วันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๗๖

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัดถ์ลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ กับลงวันที่ ๑ และที่ ๓ มีนาคม รวม ๓ ฉะบับด้วยกัน เกล้ากระหม่อมได้รับประทานแล้ว

เรื่องขอลูกสาวให้ชายดิศ เธอหาฤกษมาให้ ได้ไปขอแล้วเมื่อวันที่ ๘ ท่านก็ให้แล้วเมื่อวานนี้วันที่ ๙ ก็ได้พาชายดิศไปให้สวมแหวนหมั้นเปนการสำเร็จไปชั้นหนึ่งแล้ว ยังเหลือแต่การแต่งงานสมรส เจ้าจอมมารดาท่านอยากจะให้แต่งกันเสียโดยเร็ว ท่านเห็นว่าหมั้นทิ้งค้างไว้นานมิได้เลี้ยงดูกันฉันสามีภริยานั้นใกล้ต่อภยันตราย เกล้ากระหม่อมก็เห็นชอบด้วย จึงรับปากต่อท่านว่าจะนำความมากราบทูล ขอได้ทรงพระดำริตบแต่งเสีย ความยากดีมีจนเห็นจะไม่สู้เปนไร ฝ่ายเจ้าจอมมารดาดูท่านก็มิได้คำนึงถึง

งานพระศพพระองค์อรุณและพระองค์อรประพันธ์ ดูก็คึกคักพอสมควร ไม่ร่องแร่งมิได้

ยาโกนหนวดซึ่งทรงพระเมตตาโปรดฝากพระยาปฏิพัทธเข้าไปประทานนั้นได้รับด้วยดีแล้ว เปนพระคุณล้นเกล้า ได้ลองใช้รู้สึกว่าเหนียวมากและร้อนมากด้วย เพราะผสมน้ำมันบ้อฮออิ๊วไว้ในนั้น สู้โบลเลไม่ได้ ยาฝรั่งเศสที่ตรัสว่าเคยทรงใช้หมดลงนั้นเรียกชื่อว่าอะไร โบลเลนั้นหรือมิใช่ ถ้าได้ทราบชื่อจะจัดหาส่งมาถวาย

งานจีนแห่เจ้าที่ปินังตามที่ตรัสเล่านั้น ดูจะไปทำนองเดียวกับที่เคยมีในกรุงเทพ ฯ แต่ก่อน แต่ที่กรุงเทพฯ ดูเปนเชิญเจ้าทุกศาลรวมกันแห่ไป ที่ปินังเป็นแห่เจ้าองค์เดียว ยังไม่ได้พบพระเจน ได้ลองถามเจ๊กเชงคนงานที่บ้านดู เพราะเกล้ากระหม่อมติดจะนับถือ ด้วยแกรู้หนังสือจีนพอใช้ แกว่าเปนงานปีใหม่ของเขา (เห็นจะได้แก่สงกรานต์ของเรา ตรุสจีนเปนงานสุดสิ้นปีเก่า) เจ้าตั้วเป๊กก๋งนั้นแกไม่รู้จัก แต่คงเปนเจ้าใหญ่ที่สุดที่เขานับถือกันในปินัง ตั้ว แปลว่าใหญ่ปรากฏอยู่แล้ว ที่ว่านี้เห็นจะถูกต้องเช่นว่า ซัมป๊อกง ของเรา ชาวปินังก็เห็นจะไม่รู้จักเหมือนกัน

เรื่องอ้ายแขกกลิงทำสวนส่งเดชตามที่ตรัสเล่านั้น น่าสังเวชจริง ๆ ต้องว่ามันเปนบ้า มันจึงได้ประพฤติเช่นนั้น มันอยู่ได้ก็เพราะเราจ้างมันไว้ แล้วมันจะสังหารเราผู้จ้าง แล้วมันจะได้อะไรกิน เท่ากับต่อยหม้อข้าวของมันเอง เห็นจะไม่เลวทรามเช่นนั้นทุกคนไป อ้ายบุญเรือนของแม่โตเรียบร้อยเปนราชการมาก มันชื่ออะไรเสียงดังคล้ายบุญเรือนก็เลยเรียกเอาง่าย ๆ ว่าอ้ายบุญเรือนมันก็ยอมรับ คืออ้ายแขกกลิงคนที่แม่โตจ้างมาใช้อยู่ที่บ้านหาดใหญ่ ได้ทอดพระเนตรเห็นมันอยู่แล้ว พอเรากำหนดจะกลับบ้าน มันก็ตั้งกองรบเร้าแม่โตจะขอตามไปอยู่กรุงเทพ ฯ ด้วย แม่โตจะว่ากล่าวเป่าปัดสักเท่าไรมันก็ไม่ฟัง พูดถึงเงินมันก็ว่าจะให้เท่าไรก็ได้ จะใช้งานอะไรก็เอาทั้งนั้น แม่โตเสียไม่ได้ก็พามันไปไว้บ้านคลองเตย ให้อยู่กินกับพวกบ่าว ๆ ให้เงินเดือนใช้เดือนละ ๘ บาท ให้ทำการจีปาถะ มันทำตามใจด้วยภักดีพอใจทุกอย่าง ออกจะมีกัลยาอาจเปนมหาดเล็กในวันหน้าก็ได้

เกล้ากระหม่อมจะกราบทูลด้วยเรื่องแขกกลิง ซึ่งเกล้ากระหม่อมเข้าใจผิดไป และฝ่าพระบาทตรัสถึงแขกกลิงก็เปนการเข้าพระทัยผิดไปเหมือนกัน สาเหตุที่จะรู้ผิดนั้นเพราะอ่านรายงานพระยาวิชิตวงศ์ บันทึกเหตุการตามทางเสด็จพระราชดำเนินตอนถึงเมืองลังกา มีกล่าวถึงแขกทมิฬ จึงเกิดสดุดใจสงสัยขึ้นว่าแขกทมิฬกับแขกกลิงนั้นจะเปนแขกชะนิดเดียวกันกระมัง หากเรียกตามชาติก็เรียกว่าทมิฬ หากเรียกตามแคว้นคือกริงคราษฎร์ก็เปนแขกกลิง อยากรู้จนอดไม่ได้ต้องถามตาพราหมณ์ศาสตรี ได้ความมาพิลึก แกว่าแขกกลิงความจริงนั้นควรจะเปนชาวกลิงคราษฎร์ แต่เมืองกลิงคราษฎร์นั้นตั้งอยู่ห่างจากพวกชาวทมิฬไปข้างเหนือมาก ไม่น่าจะปะปนกันใดเลย แต่เมื่อแกผ่านมลายูเข้ามากรุงเทพฯ ได้ยินพวกแขกมลายูเรียกแขกทมิฬว่ากลิงก็รู้สึกแปลกใจ จึงได้สอบถามใครต่อใครที่นั้นหลายคน ได้ความว่ากลิงนั้นหมายความว่ากุลี และเมื่อแกได้รับคำถามของเกล้ากระหม่อม แกได้เปิดดิกชนารี Hobson-Jobson ดู อธิบายว่าคำกลิงนั้นได้ชื่อมาแต่กลิงคราษฎร์ แต่ชาวมลายูใช้คำนั้นหมายความเปนสองอย่าง คือ ๑ หมายว่าชาวประเทศอินเดียทั่วไป ๒ หมายว่า ทมิฬ สิ้นเคราะห์ไปที อ้ายแขกที่โกงฝ่าพระบาทนั้น คืออ้ายทมิฬหินชาติทีเดียวแล้ว ไม่ใช่พวกตาชูชก

เกล้ากระหม่อมได้คิดกำหนดและสำเนาทางที่จะเสด็จพระราชดำเนินตามที่กะเปลี่ยนแปลงใหม่มาถวาย ด้วยหวังว่าคงพอพระทัยที่จะได้ทรงทราบไว้

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ