ธรรมเนียมหมอบเฝ้าฯ

อันว่าธรรมเนียมหมอบเฝ้าฯ เจ้าชีวิต ซึ่งเคยมีมาแต่โบราณกาลนานมา ได้มีการยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดนั้น ไม่มีใครคาดฝันมาก่อนว่าจะถูกเปลี่ยนแปลงโดยพระมหากษัตริย์พระองค์ใด แต่แล้วก็ถูกปฏิรูปโดยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง หรือพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้เพราะพระองค์ปรารถนาจะปรับอารยธรรมของไทยให้เข้ากับบรรยากาศใหม่ของโลกในยุคนั้น โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์กับนานาชาติ ซึ่งพระองค์ทรงมีประสบการณ์อย่างกว้างขวางยิ่งกว่าผู้อื่น

การเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมหมอบเฝ้าฯ เป็นยืนเฝ้าฯ นี้ ได้กระทำในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑ วันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีจอฉศก ๑๒๓๖ แผ่นที่ ๖ มีความโดยละเอียดดังต่อไปนี้

ด้วยเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ รับพระบรมราชโองการใส่เกล้า ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สั่งว่า พระโหราธิบดี หลวงโลกทีป ขุนโชตพรหมมา ขุนเทพยากรณ์ โหรมีชื่อพร้อมกันคำนวณพระฤกษ์พระมหามงคลราชาภิเศก แลสมโภชพระนคร ทูลเกล้า ฯ ถวาย กำหนด ณ วันพุธ เดือนสิบสอง แรมแปดค่ำ ปีระกาเบญจศก เจ้าพนักงานตั้งเครื่องพระมณฑล แลพระที่นั่งอัฐทิศพัทบิฐ มณฑปพระกระยาสนานพร้อม เสร็จแล้ว เวลาบ่าย ๔ โมง พระราชาคณะยี่สิบรูปสวดพระพุทธมนต์ ตั้งน้ำวงด้ายในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันพฤหัสบดี เดือนสิบสอง แรมเก้าค่ำ เวลาเช้า ๓ โมง พระราชาคณะผู้ใหญ่นั่งในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ๓๕ รูป พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ๕๐ รูป เสด็จพระราชดำเนินประทับทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการแล้ว เวลา ๔ โมง ๔๒ นาที ทรงถวายเทียนชนวนแก่พระเจ้าบวรวงษเธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ ทรงรับไปจุดเทียนไชยประโคมฆ้องไชย แตรสังข์พิณพาทย์กลองแขกเป็นพระฤกษ์ เสร็จแล้ว พระสงฆ์รับพระราชทานฉันแล้ว ทรงถวายไตรแพร บาตร พัด ย่าม แล้วสวดญาณวารสำหรับพระราชพิธีต่อไป ครั้นเวลาบ่ายสามโมง พระราชาคณะสวดพระพุทธมนต์ในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานห้ารูป พระที่นั่งไพศาลทักษิณสามสิบรูป อมรินทรวินิจฉัยห้าสิบรูป เสด็จพระราชดำเนินทรงฟังสวดทั้งสามวัน เวลาเช้าพระสงฆ์รับพระราชทานฉันแปดสิบห้ารูป เพล ๕ รูป สวดญาณวารทั้งกลางวันกลางคืน ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือนสิบสอง แรมสิบสองค่ำ เวลารุ่งแล้ว ๑๘ นาที เสด็จพระราชดำเนินประทับในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดเทียนนมัสการแล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ที่สรงมุรธาภิเศกพระมณฑปกระยาสนาน ประโคมฆ้องไชยแตรสังข์พิณพาทย์กลองแขก ครั้นสรงเสร็จแล้วเสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศ จึงราชบัณฑิต ๘ นาย พราหมณ์ ๘ นาย อ่านคาถา อ่านเวทย์ ถวายน้ำพระพุทธมนต์มหาสังข์โดยลำดับทั้ง ๘ ทิศ เสร็จแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินโดยทางลาดพระบาท สู่พระที่นั่งพัทบิฐ พราหมณ์ถวายเครื่องเบญจกกุธภัณฑ์ แล้วอ่านเวทย์ถวายไชยสรรเสริญไกรลาศเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทรงถวายบริขารใหญ่น้อยทั้งปวง ครั้นเวลา ๔ โมงกับ ๓๐ นาที เสด็จพระราชดำเนินออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประทับเหนือพระบรมราชอาสน์ ซึ่งมีมหาเสวตรฉัตร ขณะนั้นพระบรมวงศานุวงศ์แลข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือนเข้าเฝ้าพร้อมกันกราบถวายบังคม เจ้าพนักงานประโคมมโหรทึกแตรสังข์ กลองชนะ ครั้นสุดเสียงประโคมแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินลงประทับ ณ พระแท่น แล้วมีพระบรมราชโองการดำรัส ประกาศโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์แลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ฝ่ายทหารพลเรือน เปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งหมอบเฝ้าเหมือนอย่างแต่ก่อนมานั้น ให้ยืนเฝ้าตามตำแหน่งโดยลำดับ จะไม่ใช้ธรรมเนียมหมอบคลานอีกต่อไป ครั้นทรงประกาศพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์ แลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ฝ่ายทหารพลเรือน เปลี่ยนธรรมเนียมยืนเฝ้าเสร็จแล้ว ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือน กราบถวายบังคมอีกสามครั้ง แล้วยืนขึ้นพร้อมกันจำเพาะตรงที่ที่หมอบอยู่นั้น มิได้เคลื่อนถอยหน้าถอยหลังไปมาได้ เมื่อยืนขึ้นพร้อมกันเป็นปรกติแล้ว ก้มศีรษะถวายคำนับครั้งหนึ่งจงทุกคน จึงพระบรมวงษ์เธอ กรมหลวงเทเวศวัชรินทร กราบทูลพระกรุณาถวายไชยมงคล แลขอบพระเดชพระคุณซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวงยืนเฝ้า เสร็จแล้วท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ สมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศยรัตโนดม ซึ่งได้สำเร็จราชการแผ่นดิน กราบทูลพระกรุณาถวายไชยมงคลขอบพระเดชพระคุณ ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ยืนเฝ้าตามตำแหน่ง

ครั้นท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ สมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศยรัตโนดม ซึ่งได้สำเร็จราชการแผ่นดินกราบทูลเสร็จแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการดำรัส ประกาศที่จะพระราชทานเครื่องอิสริยยศตราจุลจอมเกล้า กับพระบรมราชวงศานุวงศ์ แลข้าราชการซึ่งมีตระกูลได้รับพระราชทานพานทอง แลผู้ซึ่งได้สืบตระกูลทำราชการฉลองพระเดชพระคุณมาช้านาน ตามผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยลำดับ เมื่อทรงประกาศพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศเสร็จแล้ว กงสุลต่างประเทศผู้ใหญ่กราบทูลพระกรุณา ถวายไชยมงคลแทนกงสุลต่างประเทศทั้งปวงที่ได้เข้าไปเฝ้าในเวลานั้น กราบทูลถวายไชยมงคลเสร็จแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสตอบขอบใจกงสุล ซึ่งเข้ามาเฝ้าพร้อมกันถวายไชยมงคล ครั้นทรงตอบกงสุลต่างประเทศเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่พระมหามณเฑียร ครั้นเวลาบ่ายเสด็จพระราชดำเนินทางข้างใน ไปพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ถวายบังคมพระรูปสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๔ แผ่นดินแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการ รับสั่งให้หาผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานเครื่องอิสริยยศเข้าไป แล้วพระราชทานเครื่องอิสริยยศนั้น ผู้ซึ่งเข้าไปรับเครื่องอิสริยยศ ก้มศีรษะถวายคำนับครั้งหนึ่งก่อน แล้วจึงเดินตรงเข้าไปหน้าพระที่นั่งพอสมควรแล้วก้มศีรษะถวายคำนับอีกครั้งหนึ่ง แล้วคุกเข่าซ้าย ตั้งเข่าขวา ก้มศีรษะคอยรับพระราชทานเครื่องอิสริยยศนั้น เมื่อพระราชทานทรงสวมเครื่องอิสริยยศให้แล้ว แลท่านผู้นั้นยืนขึ้นก้มศีรษะถวายคำนับอีกครั้ง หนึ่งแล้วเดินถอยหลังออกมาสามก้าว ฤๅห้าก้าว เจ็ดก้าวพอสมควร แล้วจึงกลับหน้าเดินไปยืนตามที่ยืนเฝ้าอยู่ตามเดิม

ครั้นพระราชทานเครื่องอิสริยยศ ต่อพระบรมราชวงศานุวงศ์ แลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้นัอยเสร็จแล้ว เวลาบ่าย ๕ โมง ตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน บายศรีตอง หน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ข้าทูลอองธุลีพระบาทฝ่ายหน้าฝ่ายใน พร้อมกันเวียนเทียนสมโภชพระที่นั่งตามขัติยราชประเพณี ครั้นเวลาสองทุ่มเสด็จพระราชดำเนินออกอนันตสมาคม ประทับบนพระแท่นโทรน เมื่อเวลาท่านอัครมหาเสนาบดีแลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้าเฝ้าทูลละออง ฯ ในพระที่นั่งอนันตสมาคมนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่บนพระแท่นโทรน เจ้าพนักงานประโคม ครั้นสุดเสียงประโคมแล้ว ท่านผู้ซึ่งเข้าเฝ้าทูลละออง ฯ นั้น ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษสมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศยรัตโนดม ซึ่งสำเร็จราชการแผ่นดินเดินเข้ามาเฝ้าเป็นที่ ๑ ที่ ๒ ท่านเจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายก ที่ ๓ ท่านเจ้าพระยาสุรวงษไวยวัฒน์พิพัฒนศักดิ์ ที่สมุหพระกลาโหมที่ ๔ ท่านเจ้าพระยายมราชชาติเสนางคณรินทร ที่ ๕ ท่านเจ้าพระยาธรรมาธิกร ที่ ๖ ท่านเจ้าพระยาภาณุวงษมหาโกษาธิบดี ที่ ๗ กงสุลเยเนราลอังกฤษ ที่ ๘ กงสุลอเมริกัน ที่ ๙ กงสุลเยอรมัน ที่ ๑๐ กงสุลฝรั่งเศส ที่ ๑๑ ผู้ว่าการกงสุลโปรตุเกส ที่ ๑๒ กงสุลเดนมาร์ค ที่ ๑๓ กงสุลออสเตรเลีย ที่ ๑๔ ผู้ว่าการกงสุลฮอลันดา ที่ ๑๕ ผู้ว่าการกงสุลอิตาลี ครั้นหมดกงสุลต่างประเทศแล้ว ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเดินตามกันเป็นลำดับเข้าไปถวายคำนับต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ข้าราชการที่เคยเฝ้าอยู่ฝ่ายขวา ก็เลี้ยวไปยืนเฝ้าข้างฝ่ายขวา ข้าราชการที่เคยเฝ้าข้างฝ่ายซ้าย ก็เลี้ยวไปยืนเฝ้าข้างฝ่ายซ้าย ครั้นหมดข้าราชการแล้ว พระยาพิพัฒโกษานำชาวยุโรป ซึ่งได้รับพระราชทานเงินเดือน ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณนั้น เดินตามกันเข้าไปเฝ้าเป็นลำดับ แล้วพวกนายห้างพ่อค้าชาวยุโรปแลเจ้าพนักงานพระหลวงในกรมท่า ครั้นพวกพ่อค้าชาวยุโรปเข้าเฝ้าเสร็จแล้ว พระยาโชดึกราชเสรฐี นำจีนเจ้าภาษีนายอากรแลนายห้างพ่อค้าจีน เดินตามกันเป็นลำดับ ถึงหน้าพระที่นั่งพอสมควรแล้ว ถวายคำนับตามธรรมเนียมจีน แล้วเดินเลี้ยวไปยืนเฝ้าอยู่ข้างขวามือเรียบร้อย ครั้นเฝ้าพร้อมกันแล้วท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษสมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศยรัตโนดม ซึ่งสำเร็จราชการแผ่นดิน อ่านคำกราบทูลขอบพระเดชพระคุณของพวกข้าราชการ ที่ได้รับพระราชทานเครื่องอิสริยยศตราจุลจอมเกล้า ครั้นท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษสมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศยรัตโนดม ซึ่งสำเร็จราชการแผ่นดิน อ่านคำกราบทูลถวายเสร็จแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบ ครั้นทรงตอบท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษสมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศยรัตโนดม ซึ่งสำเร็จราชการแผ่นดินเสร็จแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการปราศรัยต่อพระบรมวงศานุวงศ์ แลท่านเสนาบดี ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย แลกงสุลต่างประเทศ กับนายห้างพ่อค้าชาวยุโรปแลจีนแต่บรรดาได้เข้าไปเฝ้าทูลละออง ฯ ในเวลานั้น ครั้นมีพระบรมราชโองการปราศรัยท่านทั้งปวงเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินออกไปประทับ ณ พลับพลาหน้าพระที่นั่งสุทไธยสวรรย์ ทอดพระเนตรดอกไม้เพลิงแลการเล่นต่าง ๆ พระราชวงศานุวงศ์แลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้นัอยแลผู้ซึ่งเข้าไปเฝ้านั้น ตามเสด็จพระราชดำเนินออกไปที่พลับพลา ทอดพระเนตรดอกไม้เพลิงพร้อมกันถอดเสื้อครุยชั้นนอกออกเสีย คงไว้แต่เสื้อยรบับ แลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้นัอยให้ตามเสด็จพระราชดำเนินออกไป ณ พลับพลา พระราชวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ผู้น้อยขึ้นไปบนพลับพลาตามเคย แลข้าราชการทั้งปวงทำถูกต้อง มิได้ผิดหมายไปแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นั้นเลย อนึ่งข้าราชการแต่บรรดาผู้ซึ่งเข้าไปเฝ้าในเวลาเสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พร้อมด้วยชาวต่างประเทศนั้น นุ่งผ้าสมปักษลายสวมเสื้อยรบับเสื้อเข้มขาบ สวมเสื้อครุยชั้นนอก สวมถุงเท้าขาว รองเท้าหนังดำมันมีเข็มขัดทุกคน มิได้สวมถุงเท้าสีต่าง ๆ ในเวลานั้น

ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันจันทร์ แรมสิบสามค่ำ เดือนสิบสอง เวลาบ่าย พระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ สวดพระพุทธมนต์ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ๒๖๒ รูป ทรงถวายไตรผ้าเนื้อดี สวดรอบกำแพงพระราชวัง ๑๔๒๘ รูป ครั้นเวลาค่ำเสด็จลงเรือพระที่นั่งทอดพระเนตรดอกไม้เพลิงที่หน้าพระตำหนักนั้นเสร็จแล้วเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ทอดพระเนตรข้าราชการแลราษฎรจุดโคมไฟตามลำน้ำ แล้วเสด็จกลับขึ้นสู่พระบรมมหาราชวัง ในการพระบรมราชาภิเศกครั้งนี้ ข้าราชการแลราษฎรจุดโคมไฟฉลองพระเดชพระคุณ ๒ คืน วันอาทิตย์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ คืนหนึ่ง วันจันทร์แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ คืนหนึ่ง รุ่งขึ้นวันอังคาร แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ พระสงฆ์เช้าฉัน บ่ายสวดมนต์ วันพุธ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เช้าฉัน บ่ายสวดมนต์ วันพฤหัสบดี ขึ้นค่ำหนึ่ง เดือนอ้าย เช้าฉัน เกณฑ์พระยาพระหลวงในพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวร ทำข้าวกระทงถวายพระสงฆ์ฉันทั้ง ๓ วัน มีงานโขน ๒ โรง หุ่น ๒ โรง ละครไทย ๒ โรง ละครชาตรี ๒ โรง งิ้ว ๒ โรง รอบพระราชวังทั้ง ๓ วัน เวลากลางคืนมีหนัง ๘ โรง ทั้ง ๓ คืน ครั้น ณ วันศุกร์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนอ้าย เวลาเช้า ๓ โมง ๕๔ นาที เสด็จพยุหยาตราทางสถลมารคเลียบพระนคร ออกประตูวิเสศไชยศรี ประทับวัดพระเชตุพน ออกจากวัดพระเชตุพน ประทักษิณรอบพระราชวัง เข้าประตูวิเสศไชยศรีตามเดิม ทหารปืนใหญ่ยิงสลุต ๒๑ นัด เดินกระบวนประทักษิณรอบพระราชวัง ครั้น ณ วันจันทร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนอ้าย เวลาเช้า ๓ โมง ๕๕ นาที เสด็จพยุหยาตราทางชลมารค ทหารปืนใหญ่ยิงสลุด ๒๑ นัด ประทักษิณรอบพระนคร เข้าคลองป้อมพระสุเมรุไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศ แล้วออกจากวัดบวรนิเวศไปตามคลองคูรอบพระนคร ไปประทับ ณ วัดอรุณราชวราราม ออกจากวัดอรุณราชวราราม มาประทับท่าราชวรดิฐ ยิงปืนสลุดอีก ๒๑ นัด เสร็จการพระบรมราชาภิเศก

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ