มหาดาผู้วิเศษ

ฤทธิ์เดชของมหาดาผู้นี้ โดยข้อเท็จจริงมิได้มีใครรู้ดีไปกว่าตัวของมหาดาเอง และอย่างน้อยก็คงได้เกิดปฏิกิริยาถึงกับเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของบ้านเมืองได้ จึงต้องชดใช้กรรมด้วยอาชญาแผ่นดิน

ในจุลศักราช ๑๑๔๑ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบางทั้งสองพระองค์ อันถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (สมัยเมื่อยังเป็นสมเด็จพระยา มหากษัตริย์ศึก) อัญเชิญมาจากราชอาณาจักรลาวขึ้นประดิษฐาน ณ โรงสมโภชริมพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม ภายในพระราชวัง ได้มีการมหรสพ ๓ วัน แล้วพระราชทานพระสังวาลย์ทองคำประดับเนาวรัตน์องค์หนึ่ง แก่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก

และในจุลศักราชนี้เอง ได้เกิดกบฏขึ้นที่วัดพระราม กรุงเก่า เรื่องมีว่า อ้ายมหาดาได้บวชอยู่วัดนั้นออกเที่ยวโฆษณาชวนเชื่อว่า ตัวเองเป็นผู้มีบุญญาธิการทำน้ำมนต์แจกจ่ายแก่ราษฎรทั้งปวง ราษฎรส่วนมากพากันหลงใหลเลื่อมใสศรัทธา สมัครเป็นพวกและลูกศิษย์เป็นจำนวนไม่น้อย นับเป็นการเอิกเกริกพอใช้ทีเดียวในสมัยนั้น มหาดาได้พวกมากแล้วก็ตั้งแต่งพวกของตนขึ้นเป็นขุนนางอย่างข้าราชการในกรุงธนบุรีแทบทุกตำแหน่ง สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เว้นเสียแต่ตำแหน่ง “เจ้าพระยายมราช" เท่านั้น มหาดาเว้นเอาไว้ ไม่ทราบว่ามีเหตุผลกลใด หรือมีเคล็ดอย่างไร ?

เมื่อผู้รักษาเมืองกรุงเก่าทราบความกำเริบของมหาดา จึงมีใบบอกลง1มากราบทูลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อพระองค์ทรงทราบ จึงโปรดให้ข้าหลวงขึ้นไปทำการจับกุมตัวอ้ายมหาดากับสมัครพรรคพวกมาได้ แล้วให้เปลื้องผ้าเหลืองออกจากร่าง เอาตัวอ้ายมหาดามาชำระได้ความสัจ จึงพระราชดำรัสว่า

“ตำแหน่งเจ้าพระยายมราชของมันยังขาดอยู่ ให้เอาเจ้าพระยายมราช (แขก) ซึ่งต้องโทษอยู่ในเรือนจำนั้น ออกมาบรรจุให้มันครบตำแหน่ง แล้วให้เอาไปประหารชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น”

ที่นี้ ลองหันมาดูจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี เกี่ยวกับเรื่องมหาดาบ้าง จะขอคัดเนื้อความและสะกดการันต์เหมือนของเดิมทุกประการดังนี้

“เดือนอ้าย ลุศักราช ๑๑๓๙ ปีระกานพศก เจ้าฟ้ากระษัตริย์ศึกเสด็จยกพยุหทัพไปตีเมืองปาศักดิ์ เมืองโขง เมืองอัตปือ กลับมาเดือน ๑๐ ปีจอสัมฤทธิศก ณ เดือนอ้าย ปีจอ กลับไปตีเมืองศรีสัตนาคนหุต ยังตั้งมั่นล้อมอยู่แรมปี ยังไม่เข้าเมืองได้ ฝ่ายผู้รักษากรุงเก่าเชื่อถือมหาดาว่า เป็นผู้มีบุญ จะมารื้อถ่ายการน้ำ จะขนทรัพย์ขึ้นสร้างวัดพระราม ผูกโครงช้างเผือกผู้งาดำ ผ้าขาวหุ้มโครง ผ้าดำหุ้มงา เพลาเย็นรอน ๆ ชูรูปช้างไว้วัตถะมุฆราช (ธรรมิกราช) คนที่ไม่รู้ด้วยในกลเชื่อถือมาก เมืองมือด่างโกหก อยู่วัดสังฆจาย ซื้อน้ำยาเสน่ห์ล่วงอาญาจักร หม้อละห้าตำลึงไปประสม มหาดาวัดพระราม ได้ แจกลงมาถึงข้างใน วิเศทต้นเถ้าแก่แม่เจ้าได้ทาด้วยหลายคน ผู้รั้งกรมการหลงเชื่อถือหมด จะได้รื้อถ่ายการน้ำก็หามิได้ มหาดาคิดล่อลวงถ่ายเททรัพย์ผู้เชื่อถือมาบุรณทำบุญด้วยเป็นอันมาก จนได้ปิดทองพระเกือบแล้ว กิติศัพท์รู้ลงมาถึงท่านราชาคณะ พระพนรัดวัดระฆังถวายพระพร รับสั่งให้นิมนต์มหาดาลงมา ณ วัดแจ้ง ให้ชุมนุมสงฆ์ไล่เลียงดู ถามกิจสมณะ มหาดาว่า จะบุรณวัดที่ชำรุดพม่าเผาเสีย จะบุรณปฏิสังขรณ์พระวิหารพระอุโบสถ พระพุทธรูปเจดียฐานขึ้นอย่างเก่าโดยสติปัญญา พระพนรัตถวายพระพร แผ่นดินต้นก็เห็นด้วย รับสั่งให้มหาดาขึ้นไปสร้างวัด อิ่มเอิบกำเริบอิทธิฤทธิ์ ว่าจะฆ่าไม่ตาย ได้กลับขึ้นไป ผู้คนหลงใหลเชื่อว่ามหาดามีบุญจริง จะขี่ช้างเผือกผู้งาดำ ขึ้นปราสาทสุริยาอำมรินทร์ เมื่อมหาดากลับขึ้นไป รับสั่งให้สุริยภักดีธรมาแดงขึ้นไปฟังดูแยบคาย ว่าจะศรัทธาจริงฤๅจะคิดเปนการแผ่นดิน ดูแยบคายให้แน่ สุริยภักดีธรมาแดง เพลาสงัดถือดาบเดินขึ้นไปบนปรางค์วัดพระราม เห็นมหาดานอนตื่นอยู่ในปรางค์แต่สองคน กับที่เรียกพระท้ายน้ำ มหาดาตกใจกลัวยกมือคำนับผิดกิจสมณะ เขาชักว่าได้เงินทองเอาไปเสียไหน มหาดาว่าถ่ายเทกัน เก่าไปใหม่มา เห็นเปนกลโกหกแน่ กลับลงมาทูล จึงรับสั่งให้เจ้าลูกเธอ กรมอินทรพิทักษ์ขึ้นไปจับ เธอเมตตาสัตว์ที่หลงทำบุญเชื่อถือมหาดา ให้ฝีพายกระทุ้งโห่ร้องขึ้นไป ที่ได้ยินเสียงอื้ออึงหนีได้มาก ที่ยังอยู่ในบริเวณวัดนั้น จับส่งลงมา ทั้งผู้รั้งกรมการกรุงเก่า ข้าราชการที่อยู่แขวงกรุงหลงเชื่อจับส่งลงมาหมด รับสั่งว่าตั้งเดโชท้ายน้ำจตุสดมภ์ ยังขาดแต่พระยายมราช อยู่ในระหว่างโทษฝากไปกับมหาดา วิเศทต้นเถ้าแก่ยายเลี้ยงที่ได้ทายาเมืองมือด่างล่วงอาญาจักรไปประจบมหาดา รับสั่งให้ประหารชีวิตรเสียด้วยกัน แต่มารดาเจ้ากับอยู่งาน ๔ คนด้วยกัน ลงพระอาญาคนละร้อยจำไว้”

เพื่อให้เนื้อความเรื่องมหาดานี้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น ขออัญเชิญบทพระราชวิจารณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ ซึ่งไขข้อความที่สงสัยมาลงพิมพ์ไว้ด้วย ความโดยละเอียดว่า

เรื่องมหาดาทำกลโกหกได้ความพิศดารออกไป ชื่อวัดซึ่งเขียนว่า ถมุฆราชนี้ คือวัดธรรมิกราช

เมืองมือด่างนี้เป็นหมออิกคนหนึ่ง ไม่มีปรากฏในพงษาวดาร ซึ่งเรียกว่าเมืองมือด่างเฉย ๆ นี้เป็นอย่างลัทธิที่เคยมี แก่แล้วจะไปเรียกอ้ายก็สงสาร เป็นผู้สมรู้กับอ้ายมหาดา

ข้อที่เรียกมหาดาลงมาชำระแล้ว หลงเชื่อปล่อยให้กลับขึ้นไปใหม่นี่ไม่ได้ลงในพงษาวดาร

สุริยภักดีธรมาแตง แปลไม่ออก จะเป็นพระสุริยภักดีคนหนึ่ง พระยาธรมาแตงคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ บางทีจะเป็นพระสุริยภักดีคนนี้ เป็นบุตรพระยาธรมาแตงได้ฤๅอย่างไร ข้อที่ว่าถ่ายเททรัพย์เก่าไปใหม่มา ดูเหมือนจะหมายความว่าเงินที่ได้รับมาแล้ว เอากลับคืนไปให้เข้าเรี่ยไรอิก เพื่อจะให้ปรากฏว่ามีคนนับถือมาก ล่อให้คนนับถือตาม

กรมหมื่นอินทรพิทักษ์ขึ้นไปจับมหาดานี้ก็ไม่ปรากฏ แต่ข้อที่ใจดีนั้นน่าจะถูกต้อง สังเกตดูเจ้าคนนี้เป็นคนอ่อน ต้องรับโทษทัณฑ์ก็มาก การทัพศึกก็ดูไม่เข้มแขง ในจดหมายบานแพนกที่ลงในหนังสือเทศาภิบาล เรียกเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ เจ้ากรุงธนบุรีจะเห็นอย่างไรอยู่ จึงได้คิดจะเอาหลบออกไปเป็นเจ้ากรุงกัมพูชา ยกเจ้าฟ้าเหม็นขึ้นเป็นเจ้าฟ้าสุพันธุวงษ์ ดูเหมือนจะเห็นการภายในว่าจะไปไม่ตลอด แลดูพระพุทธยอดฟ้าไม่ถือว่าเป็นสำคัญอันใดในเจ้าองค์นี้ เมื่อเวลายกทัพออกไปเมืองเขมรด้วยกันพร้อมกับเจ้าบุญจันท์ กรมขุนรามภูเบศร์ให้จับเจ้าบุญจันท์สำเร็จโทษ แต่เจ้าจุ้ยกรมขุนอินทรพิทักษ์นี้ ให้แต่เขมรล้อมไว้เท่านั้น ก็แหกหนีเข้าเมืองปราจิณได้ แต่ครั้นเมื่อไพร่พลทราบว่าเปลี่ยนแผ่นดินทิ้งเสีย ก็พากันหนีขึ้นไปกับพระยานครราชสีมาเก่า ซึ่งถูกเปลี่ยนสำหรับให้กรมพระราชวังหลังขึ้นไปเป็นผู้สำเร็จราชการเมือง พากันไปอาไศรยอยู่ที่เขาน้อยใกล้ปัถวี ทีจะไปอยู่นานไม่เร็วนัก ถึงปลูกต้นหมากรากไม้ไว้ ครั้นได้ตัวลงมาก็ทรงพระกรุณาโปรดจะไม่ประหารชีวิตร แต่หากตัวไม่ยอมอยู่ เห็นจะเป็นคนอ่อนมากจนไม่น่ากลัวอันตราย

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ