เจ้านักเลง

พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระราชทานไปยังที่ประชุมเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๐๗ ฉบับนี้ แม้จะเป็นหัวข้อเรื่องว่าด้วย “ข้อหารือเรื่องอ้ายดั่น อ้ายมณี อ้ายฉาย ๓ คน ซึ่งเป็นหม่อมราชวงศ์ เป็นนักเลงหัวไม้” ก็ตาม แต่ได้แทรกเรื่องราวอันเป็นความลี้ลับมาก่อนหลายอย่าง ปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาฉบับสำคัญ ซึ่งจะขอคัดมาลงโดยสมบูรณ์ทั้งฉบับทีเดียว

ขอแจ้งความหารือมายังท่านผู้เป็นประธานผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน คือกรมหลวงวงษาธิราชสนิท กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร กรมหมื่นวรจักรธรานุภาพ เจ้าฟ้ามหามาลา แล ฯพณฯ สมุหพระกลาโหม ฯพณฯ สมุหนายก ฯพณฯ กรมท่า ฯพณฯ กรมพระนครบาล ว่าด้วยอ้ายหัวไม้ พวกหม่อมเจ้าปรีดาในกรมขุนธิเบศบวร แลอ้ายดั่น อ้ายโมรา อ้ายมณี อ้ายฉาย อ้ายอะไร ๆ อีก ซึ่งเป็นหม่อมราชวงศ์ อ้ายจร บุตรพระอินทรรักษา แลอ้ายอะไร ๆ อีก มหาดเล็กในพระบวรราชวังหลายนาย แลอ้ายอะไร ๆ อีก สังกัดต่าง ๆ กัน ในพระบรมมหาราชวังบ้าง ในพระบวรราชวังบ้าง เมื่อวันจันทร์ แรม ๑ เดือนสิบสอง ราษฎรมีเทศน์มหาชาติที่วัดแก้วบางขุนศรี อ้ายพวกนี้เมาสุรา ถือศัสตราอาวุธต่าง ๆ เข้าแย่งชิงคนฟังเทศน์แลทุบตีฟันแทงคนที่ฟังเทศน์ มีบาดเจ็บเป็นหลายคน แลแย่งชิงเอาสิ่งของ ๆ ราษฎรมาบ้าง แล้วตามไปจับจีนเกิดที่เป็นพวก เข้าไปฟังเทศน์อยู่แลเอาดาบสับศีรษะสามเสี่ยง แล้วเอาดาบตัดหางเปียจีนเกิดมัดไพล่หลังมา ส่งอายัดมอบนายสอนพะทำมะรงกรมพระนครบาลไว้ นายสอน พะทำมะรงก็รับตัวขึ้นเกิดผู้หาผิดมิได้ไว้ การในกรมพระนครบาลก็ไม่ได้ความว่าจีนเกิดผิดอะไร เมื่อจับทำประหลาดมาดังนี้ ก็หามีใครว่าประการใดไม่ ฝ่ายราษฎรที่ถูกเจ็บเข้าชื่อกันเป็นอันมาก แต่มาได้บ้างไม่ได้บ้าง มีหัวหมื่นในกรมพระตำรวจเป็นหัวหน้าอยู่สองนายสามนาย ทำเรื่องราวมายื่นร้องฎีกาแก่ในหลวง เมื่อเดือนอ้ายข้างแรมที่หัวความเกิดแล้วเดือนเศษ กล่าวโทษออกชื่อแต่หม่อมราชวงศ์ดั่น กับนายจรบุตรพระอินทรรักษาสองนาย ว่าคุมสมัครพรรคพวกไปประมาณ ๔๐ คนเศษไปทำการดังว่าแล้วนั้น แล้วพวกราษฎรที่ถูกเจ็บแลเสียสิ่งของได้เชิญนายอำเภอมาชันสูตรบาดแผล แลทำคำกฎหมายตราสินสิ่งของหายไว้ แล้วจึงได้ทำเรื่องราวมายื่นแก่พระยาเพชรชฎา ๆ ว่ารับไม่ได้ ให้ไปเรียนแก่เจ้าพระยายมราชเถิด

ครั้งนั้นเจ้าพระยาภูธราภัยยังไม่ได้เลื่อนที่ ยังเป็นเจ้าพระยายมราชอยู่ คืนเรื่องราวเสีย ว่าเป็นความในพระบรมราชวงศานุวงศ์รับชำระไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ราษฎรสิ้นที่พึ่งจึงได้พร้อมใจกันทำเรื่องราวเข้ามาร้องแก่ในหลวง เมื่อในหลวงได้ฟังเรื่องราวอย่างนี้ ก็ตามทางตรงที่ควร ควรจะต่อว่าพระยาเพชรชฎา ควรจะต่อว่าเจ้าพระยาภูธราภัย ว่าความตีรันกันเป็นความฉกรรจ์ อย่างธรรมเนียมเก่าก็ให้มาฟ้องแก่กรมพระนครบาลเจ้ากระทรวงทีเดียว ไม่ต้องฟ้องศาลหลวง ให้คัดขึ้นเสนอลูกขุนปรึกษาสั่งฟ้อง มิให้มีผู้เทียบพระธรรมนูญประทับตราศาลโดยสมควรดังความอื่น ๆ นั้น เพราะกลัวว่าช้าโอ้เอ้ไปอ้ายผู้ร้ายจะหนีตัวเสีย กรมพระนครบาลเมื่อรู้ความดังนี้แล้วควรจะสืบสาวติดตามเอาตัวอ้ายผู้ร้ายให้ได้โดยเร็ว เพราะความเรื่องนี้หาเป็นความวิวาทมีสาเหตุไม่ ตูดูมิความเป็นอันเห็นว่า พวกอ้ายผู้ร้ายคุมสมัครพรรคพวกเข้าไปปล้นวัดแลปล้นชุมนุมฟังเทศน์ในโรงธรรมทีเดียว กรมพระนครบาลควรจะร้อนใจเร่งจับโดยมาก ก็ความเรื่องนี้ในหลวงคิดจะต่อว่าเจ้าพระยาภูธราภัยอยู่ แต่คิดเห็นว่าถ้าจะต่อว่าท่าน ๆ ก็จะพูดไปต่าง ๆ อย่างเช่นท่านเคยเพ็ดทูลมาแต่หลัง ก็เกียจคร้านที่จะฟังเพราะเคยฟังมามากแล้วไม่อัศจรรย์อะไรนัก จึงเอาแต่อนุมานตัดใจว่า ซึ่งราษฎรว่าได้ฟ้องพระยาเพชรชฎาแล้วก็ไม่รับ ฟ้องเจ้าพระยาภูธราภัยแล้วก็ไม่รับนั้นก็เห็นจะจริง เพราะเห็นว่าความเรื่องนี้เป็นความร้อนใจของราษฎรซึ่งราษฎรช้าอยู่ถึงเดือนเศษ จึงได้มาร้องแก่ในหลวงนั้น ก็พอเป็นสำคัญให้รู้อยู่แล้ว จะต่อว่าไปก็ไม่ต้องการจะเป็นที่รำคาญใจท่านผู้ที่ต้องคิดจะตอบไปต่าง ๆ แลรำคาญหูผู้ที่จะฟังความนอกเรื่องเดิม

อนึ่งได้อนุมานเห็นว่าจีนเกิดเป็นผู้หาผิดมิได้ แต่ต้องจับด้วยอาการอันฉกรรจ์ประหลาดกว่าที่เคยจับจีนมาแต่ก่อน คือเอาดาบสับศีรษะสามเสี่ยงเหมือนพระราชอาญาหลวง แลเอาดาบตัดหางเปียมัดมานั้น เป็นการแปลกอยู่ ถึงแต่ก่อนขึ้นเป็นผู้ร้ายเป็นพวกตั้วเหี่ย ก็ปล้ำปลุกมาทั้งหางเปีย ไม่มีใครตัดหางเปียแลไม่มีใครสับเสี่ยงแล้วจึงจับมา ก็แลจีนที่ต้องจับครั้งนี้ มีผู้เอามาอายัดนายสอนพะทำมะรงไว้ไม่ได้ว่าความต่อไป นายสอนพะทำมะรงรับตัวขึ้นไว้ดังนี้นั้น ก็เห็นจะเป็น (เพราะ) นายจรเป็นหลานเจ้าพระยาภูธราภัยอยู่ในบ้านนั้น แลเป็นเหตุตลอดมา จนถึงพระยาเพชรชฎาว่ารับชำระไม่ได้ แลว่าแนะให้กราบเรียนท่านผู้ใหญ่ แลท่านผู้ใหญ่ก็ว่าความพระราชวงศานุวงศ์ชำระไม่ได้ เอาคำชาวป่ามาพูดกับชาวบ้านชาวเมือง พอเสือกไสความเรื่องนั้นให้พ้นไปเสียจากหน้าบ้านหน้าเรือนนั้น เป็นที่เห็นไปว่าวาสนานายจรนั้นจะเป็นเหตุ ก็ว่าถึงพระราชวงศานุวงศ์ว่าชำระไม่ได้ โดยจะชำระไม่ได้ การตีรันฟันแทงกันเป็นความใหญ่ กรมพระนครบาลเป็นเจ้ากระทรวงควรจะนำความขึ้นทูลฉลอง ไม่ควรจะเสือกไสผู้ร้องให้ไปเสียให้พ้น การที่เป็นดังนี้ก็เป็นที่สงสัยไปว่าเป็นด้วยวาสนานายจร จึงเกียจคร้านเพื่อจะต่อว่าไต่ถาม ก็ความพระราชวงศานุวงศ์ชำระไม่ได้คำนี้ พิเคราะห์ไปเป็นอันทำลายล้างยศศักดิ์แผ่นดินนัก ดูเหมือนเมืองไทยไม่มีเจ้านายที่เป็นเชื้อสายสืบราชตระกูลครอบครองอาณาจักรโดยยุติธรรมเที่ยงแท้ดังนี้เลย ดูเหมือนเอาอ้ายผู้ร้ายอ้ายหัวขโมยอ้ายคนเข่นแข็งขันที่ใครฆ่าใครฟันไม่ได้แล้วมายกให้เป็นเจ้า เพราะความกลัวตัวต้องยอมเป็นบ่าวเป็นข้ามัน พี่น้องลูกหลานกระเส็นกระสายของเจ้าขโมยไปเที่ยวคุมเหงใครก็คุมเหงได้ ไม่มีใครกล้าว่ากล่าวฟ้องร้อง ถึงจะมีผู้มาฟ้องก็ไม่มีใครว่ากล่าวให้ได้ ก็เมื่อผู้ใดว่าอย่างนี้ ว่าความพระราชวงศานุวงศ์รับไม่ได้ ชำระไม่ได้นั้น ก็เป็นอันลบล้างเกียรติยศแผ่นดินทำให้เป็นเหมือนอาณาจักรโจร ไม่เชิดชูเกียรติยศแผ่นดินที่ตั้งอยู่ในยุติธรรม สืบเชื้อวงศ์เป็นเจ้าเป็นนายมาหลายชั่วคนดังนี้เลย

ในวันเมื่อพวกนั้นยื่นฟ้องร้องฎีกาดังนี้ มหาดเล็กบ้าง ตำรวจบ้าง ซึ่งได้อยู่ที่นั้น ก็ว่ากันขึ้นว่าพวกนี้เก่งมากชื่อเสียงเล่าลืออื้ออึงไป ด้วยเหตุนี้ในหลวงจึงได้มอบความเรื่องนั้นให้กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร แลพระยาอัพกันตริกามาตย์ไปเกาะพวกหม่อมเจ้า แลหม่อมราชวงศ์มาชำระ แต่ที่นายจรแคลงว่าจะขัดขวางอยู่ ตระลาการจะไปเอาตัวไม่ใคร่ได้ ในหลวงจึงได้ไปว่ากล่าวแก่พวกบุตรหลานเจ้าพระยาภูธราภัยที่อยู่ในวัง ให้ไปกราบเรียนตักเตือนให้ส่งตัวนายจรบ่าวนาย ท่านก็ส่งตัวนายจรได้มาในวันนั้น ได้มอบความให้กรมหลวงเทเวศรวัชรินทรกับพระยาอัพภันตริกามาตย์ชำระ ก็ได้ความเป็นสัตย์สมฟ้องของราษฎรทุกประการ จะมีเหตุต่อสู้ราษฎรได้ก็หาไม่ ใจความว่า อ้ายดั่นบุตรหม่อมเจ้าโสวัฒเป็นต้นเหตุเดิม อ้ายดั่นไปมีภรรยาอยู่บางพรม รู้ว่าที่วัดแก้วมมหาชาติ อ้ายดั่นลงเรือมารับพวกเพื่อนคืออ้ายจร อ้ายโมรา อ้ายมณี อ้ายฉาย พวกเพื่อนกรูกันมาไปด้วยมาก เรือลำเดียวไม่พอ อ้ายจรจึงแย่งหรือยืมเรือไปอีกลำหนึ่ง ไปถึงวัดชีปะขาวแย่งเงินผู้มีชื่อได้ซื้อสุราเลี้ยงกันแล้วจึงพากันไปทำวุ่นวายที่วัดแก้วดังว่าแล้ว ฯ

พระวินัยกิจการีเถร เป็นพระราชาคณะอยู่ในวัดรัชฎาธิฐานคลองบางพรม ท่านเล่าแก่ในหลวงว่า สวนตำบลคลองนั้นแต่ก่อนไม่สู้วุ่นวายนัก ตั้งแต่เดือนเก้าปีชวดฉศกนี้มา อ้ายดั่นหม่อมราชวงศ์ไปได้ภรรยาอยู่คลองบางพรม คนพาลก็ไปมาชุกชุมขึ้น แลเมื่อปีหลัง ๆ มา บรรดาอารามที่มีโรงธรรมใหญ่ ๆ ถึงหน้าเตือน ๑๑ - ๑๒ แล้วก็มีพระมหาชาติเปลี่ยน ๆ กันไปแทบทุกโรงธรรม แต่ในปีนี้ในวัดรัชฎาธิฐาน พระอารามหลวง เดิมราษฎรที่คิดกันว่าจะมีพระมหาชาติที่วัดรัชฎาธิฐานทีหลังพระมหาชาติที่วัดแก้ว ครั้นเกิดความตีรันวุ่นวายกันขึ้นที่วัดแก้วแล้ว พวกผู้ไปตีรันก็หามีใครว่ากล่าวประการใดไม่ ยังท้าทายแข็งแรงอยู่ไม่กลัวใคร ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์แลคฤหัสถ์ที่คิดกันจะมีมหาชาติที่อื่น ๆ ต่อไป ก็พากันย่อท้อกลัวพวกหัวไม้เสียหมด ปีนี้ไม่ได้มีพระมหาชาติเลยแต่สักแห่ง เพราะกลัวอ้ายพวกนี้จะไปทำวุ่นวาย ความเรื่องนี้ได้มอบให้กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร พระยาอัพภันตริกามาตย์ชำระ แล้วในหลวงก็ไปเพชรบุรี ครั้งก่อนเมื่อเดือนยี่ ครั้นกลับเข้ามาก็ขวนขวายราชการอื่น ไปบ้าง ตระเตรียมการที่จะไปเที่ยวเมื่อเดือนสามนี้บ้าง หาได้ไต่ถามถึงความเรื่องนั้นไม่ จนเกือบละลืมไปเสียแล้ว ครั้นไปเที่ยวครั้งนี้จึงไปได้ความหง่อย ๆ ขึ้นกลางทางว่า ชื่ออ้ายพวกนี้ลางคนที่เป็นคนสำคัญ เช่นอ้ายจร อ้ายโมรา เข้ามาเป็นชื่อฉายาชื่อเปลี่ยนชื่อแปลงของคนเป็นผู้หญิงในวัง ประหลาดหูอยู่ เรียกกันว่าพ่อบ้าง ว่าคุณบ้าง แต่จะชำระกลางทางก็ไม่มีเวลาชำระ จะสืบซักไต่ถามกลางทางก็ไม่มีที่สืบได้ถนัดจึงงดรอไว้ ครั้นมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้วชำระไต่ถามกันออกไป จึงได้ความว่าในวัง พวกที่ไว้ตัวเป็นผู้ชายนุ่งพกยาวห่มขาวม้าหวีผมแสกทำเก่งก๋าอยู่นั้น เปลี่ยนชื่อเรียกกันว่า สวัสดิ์รายหนึ่ง โมรารายหนึ่ง จรบ้างกำจรบ้างรายหนึ่ง แลนำหน้าชื่อเรียกกันว่า พ่อบ้าง ว่าคุณบ้าง มีผู้รู้เห็นเป็นอันมากทั้งผู้ใหญ่แลเด็กมาสามปีสี่ปีแล้ว พวกนั้นครั้นเอามาซักไซ้ไต่ถามว่า ชื่อเหล่านี้ได้มาแต่ไหน เป็นที่สงสัยว่าหอมชื่อผู้ชาย เอามาเรียกชื่อ เพราะชื่อสามอย่างนี้ โดยพื้นอย่างไทยชื่อผู้หญิงไม่ใคร่มีเหมือนชื่อว่าเสือ ว่าช้าง ว่าถึก ว่าเถื่อน ว่าเพชร ว่าอ้าว มีแต่ชื่อผู้ชาย ชื่อผู้หญิงจะมีบ้างอย่างผู้ใหญ่เล่ามาว่า เจ้าจอมช้างพระพี่เลี้ยงเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ ท่านผู้หญิงช้างภรรยาพระเทพวรชุนอ่อน ซึ่งเป็นยายพระณรงค์วิชิต แลคุณเสือซึ่งมีชื่อเดิมว่าแว่น แต่เจ้านายเล็ก ๆ กลัว เรียกว่ายายเสือ คนก็พลอยเรียกเพื่อจะไม่ให้ถูกชื่อเดิมนั้น ห่างนักเอาเป็นอย่างไม่ได้ แลชื่อเช่นนั้นเป็นชื่อผู้ชาย ไม่เป็นชื่อผู้หญิงฉันใด ชื่อสวัสดิ์ ชื่อโมรา ชื่อจรสามชื่อนี้ โดยจะค้นในบัญชีเบี้ยหวัดผู้หญิงสามแผ่นดินสี่แผ่นดิน ก็พบแต่ชื่อหลานหญิงหม่อมไกรสร เป็นบุตรหม่อมสิงหราคนหนึ่ง มีตัวอยู่ในวังนี้จนทุกวัน ชื่อนั้นชื่อมาแต่เดิม กับฉิมโมราอีกชื่อหนึ่ง ในบัญชีเก่าได้ยินว่าฉิมคนนั้น บิดาชื่อโมรา จึงเรียกตามชื่อบิดา นอกจากสามชื่อนี้ก็ไม่มีในชื่อผู้หญิง ตั้งแต่พระองค์เจ้า หม่อมเจ้าลงไปจนโขลนแลไพร่หลวง ถ้าจะระบุชื่อผู้ชาย มีมากกว่ามากทั้งตายแล้วแลยังอย่างกรมสวัสดิ์สุริวงศ์ พระองค์เจ้าสวัสดิ์ประวัติในลูกเธอชาย บัดนี้ หม่อมเจ้าสวัสดิ์ในกรมพระเดชาดิศร หม่อมเจ้าสวัสดิ์ในพระองค์เจ้าเนียม หม่อมสวัสดิ์บุตรหม่อมเจ้าเสศในกรมหลวงเสนีบริรักษ์ วังหลัง คนนี้เป็นที่สงสัยว่า จะเป็นเจ้าของชื่อเพราะคนเรียกว่าคุณสวัสดิ์ ตัวก็ยังอยู่เป็นคนหนึ่งอายุ ๓๐ ลงมาแล้วก็เห็นจะเป็นคนเก่งก๋าอยู่บ้าง จึงถูกฟันถูกตีทีหนึ่ง เมื่อครั้งศพหม่อมเจ้าทินกร คนนอกนั้นที่เป็นผู้ดี ๆ ก็มักชื่อเหมือนอย่างพระยาสุรเสนาสวัสดิ์ จมื่นมณเฑียรพิทักษ์สวัสดิ์ก็มีบ้าง จะว่าชื่อในตำแหน่งแล้ว มีตั้งแต่พระยาลงไปจนหมื่นพันนาย พระยาสวัสดิ์วารี พระสวัสดิ์สุนทราภัย หลวงสวัสดิ์โกษา ขุนสวัสดิ์โภคา หมื่นสวัสดิ์อะไร ๆ พันสวัสดิ์อะไร ๆ นายสวัสดิ์ภักดี นายเวรตำรวจ นายเวรกรมวัง นายเวรสนม เซ็งแซ่ไปแต่ในผู้ชาย ในผู้หญิงไม่มีเลย

โมราชื่อนี้ถึงเป็นชื่อซองพลอยของแก้วก็เห็นชัดว่าเป็นชื่อผู้ชาย ในพลอยในแก้วทั้งหลายลางสิ่งผู้หญิงที่ชื่อชุม อย่างทับทิมแลมรกตนิล ชื่อทั้งหญิงทั้งชาย แลมุกดาเป็นชื่อหญิงแขกมีบ้าง แต่เพชรแลวิเชียร บุษ ไพฑูรย์ โกเมน ถึงเป็นชื่อเจ้านายมีมาก ก็มีแต่ชื่อผู้ชายไม่มีผู้หญิง โมรานี้ก็เข้าพวกเพชรมีแต่ชื่อผู้ชาย เมื่อจะนึกตัวไปเดี๋ยวนี้ก็จะหาได้หลายคนอยู่ หม่อมเจ้าโมราในกรมหมื่นไกรสรวิชิตตายแล้ว หม่อมเจ้าโมราในกรมหมื่นอลงกตกิจปรีชา ตัวยังอยู่ทำราชการอยู่ไม่เป็นที่สงสัย คน อื่นนอกจากอ้ายหม่อมโมรา บุตรหม่อมเจ้าเล็ก ในกรมหมื่นนราเทเวศร ซึ่งเป็นโทษหัวไม้ครั้งนี้แล้ว จะมีผู้อื่นที่มีชื่อนำหน้าว่าพ่อ ว่าคุณ แลออกชื่อเล่าลือโด่งดังมากก็ไม่มี เพราะฉะนั้นอ้ายโมราคนหนุ่มคนนี้เป็นที่สงสัยว่า ชื่อจะไหลเข้ามาในวังอยู่

ว่าด้วยชื่อจรนั้น มีอักษรอื่นนำหน้าว่า คเณจร แต่กรมอมเรนทรผู้เดียว แต่มีขะนำหน้าชุม คือพระองค์เจ้าขจรในพระบวรราชวัง ก่อนหม่อมเจ้าขจรหลายแห่ง แลพระณรงค์วิชิต และนายจรบุตรหลวงวิสุทโยธามาตย์กุหลาบ หลานเจ้าพระยามุขมนตรีแลอื่น ๆ แต่ว่าไม่เป็นที่สงสัย ก็ที่ชื่อจะไหลเข้ามาในวังจนถูกตัวสำคัญ คือคนที่เขาเลื่องชื่อลือนาม เป็นที่สงสัยมาก ก็แต่อ้ายจรหัวไม้คนนี้แล เพราะชื่อมันโด่งดังอยู่ในราษฎรญาติพี่น้องมันอยู่ในวังก็มาก บ้านก็ตรงข้ามฟาก บ่าวไพร่คนข้างในข้างหน้าก็เข้าออกอยู่เสมอ ใครเอาชื่อนี้มาเป็นชื่อฉายาก็เหมือนอ้ายมาหมอไภไป เป็นที่สงสัยอยู่ แลพวกที่ตั้งชื่อกันเอามาซักชำระถามว่าชื่อเหล่านี้ได้มาแต่ไหน ใครจะเอาชื่ออ้ายหัวไม้อ้ายคนที่เขาเล่าลือมาพูดให้หอมจึงเอาชื่อเขามาชื่อ ก็พากันปฏิเสธเสียว่าไม่ได้ยินใครมาเล่าดอก เป็นแต่ได้อ่านในหนังสืออ่านต่าง ๆ ชอบใจชื่อคนที่มีอยู่ในหนังสืออ่านเอามาเรียกกันเล่น ก็คำให้การเช่นนี้จะเห็นจริงด้วยไม่ได้ ก็ที่มันพอใจเป็นอ้ายเหล่านั้น มันลงใจเห็นเป็นหนึ่งว่า ถ้าจะรับออกมา ว่าหอมชื่ออ้ายหัวไม้เหล่านี้แล้วจึงเอามาเรียกกัน ก็เห็นว่าเป็นอันแสลงอย่างใหญ่ โทษทัณฑ์ก็คงจะต้อง แลจะอับอายขายหน้ามันไปไม่รู้หาย ว่าหอมอ้ายผู้ชายเป็นความไม่ดี ถึงจะถูกที่เฆี่ยน ๕ ที ถามสักร้อยที ยืนคำอยู่ว่าไม่ได้ยินชื่ออ้ายเหล่านั้นดีกว่า แต่ผู้รู้ผู้ฟังจะให้พลอยเห็นไปตามคำให้การไม่ได้ เหมือนอย่างรูปเขียนในระเบียงวัดพระแก้วแห่งหนึ่ง เขียนเป็นรูปคนอ้วนดำศีรษะล้านแลมีบ่าวถือขอชักหัวเบี้ยแบกตามมา ผู้เขียนรูปนั้นจะเถียงว่าไม่ได้ตั้งใจว่าจะเขียนรูปนายดราดิศ (ชื่อดิศเป็นที่พระศรีวิโรจน์ ตำแหน่งนายตราในกรมพระคลังมหาสมบัติ ครั้งรัชกาลที่ ๓ เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย) ดอก เป็นแต่เขียนไปก็ถูกเข้าเอง ว่าไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อ รูปเขียนต่าง ๆ อื่น ๆ มีอยู่เป็นหลายแห่ง เอาตำหนินั้น ๆ กิริยานั้น ๆ ของคนเดียวบ้าง สองคนบ้าง ที่มัดนั่งด้วยกัน เดินด้วยกันมาเขียนลงไว้ในฉากและฝาผนัง จะเถียงว่าไม่ได้เขียนหมายผู้นั้น ๆ เป็นแต่เขียนโดน ๆ ไปไม่แกล้งเฉพาะ เชื่อไม่ได้ ถึงในเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ตั้งขึ้นสองชื่อสามชื่อก็เฉพาะไปถูกในชื่อพวกนั้นที่เขาเล่าเขาลือในคนที่เที่ยวอยู่ด้วยกัน ครั้นชำระสืบสาวไปก็ได้ความอยู่แห่งหนึ่งว่า เจ้าของละครในวังออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พวกอ้ายโมรามาดูทำเกะกะจะก่งวิวาท เจ้าของละครกลัวภัยจึงเข้าไปหาอ้ายโมรา อ้อนวอนว่า คุณได้โปรดด้วยช่วยระวังอย่าให้มีวิวาท อ้ายโมราอ้ายมณี จึงอ่อนน้อมเข้าไปที่เจ้าของละครว่า ตัวไม่มีที่พึ่งจะถวายตัวเป็นข้า ละครไปเล่นที่ไหนจะตามไปช่วยรักษาไม่ให้มีวิวาท แต่ขอเงินคราวละแปดสลึงสามบาทจึงจะช่วยได้ ครั้นให้เงินไปแล้ว มันเอาเงินไปซื้อเหล้ากินเมาเข้า ก็ก่อวิวาทวุ่นวายในวันนั้นเอง แต่มันเถียงว่ามันเป็นผู้ห้าม เจ้าของละครก็ยังนับถือมันว่าเป็นพวกพ้อง จะไปเล่นละครที่ไหนก็ยังไปบอกให้มันไปช่วยระวังระไวอยู่ แต่พวกเจ้าของละครนั้น ความครั้งนี้จะเกี่ยวข้องพัวพันแก่ผู้ที่รับเอาชื่ออ้ายเหล่านั้นมาชื่อก็หาไม่ ถึงกระนั้นคงเป็นที่สงสัยว่า พวกนี้พวกหนึ่งแล้ว เป็นพวกเอาชื่ออ้ายเหล่านี้มาชมเชยเชิดชูยกบุญยอคุณในวังนี้ให้เซ็งแซ่ไป แต่ในหลวงวิตกอยู่ที่ตรงอ้ายจรนั้นมากเพราะอ้ายวรพี่ชายอ้ายจร ก็ไปสมคบกับพวกวังกรมวงษา ปีนกำแพงวังเข้าไปทำชู้กับอีมโหรีกรมวงษา มีแม่สื่อแม่เหินเดินถึงกัน ความทั้งปวงนั้นแจ้งอยู่แก่กรมวงษาแล้ว ก็เมื่อเป็นดังนี้ กรมวงษาเป็นผู้แก่เฒ่าชราโรคภัยมาก ถึงตัวเป็นหมอก็ย่อท้อนิ่งความสูญไปไม่ว่าอะไรแก่อ้ายวรได้ ก็อ้ายจรน้องชายอ้ายวร อายุ ๒๒ ปี หนุ่มรุ่นราวคราวกับคนที่เอาชื่ออ้ายจรมาชื่อ แลมีคนเป็นอันมากที่สงสัยว่าจะเป็นแม่สื่ออยู่ในวัง แลเข้าออกในวังเสมอเป็นนิตย์นับตัวไม่ถ้วน อ้ายจรเล่าก็ร่ำเรียนเป็นคนมีวิชาความรู้ สักแข้งขาทั้งสองข้างเป็นรูปเสือสาง ช้าง ราชสีห์กลัวจะมีผู้นับถือว่าเป็นคนดี เช่นอ้ายขบถบัณฑิตสองคนเข้าวังหน้า ครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เพราะที่ผูกพันรักใคร่กับอีเจ้าจอมภู่สีดาที่เป็นหญิงเลื่องชื่อลือชาว่ารูปงามในครั้งโน้น จนอียายเอี้ยงมารดาเจ้าจอมภู่ แต่งตัวอ้ายสองคนปลอมเป็นผู้หญิงเข้าไปในพระบวรราชวัง แล้วคิดอ่านทำร้ายกรมพระราชวังในครั้งนั้น ใจอ้ายขี้เมาหัวไม้ตื่นความรู้วิชาอย่างนี้ ถึง คนดีก็เหมือนคนบ้า จะไว้จิตวางใจมันก็ไม่ได้ อ้ายจรอ้ายวรสองคนพี่น้องบัดนี้ที่พึ่งพิงอิงใบบุญนับเนื่องในตระกูลท่านผู้หลักผู้ใหญ่ เมื่อคุมสมัครพรรคพวกไปทำวุ่นวายที่วัดแก้วบางขุนศรี เหมือนผู้ร้ายปล้นโดยรูปความดังกรมหลวงเทเวศรวัชรินทรชำระได้เป็นสัตย์นั้น ก็เป็นความฉกรรจ์โกงแก่กล้ามิใช่เบา ราษฎรถูกคุมเหงมีบาดแผลเป็นอันมากจะหาที่พึ่งในโรงศาลแลท่านผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ ถึงเดือนเศษจึงเข้ามาร้องแก่ในหลวง ก็ซึ่งกรมหลวงเทเวศรวัชรินทรชำระได้ความจริงมา ไม่ยั่นย่อท้อไปอย่างกรมหลวงวงษานั้นก็เป็นความชอบของกรมหลวงเทเวศรวัชรินทรอยู่นักหนาแล้ว ก็ครั้งนี้เมื่อเกิดความข้างในขึ้น จะเรียกเอาตัวอ้ายจรมาชำระก็ไม่ได้ตัว แต่ผู้คุมที่ขังอ้ายจรไว้ ได้ว่าบิดาอ้ายจรมารับประกันตัวอ้ายจรไป ๆ ได้ตัวมาแต่บ้าน การเป็นดังนี้ก็เป็นที่รู้ว่าถึงอ้ายจรจะส่งไปให้จำไว้ ณ คุก ก็จะไม่อยู่ในคุกได้สักกี่วัน ก็คงจะมีผู้รับประกันให้ไปอยู่บ้าน การเป็นดังนี้ในหลวงคนทั้งปวงก็รู้ว่าแก่ชรามากกว่ากรมวงษาถึงสี่ปี คนก็ถือว่าซูบผอมโรคภัยมาก ไม่ได้เป็นมดเป็นหมออย่างกรมวงษา แลไม่ได้หาแพทย์หมอที่เป็นคนดีมีวิชาอยู่ประจำซอง สำหรับระวังรักษาตัวเป็นนิตย์ จะคิดระวังรักษาตัวไปให้พ้นภัยแต่อ้ายคนพาลเช่นนี้ คิดไปก็เห็นเป็นอันยาก เพราะตัวคนเดียว

ว่ามานี้เหลือหน่อยเกินหน่อย ขอรับประทานโทษ จงโปรดคิดอ่านมา จะควรทำอย่างไรในความเรื่องนี้

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ