วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ดร

บ้านซินนะมอน ฮอลล์, ปีนัง.

วันที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖

ทูล สมเด็จกรมพระนริศรฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัดถ์ฉะบับลงวันที่ ๓ จดหมายฉะบับนี้จะทูลสนองข้อความในลายพระหัตถ์นั้นก่อน

๑. พระราชกำหนดเรื่องเจ้านายทูลลานั้น หม่อมฉันก็ทราบอยู่และตั้งใจจะให้ลูกเต้าปฏิบัติรักษาพระราชกำหนด แม้จะมีผู้อื่นบังอาจอ้างว่าไม่จำเปน ลูกของหม่อมฉันใครจะมาคงจะไปทูลลาท่านทุกคน ถ้าทรงพระดำริเห็นว่าควรจะทำอย่างไรจะเปนการถูกต้อง ก็ขอได้โปรดทรงพระกรุณาแนะนำสั่งสอน คงจะไม่มีใครไม่เชื่อฟังเสด็จอาว์ ส่วนหม่อมฉันก็ขอมอบธุระในเรื่องนี้ถวายไว้ด้วยทีเดียว

๒. ที่ทรงสืบอธิบายพิธี Thai Pusam ได้จากพราหมณ์ศาสตรี ว่าเปนพิธีบูชาเทวดาตามนักขัตฤกษ์ มิใช่ฉะเพาะเทพเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดนั้น ทำให้หม่อมฉันเข้าใจแจ่มแจ้ง ด้วยมีความสงสัยอยู่ที่เทวสถานถนนน้ำตกไม่มีรูปและเครื่องหมายของพระเปนเจ้าทั้ง ๓ องค์องค์ใด มีแต่รูปและเครื่องหมายของพระขันธกุมาร ตามอธิบายของพราหมณ์ศาสตรีก็คือสถานนั้นสร้างขึ้นสำหรับพระขันธกุมาร พิธีที่ทำ ณ ที่นั้นก็เพื่อบูชาพระขันธกุมาร เข้ารูปกันได้ดี ยังมีปรารถนาต่อไปว่าจะไปดูเทวสถานอื่นอีก ด้วยสังเกตเห็นมีเทวสถานในเกาะปีนังนี้ แต่ที่ทำเปนยอดปรางค์สัก ๗ - ๘ แห่ง จะต้องคิดหาคนนำทางก่อน

๓. ที่ปีนังนี้ยิ่งอยู่นานวันมีเวลาได้สังเกตการต่าง ๆ มากขึ้นเห็นเปนเมืองแปลก จะเรียกว่าไม่เปนเมืองของชนชาติใดเลยก็ว่าได้ ด้วยชาวปีนังที่เปนพวกมากมีหลายชาติ ต่างอยู่ตามความนิยมของตนไม่เจือปนกัน จะกล่าวถึงแต่ที่เปนพวกใหญ่ คือ

ก. ฝรั่งเปนนาย แต่บรรดาฝรั่งมาอยู่เพียงประกอบการอาชีพชั่วคราวแล้วกลับไปบ้านเมือง มิใคร่มีใครคิดฝังรกรากสืบสายอยู่ที่ปีนังเหมือนอย่างที่เมืองออสเตรเลียและอเมริกา

ข. พวกจีนจำนวนมากกว่าพวกอื่น และตั้งฝังรกรากอยู่ที่ปีนัง แต่ก็ยังถือตัวว่าเปนจีน

ค. พวกแขกชาวอินเดียฝ่ายใต้ที่ถือสาสนาพราหมณ์ ก็มาอยู่เพื่อประกอบการอาชีพ

ฆ. พวกแขกชาวอินเดียฝ่ายเหนือที่ถือสาสนาอิสลาม ก็มาอยู่เพื่อประกอบการอาชีพ

ง. พวกมลายูซึ่งเปนชาวเมืองเดิมมีน้อยกว่าจีน และตั้งอยู่กระจัดกระจาย ไปทั่วเกาะ ไม่มีใครมั่งคั่งเปนปึกแผ่น

จ. ไทยเขาว่ามีจำนวนถึง ๕๐๐ - ๖๐๐ ข้อนี้ก็น่าจะเปนความจริงด้วยมีวัด ถึง ๕ - ๖ วัด แต่ว่ามาใช้เครื่องแต่งตัวเปนชาติอื่น พบเห็นจึงไม่ใคร่รู้จักได้ว่าเปนไทยเว้นแต่ถึงได้พูดจากัน หม่อมฉันเคยข้ามไปเที่ยวที่ Butterworth ให้หญิงเหลือไปซื้อตั๋วเรือจ้าง เข้าไปพูดอังกฤษกับคนขาย คนขายตั๋วถามว่า “ในกรมจะเสด็จด้วยหรือ” จึงได้รู้ว่าเปนไทย ครั้นข้ามไปถึงฝั่งโน้นมีนายโปลิศแต่งเครื่องแบบอังกฤษตรงเข้ามาหาคน ๑ ถามว่า “ใต้เท้าจะไปไหน” พูดกันต่อไปจึงได้ความว่าเปนแขกครัวอยู่ที่มหานาค พอออกจากโรงเรียนก็มาหากินอยู่ที่นี่จนได้เปนนายโปลิศดังนี้

หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่รู้สึก “เยือกเย็น” ด้วยไม่ได้พบปะสนทนากับพระเจ้าพระสงฆ์ เห็นพระเดินอยู่ตามถนนบ่อย ๆ จึงสืบสวนหาพระที่ควรคบหาสมาคม ก็ไม่ได้ข่าวว่ามีองค์ใดซึ่งน่าเลื่อมใส ได้ยินสรรเสริญกันองค์หนึ่งชื่อ ขรัวตาสีแก้ว เปนอธิการอยู่วัดหนึ่งแต่องค์เดียวด้วยไม่ยอมรับอนุจรที่ไม่เคร่งครัด หม่อมฉันได้พบตัวครั้งหนึ่งเห็นอายุจะกว่า ๘๐ ปี ลองปราสัยก็ปรากฏว่าหูหนวกหนักเสียยิ่งกว่าตัวหม่อมฉันก็ท้อใจ ด้วยจะไปสนทนาก็จะไปตะโกนประชันกัน จึงยังมิได้คบหาสมาคมกับพระภิกษุองค์ใด ได้ลองแวะเข้าไปดูวัดก็ไม่เกิดความเลื่อมใส ด้วยกระบวรที่สร้างและปูชนียวัตถุดูปะปนกันทั้งอย่างไทยและจีนและพะม่า แต่มาคิดดูก็น่าสงสาร มาอยู่เมืองที่ปราสจากเอกอัครสาสนูปถัมภกอย่างนี้ ก็ต้องเปลี่ยนอาชีพไปตามขนบธรรมเนียมของชาวเมือง เขาเล่าว่าถ้าใครไปนิมนต์พระไปทำบุญที่บ้าน ต้องว่าเหมากันเปนค่าจ้างทำนองเดียวกับทำพิธีในวัดโรมันคาโธลิค ข้อนี้ก็เห็นจะได้ไทยธรรมไม่พอกิน เมื่อหม่อมฉันมาคราวก่อนกงสุลได้เคยพาพระมาร้องทุกข์หวังจะให้หม่อมฉันช่วยพูดจากับรัฐบาลอังกฤษ เรื่องกรณีนั้นเกิดที่วัดปูโลติกุสซึ่งกวีนวิคตอเรียพระราชทานที่ให้สร้างวัดนี้แต่โบรมโบราณ รัฐบาลให้ไทยที่อยู่ที่นี่เลือกกันเปนมรรคนายก ครั้นจำเนียรกาลนานมาที่นี่ราคาขึ้น มรรคนายกตัดที่เขตต์วัดให้คนเช่าได้ผลประโยชน์จ่ายบำรุงวัดตามแต่มรรคนายกเห็นสมควร เมื่อเกิดผลประโยชน์เช่นนั้น ตำแหน่งมรรคนายกก็เลยประจำสำหรับสกุล และตั้งบ้านเรือนอยู่ในวัดสืบมาจนทุกวันนี้ มีไทยอีกพวกหนึ่งซึ่งไม่ชอบกับผู้เปนมรรคนายก มาเสี้ยมสอนให้พระร้องทุกข์ว่ามรรคนายกไม่จ่ายเงินผลประโยชน์เลี้ยงพระตามสมควร หม่อมฉันเห็นว่าเปนเรื่องวิวาทกันจึงไม่รับเปนธุระ ถามพระอธิการที่มานั้นว่าบวชมาแต่สงขลา พึ่งมาอยู่ได้ไม่ช้านัก แต่ปลาดอยู่อย่างหนึ่งที่พระสงฆ์ในปีนังนี้ห่มแหวกอย่างธรรมยุติทั้งนั้น น่าจะเปลี่ยนจากห่มคลุมตามพระสงฆ์มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลภูเก็ตซึ่งเจ้าคณะมณฑลได้มาบัญญัติขึ้นไม่ช้านัก หม่อมฉันอยากจะบ่นเลยไปว่ายังเสียดายไม่หาย ที่สมเด็จพระมหาสมณ ฯ ทรงชักชวนให้พระมหานิกายห่มแหวก ถ้าคงได้อยู่อย่างเดิมจะเปนหลักฐานดีกว่า

๔. เมื่อเร็ว ๆ นี้มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นดูขันดี คือเมื่อชายดิศศานุวัติยังถูกขังอยู่ หญิงมารยาตร์ต้องทำการส่งเงินแทน ครั้งหนึ่งเธอซื้อดร๊าฟส่งมา ในใบดร๊าฟสั่งให้จ่ายเงินแก่ ม.จ.พัฒนายุ หม่อมฉันไม่มีใครอื่นใช้จึงให้หญิงเหลือไปขึ้นเงินเอง พวกเสมียนแบงค์เห็นเปนหญิงสาวแปลกตาไม่เชื่อว่าเปนผู้มีชื่อในใบดร๊าฟ จะเรียกหนังสือเดินทางตรวจรูปพิศูจน์ แต่ในเวลาเมื่อทุ่มเถียงกันอยู่นั้นตัวฝรั่งนายแบงค์มาเห็นเข้า จะเปนด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งยอมเชื่อ หญิงเหลือรับเงินมาได้โดยไม่ต้องพิศูจน์ ครั้นต่อมาเมื่อชายดิศหลุดออกมา ได้ซื้อดร้าฟส่งมาคราวหลัง ในใบดร้าฟสั่งให้จ่ายเงินแก่ ม.จ.เหลือ คราวนี้เกิดความ แบงค์ว่าได้เคยจ่ายให้ชื่อพัฒนายุแล้วจะมารับในชื่อเหลือไม่เชื่อ เมื่อพยายามชี้แจงว่ามี ๒ ชื่อ เปนชื่อตั้งสำหรับตัวพัฒนายุ และเปนชื่อเรียกในสกุลว่า เหลือ ก็ไม่ยอมจ่ายเงินให้ ตกลงนายแบงค์เกลี่ยไกล่ว่าต้องให้กงสุลสยาม หรือผู้ใดอื่นซึ่งเขาเชื่อถือ เซ็นรับรองไปจึงจะยอมจ่ายเงิน หญิงเหลือไม่ไปหากงสุลสยามด้วยเกรงว่าจะไม่รับช่วยในหน้าที่ราชการ ไปขอให้ผู้จัดการห้างอิสตเอเซียติคซึ่งเปนกงสุลเดนมารคอยู่ด้วยรับรอง เขาก็ยินดีทำให้ตามประสงค์ จึงรับเงินมาได้.

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ