เจ้าจอมทับทิม

กรณีเนื่องมาจาก “พระเจ้ากรุงสยาม” หรือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบัญชาให้เผาเจ้าจอมทับทิมกับพระครูปลัด ฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์ฯ และหลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์คู่บรรจุอัฐิของเจ้าจอมทับทิมอันเป็นที่รักและพระครูปลัดไว้ ณ วัดสระเกศ ข้างพระอุโบสถด้านตะวันออก เรื่องเจ้าจอมทับทิมนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โตที่เล่าลือกันไปทั่วทุกสารทิศ

เรื่องของการเผามนุษย์ทั้งเป็นนี้ ความเดิมมีอยู่ว่า

เจ้าจอมทับทิมถูกบิดามารดาซึ่งเป็นข้าราชการหวังจะถวายความจงรักภักดี และฝากฝังธิดาให้มีหน้ามีตาอยู่ในรั้วในวัง จึงได้นำทับทิมเด็กสาววัย ๑๕ ปีถวายตัวต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้น เจ้าชีวิตทรงมีพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษาแล้ว

ทับทิมนั้น ควรจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีกรรมเพราะมี “รักเก่า” อยู่แล้วกับหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งต่อมาได้สละโลกียวิสัยเพราะความผิดหวังเรื่องรัก หรือเพราะเหตุจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ได้มาอุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนา จำพรรษา ณ วัดราชประดิษฐ์ฯ และต่อมาได้เป็นพระครูปลัดฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราช (สา)

เมื่อบิดามารดานำตัวทับทิมขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏว่าทับทิมตื่นกลัววิ่งหนีหลายครั้ง จนกระทั่งเตลิดหนีออกจากพระบรมมหาราชวังไปได้ โดยสามัญสำนึกแล้ว ไม่เป็นปัญหาเลยว่าเจ้าชีวิตจะไม่ทรงพิโรธมาก ครั้งแรกทรงบัญชาให้ค้นทุกวัง เมื่อไม่พบพระองค์ก็ให้ค้นบ้านทุกบ้านและวัดทุกวัดพร้อมกับทรงประกาศให้รางวัลจำนวนมากแก่ผู้สามารถจับทับทิมมาได้ ทั้งนี้เพื่อรักษาศักดิ์ศรียอดชายชาตรีของพระองค์เอง

ในหนังสือ แอนนากับพระเจ้ากรุงสยาม ของมิสซิสแอนนา เขียนไว้ว่า

ทับทิมมาเรียนหนังสือกับมิสซิสแอนนาสองสามเดือน เมื่อศิษย์หายไปนางก็ถามหา กว่าจะทราบเรื่องราวโดยละเอียด ทับทิมก็ถูกจับได้ที่วัดราชประดิษฐ์ฯ เป็นเณรปรนนิบัติในกุฏิพระครูปลัดอยู่ นางสารภาพความผิดทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นของนางแต่ผู้เดียว พระครูปลัดไม่รู้เห็น แลไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เณรน้อยที่สมเด็จอาจารย์ส่งมาปฏิบัติตนนั้นเป็นผู้หญิง และเป็นเจ้าจอมองค์พระมหากษัตริย์ ศาลฝ่ายในพิจารณาแล้วเห็นว่าฟังไม่ขึ้น จึงตัดสินให้เผาทั้งเป็น

มิสซิสแอนนาได้เคยเห็นและเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช (สา) หลายครั้งในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระราชวังหลวง วันแรกเปิดโรงเรียน และที่วัดราชประดิษฐ์ฯ นางมีความรู้ในทางวิปัสสนากัมมัฏฐานจากเมืองไทยพอใช้ได้ ในคำรำพันของนางนั้นนางรู้สึกว่า สมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงเป็นพระภิกษุที่ดำเนินไปมาดุจตัวของท่านลอย ท่านทรงชำเลืองดูแต่เบื้องต่ำเป็นนิจสิน รับสั่งก็ช้าและทรงเป็นที่เคารพนับถือของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

จากคำให้การของเจ้าจอมทับทิมกล่าวอ้างขออาราธนาสมเด็จพระสังฆราช (สา) เป็นพยาน และเมื่อมิสซิสแอนนาเข้ากราบทูลข้อเท็จจริงต่อเจ้าชีวิตนั้น ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ยอมรับฟัง และไม่ยอมไปรบกวนสมเด็จพระสังฆราช (สา) เพียงแต่กริ้วแหม่มแอนนามาก ทรงตวาดมาคำเดียวว่า

“บ้า ! แหม่ม ! เธอบ้า !"

ในการที่ทรงมีคำพิพากษาให้เผาเจ้าจอมทับทิมกับพระครูปลัดทั้งเป็นนี้ ทำความเจ็บช้ำให้แก่มิสซิสแอนนาเป็นอย่างมาก ยังผลให้นางล้มป่วย ๑ เดือนเต็ม และนางตัดสินใจจะเลิกเป็นครูในพระบรมมหาราชวังกลับไปสู่ประเทศอังกฤษ

ความจริงเรื่องการเผาเจ้าจอมทับทิม กับพระครูปลัดนั้น ถ้าเป็นความจริง จะถือว่าเป็นป่าเถื่อนก็ไม่เชิงนัก เพราะกฎหมายวางไว้ให้เผาก็ต้องเผาตามกฎหมาย

เรื่องทำนอง “ความรักกับประเพณี” นี้ ก็ทำนองเดียวกับเรื่องของพระองค์เจ้าหญิงใหญ่ยิ่ง พระราชธิดาองค์แรกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับทิดโต แห่งวัดราชประดิษฐ์ฯ ผู้บังอาจ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ถึงกับต้องมีการแก้ไขเรื่องนี้ที่บริเวณวัดราชประดิษฐ์ฯ ด้านใน ซึ่งเป็นกุฎีของพระสงฆ์สามเณร มีคำสั่งและประกาศปิดไว้ห้ามสตรีเพศย่างเหยียบเข้าไปตลอดมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

ที่ว่าเข้าทำนองเดียวกัน เสมือนว่าชาติปางก่อนเคยมีเวรผูกพันกันมา กล่าวคือพระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์ พระราชธิดาองค์แรกของรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็นสมเด็จพระพี่นางเธอในรัชกาลที่ ๕ คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นศิษย์คนแรกของมิสซิสแอนนา หรือเรียกอย่างสามัญว่า “พระองค์เจ้าหญิงใหญ่ยิ่ง” นั้น ปรากฏว่ามีเรื่องสะเทือนใจบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์อย่างใหญ่หลวง โดยได้ลอบลักกับสามเณรรูปหนึ่งของวัดราชประดิษฐ์ฯ ชื่อ “โต” ฝ่ายชายผู้เอื้อมเด็ดดอกฟ้าถูกประหารชีวิต ฝ่ายหญิงถูกเผาทั้งเป็น กล่าวคือยังไม่ทันสิ้นพระชนม์สนิทก็จัดการเผา เรื่องนี้เกิดขึ้นในต้นรัชกาลที่ ๕

มีเรื่องเล่ากันว่า เจ้าโตหรือทิดโต แห่งวัดราชประดิษฐ์ฯ ก่อนตายได้ลั่นคำอธิษฐานว่า ชาตินี้ตนมีกรรม ถ้าแม้นชาติหน้ามีจริงแล้ว ก็ขอให้ได้ภรรยาซึ่งเป็นพี่สาวของพระเจ้าแผ่นดินให้จงได้

ความข้อนี้จะเท็จจริงประการใดไม่ปรากฏในเอกสาร แต่เป็นคำเล่าลือสืบมา

ย้อนกลับกล่าวถึงตอนเผาทั้งเป็นเจ้าจอมทับทิมกับพระครูปลัดต่อไป ซึ่งจากข้อเขียนของแหม่มแอนนา อาจจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นเองก็ได้ มีความพิสดารตอนนี้ว่า

ในราวบ่ายสองโมงวันนั้น ข้าพเจ้ามีความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่แลเห็นตะแลงแกง ๒ ที่ ถูกตั้งขึ้นที่สนามหน้าพระลานเบื้องหน้าหน้าต่างของข้าพเจ้าออกไป ตรงกันข้ามกับพระบรมมหาราชวัง ประชาชนเป็นอันมาก ทั้งลูกเล็กเด็กแดง และหญิงชายจากทุกหนทุกแห่งหลั่งไหลมาชุมนุมกันอยู่ที่นั่น เพื่อดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป พวกคนงานพากันตอกเสา และนำเครื่องประหารมาตั้งภายใต้ความอำนวยการของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มหาชนที่ยืนอยู่โดยรอบสนามดูตื่นเต้นและซุบซิบกันทั่วไป ข้าพเจ้าจึงหันไปถามสาวใช้ว่า เขาทำอะไรกัน หล่อนก็ตอบว่า พระปาราชิกองค์หนึ่งกับนางห้าม จะถูกทรมานประจานเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั้งหลายทั่วไปในบ่ายวันนี้ และขณะนั้นก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว

ตามที่ข้าพเจ้ามาทราบในภายหลังนั้น ปรากฏว่าพอข้าพเจ้าออกจากเฝ้าได้ไม่ทันไร ตุลาการฝ่ายหญิงที่ข้าพเจ้าพบที่เชิงบันได ก็นำรายงานพิจารณาและคำพิพากษาพระปลัดและทับทิมเข้าเฝ้ากราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน พอทรงเสร็จแล้วก็กลับสัตย์ที่ทรงสัญญาว่าจะผ่อนโทษจำเลยลงมา ทรงพิโรธทั้งทับทิมและข้าพเจ้า และเนื่องจากว่าไม่มีหนทางใดที่พระองค์จะทรงใช้อำนาจสิทธิ์ขาด ซึ่งทรงมีเหนือชีวิตพลเมืองของพระองค์แก่ข้าพเจ้าอย่างไรได้ จึงรับสั่งให้ตั้งตะแลงแกงขึ้นตรงหน้าต่างของข้าพเจ้า และทรงสาบานว่าจะแก้แค้นทดแทนไม่ว่าบุคคลใด ๆ หากจะกล้าไปขัดพระราชประสงค์ของพระองค์

ตะแลงแกงที่สร้างขึ้นนี้ ทำเป็นยกพื้นด้วยฟากสูงจากพื้นดินราววาครึ่ง มีเสาสี่เสา ปลายเสาสูงพ้นพื้นฟากขึ้นไป ใช้เป็นที่ตรึงปลาย โซ่ล่ามขื่อคาที่จองจำที่คอนักโทษให้แน่นหนามิให้เผ่นหนีลงมาได้

หน้าต่างทุกบานของตำหนักต่าง ๆ ที่อยู่ทางด้านตะวันออกเปิดกว้างออกหมด และที่กำแพงพระบรมมหาราชวัง ก็จัดเป็นที่ประทับชั่วคราวขึ้นทางด้านในของใบเสมา และบรมวงศานุวงศ์ เจ้านายข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ทั้งสาวสนมกำนัลถ้วนหน้า จะได้โดยเสด็จมาเป็นประจักษ์พยานในการทรมานประจานทับทิมผู้น่าสงสาร และคุณพระปลัดผู้บริสุทธิ์ครั้งนี้พร้อมกันด้วย

ข้าพเจ้าอยากจะหลบหน้าหนีไปเที่ยวเสียตามท้องไร่ท้องนาไกล ๆ หรือมิฉะนั้นก็ลงลอยเรือเล่นเสียในแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะผู้คนหนาแน่นล้อมรอบที่พักไม่สนุกอย่างหนึ่ง และให้รู้สึกสงสารจับใจในทับทิม คล้าย ๆ จะบอกตัวเองว่าหาควรจะปล่อยให้ทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องอยู่เพื่อแสดงไมตรีจิต เห็นอกเห็นใจแก่ทับทิมเท่าที่จะทำไปได้ เพราะตะแลงแกงจะอยู่ใกล้หน้าต่างมากจนความรู้สึกที่แสดงสังเกตเห็นออกมาทางสายตากันได้

ด้วยประการดังนี้ ข้าพเจ้าจึงพยายามบังคับใจยอมสู้กับสิ่งที่ทำลายประสาทอย่างรุนแรงที่สุดในชีวิต

ก่อนเวลาบ่ายสามโมงเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ก็ขนเครื่องทรมานด้วยวิธีต่าง ๆ มาพร้อมสรรพ วางไว้ใต้ยกพื้นของตะแลงแกงทั้งสองที่ ในจำนวนนั้นมีฟืนดุ้นเล็กตุ้นโตอยู่ด้วยเป็นอันมาก

นี่จะเผากันทั้งเป็นเทียวหรือ ?

แล้วมีเสียงกระทั่งแตร จากหมู่ตำรวจหลวงรับทอดกันมาเป็นระยะ ๆ เป็นสัญญาณการเสด็จของพระเจ้าแผ่นดิน บนพลับพลาชั่วคราวก็ปรากฏพระองค์แวดล้อมด้วยข้าราชบริพาร ตามบรรดาหน้าต่างตำหนักด้านที่จะเปิดสู่ลานหญ้านี้ ก็เริ่มสลอนไปด้วยสาวสรรกำนัลใน คอยดูโชคอันโหดร้ายมาตกสู่ผู้เคยเป็นเพื่อนของนางเหล่านั้นมาแต่ก่อน

เสียงเซ็งแซ่เกรียวกราวปรากฏขึ้นในหมู่คน ข้าพเจ้ามองออกไปเห็นพระปลัดกับทับทิมกำลังไต่ตามพะองขึ้นไป ด้วยความแสนยากลำบากเหลือแล้ว ไหนจะมีกิริยาระโหยโรยแรง ไหนจะหนักเครื่องพันธนาการ ซึ่งล้วนเป็นโซ่ตรวนเส้นโต ๆ ทั้งสิ้น เมื่อขึ้นไปถึงฟากยกพื้น ทั้งสองต่างฟุบลงโดยแม้เพียงนั่งก็ตั้งตัวไม่ติด พระปลัดอยู่ตะแลงแกงข้างขวา แลทับทิมอยู่ข้างซ้าย ซึ่งใกล้หน้าต่างข้าพเจ้ามากที่สุด มีผ้าผืนน้อยพันกายอันอุจาดนัยน์ตาคนละผืน บนหลังบนไหล่ซึ่งเปิดขาวโล่งนั้นมีรอยหวายพาดเป็นทางด้วยการโบย ๆ นับรอยไม่ถ้วน แต่ละรอยซึ่งขวางกันและตามกันล้วนเป็นรอยนูน ห้อเลือด บวมเป่ง บางรอยก็แตกโลหิตซับ ตามต้นแขนจนถึงศอกก็มีรอยบั้ง ๆ ปรากฏจากปลายหวายที่หวดไปถึง

พะทำมะรงปีนขึ้นไปปลดเครื่องพันธนาการจากมือและเท้าออก คงไว้แต่คาที่จองจำไว้เท่านั้น และเอาปลายโซ่ที่ล่ามจากคาไปตรึงไว้ที่เสา มีหมอสองคนถือล่วมยาขึ้นไปเอายากรอกคนทั้งสอง และให้ดมสักครู่ต่างก็ฟื้นขึ้นนั่งได้ ทับทิมเอามือกุมอกอันว่างเปล่าไว้ ข้าพเจ้าเห็นพระปลัดหันมาทางทับทิม มีสายตาแสดงความรักอย่างสุดพรรณนา น้ำตาไหลพรากลงเป็นประกายในแสงอาทิตย์ยามบ่าย

ข้าพเจ้าไม่สามารถจะบันทึกความรู้สึกอย่างถูกต้องไว้ในที่นี้ได้ ในขณะที่ข้าพเจ้าเห็นทับทิมกุมอกมองไปดูประชาชนรอบ ๆ นั้น ถ้าจะทายความรู้สึกนึกคิดก็จะต้องว่า ช่างไม่มีใจเมตตากรุณาเสียบ้างเลย มาล้อมรุมดูกันทำไมก็ไม่รู้ แต่ก็ดีเหมือนกันที่มาช่วยกันเป็นพยานในความรักอันบริสุทธิ์ หรืออย่างใหญ่หลวงของคู่หญิงชาย ที่ต้องจากกันด้วยการพรากของผู้ใหญ่ ครั้นมาพบกันอีก ก็พบโดยลักษณะของนักบวช โดยลักษณะของอาจารย์กับศิษย์ ซึ่งไม่มีทางติดต่อกันได้ในฐานเคยรักกันมาแต่ก่อนเก่า

นอกจากจะไม่มีจิตคิดสงสารแล้ว ฝูงชนที่ห้อมล้อมยังแสดงคำพูดและท่าทางเย้ยเยาะผู้เคราะห์ร้ายทั้งคู่นี้อีก แต่ผู้ที่มีความคิดซึ้งลงไปก็มี บางหมู่บางเหล่าก็สงสารทับทิมถึงกับน้ำตาไหล โดยไม่ทราบข่าวการพิจารณาปรึกษาโทษคนทั้งสอง และปลงใจเชื่อว่าทับทิมไม่มีความผิด แต่พวกนี้มักเป็นผู้หญิงอายุตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไปเสียโดยมาก

ข้าพเจ้าทนอยู่ไม่ไหวเหลือที่จะฝืนใจอยู่ได้จึงปิดหน้าต่างเสีย แต่ร่างขาวเปลือยของสองนักโทษชายหญิง ซึ่งปิดไว้ด้วยผ้าผืนน้อยเห็นหน้าชัดเจนในแสงแดดตอนบ่าย ทำให้ข้าพเจ้าสุดวิสัยที่จะสละลงไปนอนปิดตาเสียได้ จึงต้องยืนพิงมองถอดออกไปทางเกล็ดหน้าต่างด้วยความมีใจห่อเหี่ยว ปวดและเจ็บที่ตรงหัวใจด้วยความแสนสงสาร ยืนอยู่ด้วยอาการเท้าอ่อนมืออ่อนไม่มีเรี่ยวแรง ถอดสายตาออกไปดูโดยไม่อยากดู แต่จำเป็นต้องดู

มีเสียงกระทั่งแตรอีกครั้ง แล้วชายคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนยกพื้น คลี่ม้วนกระดาษฝรั่งออกตะโกนอ่านเสียงดัง นัยน์ตาหมื่นดวงจ้องจับอยู่ที่ชายคนนี้ เสียงเงียบกริบราวกับไม่มีคนอื่นเลยนอกจากผู้อ่านเท่านั้น ผู้ที่ห่างจากคลองเสียงออกไปก็เอามือป้องหู ดูจะมิยอมให้คำพิพากษาโดยละเอียดที่ตะโกนอ่านนี้ผ่านพลาดไปเลยสักคำเดียว

แล้วได้ยินเสียงแตรอีกครั้ง ตอนนี้เป็นตอนอ่านการกำหนดโทษขั้นอุกฤษฏ์ ว่าให้ทรมานจนครบทุกวิธีเป็นการประจาน แล้วประหารเสียอย่าให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง ถึงตอนนี้เสียงคนก็เซ็งแซ่ขึ้นด้วยเสียงต่าง ๆ กัน พุทโธ่ พุทโธ่เอ๋ย ที่ใจร้ายก็แช่งด่าผู้ประสบเคราะห์กรรมทั้งสอง ซึ่งก็ได้แต่มองดูฝูงคนเหล่านั้นด้วยตาปริบ ๆ

สีหน้าของทับทิมเปลี่ยนซีดเป็นแดงแล้วขาวอีก สลับกันไปด้วยความตื่นเต้นวุ่นวายอยู่ในใจ ส่วนพระปลัดนั้นคงสำรวมอยู่ด้วยอาการปรกติ สังเกตปากได้ว่าพร่ำภาวนาสวดมนต์ให้ใจบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา

แตรดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ฝูงคนชะเง้อคอลอดสายตาดูให้เห็นถนัด เสียงหายเซ็งแซ่แต่มีบ้างเล็กน้อย พะทำมะรงปีนขึ้นไปบนตะแลงแกงทีละสองคน แล้วก้มลงรับเครื่องมือทรมานจากคนข้างล่างที่ส่งขึ้นไป

จะได้ทรมานอย่างไรไม่เห็นถนัด เพราะพะทำมะรงบังเสีย แต่ตามเสียงร้องโหยหวนของทับทิมที่ดังขึ้นกลบเสียงใด ๆ ก้องกระจายไปในที่ว่างนั้น ว่าได้เจ็บปวดรวดร้าวสุดจะทนทานได้ เสียงกรอกลงไปในหูของข้าพเจ้ากระเทือนไปถึงขั้วหัวใจ หวิว ๆ จะเป็นลมล้มเสียให้ได้ แต่มือยังยึดกรอบหน้าต่างมั่นอยู่ ส่วนพระปลัดไม่ปรากฏเสียงร้องเลย

เสียงกรีดขึ้นสุดเสียงแล้วขาดหายเงียบไป พะทำมะรงรับยาดมจากข้างล่างขึ้นไปให้ดมสักครู่ ทับทิมก็มีเสียงครวญครางขึ้นต่อไปอีก

ระหว่างเสียงครวญครางตอนหลังนี้ ดูราวกับจะชินกับความเจ็บปวดแล้วด้วยวิธีทรมานอย่างนั้น หรือมิฉะนั้นประสาทความรู้สึกคงชาไปเกือบหมด เสียงร้องจึงไม่สู้ดังนัก

ข้าพเจ้าเหลือบเห็นทางห่างไปเกือบใกล้พลับพลาที่ประทับ มีคน กลุ่มหนึ่งกุลีกุจอแก้ไขหญิงกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลมล้มพับไป

สักครู่ทับทิมตะโกนขึ้นสุดเสียงสั่นกังวานว่า “ฉันไม่ได้ผิด คุณพระปลัดก็ไม่มีผิด พระพุทธเจ้าทรงทราบหมด”

พอจบคำกรีดร้องสุดเสียงอีกครั้ง เป็นเสียงเหมือนทารกพรากจากมือมารดาสู่พื้นดิน คราวนี้ตัวหมอเองถือล่วมยาขึ้นไปแก้ไขจนฟื้น ครั้นแล้วก็เปลี่ยนวิธีการทรมานใหม่ ซึ่งคงจะโหดร้ายยิ่งกว่าอย่างแรก พะทำมะรงลำเลียงเครื่องมือทรมานชุดใหม่ขึ้นไป

คราวนี้แม้พอจะวินิจฉัยได้ว่า คงจะเจ็บปวดแสนสาหัสยิ่งยวดหนักขึ้น แต่ทับทิมร้องครวญครางน้อยลงและตะโกน “ฉันไม่ได้ผิด คุณพระปลัดก็ไม่มีผิด” สลับไปกับเสียงร้อง

สลบแล้วสลบอีก แก้แล้วฟื้นหลายครั้งหลายครา แต่คุณพระปลัดนั้นเสียงร้องก็ไม่มี ทรมานได้ทรมานไป อาการคงสำรวมภาวนาคุณพระรัตนตรัยอยู่เบา ๆ เรื่อยไปไม่ขาดสาย เครื่องทรมานก็เปลี่ยนชนิดต่าง ๆ ซึ่งดูว่าจะทำให้เจ็บปวดหนักขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั่วไปหมดทุกแห่ง แต่ทับทิมก็ยืนทำตะโกนว่าไม่ผิด ไม่ผิดอยู่ตลอดเวลา เทิดคุณพระปลัดไว้ในที่สูงกว่าชีวิตของตนเอง โดยถือความสัตย์ความจริงเป็นประมาณ มีประโยคหนึ่งซึ่งได้ยินทับทิมตะโกนเสียงสั่นเครือว่า

“ฆ่าฉันคนเดียวเถิด คุณพระปลัดไม่มีผิดเลย ท่านไม่ได้รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง โปรดด้วยเจ้าข้า”

ต่อจากนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ความอดทนของข้าพเจ้าใช้เสียจนหมดสิ้นไม่มีเหลือแล้ว กำลังทั้งกายและใจก็อ่อนเปลี้ย ปล่อยมือจากขอบหน้าต่างฟุบลงไป

ธรรมชาติ ซึ่งยังมีใจกรุณาอยู่ช่วยบันดาลให้ข้าพเจ้าสลบเสียก่อน ที่จะได้เห็นอะไรที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ คือชั้นย่างคนทั้งเป็น

เมื่อข้าพเจ้าฟื้นคืนสติ และนอนพักอยู่นาน ถึงเวลาเข้าไต้เข้าไฟ แล้วจึงลุกขึ้นถือยามดส้มมือเราะฝาไปที่หน้าต่างเปิดออกดู ลานหญ้าว่างคนหมดแล้ว แต่ตะแลงแกงทั้งสองที่ยังอยู่ และที่พื้นดินยกฟากของตะแลงแกงนั้น มีกองถ่านซึ่งติดแดงอยู่ยังมิมอดเป็นเถ้า เห็นเป็นที่น่าหวาดเสียวในเวลาพลบค่ำเช่นนี้ และยิ่งนึกไปถึงว่า เพราะไฟฟืนซึ่งกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ ณ บัดนี้แล้วนี่เอง ที่คงจะได้ปลิดชีวิตคนผู้น่าสงสารทั้งสองไปแล้ว ก็ยิ่งทำให้แสนเศร้าสลด น้ำตาไหลพราก หัวใจห่อเหมือนจะบีบแฟบลงไปได้ในกำมือ ตัวสั่นหนาวสะท้าน มีอาการไข้ ข้าพเจ้าเอามือเสยผมแล้วจับรวบกุมศีรษะ ศอกวางลงที่กรอบหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง จึงเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินระทดระทวยมานั่งพับเพียบลงใกล้กองไฟตะแลงแกงของทับทิม โดยแสงถ่านที่ฉายไปจับใบหน้าทำให้ข้าพเจ้าจำได้ว่า คือ พิมพ์ นางทาสีของคุณจอมทับทิมนั่นเอง

ข้าพเจ้าเรียกอยู่สองคำ พิมพ์จึงเงยหน้าแล้วลุกขึ้นเดินตรงมาที่ใกล้หน้าต่าง ข้าพเจ้าชี้มือให้พิมพ์เดินอ้อมรั้วไปทางประตูหน้าบ้าน

พิมพ์ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นาน ข้าพเจ้าก็น้ำตาไหลรินอยู่เรื่อยด้วยความสงสารทั้งนายบ่าว เมื่อไล่ให้ไปล้างหน้าล้างตาแล้วจึงพอจะเล่าให้ฟังได้เรื่องได้ราวบ้างว่า พิมพ์เองเป็นผู้สมคบในการหนี โดยเป็นผู้จัดหาสบงจีวรซ่อนซุกไว้แล้วจัดการโกนผมโกนคิ้วให้นายของตน ซึ่งถ้าทับทิมทนให้โบย ๓๐ ทีไม่ไหว ไปบอกขึ้นตามคำถามของพระยาพรหมบริรักษ์ หัวหน้าตุลาการที่ถามถึงผู้สมรู้นั้นแล้ว ก็เป็นอันแน่ว่าหัวพิมพ์จะขาดกระเด็น อย่างสถานเบากจองจำทำงานหนักอยู่ตลอดชีวิต

ข้าพเจ้าถามถึงทับทิม และพระปลัด พิมพ์เล่าให้ฟังว่า การทรมานขั้นสุดท้ายที่เด็ดชีวิตคนทั้งสองไปนั้นคือ ติดไฟขึ้นไปใต้ยกพื้น เมื่อทับทิมกลิ้งเกลือก ดิ้นรนหมดฤทธิ์สงบนิ่ง พร้อมไปกับเสียงร้องว่า “คุณพระปลัดบริสุทธิ์ไม่มีผิด ฉันก็ไม่มีผิดเลย” แล้วเขาก็ลากเอาศพลงมาและเอาไปโยนที่ป่าช้าวัดสระเกศ น่าประหลาดที่คุณพระปลัดไม่ปริปากร้องออกมาเลยจนคำเดียว คงทุรนทุรายบ้างเล็กน้อยแล้วก็สงบนิ่งไปพร้อม ๆ กับทับทิม ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ก็จัดการปลงศพเสียตามประเพณีให้เสร็จสิ้นไปโดยด่วน

ทุก ๆ รอบเจ็ดวันไม่มีขาด พิมพ์ผู้ซื่อสัตย์ก็จัดดอกไม้ธูปเทียนมาปักลงตรงที่ที่คนทั้งสองสิ้นชีวิต ซึ่งบัดนี้มีร่องรอยเหลืออยู่ก็แต่เป็นดินวงว่างไม่มีหญ้าเพราะเกรียมไหม้ตายด้วยกองไฟเท่านั้น พิมพ์มักจะนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เกือบค่ำจนถึงดึก ๆ ทุกครั้งที่เอาดอกไม้มาบูชา ราวกับจะคอยพูดจากับวิญญาณของสองชายหญิงในยามปลอดคน พิมพ์เคยเล่าให้ฟังว่า ทับทิมมาเข้าฝันบ่อยครั้ง

ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่า ภิกษุสองรูปที่แอบเห็นเพศหญิงของทับทิมนั้น เมื่อได้รับพระราชทานยี่สิบชั่งดังที่ทรงประกาศไว้แล้วก็รีบหนีไปพักอยู่เสียที่ปากน้ำ โดยที่มีผู้เห็นความบริสุทธิ์ของคุณพระปลัดและทับทิมปองร้ายอยู่

คุณพระปลัดผู้นี้เดิมชื่อว่าแดง (บางแห่งว่าชื่ออินทร์) เมื่อหนุ่มแดงสูญเสียคู่ชื่น โดยบิดามารดาของทับทิมนำเข้ามาถวายตัวเสียแล้ว ก็ตัดใจออกบวชและฝากเนื้อฝากตัวพากเพียรเล่าเรียนศึกษาพระปริยัติธรรมกับเจ้าคุณสา ว่าจะบวชถวายพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ก็มาต้องหาปาราชิกโดยเชื่อกันว่าบริสุทธิ์จริง จึงยังความเศร้าโศกแก่ปวงญาติเป็นอันมาก

ข้าพเจ้าหลบเลี่ยงไม่เข้าถวายรายงานการเล่าเรียนของเจ้านายน้อย ๆ ที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ถวายพระอักษรภาษาอังกฤษอยู่นั้นเป็นเวลาเดือนเต็ม จึงได้มีพระราชดำรัสสั่งให้เข้าเฝ้าในขณะเสวยพระกระยาหารเช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าฝืนกิริยาให้เป็นปรกติมิได้เลย หน้าตาก็คงจะได้แสดงความมึนตึงเศร้าสลดจนทรงสังเกตเห็น ทรงมีรับสั่งกับข้าพเจ้าว่า

“ฉันได้รับความเศร้าโศกมากเหลือเกินในเรื่องทับทิม เวลานี้เชื่อแล้วละแหม่ม ว่าเขาไม่มีผิดจริง ฉันเคยฝันถึงเขา มองเห็นภาพทับทิมอย่างแจ่มชัดลอยคว้างอยู่กับพระปลัดบนฟ้า ทับทิมมองลงมาแล้วบอกกับฉันว่า “เราไม่มีความผิด เราเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินใด ๆ เมื่อมีชีวิตอยู่ ดูสิเพคะ เวลานี้เรามีความสุขทุกอย่าง”

“ฉันเสียใจมากจริง ๆ นะแหม่ม เมื่อฝันเห็นอย่างนี้แล้วฉันจึงเชื่อว่าทั้งสองคนไม่มีผิดจริง นี่ฉันสั่งให้เขาไปสร้างเจดีย์ไว้เป็นที่สำหรับเก็บกระดูกทับทิมและพระปลัดแล้วที่วัดสระเกศ”

วันต่อมาเมื่อข้าพเจ้าผ่านวัดสระเกศ ก็ได้เห็นเจดีย์ใหญ่สร้างใหม่อย่างงดงามสององค์ ตั้งตระหง่านอยู่ริมป่าช้า

แต่บัดนี้ไม่มีพระเจดีย์อย่างที่แหม่มแอนนาเล่า ไม่ทราบว่ารื้อไปในสมัยใด แลด้วยเหตุผลอันใด

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ