ดาวหาง

ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นสุริยคราสก็ตาม จันทรคราสก็ตาม หรือดาวหางก็ตาม ชาวบ้านชาวเมืองมักจะถือเป็นนิมิตร้าย และผู้ที่จะเป็นอันตรายถึงภัยพิบัติเพราะปรากฏการณ์เหล่านี้ มักจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน

โดยเฉพาะ “ดาวหาง” นั้น ควรจะเล่าประวัติความเป็นมาไว้สักเล็กน้อย เริ่มแต่สมัยซีซาร์ จอมจักรพรรดิแห่งโรมัน เมื่อตอนจะสิ้นพระชนม์ บรรดานักพยากรณ์ทั้งหลายพากันทำนายทายทักว่าบ้านเมืองจะเกิดกลียุค เพราะดาวหางปรากฏบนท้องฟ้า ผู้ยิ่งใหญ่ก็จะปิดฉากชีวิต ซึ่งในที่สุดก็ปรากฏว่า ดาวหางได้ปรากฏขึ้นตามคำทำนายของนักโหราศาสตร์เหล่านั้น ยังผลให้เกิดความแตกตื่นระส่ำระสายในหมู่ประชาชน ซีซาร์จึงได้กล่าวสุนทรพจน์ในท่ามกลางราษฎรเพื่อระงับเหตุร้ายในครั้งนั้น เขากล่าวว่า ราษฎรทั้งหลายไม่ต้องวิตกวิจารณ์ถึงเรื่องดาวหาง เพราะดาวหางปรากฏขึ้นครั้งนี้มิได้หมายความว่าราษฎรจะเดือดร้อน ความจริงเมื่อดาวหางขึ้น เป็นสัญลักษณ์ว่าผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่จะถึงแก่ความตาย ไม่เกี่ยวกับเคราะห์ของราษฎร และซีซาร์กล่าวอีกประโยคหนึ่งว่า “เมื่อคนขอทานตาย ดาวหางย่อมไม่ขึ้น” ซึ่งหมายความว่าการปรากฏของดาวหางหมายถึงซีซาร์เองจะถึงแก่กรรม อย่างไรก็ตาม ในทางพยากรณ์ศาสตร์ทั่วไปเชื่อกันว่า ถ้าดาวหางขึ้นจะเกิดเภทภัยร้ายแรงหลายอย่าง เช่นว่าเกิดข้าวยากหมากแพง จลาจลและโรคระบาดเป็นต้น รวมถึงการสูญสิ้นของบุคคลสำคัญต่าง ๆ เชกสเปียร์มหากวีของอังกฤษเองก็ได้เคยเขียนเป็นคำโคลงไว้ว่า

“เมื่อคนขอทานทั้งหลายตายนั้น ดาวหางจะไม่ปรากฏให้คนเราแลเห็นเลย”

ในเมืองไทยเราดาวหางขึ้นเมื่อรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ๒ ครั้ง ครั้งแรกสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ถึงพิราลัย อีกครั้งหนึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคต ซึ่งเป็นความจริงปรากฏในพระราชพงศาวดาร

เรื่องของดาวหางเป็นเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่ง และเมื่อฟังทัศนะของฝรั่งแล้ว ก็ควรลองฟังทัศนะของพระเจ้าแผ่นดินไทย คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์บ้าง ซึ่งทรงประกาศไว้เมื่อวันอาทิตย์ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสิบสองค่ำ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก เป็นวันที่ ๒๗๑๓ ในรัชกาลของพระองค์ มีความตามหัวข้อ “ประกาศดาวหางขึ้นอย่าให้วิตก” ดังต่อไปนี้

มีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ให้ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า วันเสาร์ เดือนสิบ แรมสิบคำ นายจบคชศิลปทรงบาศขวา ได้เห็นดาวหางดวงนี้ ครั้นวันพฤหัส เดือนสิบ แรมสิบห้าค่ำ เจ้านายแลข้าราชการจึงได้เห็นด้วยกันมาก ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงทอดพระเนตร แล้วทรงดำรัสว่า ดาวดวงนี้ทรงจำได้ว่าได้เคยมีมาแต่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อปีมะเมีย โทศก จุลศักราช ๑๑๗๒ ได้ ๔๘ ปีมาแล้ว คราวนั้นก็มาในเดือนสิบเอ็ดในทิศนี้ในราศีแลฤดูกาลเวลาเช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุอะไรนัก มีแต่ความไข้ทรพิษแลกระบือล้มมาก แลฝนแล้ง แล้วก็ได้พระเศวตกุญชรมาในปีมะแมตรีศกนั้น ถึงคนมีอายุมากได้เห็นแล้ว แต่ไม่ได้สังเกตก็จำไม่ได้ คนอายุน้อยก็ไม่ได้เคยเห็น ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจำได้แน่ แลพระยาโหราธิบดีก็จำได้ แต่ชาวประเทศยุโรปได้เห็นในประเทศยุโรปนานหลายเดือนแล้ว ได้ลงในหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เดือนหกมา แลดาวอย่างนี้มีคติแลทางที่ดำเนินยาวไปในท้องฟ้า ไม่เหมือนดาวพระเคราะห์อื่น แลดาวพระเคราะห์ทั้งปวงเป็นของสัญจรไปนานหลายปี แล้วก็กลับมาได้เห็นในประเทศข้างนี้เอง เพราะเหตุนี้อย่าให้ราษฎรทั้งปวงตื่นกัน แลคิดวิตกเล่าลือไปต่าง ๆ ด้วยว่ามิใช่จะได้เห็นแต่ในพระนครนี้ แลเมืองที่ใกล้เคียงเท่านั้นหามิได้ ย่อมได้เห็นทุกบ้านทุกเมือง ทั่วพิภพอย่างได้เห็นนี้แล

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๐๔ พระองค์ได้ทรงประกาศเรื่องดาวหางอีกลงวันจันทร์ เดือน ขึ้น ๑ ค่ำ ปีระกา ตรีศก ความว่า

มีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาทให้ประกาศแก่ราษฎรผู้ใหญ่ผู้น้อย แถราษฎรไทยจีนทั้งปวงให้ทราบทั่วกันว่า ในปีระกาตรีศกนี้ จะมีดาวหางมาคล้ายกันกับปีมะเมีย สัมฤทธิศก แต่การคำนวณดาวหางนี้ จะทราบละเอียดว่าจะมาวันไร จะอยู่เท่าไร ยังคำนวณไม่ถูกเป็นแน่ได้ เมื่อจดหมายสงกรานต์จะใส่ก็ไม่ทัน เพราะคำนวณจะเอาเป็นแน่ยังไม่ได้ ของอย่างนี้กว่าจะรู้ได้โดยคำนวนล่วงหน้า แต่ว่าลางสิ่งก็ได้ละเอียดดังสุริยอุปราคา แลจันทรอุปราคา ลางสิ่งที่เป็นแต่รู้ได้ว่าจะเป็นจะมี เพราะฉะนั้น ถ้าใครเห็นอย่าให้ตกใจว่ากระไรวุ่นวายไป วิสัยของแปลกประหลาดในอากาศมีมา ถ้าจะมีโทษที่เคยเห็นให้เกิดเหตุสองอย่าง ให้ฝนแล้งในฤดูฝน หรือจะให้ฝนตกมากเกินปรกติไปอย่างหนึ่ง จะให้เกิดความไข้ต่าง ๆ แก่คนหรือช้างม้าโคกระบืออย่างหนึ่ง เหมือนอย่างเช่นดาวหาง ซึ่งมีมาเมื่อปลายปีมะเมียสัมฤทธิศกนั้น ที่เกิดเหตุแต่กระบือตายมากอย่างหนึ่งแล้ว ในฤดูฝน ปีมะแมฝนก็แล้ง ครั้นปลายปีมะแม แลต้นปีวอก ก็มีความไข้ลงราก ก็ถ้ากลัวแต่เหตุอย่างนี้ ก็ให้เตรียมตัวต่อสู้เหตุอย่างนี้ คือว่ากลัวฝนแล้ง เมื่อฝนยังมีอยู่ก็ให้รีบทำนาเสีย ทำข้าวไร่ ข้าวหางม้า ข้าวสามเดือน ทันสารทไปตามได้ตามมี ที่ไม่ได้ทำนา มีพี่น้องบุตรภรรยาบ่าวไพร่มาก ก็ให้จัดซื้อข้าวเก็บเตรียมไว้ให้พอกิน อย่าตื่นขายเสียนัก ถ้ากลัวความไข้ว่าเกลือกฝีดาษจะชุม ตัวใครแลบุตรหลานใครยังไม่ได้ออกฝีดาษ ก็ให้รีบพามาปลูกฝีดาษที่โรงทานนอกก็ดี โรงหมอท่าพระก็ดี ศาลาวัดสุทัศน์เทพวรารามก็ดี เสียโดยเร็ว อย่าให้ทันฝีดาษมีมา ถ้ากลัวว่าไข้ลงรากจะมีมา ก็ให้ขัดตัวปฏิบัติเสียให้สะอาด ๆ อย่าทำให้สกปรกโสมมตามเคยตัวนัก หาที่หลับที่นอนที่สะอาด ใช้หาเครื่องซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกลิ่นร้าย คือกำยานการบูรเตรียมไว้ เมื่อความไข้มีมา สุมรุมเหย้าเรือนผ้านุ่งผ้าห่มเสีย ให้กำจัดพิษอากาศที่ร้ายกระจายไป แลหายาที่เคยเชื่อถือเตรียมไว้ใกล้ ๆ เผื่อทุกค่ำคืนจะได้ใช้แก้ไขกัน น้ำละลายการบูรกินกัน ทาตัวกัน ถ้ากลัวไข้จับสั่นก็หาน้ำการบูรไว้ ปวดหัวตัวร้อนเล็กน้อย ก็ให้กินน้ำการบูรแลเอาน้ำการบูรทาฝ่ามือฝ่าเท้าเสียเล็กน้อยก่อน อย่าปล่อยให้เป็นมากไปหรือ ใครรู้เห็นยาอะไรว่าดีก็หาไว้ หรือแรกจะเป็นเมื่อยขบ เท้าเย็น ปวดศีรษะเล็กน้อย ก็อย่าเชื่อหมอว่าลมว่าเส้นไป อย่าเพ่อกินร้อนเข้าไปอย่ากินอาหารที่หวานที่มันมากนัก รีบรุถ่ายเสียด้วยดีเกลือ อย่าใช้ยาสลอดให้แสลงไข้ไป พื้นปากพื้นใจของหมอพอใจพูดแต่ว่าลม เอายาร้อนแก้ อนึ่งบ้านเมืองมีไข้เจ็บ ซึ่งเป็นเหตุให้คนตายอย่างไร จะมากเมื่อไร ให้คอยระวังสืบที่ป่าช้าที่มีศพไปเผามาก ๆ อยู่ทุกวันเนือง ๆ จะได้ความจริง

พระเจ้าแผ่นดินนั้น คนทั้งปวงยกย่องตั้งไว้เป็นที่พึ่ง ใครมีทุกข์ร้อนถ้อยความประการใด ก็ย่อมมาร้องให้ช่วย ดังหนึ่งทารกเมื่อมีเหตุแล้ว ก็มาร้องหาบิดามารดา เพราะฉะนั้น พระเจ้าแผ่นดินชื่อว่าคนทั้งปวงยกย่องให้เป็นบิดามารดาของตัวแล้ว ก็มีความกรุณาแก่คนทั้งปวง ทั้งหนึ่งบิดามารดากรุณาแก่บุตรจริง ๆ โดยสุจริต จึงกล่าวสั่งสอนมาให้รักษาตัวรักษาชีวิตในเหตุที่น่ากลัวจะเป็นแลมีตัวอย่างเคยเป็น แต่ฝ่ายราษฎรไทยจีนเป็นอันมากทั้งปวงนี้ เป็นคนถือผีถือสาง ถือมาถือหมอดู คนกลัวอะไรมาก อยากอะไรมาก คนทรงผีแลหมอดูก็พอใจเอาสิ่งนั้นมาว่ายุแยงให้คนอื่นไปต่าง ๆ เมื่อเห็นดาวหางครั้งก่อนมีมา ก็พอใจลือกัน ว่าเจ้าจะตายนายจะล้ม ผู้มีบุญจะมา บ้านเมืองจะเป็นจลาจล ผู้คนจะเกิดรบพุ่งกัน พอใจว่าดังนี้จนตื่นกันไปเปล่า ๆ เป็นนักเป็นหนา เหมือนอย่างครั้งปีมะเมีย สัมฤทธิศกนั้น เหตุเช่นนั้น ก็ไม่ได้เป็นได้มีเลย เราเคยจับปดคนทรงผีแลหมอดูได้แล้วไม่ใช่หรือ

เมื่อพิเคราะห์ใคร่ครวญดู โดยเหตุดาวหางเป็นของมาบนฟ้าเมื่อจะให้โทษให้คุณอย่างไร ก็จะให้โทษให้คุณแก่สัตว์แก่คนที่อยู่ใต้ฟ้าเพรื่อไป ผู้ใดปฏิบัติตัวไม่ดี ไม่มียาที่จะแก้ป้องกันกินทาซึมซาบอยู่กับกาย เป็นผู้ไม่สบายมีโรคภัยเล็กน้อย ที่เป็นช่องจะให้พิษเช่นนั้น แล่นเข้าไปในกายให้เกิดเจ็บไข้ได้ ความไข้ก็ต้องแก่ผู้นั้นไม่เลือกหน้าว่าใคร ก็ดาวหางมาบนฟ้า โกรธขึ้งหึงสาพยาบาทอาฆาตแค้นอะไรอยู่กับเจ้านายมาแล้ว จะได้มาตรงใส่เอาเจ้านายทีเดียวไม่เห็นจริงด้วย

ซึ่งผู้คนจะรบพุ่งกันนั้น จะมีเหตุก็เพราะคนที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดความ เหมือนอย่างเจ้าเวียดนาม ฝรั่งมาขอทำสัญญาไมตรีดี ๆ เหมือนอย่างเช่นมาทำกับเมืองไทย ก็ไม่รับไม่ยอม ทำถุ้งเถียงเกะกะไป จึงก่อเหตุให้รบกันกับฝรั่ง ถ้าจะรับทำสัญญาเสียดี ๆ เหมือนอย่างเมืองไทยทำแล้ว ก็มิสบายอยู่อย่างเมืองไทยหรือ เพราะฉะนั้น เห็นว่าซึ่งผู้คนจะรบกันนั้น ก็เป็นเพราะคนด้วยกันก่อเหตุขึ้นเอง ดาวหางไม่ได้มายุใครให้รบกัน ถ้าราษฎรตื่นเล่าลือไปเช่นนั้น คนสิ้นคิดลางคนที่เป็นพาล อยากจะให้การที่ตัวประสงค์เป็นสมใจ พลอยก่อเหตุต่อไปเหมือนอย่างเมื่อครั้งปีมะเมีย สัมฤทธิศก มีอ้ายมีชื่อคนหนึ่ง มีหนี้อยู่มาก แลเป็นทาสท่านผู้อื่นอยู่ เมื่อรู้ว่าราษฎรแตกตื่นเล่าลือกันต่าง ๆ ไปเป็นอันมาก ก็อยากจะให้เป็นจริงดังว่า ด้วยเข้าใจว่าบ้านแตกเมืองตื่นแล้ว คนทั้งปวงก็จะพลัดกันไปหมด จะได้พ้นหนี้พ้นทาสผู้อื่น นั่งคอยนอนคอยจะให้เหตุบังเกิดมี เมื่อเหตุไม่มีมา กลั้นความปรารถนาไม่ได้ ก็เอาไฟไปเที่ยวลอบจุดบ้านเรือนโรง ด้วยคิดว่าเมื่อไฟเกิดขึ้นแล้ว คนที่เตรียมจะตื่นก็จะได้ตื่นไปเป็นเหตุขึ้น ให้สมดังราษฎรลือ อ้ายมีชื่อผู้นั้นเอาไฟไปจุดติดขึ้นที่ถนนสี่กั๊กเสาชิงช้า กองตระเวนจับได้ พิจารณาเป็นสัตย์ ท่านเสนาบดีปรึกษาให้เอาไปประหารชีวิตเสีย เพราะฉะนั้น ครั้งนี้เห็นดาวหางอย่าพากันตื่นเล่าลือเช่นนั้นไป เกลือกจะเป็นเหตุให้อ้ายคนพาลเช่นนั้นทิ้งฟืนทิ้งไฟ หรืออ้ายผู้ร้ายบางพวกอยากปล้นเหย้าปล้นเรือน เมื่อเห็นว่าใจราษฎรไม่สโมสร คิดฟั่นเฟือน คิดครั่นคร้ามไปต่าง ๆ จะไม่ใคร่ช่วยกันแล้ว ก็จะควบคุมเป็นพวกกันปล้นเหย้าปล้นเรือนที่เปลี่ยว ก่อเหตุต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ขอให้ข้าราชการแลราษฎรทั้งปวง รักษาตัว รักษาใจ รักษาเหย้า รักษาเรือน แลทรัพย์สมบัติโดยปรกติ อย่าเชื่อมดถ่อหมอดูคน ทรงผีว่าอย่างนี้อย่างนั้น เพราะดาวหางที่จะขึ้นในปีนั้นเลย ดาวหางจะมีมาปีไร มนุษย์ที่มีความรู้เขาคำนวณดูรู้เรียกก่อนแล้ว เหมือนกับทายสุริยอุปราคา จันทรอุปราคา ก็วิชานี้หมอดูที่เที่ยวหากินอยู่ก็ดี คนทรงผีก็ดีไม่รู้ ทายสุริยทายจันทร์ก็ทายไม่ได้เลย มิใช่หรือ

ตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาจนกาลบัดนี้ ดาวหางมาปรากฏในท้องฟ้าก็หลายครั้งหลายที ก็เห็นมีแต่วัวตาย ควายล้ม ฝนแล้ง ฝนเกินนั้น แลเป็นผลใกล้กับกาลเมื่อดาวหางมาแทบทุกครั้ง แลเมื่อเปลี่ยนแผ่นดินทั้งสามคราวนั้น ดาวหางก็ไม่มี ไม่เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นอันตรายเพราะดาวหาง เหมือนอย่างแผ่นดินไหวเหมือนกัน นาน ๆ ก็มีมา ลางทีก็ไหวมาก ลางทีก็ไหวน้อย เวลาแผ่นดินไหวนั้น ห่างกันบ้าง ชิดกันบ้าง มีมาทุกแผ่นดิน ก็มิได้มีเหตุอะไรแก่บ้านเมืองในปีเมื่อแผ่นดินไหว ท่านทั้งปวงที่เกิดทีหลัง ๆ ไม่ได้สังเกต สืบผู้หลักผู้ใหญ่ไปก็รู้ได้เหมือนดังว่า

อนึ่งในปีมะเมีย สัมฤทธิศกนั้น ราษฎรลือกันว่า เห็นพระอาทิตย์เป็นสองดวง การนั้นไม่จริง เป็นการล่อลวงของคนที่อยากจะให้คนตื่น คิดอ่านซ่อมแซมแต้มเติมเข้า คนเอาแว่นตาลนควันได้แล้วใส่เข้าดูเงาพระอาทิตย์ ในกระจกฉายเงาพระอาทิตย์ จับที่แว่นตาลนควันได้นั้นก็ตลบลงไปปรากฏในกระจก เห็นเป็นสองดวงสามดวงขึ้น ใครทำอย่างนั้นหันหน้าให้ถูกทิศที่จะเห็นอย่างนั้นเมื่อไรก็เห็นเมื่อนั้น เป็นอุบายของคนที่อยากจะให้คนตื่นแกล้งยุกันดอก ได้ทดลองแล้ว บอกมาจริง ๆ อย่าตื่นไป

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ