ศาลพลเรือน

ศาลพลเรือน และการพิสูจน์ความผิดของคนไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จากจดหมายเหตุของพ่อค้าฮอลันดาชื่อโยสเซาเต็น ซึ่งเข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมและพระเจ้าปราสาททอง ได้ให้ความรู้แก่ชาวเราพอสมควรในทัศนะของฝรั่ง เพราะผู้เป็นเจ้าของจดหมายนี้เข้ามาอยู่นาน และใกล้ชิดกับเหตุการณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองและสังคมไทยเป็นอย่างดีพอใช้

จดหมายเหตุของเขาพรรณนาไว้หลายเรื่องด้วยกัน อาทิ การปกครอง การทหาร ศาสนา ขนบธรรมเนียม การค้า ฯลฯ แต่จะขอนำเฉพาะเรื่องศาลพลเรือน กับการพิสูจน์ความผิดถ่ายทอดมาไว้เท่านั้น เพราะเป็นจุดหมายของการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ เขาเล่าไว้อย่างน่าฟังว่า

ศาลแพ่งและศาลอาญาทั่วราชอาณาจักร มีผู้พิพากษาซึ่งประเพณีและกฎหมายแต่โบราณกำหนดให้เป็นผู้นั่งพิจารณาคดี เฉพาะในกรุงศรีอยุธยานั้น นอกจากศาลต่าง ๆ และผู้พิพากษาตามธรรมดาแล้ว ยังมีคณะลูกขุนอีก ๑๒ ท่าน ประกอบด้วยข้าราชการผู้ใหญ่ผู้หนึ่งเป็นประธาน ตั้งขึ้นไว้ประดุจศาลสูง ณ ศาลสูงนี้ ผู้ไม่พอใจในคำตัดสินศาลชั้นต้น ย่อมอุธรณ์ขึ้นมาให้ศาลสูงพิจารณาใหม่ได้ โดยมากศาลสูงมักจะพิพากษาตามมติของศาลชั้นต้น

ในศาลสูงและศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยต้องให้การผ่านทนายความ เป็นคำให้การด้วยปากเปล่า ๆ ก็มี ด้วยลายลักษณ์อักษรก็มี การพิจารณาคู่คดีและพยาน มีเสมียนศาลคอยจดบันทึกคำให้การไว้ในสมุด ซึ่งคู่ความจะต้องเซ็นไว้เป็นหลักฐาน และผู้พิพากษาก็นำสมุดนี้ไปไว้จนถึงนัดหน้า ในการพิจารณานัดใหม่ผู้พิพากษาก็จะนำสมุดดังกล่าว มาเปิดให้คู่คดีได้รู้เห็นแล้วจึงดำเนินการพิจารณาต่อไป ข้อความที่คู่คดีกล่าวอย่างใด เสมียนศาลก็จดลงไว้อีก และให้คู่คดีเซ็นชื่อ ด้วยเหตุนี้ข้อพิพาทเป็นอันมาก กว่าจะพิจารณาเสร็จสิ้นก็กินเวลานาน บางคดีกว่าจะตัดสินได้กินเวลาเป็นปี ๆ ทีเดียว และทั้งโจทก์จำเลยก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย แต่ในที่สุดคดีก็จะมาถึงศาลสูง ลูกขุนทั้ง ๑๒ ท่านพร้อมด้วยท่านประธาน ก็จะเข้าประชุมพิจารณาปรึกษาโทษให้เด็ดขาดไป คำตัดสินของศาลสูงนี้เป็นที่สิ้นสุด

ในความคดีอาญา เช่นหมิ่นประมาท ลักขโมย ฆาตกรรม ขบถ ฯลฯ ผู้ถูกกล่าวหาอาญาจับกุมนำตัวมากักขังได้แล้ว จึงมีการเบิกตัวให้ผู้พิพากษาพิจารณาโทษ เมื่อมีหลักฐานอย่างแจ่มชัดแต่จำเลยยังยืนยันปฏิเสธความผิด จำเลยจะถูกทรมานให้รับสารภาพ คำให้การใด ๆ ในขณะถูกทรมานเสมียนศาลก็จะจดเอาไว้ในสมุด และนำไปให้ที่ประชุมผู้พิพากษา ครั้นแล้วจึงมีการพิพากษาและนำตัวไปลงโทษ แต่ถ้าหากว่าเป็นคดีร้ายแรงซึ่งจะต้องถูกลงโทษด้วยการประหาร คดีเหล่านี้ไม่อยู่ในอำนาจของคณะลูกขุน พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ทรงโปรดให้ลงโทษประหาร หรือลดโทษเป็นอย่างอื่น หรือจะทรงปล่อยตัวไปก็ได้ทั้งนั้น สุดแล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าพระมหากษัตริย์เป็นผู้ร้อนแรงด้วยอารมณ์ หรือพระองค์เป็นผู้ประกอบไปด้วยพระเมตตา คนโทษก็จะถูกประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต หรือลดหย่อนผ่อนโทษหรือได้รับการปลดปล่อยตามแต่พระอุปนิสัยของเจ้าชีวิตเป็นเกณฑ์

กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ความผิดขั้นอุกฤษฏ์เช่นนี้มักจะถูกลงโทษตามความหนักเบาของความผิด เช่นจะถูกปรับ ปลดจากตำแหน่งถูกเนรเทศไปอยู่ในแดนทุรกันดาร ถูกจับตัวเป็นทาส ถูกริบทรัพย์สมบัติ ถูกตัดมือตัดเท้า ถูกต้มน้ำมัน ถูกตัดขาผ่าอก หรือถูกลงโทษอย่างทารุณกรรมอื่น ๆ คนโทษใดถูกประหารหรือถูกเนรเทศ ทรัพย์สมบัติของเขาจะถูกริบเข้าพระคลังมหาสมบัติหลวงโดยสิ้นเชิง

ในการพิจารณาความผิดโดยการให้พิสูจน์ ไม่ว่าจะเป็นความแพ่งหรือความอาญา และจำเป็นต้องใช้วิธีพิสูจน์เป็นทางเดียวที่จะทราบความจริง เช่นในกรณีที่ไม่มีพยานหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นว่าเป็นผู้ผิดหรือผู้บริสุทธิ์ คณะผู้พิพากษาเมื่อไม่สามารถจะพิพากษาให้เด็ดขาดลงไปได้ และทั้งฝ่ายโจทก์จำเลย ขอร้องให้ใช้วิธีพิสูจน์ คณะผู้พิพากษาก็จะอนุมัติได้ การพิสูจน์ความบริสุทธิ์นั้นมีทำกันหลายอย่าง เช่นดำน้ำ ลุยไฟ เอามือจุ่มในกระทะน้ำมันกำลังเดือด ๆ หรือการกลืนข้าวศักดิ์สิทธิ์ วิธีการพิสูจน์ดังกล่าว จำต้องมีพิธีการและต้องกระทำกันในที่เปิดเผยต่อหน้าคณะผู้พิพากษา และประชาชน การพิสูจน์ด้วยวิธีดำน้ำ เขากระทำดังนี้ ปักเสาสองเสาลงในน้ำแล้วให้คู่พิพาททั้งสองเกาะเสาลงดำไปใต้น้ำให้พร้อมกัน ผู้ที่อยู่ใต้น้ำได้นานกว่าผู้นั้นเป็นผู้ชนะคดี ผู้ที่โผล่ขึ้นมาก่อนเป็นผู้แพ้ การพิสูจน์วิธีอื่นก็เหมือนกัน เช่นการจุ่มมือลงไปในกระทะน้ำมันที่กำลังเดือด มือของใครพองน้อยกว่าผู้นั้นชนะ ในการเดินลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์นั้น คู่พิพาทจะต้องเดินลุยไฟที่กำลังลุกแดง โดยมีเจ้าหน้าที่คอยกดบ่าไว้ทั้งสองข้าง ผู้ที่เดินลุยไฟไปได้โดยตลอดแลมีบาดเจ็บบวมเล็กน้อย จะเป็นผู้ชนะความ

ส่วนการพิสูจน์กลืนข้าวศักดิ์สิทธิ์นั้น มีการประกอบพิธีให้ขลังโดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาเป็นประธาน คู่ความที่กลืนข้าวนั้นได้โดยมิมีการอาเจียนออกมาหรือว่าอาเจียนน้อยก็เป็นผู้ชนะ เมื่อการพิสูจน์โดยวิธีการต่าง ๆ ปรากฏผลแพ้และชนะกันไปเช่นนี้ ฝ่ายผู้ชนะจะได้รับฉันทานุมัติ จากผู้พิพากษาให้เป็นอิสระทันทีและประชาชนญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง บริวารของฝ่ายชนะก็จะแห่แหนพากลับบ้าน ส่วนผู้แพ้นั้นตรงกันข้ามเลยทีเดียว ถ้าหากเป็นคดีอาญาก็จะถูกลงโทษตามความผิดมากหรือน้อย แต่หากเป็นคดีแพ่ง จะถูกปรับไหมหรืออาจถูกจำขังด้วย

เล่าความตามข้อเขียนของชาวฮอลันดา สิ้นกระแสความแล้ว ที่นี้หันมาดูเรื่องราวอันเป็นจดหมายเหตุของไทยเราเองบ้างว่า เรื่องการพิสูจน์ความผิดดังกล่าวมา โดยเฉพาะการดำน้ำลุยไฟนั้น เขาเรียกว่า “ลักษณพิสูทธดำน้ำลุยเพลิง” มีปรากฏในกฎหมายตราสามดวง โดยเขียนด้วยเส้นรง ลงในสมุดข่อย ถ้อยคำสำนวนตลอดจนตัวสะกดการันต์ขอให้คงไว้ตามเดิม ดังนี้

ลักษณพิสูทธดำน้ำลุยเพลิง

พระบาทสมเด็จพระเจ้ารามาธิบดี ศรีสินธรบรมจักรพรรดิศร บวรธรรมมิกมหาราชาธิราชเจ้า ผู้ผ่านพิภพถวัลราชศิริสมบัติในกรุงเทพมหานครบวรทวาราวะดี ศรีอยุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานบุรีรมย์ อุดมราชมหาสถาน เสด็จออกพระที่นั่งมังคลาภิเษก พร้อมด้วยชาวเจ้าเง่ายุพราชมุขมาตยามนตรีกระวีชาติราชปุโรหิตา โหราราชบัณฑิตยเฝ้าบำเรอบาท จึงมีพระบรมราชโองการมารพระบันฑูรสุรสีหนาทตำรัส เหนือเกล้า ฯ สั่งว่า ถ้าอาณาประชาราษฎรข้าขอบเขตขันธเสมามณฑลจะพิพาทหาคดีแก่กัน ถึงพิสูทธแก่กัน ให้กระทำตามพระราชบัญญัตินี้

๑ มาตราหนึ่ง มีพระราชกฤษฎีกาไว้ว่า ถ้าโจทก์จำเลยจะถึงพิสูทธแก่กันมี ๗ ประการ ๆ หนึ่งให้ล้วงตะกั่ว ๑ สาบาล ๑ ลุยเพลิงด้วยกัน ๑ ดำน้ำด้วยกัน ๑ ว่ายขึ้นน้ำข้ามฟากแข่งกัน ๑ ตามเทียนคนละเล่มเท่ากัน ๑ เมื่อแรกจะพิสูทธนั้นให้ตระลาการคุมลูกความทั้งสองไปซื้อไก่เป็นแห่งเดียวกัน ซื้อสีผึ้ง ๑ ด้ายดิบ ๑ ฝักส้มป่อย ๑ ผลมะกรูด ๑ หม้อข้าวใหม่ ๑ หม้อแกงใหม่ ๑ ผ้านุ่ง ๑ ผ้าห่ม ๑ แห่งเดียวกัน จ่ายเครื่องบายสีแห่งเดียวกัน แล้วให้ตระลาการเกาะลูกความทั้งสองไว้ในตระลาการ ให้ลูกความนุ่งขาวห่มขาว อยู่กรรมในตระลาการ ๓ วัน อย่าให้คู่ความเดินไปมานอกกรรม แลให้กระลาการหุงข้าวให้ลูกความกิน ให้คอยดูลูกความจะดีร้ายประการใด ถ้าลูกความผู้ใดด่าตีลูกความข้างหนึ่ง ท่านว่ามันพิรุทธ ให้เอามันผู้ตีด่านั้นเป็นแพ้ อนึ่งถ้าคู่ความอยู่กรรมในตระลาการคอยระวังอย่าให้ผู้ใดไปมาหาสู่พูดจากันได้ แลลูกความข้างหนึ่งหนีออกไปนอกกรรม ท่านให้เอามันผู้หนีออกไปจากกรรมนั้นเป็นแพ้ อนึ่งถ้าโจทก์จำเลยจะถึงพิสูทธดำน้ำแก่กัน ให้ตระลาการปักหลักห่างกัน ๖ ศอก เมื่อจะดำน้ำให้ปลูกโรงศาลบวงสรวงเทพยดา แลให้แต่งเครื่องบวงสรวงขึ้นศาลจงถ้วนดั่งนี้ ผ้าขาว ๕ คืบ ๒ ผืน เป็ด ๒ ตัว ไก่ผู้ ๒ ตัว หม้อข้าวใหม่ ๔ ใบ หม้อแกงใหม่ ๔ ใบ เครื่องบายสีครบ จุดธูปเทียนบูชาเทพยดาก่อน

๒ มาตราหนึ่ง ถ้าจะพิสูทธลุยเพลิงดำน้ำต่อกัน ให้ตระลาการหมายให้แก่นายประกัน ให้เรียกเอาเงินแก่โจทก์จำเลย เงินใส่คราดข้างละ       ค่าอ่านคำสัจจาธิษฐานเสียให้แก่อาลักษณข้างละ       ค่าข่มฅอข้างละ        ค่าหัวหลักข้างละ       ค่าตีฆ้องข้างละ        ค่าที่นั่งข้างละ         ค่ากลังข้างละ        ค่าผู้คุมข้างละ       เครื่องกระยาการทั้งนี้ กระแชงข้างละสองผืน ผ้าขาวนุ่งห่มข้างละสำรับ ผ้าขาววงผราข้างละผืน ไก่ตัวผู้รู้ขันประจำยามข้างละตัว ไก่บังสุกุลไหว้เทพารักษข้างละ ๒ ตัว เหล้าไหว้เทพารักษข้างละสองภาง เหล้าเลี้ยงตระลาการข้างละสองภาง ข้าวสารข้าวเจ้าข้างละ ๒ แล่ง ข้าวสารข้าวเหนียวข้างละ ๒ แล่ง หม้อข้าวหม้อแกงใหม่ มีฝาละมีครบข้างละสำรับ กระออมใหม่ใส่น้ำข้างละใบ ครกกระเบือ สากกระเบือ จะหวักกระบวยข้างละสำรับ จอกรองเหล้าข้างละสองใบ สีผึ้งแข็งหนักข้างละ       ด้ายใส่คราด ด้ายวง มงคลสูตร แลผูกประเคนข้างละถอด พริกเทศ กระเทียม หอม ตะไคร้ ข่า กระชาย สำรับจะทำไก่ หมาก พลู ปูน ยาสูบ เคย เกลือ ซึ่งจะกินในมณฑลแลเลี้ยงตระลาการทั้ง ๓ วันให้ครบ ให้แบ่งหาเครื่องทั้งนี้คนละกึ่ง หวีสางผมข้างละอัน น้ำมันกระแจะจวงจันทน์ แลไม้เส้า ไม้ราว กระแชง ซึ่งตระลาการจะอยู่ตกแก่โจทก์จำเลยเท่ากัน แลให้นายประกันว่าแก่โจทก์ว่าแก่จำเลยให้เอาเครื่องทั้งนี้ออกมายังตระลาการในเพลาพระอาทิตย์บ่ายคล้อยสองโมงให้มาพร้อมกัน ให้เข้ามณฑลซึ่งจะลุยเพลิงแลดำน้ำกันนั้น อนึ่งไม้หลักตกแก่นายดาบ ตีฆ้องตกแก่ตระลาการ เมื่อจะดำน้ำตกแก่ทนายกรมยุกรบัตรกลั้น ถ้าพ้น ๓ กลั้นแล้ว ให้จัตุทำมรงลงยกโจทก์ยกจำเลยขึ้นทั้งสองข้างถ้ากลั้นมิได้ผุดขึ้นก่อนนั้น ก็ให้จัตุทำมรงลงยกเอาผู้ชนะนั้นมาแล้วแลให้ตระลาการถามผู้แพ้ซึ่งผุดก่อน ให้รู้เหตุผลว่าเป็นกระไรจึ่งผุดขึ้นมา

๓ มาตราหนึ่ง ถ้าจะพิสูทธลุยเพลิงแก่กัน ท่านให้ขุดรางเพลิงยาว ๖ ศอก กว้างศอก ๑ ฦกศอก ๑ ถ่านเพลิงหนาคืบ ๑ ให้ตระลาการเรียกเอาเงินค่าทำเนียมแก่โจทก์จำเลย ค่าที่นั่งข้างละ         ค่าอ่านสัจจาธิษฐานข้างละ       ค่าอ่านสำนวนข้างละ       ค่าผู้คุมข้างละ       ค่าบายสีข้างละ        พิสูทธลุยเพลิงหน้าพระกาลข้างละ        ค่าใส่คราดข้างละ       เข้ากันเป็นเงิน     ให้โจทก์ให้จำเลยล้างเท้าเสียจงหมด ให้ผู้คุมแลตระลาการผู้อ่านสัจจาธิษฐานพิจารณาฝ่าเท้านิ้วเท้าโจทก์จำเลย เป็นบาดแผลฟกช้ำอยู่เก่าใหม่ประการใดบ้าง ก็ให้ตระลาการผู้อ่านสัจจาธิษฐานเขียนเป็นรูปนิ้วเท้าฝ่าเท้า แล้วให้กฎหมายไว้ด้วยกัน อนึ่ง เมื่อลุยเพลิงแล้วให้ดูไปกว่าจะถึง ๓ วัน ๕ วัน ๗ วันจงสิ้นกำหนด จึ่งให้ล้างเท้า อนึ่งถ้าเห็นสำคัญให้ลงเข็ม อนึ่งถ้าพิสูทธลุยเพลิงพอง หลังเท้าหลังนิ้วจะเอาเป็นแพ้นั้นมิได้ ถ้าแลโจทก์จำเลยมิได้พองด้วยกันทั้งสองข้าง ย่อมมีความสัจจังจริงด้วยกันทั้งสองข้าง จึ่งให้พิสูทธดำน้ำต่อไป ถ้าโจทก์จำเลยพองด้วยกันทั้งสองข้าง ท่านว่ามันย่อมมีเท็จทั้งสองข้าง จึ่งพองด้วยกัน

๔ มาตราหนึ่ง ว่าเนื้อความมันทั้งสองพิพาทถึงพิสูทธลุยเพลิง ถ้ามันข้างหนึ่งเป็นกลโกหก รู้เวทอาคมมนตราเสกเป่า มันผู้นั้นไม่พอง ให้ข้างหนึ่งพองแลพองด้วยกันก็ดี ให้เสมียนผู้คุมระวังดู ถ้าเห็นพิรุทธมันทำดั่งนั้น เอามาพิจารณาต่อไป...

การพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ ประกอบพิธีกรรมตามลัทธิไสยศาสตร์ขออานุภาพเทพาอารักษ์ทั้งหลาย ช่วยคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ให้ดำได้นานและดลบันดาลให้ผู้ผิดมีอันเป็นไปต่างๆ นานา ที่ไม่สามารถจะดำอยู่ในน้ำได้นาน เช่นในโองการดำน้ำที่อาลักษณ์อ่านประกอบพิธีกรรม มีความตอนหนึ่งว่า

“ใครเท็จชวนกันสังหาร อย่าไว้เนิ่นนาน
จงผลาญอย่าทันพริบตา  
สิทธิศักดิ์อารักษ์เทวา สำแดงฤทธา
ให้เห็นประจักษ์ทันใด  
อาเพศเป็นงูเงือกใน พรายน้ำเติบใหญ่
รวบรัดกระหวัดบาทา  
เป็นรูปอสุเรนทร์ยักษา แยกเขี้ยวเบี้ยวตา
คำรามคคือถือคอ  
คั้นคาบดุจเคี้ยวเขี้ยวงอ ล่ำสันพึงภอ
ตระมั่นตระมึ่นพึงกลัว  
แลบลิ้นปลิ้นตาแสยงหัว หนวดเคราพันพัว
ท้องพลุ้ยขลุยกำยา  
หลอกหลอนไล่รุมรันทำ ทุบตีอวมอำ
คำรามในพื้นคงคา  
ให้ผุดหลุดโลดขึ้นมา จากหลักคลาดคลา
มฤษาเอาเท็จเป็นจริง”  

มีอีกตอนหนึ่งว่า

“อนึ่งผีเสื้อน้ำอยู่สิง ในถ้ำธารชิง
ชวนกันแต่ล้วนผีสาง  
ตายโหงโกงโค้งกลางทาง ตายพรายนอนคราง
ตกน้ำแลช้ำผีตาย  
เสือขบช้างแทงแรดควาย ขวิดขวัญใจหาย
แลตายในพื้นปัถพี  
ใครเท็จชวนกันย่ำยี เข้ากลุ้มรุมตี
ให้ผุดอย่าทันอึดใจ  
ผู้เท็จบันดาลเห็นภัย ภูตพรายตัวใหญ่
จรเข้แลปลาโลมา  
มังกรเงือกน้ำเหรา ฉลามว่ายมา
สะพรั่งพร้อมล้อมตน  
เข้ากัดรัดรวบอลวน ข้างต่ำข้างบน
พิกลให้หลุดผุดหาย  

ขึ้นมาหน้าสรากผีตาย

เผือดเศร้าหมองหมาย
ใจพรั่นประหวั่นหนี”  

ส่วนผู้บริสุทธิ์จริง ๆ ก็มีคำขอความคุ้มครองเช่นว่า

“ความจริงครั้นดำชลธี น้ำแยกแตกหนี
อย่ามีพิโรธสำแดง  
ออกแต่กายาฝ่าแฝง เดชฤทธิแรง
เทเวศร์ช่วยอภิบาล  
หายใจเข้าออกสำราญ น้ำแยกแตกฉาน
ดำลงสบายหายใจ  
ความจริงอย่าได้หวั่นไหว อุบัติพิทภัย
จงไกลอย่ามากล้ำกราย  
ใครชอบจงอยู่สบาย อย่ามีอันตราย
ประเภทหลากสักอัน”  

เรื่องการพิสูจน์ดำน้ำนี้มีปรากฏตัวอย่างที่ทำกันในสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวไว้ในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนที่จมื่นไวยกับขุนช้างเป็นความกัน โดยจมื่นไวยกล่าวหาว่าขุนช้างพยายามฆ่าตนเมื่อยังเป็นเด็ก แต่ขุนช้างปฏิเสธ จมื่นไวยจึงท้าให้พิสูจน์ด้วยดำน้ำว่า “ถ้าแม้นแพ้แก่สัตย์ดำนัทที ขอถวายชีวีพระทรงธรรม” สมเด็จพระพันวัสสาก็ทรงอนุมัติตาม เพื่อให้ได้เป็นรูปร่างความเชื่อมั่นในสมัยนั้น จะขอตัดตอนมาเล่าเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนจัดเตรียมพิธีพิสูจน์ดำน้ำดังนี้

“ครานั้นพระครูผู้รับสั่ง ออกมานั่งยังที่ทิมดาบใหญ่
จัดแจงแต่งหมายแยกย้ายไป สั่งให้เรียกหลักนครบาล
ให้ทำมรงสำรองไว้สองหลัก แล้วปักมณฑลแลทำศาล
เสมียนเขียนฟ้องคำให้การ สุภาภารให้อยู่ดูเป็นกลาง
มิให้ส่งข้าวปลามาแต่บ้าน ขุนศาลหาให้กินทั้งสองข้าง
ให้โจทก์จำเลยหาผ้าขาวบาง มาปูกลางศาลทั้งสองรองบัดพลี
หมากพลูใส่กระทงประจงเขียน ทั้งธูปเทียนดอกไม้บายศรี
เครื่องตั้งสังเวยกรุงพาลี มีมะกรูดส้มป่อยกระแจะจันทน์
ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มพรหมลาด เสื้อสายสายสิญจน์ให้จัดสรรค์
หม้อข้าวหม้อแกงใหม่แลหม้อกรัน กระโถนขันน้ำดั้งทั้งกระแชง
กระติกเหล้าข้าวสารเชิงกรานใหม่ ข่าตะไคร้หอมกระเทียมพริกแห้ง
ครกสากคนใช้ไก่พะแนง ทั้งสองแห่งจัดหาให้เหมือนกัน
ขุนช้างกับพระไวยได้บัญชา ก็รีบสั่งบ่าวข้าขมีขมัน
บัดเดี๋ยวใจได้มาสารพัน ถ้วนจบครบครันทั้งบัญชา
เข้ามณฑลเสร็จถึงเจ็ดค่ำ นักการทำไม้หลักไปปักท่า
ที่ตำหนักแพโถงโรงนาวา ทำมรงหาฆ้องไว้คอยตี
คำสาบานแช่งชักอาลักษณ์อ่าน ตระลาการอ่านสำนวนถ้วนถี่
เอาเชือกผูกเอวไว้ให้ดิบดี ประจำที่คอยถ้าเสด็จมา”

และในการพิสูจน์ดำน้ำครั้งนั้น ครั้งแรกพระไวยดำอยู่เหนือน้ำ ขุนช้างดำทางใต้น้ำ เมื่อดำลงไปแล้ว ขุนช้างก็รีบผุดขึ้นมาทันทีโดยอ้างว่าถูกวิชาพระไวย ดังเช่น

“ขุนช้างร้องโปรดก่อนพุทธิเจ้าข้า พระไวยคนนี้มีวิชา
เป่าซ้ำทำมาให้ต้องตน ฤทธิ์เดชพระเวทย์เข้าจับใจ
ทนไม่ได้หัวพองสยองขน เอาจำเลยขึ้นเหนือน้ำดำข้างบน
เป่ามนต์ลงมาข้าติดใจ”  

ครั้นแล้วสมเด็จพระพันวัสสา ก็ให้เปลี่ยนขุนช้างขึ้นข้างเหนือน้ำ และพระไวยมาอยู่ทางใต้น้ำกลับกัน แต่แล้ว

“ด้วยขุนช้างนั้นพิรุธทุจริต พอดำมิดไม่ถึงสักกึ่งกลั้น
บันดาลเห็นเป็นงูเข้ารัดพัน ตัวสั่นกลัวสุดผุดลนลาน
พระกาญจนบุรีโดดน้ำตามลงไป อุ้มพระไวยขึ้นมาต่อหน้าฉาน
เหล่าพวกผู้คุมนครบาล เอาคลังใส่อ้ายหัวล้านลากขึ้นมา”

จึงเป็นอันว่าการพิสูจน์ดำน้ำคราวนี้ ขุนช้างแพ้

 

  1. ๑. รง คือ ไม้ยืนต้น มียางเหลือง นิยมนำมาเขียนหนังสือในสมัยโบราณ; ยาง ที่ได้จากต้นรง (พจนานุกรมฉบับมติชน, พิมพ์ครั้งแรก, พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์, กรุงเทพฯ, ๒๕๔๗, น. ๗๒๒.)

  2. ๒. เครื่องหมาย          กำหนดตำแหน่งมาตราเงินหรือน้ำหนัก เรียกว่า ตีนกา หรือ ตีนครุ เพื่ออ่านค่าโดยลำดับตามเลขคือเริ่มจากสั่งไปสิ้นสุดที่ไพ (๖) ไพ(๑) ชั่ง (๒) ตำลึง(๓) บาท (๕) เฟื้อง (๔) สลึง   (เรื่องเดียวกัน, น. ๓๗๖ - ๓๗๗.) ในตัวอย่างนี้       อ่านค่าได้ว่าสองบาทสองสลึง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ