเลย ได้เขียนลงในงบเบี้ยหวัดอย่างนี้บ้าง ได้บ่นบ้างหลายหนหลายครั้งมาแล้ว แต่ในปีนี้บ่นมากเข้า เมื่อพระศพวังหน้า คนในกรุงนอกกรุงทั้งวังหลวงวังหน้ามาถวายผ้าขาวหมดมารับฉลากกันหมด แต่อ้ายพวกนี้ไม่ได้มาเลย ไม่ได้ยินชื่อขึ้นเลย จึงบ่นมากเข้า ก็จะเป็นใครไม่ทราบเลย จะเอาความไปเป่าหูพวกพม่าเข้ากระมัง วันหนึ่งจึงมีคนแปลกหน้ามา ๒ คน หมอบอยู่ที่หน้าต้นมะขาม ถามว่าเป็นผู้ใด บอกว่าเป็นจางวางกองพม่าคอกกระบือ จึงคิดว่าเห็นมันจะได้ยินที่บ่นไป มันตกใจมันจึงมาหา ก็ได้ลงนั่งพูดจาปราศรัยไปมากับมันโดยสมควรแล้ว จึงคิดถึงความหลังครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้งโน้นนึกได้ว่าท่านทรงใช้ให้พม่าพวกนี้มาลงเขื่อนสระในพระราชวัง จึงได้ถามว่าเดี๋ยวนี้ไปติดการติดงานอยู่ที่ไหน พม่า ๒ นายบอกว่าไม่ได้ทำอะไร จึงคิดหางานให้คล้ายแต่ครั้งนั้น จึงสั่งว่าเศษไม้เครื่องพลับพลาเครื่องเมรุระทาเสียเปล่าอยู่นั้น ให้ไปเก็บเอามาทำเข็มกระหนาบรากตึกวังสราญรมย์ ให้การคล้ายครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ให้พม่าพวกนี้มาลงเขื่อนสระ สั่งไถลไปอย่างนั้นเอง ก็ซึ่งไม่ได้ให้ไปกราบเรียน (พณ) ท่านนั้น เพราะมันว่าไม่มีใครใช้มันทำอะไรเปล่าอยู่ สั่งมันเหมือนการวานไม่เป็นการเกณฑ์ ก็มันจะได้ไปทำหรือไม่ได้ไปทำ ก็ไม่มีรายงานมาบอก สั่งสาดไปทิ้งเสีย ภายหลังจึงได้เห็นในเรื่องราวพันปากพล่อย ว่าพระมหาเทพเอาตัวไปเฆี่ยน ว่ามันมาทำวังสราญรมย์ จึงตกใจขึ้นมา กลัวจะมีผู้กราบเรียน (พณ) พาลผิดไป หรือจะเข้าใจผิดไปว่าพวกพม่าเหล่านี้จะมาเดินขอขึ้นในพระยาบุรุษย์ พระยาบุรุษย์นำเพ็ดนำทูล ในหลวงมอบให้พระยาบุรุษย์จึงได้ไปทำวังสราญรมย์ ด้วยพระยาบุรุษย์ก็มักคบคนพาล อ้ายพม่าเหล่านี้ก็เป็นคนพาลมาก แลเมียเก่าพระยาบุรุษย์ที่เป็นพวกพ้องอำแดงทิมพม่า บุตรพระยาทวายอยู่ด้วย กลัว (พณ) ท่านจะเข้าใจผิดไป จึงได้ถามเอะอะขึ้น ที่สัตย์จริงความเรื่องนี้พระยาบุรุษย์ไม่ได้มาว่ากล่าวอะไรเลย ในหลวงก็ไม่ได้สั่งอะไรแก่พระยาบุรุษย์ด้วยเรื่องพม่าเหล่านี้เลย

เรื่องทำพระนครคีรีนั้น (พณ) ท่านรับทำ บอกว่าจะเอาเงินภาษีน้ำตาลเมืองเพชรบุรี จะใช้คนลาวพุงดำเมืองเพชรบุรี ในหลวงได้ทราบแต่เท่านี้ แต่การที่จะเปิดจะเผยจะจับจ่าย และเลื่อยไม้แลอะไรอื่น ๆ แลตั้งใครเป็นกงสีเป็นนายงาน ในหลวงไม่ทราบด้วยเลย ในหลวงได้ยินแต่รายจ่ายทองคำเปลว นอกนั้นสุดแต่ (พณ) ท่านหมด (พณ) นั้นแต่ของหลวงทุกอย่าง ท่านคิตจะขยักเขยี่ย ท่านว่าในหลวงปากโตใจโตไปให้อะไรใครแรง ๆ ไป จ่ายอะไรแรง ๆ ไป ถ้าปรึกษาท่าน ๆ มักลดหย่อนผ่อนปรนไม่พอที่จะเสีย ท่านไม่ให้เสีย ท่านไม่วุ่นวายเหมือนพวกอื่น ๆ ถ้าใครจะฟ้องร้องกันด้วยเรื่องกงสี แลนายด้านพระนครคีรี ต้องกราบเรียน (พณ) ท่าน จึงชอบ เพราะกงสีแลนายด้าน (พณ) ท่านตั้งในหลวงไม่ได้ตั้ง ถ้ากงสีนายด้านมาเบิกของ นอกจาก (พณ) สั่งหรือฉ้อฉลอย่างไร ๆ ถ้ามีผู้กราบเรียนยืนยันมั่นคง ท่านก็คงจะชำระ แต่ที่จะให้ในหลวงว่า ก็เป็นคนหนึ่งฝัน คนหนึ่งแก้ไป

อนึ่งว่าคนนั้นถึงจะติจะใช้จะไว้ใจแต่ลำพังไม่ได้ ต้องให้มีผู้กำกับนั้น พระมหาเทพว่าจริง ว่า (พณ) ว่าอย่างนี้ แต่ที่ว่านั้นว่าผู้หนึ่งซึ่งไม่มีชื่อที่ว่ากันเดี๋ยวนี้ ความมูลคดีเดิม ที่การเป็นไปเดิม ผู้ที่ว่ากันเดี๋ยวนี้ติดชื่อไปด้วย แต่ความสัตย์ความจริง มีผู้มีชื่อว่ากันนั้นนายหนึ่ง (พณ) ท่านว่าทลึ่งเขา ๆ อยู่ ถ้าปรึกษาจะใช้สอยอะไรแข็งแรง ท่านก็ขัดไว้หลายหน แต่ลางนายมีคนมากล่าวโทษว่าไปเสพสุราเมาอึง (พณ) เถียงแทนว่าคนผู้นี้ไม่เสพสุรา แต่ในลูกหลานของท่านที่เสพสุราเมาจนทำลุก ๒ ต่อให้ท่านได้ด้วยเมา ท่านก็ไม่ว่าอะไรนัก ก็มีแต่เรื่องที่ว่าถึงดีก็ต้องให้มีผู้กำกับนั้น เพราะคนที่ไม่ได้มีชื่อว่ากันเดี๋ยวนี้เป็นเดิม คนที่มีชื่อว่ากันเดี๋ยวนี้พลอยห้อยเข้าไปไม่มีใจความ

แต่เรื่องข่มขืนทำชำเรานั้นจะมีในเรื่องราว หรือใครว่าลืมเสียแล้ว นึกได้แต่ว่าได้ยินปากนั้น จะเป็นใครว่าไม่ได้ความ แต่นึกได้แวว ๆ ดูเหมือนว่าจะมีในเรื่องราวของผู้อื่นเดิม แต่ในหลวงขอให้ยกเสีย ให้ไปว่าเอาตามเจ้าชอง ให้วางในเรื่องราว แต่เรื่องเงินทองสิ่งของเกี่ยวข้องเรื่องไม่เพราะจะเสียชื่อผู้มีชื่อ ชื่อบุตรชื่อหลานท่านผู้หลักผู้ใหญ่ไป ให้เข้าไปว่าเอาตามที่ตามทาง ดูเหมือนจะมีในเรื่องราวเดิมแต่จำไม่ได้ถนัด

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ